ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1194


    ตอนที่ ๑๑๙๔

    สนทนาธรรม ที่ ราชกรีฑาสโมสร

    วันที่ ๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๑


    ท่านอาจารย์ ขณะนี้ทุกคนคิดไม่เหมือนกันเลย เพราะเหตุที่จะให้เกิดคิดต่างกัน เพราะฉะนั้น คิดรู้อะไรหรือไม่

    ผู้ฟัง ความคิดก็ต้องรู้

    ท่านอาจารย์ คิดรู้อะไร

    ผู้ฟัง รู้สิ่งที่คิดอยู่

    ท่านอาจารย์ มีใครรู้ไหมว่า เพียงแค่เห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด สั้นแสนสั้น แล้วคิดทันที แสดงให้เห็นว่า ทั้งหมดถูกปิดบังไว้นานมากในสังสารวัฏฏ์ ถ้าไม่มีคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเราก็พูดคำที่เราไม่รู้จักเลย ทุกคนคิด แต่ไม่รู้ว่าคิดคืออะไร เข้าใจว่าเราคิด ขณะนี้เห็น ก็ไม่รู้ว่าเห็นคืออะไร แต่เข้าใจว่าเราเห็น ซึ่งผิด ถ้าทุกคนรู้แล้วจะต้องมีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม เพราะเหตุว่าทุกคนไม่เคยรู้เลยในสังสารวัฏฏ์ แต่เข้าใจว่ารู้ แม้แต่รู้คืออะไรก็ยังไม่รู้เลย

    เพราะฉะนั้นให้ทราบว่า สิ่งที่มีจริงมีลักษณะที่ต่างกันเป็น ๒ อย่าง ซึ่งคราวก่อนเราได้พูดไปบ้างแล้ว ก็ต้องทบทวนกันอีก เพราะเหตุว่าคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฟังเเค่ครั้งเดียวไม่พอ พระองค์ทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา กี่คำ และแต่ละคำนั้นปัญญาของพระองค์กับปัญญาของผู้ฟัง ห่างกันไกลสุดที่จะประมาณได้ ดังนั้นจึงต้องฟังและเข้าใจแต่ละคำ ทีละคำด้วย เพราะเหตุว่าธรรมหลากหลายมาก สิ่งที่มีจริงต่างๆ กันออกไป เสียงเป็นอย่างหนึ่ง กลิ่นเป็นอย่างหนึ่ง ชอบเป็นอย่างหนึ่ง เสียใจเป็นอย่างหนึ่ง ดีใจก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง ไม่พร้อมกันใช่ไหม แต่ละหนึ่งๆ เป็นธรรมที่ใครไม่สามารถจะเปลี่ยนลักษณะ ที่เพียงมีปัจจัยเกิดแล้วดับไป ใครจะไปทันเปลี่ยนแปลงอะไรได้ แต่ก็สืบต่อจนเหมือนกับว่ามีคนเกิดแล้วก็มีคนตาย ขณะที่เกิดแล้วยังไม่ตายก็มีเห็น มีได้ยินมีคิด มีจำ มีทุกอย่าง

    หรือจะกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า มีหลับแล้วก็มีตื่น หลับกันทุกวัน ใช่ไหม แต่ก็ไม่รู้ว่าอะไร ตื่นอีก เห็นนั่นเห็นนี่ทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วก็หลับอีก เวลาหลับ ที่จำมาในวันนั้นตั้งแต่ตื่นหายไปหมดเลย หลับสนิทมีแน่นอน ขณะนั้นไม่มีอะไรปรากฏเลยทั้งสิ้น ใครจะทำให้คนที่หลับสนิทรู้อะไรก็ไม่ได้ แต่เขายังไม่ตาย แสดงว่าคนหลับกับคนตายต่างกันตรงไหน เราก็พูดง่ายๆ ว่าเกิดแล้วก็ตาย หลับแล้วก็ตื่น แต่ก็ไม่รู้อะไร

