ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1185


    ตอนที่ ๑๑๘๕

    สนทนาธรรม ระหว่างเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย พุทธคยา

    วันที่ ๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๑


    ท่านอาจารย์ ไม่มีช่องว่างเลยสักนิดเดียวที่จิตจะขาดการเกิดดับ และไม่มีจิตอื่นเกิดต่อ เพราะการเกิดและดับไปของจิตทุกประเภทไม่ว่าจิตอะไร เป็นปัจจัยให้จิตต่อไปเกิด โดยจิตที่ดับไปเป็นอนันตรปัจจัย เริ่มได้ยินคำว่าปัจจัยทีละคำ ไม่ต้องไปนั่งเรียงให้หมดเพราะเเค่อยากเรียงเพื่อจะจำให้ได้ แต่ต้องเข้าใจว่าการที่สภาพนามธรรม ธาตุรู้ คือจิตและเจตสิกดับไป เป็นปัจจัยให้จิตและเจตสิกขณะต่อไปเกิดได้ เห็นไหมว่าเกิดได้ ถ้าตราบใดที่จิตนี้ยังไม่ดับหมดไป จิตต่อไปไม่มีทางเกิดได้เลย

    ด้วยเหตุนี้ จิตหนึ่งขณะเกิดดับ จิตต่อไปเกิดได้ แต่ละคนจึงมีจิตเพียงคนละหนึ่งขณะ จะมีจิตของคนอื่นมารวมไม่ได้ หรือจะให้มีจิตเกิด ๒-๓ ขณะพร้อมกันไม่ได้เลย ต้องทีละหนึ่งขณะ แล้วในหนึ่งขณะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงจำแนกไว้ จากการที่ทรงตรัสรู้เหนือบุคคลใดทั้งสิ้น พระปัญญาของพระองค์เหมือนใบไม้ในป่า แต่ที่ให้เราเข้าใจแต่ละคำก็เท่าที่เราจะเข้าใจได้

    ด้วยเหตุนี้ ทรงแสดงว่าหนึ่งขณะจิต ขณะเกิดไม่ใช่ขณะดับ ภาษาบาลีใช้คำว่าอุปาทขณะคือขณะเกิด ภังคขณะคือขณะดับ ซึ่งขณะดับไม่ใช่ขณะเกิด จิตหนึ่งขณะ ขณะเกิดกับขณะดับไม่ใช่ขณะเดียวกัน และระหว่างที่เกิดแล้วยังไม่ดับอีกหนึ่งขณะคือ ฐิติขณะ ด้วยเหตุนี้ แยกย่อยจิตหนึ่งขณะเป็น ๓ อนุขณะ อนุคือย่อย คือจิตดวงเดียวแต่กล่าวถึงขณะเกิด ขณะที่ยังไม่ดับ และขณะดับ

    ขณะเกิดเป็นอุปาทขณะ ขณะที่ตั้งอยู่ระหว่างเกิดกับดับเป็นฐิติขณะ ขณะดับเป็นภังคขณะ ทรงแสดงทำไม ก็เพราะว่าจิต ๓ ขณะเป็นปัจจัยให้รูปเกิดต่างกัน ปฏิสนธิจิตเป็นปัจจัยให้รูปเกิดพร้อมกันเลยทันที โดยกรรมเป็นปัจจัย

    แต่ละคนที่มีรูปร่างอย่างนี้ๆ เพราะกรรมที่ได้กระทำแล้ว เป็นปัจจัยให้เกิดเป็นมนุษย์เหมือนกันเลย ซึ่งต่างกับลิง ต่างกับจระเข้ ต่างกับนก ต่างกับเป็ด ชึ่งพวกนั้นก็กรรมเหมือนกัน แต่ขณะแรกที่เกิดยังไม่ปรากฏรูปร่างเลย แต่เพราะการเกิดดับสืบต่อ โดยกรรมที่เป็นปัจจัยให้รูปนั้นเกิดก็สืบต่อทำให้ตัวเล็กตัวใหญ่ก็ได้ เช่นเล็กแค่มด แมลงหวี่ แมลงวัน กับช้างตัวใหญ่ การเกิดดับสืบต่อโดยกรรมไม่ได้ทำให้เป็นอย่าง นั้นแต่ทำให้แค่นั้นเท่านั้น เกิดดับสืบต่อก็แค่แมลงวัน เกิดดับสืบต่อใหญ่โตขึ้นมาก็เป็นช้าง เป็นคน ทำไมเราสูงต่ำไม่เท่ากัน ก็เพราะกรรมเป็นปัจจัยที่จะให้อยู่ระดับนั้นหรือระดับนี้