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความละเอียดอย่างยิ่งของธรรมแต่ละหนึ่งว่า แม้ว่าธรรมจะหลากหลายมากมายนับไม่ถ้วน ไม่ซ้ำกันเลยเลยในสังสารวัฏฏ์ เกิดได้เพียงอย่างเดียวแล้วดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก

    โดยมีความหลากหลายที่เป็นประเภทใหญ่คือ สภาพธรรมอย่างหนึ่ง สิ่งที่มีจริง เกิดจริงๆ มีจริงๆ เป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่ไม่รู้อะไร แข็งมีแน่นอน มีใครบ้างไม่รู้ เป็นธรรมอย่างหนึ่งซึ่งไม่รู้ แต่ถ้าไม่มีสภาพธรรมซึ่งใครก็ห้ามไม่ให้เกิดไม่ได้ เหมือนกับแข็งใครก็ห้ามไม่ให้เกิดแข็งไม่ได้ แข็งเกิดแล้ว แข็งมีแล้วฉันใด

    ธรรมอีกประเภทหนึ่ง คือเป็นสภาพที่เมื่อเกิดขึ้นแล้วต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด ใช้คำว่าจิตที่เราคุ้นหู บางคนก็อาจจะคุ้นหูกับคำว่า วิญญาณ ซึ่งถ้าไม่ศึกษาก็ไม่รู้เลย คิดว่าจิตเป็นอย่างหนึ่ง แล้ววิญญาณเป็นอีกอย่างหนึ่ง ตายแล้วถึงจะเป็นวิญญาณ แต่ความจริงไม่ใช่อย่างนั้นเลย

    ธรรมมี ๒ อย่าง สภาพธรรมที่มีจริงอย่างหนึ่ง เกิดขึ้นเเต่ไม่สามารถรู้อะไรได้เลย ภาษาบาลีใช้คำว่า รูปธรรม ทุกคนเคยได้ยิน พูดทุกคำเเต่ไม่รู้จัก

    สภาพธรรมอีกอย่างหนึ่ง เกิดขึ้นแล้วต้องรู้ ไม่รู้ไม่ได้ ภาษาบาลีใช้คำว่า นามธรรม

    เพราะฉะนั้น ที่เป็นคนก็จะต้องมีสภาพรู้ซึ่งเป็นจิต และรูปธรรมซึ่งไม่ใช่สภาพรู้ จากหนึ่งคือธรรม แบ่งประเภทใหญ่ต่างกันเป็น ๒ อย่างคือ สภาพที่ไม่รู้อะไรเลยอย่างหนึ่ง และสภาพรู้อย่างหนึ่ง ทำไมต้องพูดคำนี้ ทำไมต้องให้รู้ว่ามีสภาพธรรม ๒ อย่าง แล้วก็ต่างกันด้วย

    ผู้ฟัง เพราะเป็นเรื่องที่มีจริงๆ เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่รู้ก็ไม่มีวันจะรู้เลย ไม่มีวันจะรู้ความจริง ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่รู้ว่าการตรัสรู้คืออะไร ไม่รู้ว่าสิ่งที่มีจริงตั้งแต่เกิดจนตายคืออะไร ซึ่งแล้วแต่ใครจะคิดอย่างไร บางคนคิดว่าตั้งแต่เกิดจนตายก็มีความสุขไปแต่ละวัน จะจากโลกนี้ไปเมื่อไรก็ไม่รู้ แต่จากไปด้วยความไม่รู้ เกิดอีกก็ไม่รู้อีก อาจจะคิดว่าจะเชื่อเรื่องเกิด หรือตาย ว่ามีจริงหรือเปล่า ก็แล้วแต่ แต่ธรรมเป็นธรรม ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้โดยละเอียดยิ่ง ดังนั้นก็พิจารณากันได้ว่า เมื่อถึงวันนี้เเล้วยังมีเมื่อวานนี้เหลือไหม

    ผู้ฟัง ก็ไม่เหลืออะไร

    ท่านอาจารย์ พรุ่งนี้มาถึง เดี๋ยวนี้เหลือไหม

    ผู้ฟัง ขณะนี้ก็ไม่เหลือแล้ว

    ท่านอาจารย์ ความจริงเร็วยิ่งกว่านั้นอีก เมื่อครู่นี้ไม่เหลือเลย จนกระทั่งถึงเห็นเมื่อครู่นี้กับเห็นเดี๋ยวนี้ก็ไม่ใช่เห็นอย่างเดียวกัน นี่คือพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครจะไม่รู้ตลอดชีวิตก็เป็นเรื่องของผู้ที่ไม่เห็นประโยชน์ แต่ถ้าใครฟังแล้วคิดว่า ในเมื่อวิชาอื่นที่น่าจะยากด้วยเรายังเรียนได้ แต่ไม่มีวิชาไหนที่จะยากเท่าคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งลึกซึ้งอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นนักปราชญ์ นักวิทยาศาสตร์ หรือใครก็ตาม ในอดีตถึงปัจจุบัน จนถึงอนาคตก็ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงอย่างพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้

    เพราะฉะนั้น โอกาสที่จะได้ยินได้ฟัง โอกาสที่จะสะสมความรู้ความเข้าใจในสิ่งซึ่งมีจริง ที่กำลังจากไปทุกๆ ขณะ จนถึงขณะสุดท้ายที่จากไป ไม่เหลือเลยที่จะเป็นคนนี้อีกต่อไป พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงไว้โดยละเอียดว่าต้องเป็นอย่างนั้น ไม่มีเลยที่เกิดแล้วไม่ตาย ไม่ว่าจะเป็นเทวดา พรหม หรือว่าจะเป็นสัตว์เดรัจฉาน เกิดแล้วก็ต้องตาย

    ความจริงที่ทุกคนไม่รู้คือ สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้เกิดแล้วตายทันที แต่สืบต่อด้วยสิ่งที่มีใหม่ เหมือนอย่างเมื่อวานนี้หมดแล้ว ถึงวันนี้เมื่อวานนี้ไม่มี เมื่อถึงพรุ่งนี้วันนี้ก็ไม่มี ความจริงคือแค่อยู่ไปวันๆ แล้วก็ไม่มีอะไรที่เป็นของเราจริงๆ แม้ทรัพย์สมบัติมหาศาลก็นำไปไม่ได้ ได้แต่โลภะ โทสะ กิเลส อกุศล หรือปัญญา ทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งมีในแต่ละขณะที่จะสะสมสืบต่อไป

    ผู้ฟัง หัวข้อของเราคือ ธรรมเพื่อการพัฒนา ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นแล้วดับไป ไม่หวนกลับมาอีกเลย แล้วอย่างนี้คำว่าพัฒนา เราจะต้องเข้าใจพื้นฐานตรงนี้ให้ถูกต้องก่อนอย่างไร

    ท่านอาจารย์ แค่ง่ายๆ ความไม่รู้ กับ ความรู้

    ผู้ฟัง ก็ต่างกันมาก

    ท่านอาจารย์ นั่นคือพัฒนา

    ผู้ฟัง จากความไม่รู้

    ท่านอาจารย์ เป็นความรู้ ถ้ายังไม่เป็นความรู้ ก็เป็นความไม่รู้ไปเรื่อยๆ

    ผู้ฟัง ถ้าอย่างนั้นก็ไม่พัฒนาเลย หรือว่าไปผิดทางก็มี

    ท่านอาจารย์ ก็ไม่รู้ยิ่งขึ้น

    ผู้ฟัง ความไม่รู้ที่ยากยิ่งที่จะรู้ก็คือความเป็น อัตตา ตัวตน ซึ่งยากมาก เมื่อไหร่ๆ ก็ยังเป็นอัตตา เป็นตัวตนอยู่ตลอดเวลา กราบเรียนท่านอาจารย์ช่วยอธิบาย

    อ.คำปั่น โดยความหมายของคำนี้ก็ไม่เปลี่ยน คือ ตัวตน หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งเมื่อได้ศึกษาพระธรรมจะมีความเข้าใจอย่างถูกต้องว่า ไม่มีตัวตน ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใด มีแต่ธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ของธรรมนั้น แต่เพราะไม่รู้ความจริงของธรรมที่กำลังมี กำลังปรากฏ จึงหลงยึดถือว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล หรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ตรงนี้คือเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ซึ่งคือความไม่รู้ความจริง