    ในขณะที่เกิด กรรมหนึ่งทำให้ปฏิสนธิจิตและเจตสิก เกิดพร้อมกับปฏิสนธิกัมมชรูป ซึ่งรูปเกิดได้จาก ๔ สมุฏฐานที่ทำให้เกิด กรรมเป็นสมุฏฐานให้รูปเกิดหนึ่ง ถ้ารูปนั้นเกิดจากกรรม อย่างอื่นจะทำให้รูปนั้นเกิดไม่ได้ ถ้ารูปนั้นเกิดจากจิต มีจิตเป็นสมุฏฐาน กรรมไม่ได้เป็นสมุฏฐานให้รูปนั้นเกิด

    เพราะฉะนั้น ขณะปฏิสนธิ กรรมเท่านั้นที่เป็นปัจจัยให้รูปเกิด โดยรูปนั้นเกิดจากกรรมที่ทำให้เกิดจึงเป็นกัมมชรูป ชะแปลว่าเกิด

    กัมมชรูป คือรูปที่เกิดจากกรรมเป็นสมุฏฐาน ใครทำได้ ใครเลือกได้ จะเลือกหน้าตาเป็นแบบไหน คิ้วตาจมูกปาก อย่างไรก็ไม่มีทางเลือกได้เลย ทั้งส่วนเล็กส่วนน้อย ฟันกี่ซี่ ห่างกันหรือว่าซ้อนกัน ไม่มีทางที่ใครจะไปทำได้ทั้งหมดเลย

    ถ้าเป็นรูปที่เกิดจากกรรม คือกรรมเท่านั้นที่ทำ เห็นไหมว่าทรงแสดงวาระของอนุขณะของจิต เพื่อให้รู้ว่าในขณะเกิดแค่อุปาทะ รูปกับจิตเกิดพร้อมกัน ต่างอาศัยกันและกันเกิดขึ้น เพราะจิตต้องเกิดที่รูปในภูมิที่มีรูป ใช้คำว่าในภูมิที่มีขันธ์ ๕ จิตต้องเกิดที่รูปหนึ่งรูปใด อย่างเช่นเห็น ใครจะรู้ว่าเกิดที่จักขุปสาทรูปหนึ่งขณะ จิตก่อนเห็นไม่ได้เกิดที่จักขุปสาทรูป จิตที่เกิดต่อจากจิตเห็นไม่ได้เกิดที่จักขุปสาทรูป แล้วใครรู้อย่างนี้ นี่คือการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้น ในขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิดขณะเเรกคืออุปาทขณะ เกิดพร้อมกับเจตสิก จิตเเละเจตสิกเกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน แต่รูปเกิดพร้อมจิตในปฏิสนธิขณะ คือกัมมชรูปเกิดพร้อมกันเลย เเต่ขณะต่อไปมีกรรมทำให้กัมมชรูปเกิดทุกอนุขณะจิต ที่เราบอกว่าทุกจิต หรือทุกขณะของจิต นั่นคือทุกอนุขณะของจิต กรรมทำให้เกิดกัมมชรูป แต่จิตตชรูปเริ่มเกิดในจิตที่เกิดต่อจากปฏิสนธิ จิตขณะแรกเหมือนตกลงไปเป็นภาวะที่กรรมทำให้ร่วงหล่นลงไป ถึงวาระที่จะต้องปฏิสนธิก็ปฏิสนธิ โดยมีกัมมชรูปในขณะแรกที่เป็นอุปาทขณะ ในฐิติขณะเเละภังคขณะมีกัมมชรูปเกิดตลอด เกิดมากมายอย่างนั้น