    อย่างที่ท่านพูดถามได้กล่าวว่า เป็นสิ่งที่รู้ได้โดยยาก ก็เป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะว่าคุ้นเคยกับความเป็นตัวตน คุ้นเคยกับความเป็นเรามานาน กว่าที่จะค่อยๆ แกะออกจึงยากอย่างยิ่ง แล้วก็ไม่มีหนทางอื่นอีกเลย นอกจากเริ่มฟัง เริ่มศึกษาในสิ่งที่มีจริงในขณะนี้

    ผู้ฟัง มีคำว่า อนัตตา ที่มีความหมายตรงข้ามกับคำว่า อัตตา ใช่หรือไม่ คำนี้ตรงข้ามกันอย่างไร

    อ.คำปั่น ความหมายของอนัตตาคือ ไม่ใช่ตัวตน ซึ่งในอรรถกถาได้อธิบายถึงความหมายของคำนี้ด้วยว่า ที่ว่าเป็นอนัตตาเพราะเหตุอะไร คือเพราะไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร คือสิ่งที่มีจริงนี้บังคับบัญชาไม่ได้ เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร และเป็นสภาพธรรมที่ปฏิเสธความเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล

    เพราะเหตุว่าเป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งๆ เท่านั้น อย่างเช่น เห็นเป็นเห็น ได้ยินเป็นได้ยิน รูปเป็นรูป เป็นต้น แล้วจะเป็นสัตว์ เป็นบุคคล หรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้อย่างไร เพราะว่าเป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งๆ ที่ปฏิเสธความเป็นตัวตนอย่างชัดเจน นี่คือความหมายของอนัตตา คือไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น และปฏิเสธต่ออัตตาอย่างชัดเจน

    ผู้ฟัง ท่านผู้ถามได้กล่าวว่า การที่จะรู้อัตตานั้นรู้ยากจริงๆ ซึ่งเป็นจริงอย่างนั้น หนทางที่จะรู้ความเป็นอัตตาและอนัตตาที่ถูกต้อง ต้องเริ่มต้นอย่างไรถึงจะเข้าใจความหมายนี้ไปตามลำดับ

    ท่านอาจารย์ ทุกท่าน เดี๋ยวนี้กำลังทำอะไร เป็นคำถามที่ง่ายมาก

    ผู้ฟัง นั่งฟังธรรมกันอยู่

    ท่านอาจารย์ กำลังนั่งใช่ไหม ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ลองกระทบสัมผัสดูว่ามีอะไรหรือไม่ ธรรมเป็นเรื่องจริง เป็นเรื่องตรง เป็นเรื่องธรรมดา แต่ไม่เข้าใจลึกซึ้งใช่ไหม ได้ยินคำว่าอนัตตา ได้ยินคำว่าอัตตา แต่จะเข้าใจได้อย่างไรถ้าไม่พูดถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้

    ผู้ฟัง ตอนเรานั่งก็จะรู้สึกถึงการกระทบของเย็น ร้อน อ่อน แข็ง

    ท่านอาจารย์ ทราบไหมว่าเย็นที่ปรากฏ หรือร้อน หรืออ่อน หรือแข็ง มีอากาศธาตุแทรกคั่นอย่างละเอียดยิบ จริงหรือไม่

    ผู้ฟัง จริง

    ท่านอาจารย์ เพราะว่าสามารถที่จะแตกย่อยสลายออกไปได้ ถ้าความจริงแตกย่อยสลาย ตัดแขน ตัดขา ตัดทุกส่วนสัดทั้งหมดให้ละเอียดเท่าไหร่ก็ได้ นั่งหรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่ได้นั่งแล้ว

    ท่านอาจารย์ ไม่นั่งเลย ใช่ไหม เป็นแต่ละหนึ่งที่ละเอียดยิ่ง แล้วจะนั่งได้อย่างไร แต่เมื่อมารวมๆ ๆ กันก็เกิดอาการท่าทางต่างๆ ซึ่งจำไว้ นั่งเป็นอย่างหนึ่ง นอนเป็นอย่างหนึ่ง ยืนเป็นอย่างหนึ่ง เดินเป็นอย่างหนึ่ง ซึ่งความจริงคือแต่ละหนึ่งมีอากาศธาตุแทรกคั่น แต่มารวมกันทำให้เกิดเป็นนิมิต เป็นภาษาบาลีออกเสียงว่า นิมิตตะ หมายความถึง สิ่งที่ปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ ถ้าไม่มีรูปร่างสัณฐานมารวมกัน จะนั่งได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้เลย แม้แต่แก้วน้ำก็คือการมารวมกันของแข็ง เเข็งๆ อย่างนั้นมารวมกันตั้งอยู่ หรือจะใช้คำว่า ยืน แล้ววางลงไปคือนอนก็ได้ คืออาการเดียวกันที่เกิดจากความจำ แต่ความจริงมีนั่งจริงๆ หรือไม่ หรือว่ามีรูปที่ละเอียดมากที่มารวมกัน ทำให้ทรงอยู่ในอาการกิริยาอย่างหนึ่งอย่างใด ความจริงคือความจริง ถ้าไม่มีรูปแต่ละรูปที่ละเอียดมารวมกันเลย นั่งจะมีไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ แต่เมื่อมารวมกันแล้ว รูปที่ละเอียดอย่างยิ่งนั้นมีอากาศแทรกคั่นอยู่ ทรงอยู่ในกิริยาอาการอย่างไร เราก็บอกว่านั่ง หรือนอน หรือยืน หรือเดิน ดังนั้นที่ว่านั่งจึงเป็นอัตตา นอนก็เป็นอัตตา คือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ถ้าแตกย่อยออกไปแล้วก็ไม่เหลือเลย มีแต่อากาศธาตุแทรกคั่น แล้วจะนั่งได้อย่างไร แต่เพราะเหตุว่ารวมกันทรงอยู่ ตั้งอยู่ จึงกล่าวว่านั่ง หรือนอน หรือยืน หรือเดิน

    ขณะใดที่คิดว่ากำลังนั่ง นั่นคืออัตตา และก็เป็นเราด้วย หรือเป็นเขา เป็นขวดน้ำ เป็นแก้วน้ำ เป็นโต๊ะ หรือเป็นเก้าอี้ เราก็บอกนั่นโต๊ะตั้งอยู่ หรือวางโต้ะนอนลงไป ก็สามารถที่จะทำให้มีกิริยาท่าทางอย่างนั้นได้

    ดังนั้น อัตตาคือ สิ่งที่มารวมกันทำให้มีการเข้าใจผิดในนิมิตรูปร่างสัณฐานว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดคืออัตตาทั้งนั้น ข้าวสารเม็ดหนึ่งเป็นอัตตาหรือไม่ รวมกันแล้วใช่ไหมจึงเป็นข้าวสารหนึ่งเมล็ด ถ้าแยกย่อยออกไป อากาศธาตุแทรกคั่นละเอียด แตกทำลายได้ทันที ไหนคือข้าวสาร มีข้าวสารไหม

    เพราะฉะนั้น เมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดมารวมกันปรากฏเป็นนิมิต คือ รูปร่างสัณฐาน ให้ทรงจำไว้ว่าเป็นสิ่งนั้น ที่เข้าใจว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ยั่งยืน ที่ไม่เกิดดับ ที่เที่ยง นั่นคือความหมายของอัตตา

    ดังนั้น อัตตาก็ตรงกันข้ามกับอนัตตา เพราะเหตุว่าไม่รู้ในความไม่เที่ยง อนิจจัง สภาพธรรมที่ไม่เที่ยง แค่เกิดมี แล้วหามีไม่ แล้วไม่มีอีกเลย สูญไปเลย หาอีกไม่ได้เลย ลักษณะนั้นเป็นทุกข์หรือไม่ เกิดทำไม ดับทำไม ไม่มีประโยชน์อะไรเลย แล้วก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครด้วย