    เพราะฉะนั้น รูปของเราก็ไม่เปลี่ยนต้องเป็นไปตามกรรม แล้วแต่ว่ากรรมนั้นจะทำให้เกิดรูปอะไรเมื่อไหร่ แต่เมื่อทันทีที่ปฏิสนธิจิตดับไป กัมมชรูปเกิดทุกอนุขณะของจิต จนกว่าก่อนจุติ ๑๗ ขณะซึ่งเป็นอายุของรูป ไม่มีกัมมชรูปที่จะเกิดได้เลย เพราะว่ากัมมชรูปต้องดับพร้อมจิตขณะสุดท้าย ทันทีที่จุติจิตดับขณะนั้นกัมมชรูปก็ดับไปด้วยเลย ไม่เป็นคนนี้อีก ถึงจะลืมตาจะค้างอยู่แต่เป็นรูปที่เกิดจากอุตุ ไม่ได้เกิดจากกรรม จึงเป็นตาที่ไม่มีชีวิต ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่ตาของคนตายเหมือนของคนเป็น เพราะไม่มีจิต

    นี่คือความละเอียดอย่างยิ่ง เป็นพระมหากรุณาให้รู้ว่าไม่มีเรา ฟังไปตรงไหนก็ได้ขอให้เข้าใจ อย่าฟังธรรมโดยไม่เข้าใจ หรือคิดว่าเข้าใจแล้วโดยประมาท แต่ต้องเข้าใจแม้แต่คำว่าธรรมคำเดียว เห็นไหมว่าขยายความเข้าใจออกมาอีกมากมายเท่าไหร่ เพื่อที่ให้รู้ว่ายังไม่ได้เข้าใจทั้งหมดในความเป็นธรรม ประมาทไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมก็ละเอียดขึ้นๆ นี่คือพระมหากรุณาที่รู้ว่าถ้าไม่ตรัสไว้ สัตว์โลกไม่มีทางละคลายความยึดถือว่าเป็นตัวตน ขณะที่ฟังอย่างนี้ แต่ละหนึ่งขณะของจิต รูปไหนเกิดพร้อมขณะไหน ถ้าจิตตชรูปจะเกิดในอุปาทขณะของจิต แสดงว่าหลังจากปฏิสนธิแล้วจิต เจตสิก รูปเกิดพร้อมกันในขณะอุปาทะ แต่ในขณะฐิติเเละขณะภังคะไม่มีจิตตชรูป มีแต่กัมมชรูป เเล้วเป็นเราตรงไหน ทั้งหมดก็ไม่ใช่เราซึ่งไม่มีทางรู้เลย เพราะธรรมถูกปิดสนิทแน่น ทับถมด้วยอวิชชายิ่งกว่าพื้นพสุธาและจักรวาลกี่จักรวาล

    เพราะฉะนั้น กว่าเราจะค่อยๆ ขัดเกลาด้วยพระธรรม ค่อยๆ ถึงความเป็นบุคคลซึ่งท่านถึงแล้วโดยความเป็นสังฆรัตนะคือสาวก โดยไม่ใช่ว่าพระภิกษุทุกรูปเป็นสังฆรัตนะ เเต่เฉพาะผู้ที่เป็นพระอริยบุคคล ไม่ว่าเป็นพระภิกษุหรือคนธรรมดา เป็นหมู่ที่งามใช้คำว่าสังฆโสภณ สังฆะที่นี่ไม่ได้หมายความถึงภิกษุธรรมดาเลย แต่หมายความถึงหมู่ของพระอริยบุคคล จึงเป็นสังฆโสภณ

    ธรรมพิสูจน์ได้ทันทีที่ฟังแล้วเข้าใจ จะเข้าใจเมื่อไหร่ ใครจะรู้จริงทุกขณะอย่างนี้ได้ แต่ความจริงเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นก็ไม่ขาดการฟัง แต่บังคับบัญชาไม่ได้ ความไม่รู้มากมายทำให้เกิดอวิชชา อวิชชาคือความไม่รู้ เป็นสภาพของเจตสิกที่ทำให้เกิดอกุศลทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายมีอวิชชาเป็นรากเหง้า ใช้คำว่าปฏิจจสมุปบาท อาศัยกันและกันเกิดขึ้น ค่อยๆ ฟัง ไม่ต้องไปท่อง ๑๒ องค์ให้เสียเวลาจำ แต่ไม่เข้าใจ

    ดังนั้น ฟังทุกคำแล้วเข้าใจโดยไม่ประมาท คือเข้าใจคำที่ได้ฟังแล้ว ถ้าถามถึงคำที่ได้ฟังแล้วเข้าใจก็คือตอบได้ อย่างเช่นถามว่า กัมมชรูปเกิดเมื่อไหร่ ก็คือเกิดทุกอนุขณะของจิต ทั้งขณะเกิด ขณะตั้งอยู่และขณะดับไป เพราะฉะนั้น เกิดพร้อมปฏิสนธิ แล้วเมื่อจิตขณะต่อไปเกิด กัมมชรูปก็เกิดไปเรื่อยๆ ปฏิสนธิจิตทำปฏิสนธิกิจหนึ่งขณะเเล้วดับไป ดังนั้น จิตที่เริ่มเกิดต่อจากปฏิสนธิจิตไม่ได้ทำปฏิสนธิเเล้ว กรรมทำให้ภวังคจิตซึ่งเป็นผลของกรรมประเภทเดียวกัน เกิดเป็นนกก็เป็นนกจนตาย เกิดเป็นคนก็เป็นคนจนตาย เปลี่ยนไม่ได้

    เพราะฉะนั้น กรรมที่ทำให้จิตเกิดสืบต่อจากปฏิสนธิ เป็นกรรมเดียวกับปฏิสนธิ โดยจิตแรกทำกิจปฏิสนธิ เพราะคำว่าปฏิสนธิแปลว่า สืบต่อจากจิตของชาติก่อนซึ่งมีขณะเดียว จิตที่เกิดสืบต่อหลังจากนั้นไม่ได้สืบต่อจากชาติก่อน เเต่เป็นภวังคจิต ภวังคจิตหมายความถึงจิตที่ทำกิจภวังค์

    ภวังค์ มาจากคำว่า ภวะกับอังคะ องค์ของภพ คือดำรงรักษาความเป็นบุคคลนี้จนกว่าจะถึงตาย กลับมาเป็นคนนี้อีกไม่ได้เลย ไม่เคยกลับไปเป็นคนที่เคยเกิดมาแล้วในสังสารวัฏฏ์ มีแต่ไป

    เพราะฉะนั้น ธรรมไม่มีการย้อนกลับได้เลยทั้งสิ้น กี่พระชาติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็แต่ละหนึ่ง เคยเป็นคนยากไร้เป็นมาตังคะ ร้านขายของที่อินเดียเล็กมากเลย ๔ ด้านมีของเต็มไปหมด เป็นที่กินอยู่หลับนอนสำหรับคนที่ไม่มี คนที่ไม่มีแม้แต่บ้านเรือนเลยก็มี คนที่มีปราสาทราชวังก็มี ซึ่งในครั้งนั้นก็มีคนที่เกิดมาร่ำรวยมหาศาลเเต่ใช้เงินจนหมด เเล้วตกทุกข์ได้ยากก็มี

    แต่ละหนึ่งก็เป็นแต่ละหนึ่งซึ่งไม่กลับมาอีกเลย ท่านพระอานนท์เคยเป็นคนที่มีเงินแค่ครึ่งมาสก เก็บรักษาซ่อนไว้อย่างดีที่ใต้กำแพงเพราะกลัวจะหาย เเต่ภรรยาอยากไปเที่ยวงานมหรสพ ภรรยามีครึ่งมาสก เขาก็มีครึ่งมาสก อุตส่าห์เดินทางแสนไกลไปนำครึ่งมาสกที่ฝังไว้เพื่อมาสนุกสนานในวันมหรสพนั้น คิดดู หนึ่งชีวิตก็ผ่านไป จนกระทั่งเป็นเจ้าชายอานนท์ เป็นพระพุทธอนุชาโดยการตั้งปรารถนาไว้ เมื่อเห็นผู้ที่อุปัฏฐากบำรุงพระพุทธเจ้า ท่านมีความคิดว่าขอให้ได้เป็นอย่างนั้น ซึ่งก็ได้เป็นสมความปราถนา นี่คือหนึ่งชาติ ส่วนชาติของเราก็ไม่มีทางรู้เลย

    แต่ถ้าได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์จะตรัสได้เลยว่าเคยเป็นใครมาจากไหนและทำอะไร ซึ่งนับไม่ถ้วนแล้วจะไปจำทำไม ผ่านไปแล้วด้วย แล้วไม่กลับมาอีก ขอเพียงชาตินี้ซึ่งไม่มีใครรู้ดียิ่งกว่าตัวเราว่า สุขทุกข์แค่ไหน ดีชั่วแค่ไหน สำคัญที่สุดคือมีปัญญาแค่ไหน คนอื่นไม่รู้ใช่ไหมว่าเมื่อคืนนี้เราคิดอะไร ตื่นเช้ามาเราคิดอะไร ดับหมด แต่กุศลที่เคยเกิดแล้วไม่สูญหาย แม้จิตที่เป็นกุศลนั้นดับไปแล้ว แต่ความเป็นกุศลยังสะสมสืบต่อในจิตขณะต่อไป