    เพราะฉะนั้น จะมีคำว่า อนิจจัง ทุกขัง ซึ่งทุกคนรู้ได้ แต่ไม่รู้ว่านั่นคือ อนัตตา คือไม่มีใครสักคนเดียว มีแต่ธรรมเท่านั้น ก็ค่อยๆ เข้าใจคำว่าธรรมละเอียดขึ้น ใครเกิด เราก็บอกว่าคนเกิด ถ้ารูปร่างอย่างนี้ แมวเกิด งูเกิด นกเกิด ตามรูปร่างสัณฐาน ซึ่งก็คือแข็งหรืออ่อน ที่มีอากาศธาตุแทรกคั่นละเอียดแล้วรวมกันเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็เข้าใจว่าเป็นอัตตา

    ตอนนี้เรารู้เลยว่าอะไรก็ตามที่รวมกันแล้ว และเข้าใจว่ายั่งยืน ไม่เกิดดับ นั่นคือยึดมั่นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่อนัตตาคือตรงกันข้าม ถ้าไม่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จะได้ยินคำว่า อนัตตา หรือไม่ ไม่มีทางเป็นไปได้เลย มีแต่อัตตาทั้งนั้น

    ใครก็ตามที่ไม่ได้ฟังธรรมก็ไม่รู้ว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย เกิดขึ้นและดับไป ผู้นั้นจะไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่รู้ว่ามีบุคคลหนึ่งซึ่งสะสมบารมีที่จะถึงการตรัสรู้ความจริงของทุกสิ่ง โดยละเอียดยิ่ง โดยประการทั้งปวง จึงทรงแสดงธรรม ความจริงนั้นว่า "ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา"

    ถ้าไม่มีความเข้าใจตรงนี้ก็ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และไม่สามารถที่จะเข้าใจความจริงของธรรมต่อไปได้เลย ยังคงเป็นอวิชชา มีความเห็นผิด คิดว่าจะดับกิเลสได้ง่ายๆ จะดับกิเลสง่ายไหม กิเลสคืออะไร คุณคำปั่น

    อ.คำปั่น ความหมายของกิเลสคือ เป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต สิ่งที่ทำให้จิตใจเศร้าหมอง ในภาษาบาลีออกเสียงเป็น กิ-เล-สะ แสดงถึงสิ่งที่มีจริงอย่างหนึ่ง เป็นสิ่งที่มีจริงที่ไม่ดี ที่นำมาซึ่งทุกข์ ซึ่งโทษ

    เมื่อสักครู่นี้ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงตัวอย่างของกิเลสที่เห็นได้ชัดคือ อวิชชา ความไม่รู้ความจริงเป็นหนึ่งในกิเลสทั้งหลาย นอกจากนั้นยังมีความติดข้องยินดีพอใจ ความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ ความไม่ละอาย ความไม่เกรงกลัวต่อบาป เป็นต้น นี่คือกิเลส ซึ่งเป็นธรรมที่มีจริง เมื่อเกิดขึ้นเมื่อใดก็ทำให้จิตเศร้าหมอง ไม่ผ่องใส ไม่สะอาด

    ท่านอาจารย์ เมื่อมีความไม่รู้ก็ต้องมีกิเลส เพราะฉะนั้น คนไม่มีกิเลสคือคนที่รู้ และบุคคลแรกที่รู้คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่รู้ความจริงจนดับกิเลสได้หมดสิ้น เพราะฉะนั้น ตราบใดที่ยังไม่รู้ และยังไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เข้าใจธรรม ก็ไม่มีทางที่จะดับกิเลส

    ผู้ฟัง พูดถึงคำว่าไม่มีตัวตน แต่มีคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน" กราบเรียนท่านอาจารย์ช่วยขยายความ