    เพราะฉะนั้น จิตหนึ่งขณะของเราสะสมมาแล้วกี่แสนกัปป์ มีปัจจัยที่จะให้อะไรเกิดได้จึงเกิด โดยที่ปฏิสนธิของแต่ละคน ก็ประมวลมาซึ่งกรรมในสังสารวัฏฏ์ที่สามารถจะให้ผลในชาตินี้ ซึ่งกรรมอื่นยังไม่สามารถให้ผล อย่างเช่นเกิดเป็นสุนัขที่สวยก็มี น่าเกลียดก็มี โรคเรื้อนก็มีสารพัดอย่าง ก็ไม่ต่างกับคน แต่ว่าอายุสั้นกว่าและกรรมอื่นก็ให้ผล

    โดยสิ่งที่เกิดแล้วไม่มีทางจะกลับมา ดังนั้น จึงมีแต่สิ่งที่เกิดแล้วจะสะสมสืบต่อไป จะเป็นใครในชาติต่อไปก็มาจากชาตินี้ ซึ่งมาจากชาติก่อนๆ ทั้งหมดเลย เพราะฉะนั้น นอกจากจะต้องเป็นจิรกาลภาวนาแล้ว ก็ยังต้องรู้ว่าทุกคำที่เราได้ฟังเป็นอารมณ์ของบิดา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนตรัสรู้เป็นพระโพธิสัตว์ แสวงหาที่จะเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีนี้เอง จากสิ่งที่ปรากฏกับเรามานานแสนนาน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นอาหารรสต่างๆ เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสวงหาความจริงของสิ่งที่มี คิดดูว่าเห็นเหมือนกัน แต่คนหนึ่งสิ่งที่เห็นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็น สองอย่างนี้ก็ต่างกัน ค่อยๆ ฟังค่อยๆ เข้าใจ สะสมเป็นบารมี

    เพราะฉะนั้น กว่าจะได้รู้ความจริงก็ไม่ต้องรีบเลย ให้รู้ตัวเองตามความเป็นจริงว่าเข้าใจแค่ไหน เข้าใจจริงๆ มั่นคงหรือเปล่า ทำไมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเรื่องของพระองค์ในอดีตให้ฟัง ก็เพื่อแสดงตามความเป็นจริงว่า สังสารวัฏฏ์ยาวนานด้วยความไม่รู้มากน้อยแค่ไหน เป็นไปตามกิเลสตลอดเวลา แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่กำบังจากกิเลส ปลอดภัยจากอารมณ์ทั้งหลาย เพราะเหตุว่าทันทีที่เห็นกิเลสเกิด ทันทีที่ได้ยินกิเลสเกิด ได้กลิ่นกาเเฟหอมจัง กิเลสก็เกิด รสลิ้มอร่อย มาเซล่าหรือชาอินเดียอะไรก็แล้วแต่ ทุกอย่างทั้งหมดเป็นอย่างนี้มาตลอด

    คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคำของบิดา เพราะเหตุว่าไม่มีใครที่จะให้กำเนิดใหม่ จากการที่ไม่รู้ ไม่เข้าใจสิ่งที่มีในสังสารวัฏฏ์นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น เราได้ยินได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงสิ่งที่เราไม่เคยรู้มาก่อนเลย ใครจะไม่รู้ว่าสิ่งที่ปรากฏเป็นเก้าอี้ เป็นคน แต่ที่จะบอกว่าไม่ใช่เก้าอี้ ไม่ใช่คน เป็นสิ่งที่มีจริงที่แข็งเมื่อกระทบ เป็นสิ่งที่มีจริงเมื่อกระทบตา เป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ มีกลิ่นด้วย มีรสด้วย ลิ้มได้ เป็นอาหารของปลวกก็ได้ ก็แสดงให้เห็นว่า เราอยู่ในโลกที่มีอันตรายจากรูป เสียง กลิ่น รส โดยไม่เคยรู้เลย

    จนกว่าจะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนกว่าเป็นนิสัย หมายความว่าเราคุ้นกับอะไร เราก็มีนิสัยอย่างนั้นใช่ไหม เช่น บอกว่าคนนี้นิสัยขี้โมโห เพราะเขาโกรธบ่อยๆ ถ้าโกรธน้อย นานๆ โกรธที เราก็ไม่บอกว่าเขาขี้โมโหใช่ไหม คนนี้โลภมาก เขาต้องเกิดโลภะมากจนกระทั่งปรากฏ อย่างบางคนไปตลาดนัด อร่อยหมดเลยผักผลไม้สดๆ ทั้งนั้น มาจากที่ต่างๆ อยากได้ทั้งหมด ชอบไปหมด แต่ก็เลือกบางอย่าง

    ดังนั้น พระธรรมละเอียดมาก สิ่งที่เป็นอารมณ์ที่ดีเป็นที่พอใจ แต่ถึงอย่างนั้นยังมีอติอิฏฐารมณ์ อารมณ์ที่พอใจยิ่ง หรือเป็นสภาพธรรมที่เป็นปัจจัยซึ่งใช้คำว่า อธิปติ ใหญ่ ไม่ทอดทิ้ง เป็นอารัมมณาธิปติปัจจัย อย่างเช่นในชีวิตประจำวัน ตอนที่เราไปร้านขายเสื้อผ้าแล้วเราเลือกบางตัว ทั้งๆ ที่ทุกตัวสวย เป็นอารมณ์ที่ดีทั้งหมดเลย แต่ก็มีตัวที่เราต้องการ ไม่ละเลย ซื้อเลย นั่นคืออารัมมณาธิปติ สิ่งนั้นทำให้เราไม่ทอดทิ้ง เพราะฉะนั้น ก็แสดงว่าทุกอย่างที่ทุกคนเลือกหามา เพราะสิ่งนั้นเป็นอารัมมณาธิปติปัจจัยของจิตที่พอใจในสิ่งนั้น ทั้งหมดนี้คือชีวิตซึ่งไม่มีใครรู้

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเปรียบเหมือนบิดาสั่งสอนบุตร มีคำที่สั่งสอนไว้ทุกคำ ตั้งแต่คำว่าธรรมคืออะไร ทุกคำตลอดไปหมด เพราะฉะนั้น ถ้าเราคุ้นเคยกับคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะนั้นก็เป็นอุปปนิสสยโคจร คำว่า อารมณ์ หมายความถึงสิ่งที่จิตรู้มากมายหลายอย่าง แต่เมื่อใช้คำว่า โคจร ใช้ในที่บางแห่ง อย่างเช่น พระภิกษุไม่ควรไปในที่ที่ไม่ควรไป อโคจร

    เพราะฉะนั้น จิตไปสู่อารมณ์ จิตไม่ไปไหนเลย ไปที่เดียวคืออารมณ์ คือสิ่งที่จิตกำลังรู้ ทรงแสดงโดยนัยประการต่างๆ ให้รู้ว่าเดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้ ไม่เที่ยงอย่างนี้ ไม่ใช่เราอย่างนี้ เพราะอย่างนี้ๆ ๆ มากมายหลายอย่างทุกขณะที่ต่างกัน เพราะฉะนั้น เรากำลังคุ้นเคยกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากน้อยแค่ไหน ค่อยๆ เป็นนิสัย เมื่อมีกำลังก็เป็นอุปนิสสยะ

    ดังนั้น คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคำของบิดา เป็นอุปนิสสยโคจร เมื่อเราพูดถึงคำนี้หมายความว่า เราฟังคำของพระองค์ เราคุ้นเคยกับคำของพระองค์ เราเริ่มมีนิสัยที่เลือก หรือสามารถที่จะพอใจในคำของพระองค์มากกว่าสิ่งอื่น

    ถ้าชวนกันไปตลาดก็ต้องมีอารมณ์อื่นทั้งนั้นเลย แต่เรามาฟังคำของบิดา ซึ่งถ้าเราค่อยๆ คุ้นกับอารมณ์นี้จะเห็นว่ามีค่ามากกว่าอารมณ์อื่น เพราะเป็นที่กำบังหมายความว่า อารักขาให้พ้นจากอกุศล ถ้าเราไปตลาดอกุศลก็มากมายเลย แต่มาที่นี่เป็นที่กำบัง อารักขาให้เราไม่ตกไปในฝ่ายโลภะ โทสะ โมหะ