    ท่านอาจารย์ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ค้านกัน เพราะรู้ความจริงถึงที่สุดของทุกอย่าง โดยประการทั้งปวง ทุกอย่างเป็นธรรม ถ้าเราไม่มีคำสำหรับเรียกชื่อ เราจะรู้ไหมว่าธรรมต่างกัน สิ่งที่ปรากฏให้ได้ยิน ถ้าเราไม่ใช้คำเลยจะรู้ไหมว่าหมายความถึงอะไร แต่เราใช้คำว่า เสียง เมื่อพูดคำว่าเสียง ทุกคนเข้าใจว่าหมายความถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ดัง แล้วมีสภาพที่รู้คือ ได้ยิน เสียงจึงปรากฏว่ามี แต่ถ้าไม่มีได้ยินเลย ไม่มีการรู้ว่ามีเสียงแน่นอน

    เพราะฉะนั้น มีธรรมมากมาย ถ้าไม่ใช้ชื่อจะรู้ว่าหมายความถึงธรรมไหนได้อย่างไร เช่น เสียงกับกลิ่นก็ต่างกันเเล้ว ถ้าไม่ใช้คำว่าเสียง ก็ไม่รู้ว่าหมายความถึงสิ่งนั้นที่ได้ยิน ที่ปรากฏให้ได้ยิน กลิ่นคือสิ่งนั้นที่ปรากฏ โดยต้องมีจมูกและกำลังได้กลิ่น ซึ่งจมูกไม่ได้กลิ่น เเต่ถ้าไม่มีจมูกก็ไม่มีการกระทบกันของกลิ่นและจมูก ธาตุรู้กลิ่นก็เกิดไม่ได้

    ดังนั้นจึงต้องมีคำ ถ้าไม่เรียกคุณสุธีรพันธุ์ เเล้วจะให้รู้ว่าหมายความถึงผู้ที่อยู่ตรงนี้ได้อย่างไร ก็ต้องใช้คำใช่ไหม จึงมีคำว่าตน หมายความว่าไม่ใช่คนอื่น จะไปขอให้คนอื่นเขามารู้แทนเราได้ไหม ถ้าไม่ฟังเอง ไม่ไตร่ตรองเอง ไม่เข้าใจเอง ให้คนอื่นมารู้แทนเรา เข้าใจแทนเรา ได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ เพราะฉะนั้น จึงมีคำที่ใช้เรียกให้รู้ว่า คนนี้ไม่ใช่คนนั้น เเม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่ท่านพระสารีบุตร ไม่ใช่ท่านพระมหาโมคคัลลานะ พระองค์ก็ตรัสเรียกพระองค์ว่า ตถาคต ดังนั้น แต่ละคนก็มีคำซึ่งแสดงให้รู้ว่าหมายความถึงใคร แต่ที่เข้าใจว่าเป็นชื่อนั้นชื่อนี้ หมายความถึงคนนั้นคนนี้ ก็คือธรรมทั้งหมดแต่ละหนึ่ง ซึ่งต้องเป็นจริงๆ เพียงแค่เกิดปรากฏแล้วหมดไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย แสดงความต่างของแต่ละหนึ่งให้รู้ว่าคนนี้ไม่ใช่คนนั้น หิวมาก จะให้คนอื่นรับประทานแทนได้ไหม ก็ต้องคนนั้นรับประทานเอง จึงใช้คำว่า ตน ไม่ใช่คนอื่น

    อ.คำปั่น มีพระพุทธพจน์บทนี้โดยตรงเลยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส ซึ่งหลายท่านอาจจะจำได้ด้วย ก็คือ "อัตตา หิ อัตตโน นาโถ" ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน ซึ่งในอรรถกถาได้อธิบายว่า ชีวิตของแต่ละคนที่เป็นไป ยกตัวอย่างเช่น ผู้ที่อบรมเจริญปัญญา ก็ต้องเป็นผู้นั้นเองที่มีการอบรมเจริญปัญญา ปัญญาจึงเจริญขึ้น เพราะมีธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปนั่นเอง คนอื่นจะมาอบรมปัญญาแทนตนเองก็ไม่ได้ ต้องเป็นผู้นั้นที่ฟังเเละศึกษาพระธรรม ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 186
    30 ต.ค. 2568