    เพราะฉะนั้น จะรู้ได้เลยที่กำบังในชีวิตคือคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อารักขาไม่ให้กิเลสเกิด จนกว่าจะถึงอุปนิพันธโคจร ที่นี่แสดงโคจร อารมณ์พิเศษ ๓ อย่างจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตามลำดับ คือคำของพระองค์ที่ได้ฟัง เป็นอุปนิสสยโคจร ค่อยๆ คุ้นเคยจนกระทั่งอารักขา เป็นอารักขโคจร ไม่ให้เราตกไปในฝ่ายอกุศล จนกระทั่งถึงอุปนิพันธ ไม่สนใจอย่างอื่นเลย ไม่สนใจในสิ่งที่ถูกเห็นที่ตลาด ในละครโทรทัศน์หรือมหรสพ เเต่กลับสนใจในเห็นเดี๋ยวนี้ สนใจในได้ยิน สนใจในสิ่งที่กำลังมี

    เพราะฉะนั้น ไม่ไปที่อื่นเมื่อไหร่ อุปนิพันธทำให้เกิดสติสัมปชัญญะ ไม่ใช่ว่าเขาบอกให้มีสติแล้วเราก็ไม่รู้ว่าสติคืออะไร เขาบอกให้ทำสติก็ทำไป โดยไม่รู้ว่าสติคืออะไร นั่นไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เเต่คำไม่จริงทุกคำทำลายคำจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ดังนั้น ต้องเข้าใจเเต่ละคำทั้ง ๓ คำ จากอารมณ์มาเป็นโคจร และโคจรต้องพิเศษเมื่อเป็นอุปนิสสยโคจร ฟังไปกี่ชาติๆ จนได้ยินคำว่าธรรม อย่างท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เพียงท่านได้ยินคำว่า พุทโธ ผู้ตรัสรู้ ท่านนอนไม่หลับทั้งคืนเพราะอยากไปเฝ้าเพื่อฟังธรรม รีบออกไปเเต่ยังมืดอยู่จึงต้องกลับมานอนต่อ อุปนิสสยโคจรระดับไหน เห็นเลยว่าคำของพระองค์มีประโยชน์กว่าคำอื่นทั้งหมด นี่คือแต่ละชีวิตจะหลากหลายมากกว่าจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม เป็นใครมาแล้วในชาติก่อนๆ ชาตินี้เป็นอย่างนี้แน่นอนไม่เป็นอื่น ชาติต่อไปจะเป็นอะไรอีกนานเท่าไหร่ ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ แต่มีอุปนิสสยโคจร

    โคจร คือคำของบิดา ทุกคำเป็นนิสัยที่เมื่อได้ยินแล้วเห็นค่าทันที และก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้น อารักขาไม่ให้เราไปที่อื่น เเต่มาที่นี่เพื่อฟังธรรม จนกระทั่งสามารถที่จะไม่สนใจที่จะรู้นั่นรู้นี่ แต่เห็นนี้รู้หรือยัง ได้ยินนี้รู้หรือยัง ขณะนี้เกิดแล้วดับแล้ว จนกว่าจะประจักษ์แจ้ง ไม่พ้นจากชีวิตประจำวัน

    ถ้าใครไปทำอย่างอื่นนอกจากชีวิตประจำวัน ไม่มีทางที่จะรู้คำเหล่านี้เลย ซึ่งเป็นคำที่พระองค์ตรัสโดยตรงจากพระโอษฐ์ เพื่ออนุเคราะห์ว่าการที่เราจะเห็นค่าของพระธรรมได้นั้นมาจากไหน ต้องเริ่มจากการฟัง ถ้าฟังเผินๆ ก็ตอบไปแค่เผินๆ ได้แค่นั้นเอง แต่ฟังแล้วเข้าใจก็ต้องต่างกันกับฟังเผิน

    เพราะฉะนั้น พระองค์ให้สิ่งที่มีค่า ซึ่งเงินทองทรัพย์สมบัติมหาศาลเท่าไหร่กี่ชาติ ก็ไม่สามารถที่จะทำให้ความเห็นที่ถูกต้องเกิดได้ นั่นคือความจริงของสิ่งที่มีจริง ซึ่งเราพบเองไม่ได้ นอกจากผู้ที่เป็นพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีทุกประการตรัสรู้ และทรงแสดงธรรมให้เราได้เข้าใจในฐานะสาวกคือผู้ฟัง

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 186
    15 ต.ค. 2568