ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1158
ตอนที่ ๑๑๕๘
สนทนาธรรม ที่ สถาบันวิจัย และพัฒนาพลังงานนครพิงค์ จ.เชียงใหม่
วันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
อ.คำปั่น การไปทำอะไรตามๆ กันด้วยความไม่รู้ตามที่ต่างๆ ไม่ใช่หนทาง ไม่ใช่เหตุที่จะทำให้ปัญญาเจริญขึ้น มีแต่พอกพูนสะสมหมักหมมสิ่งที่เป็นโทษก็คือ ความเห็นผิด ความไม่รู้ ต่อไป ซึ่งเป็นอันตรายมากเลย ในสมัยพุทธกาลก็จะมีเจ้าลัทธิทั้งหลาย ที่เป็นครูทั้ง ๖ เป็นผู้ที่เผยแพร่ลัทธิความเห็นของตนเองมากมาย ก็มีผู้ที่เป็นลูกศิษย์มาก แม้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะประทับอยู่ในที่ไม่ไกล บุคคลเหล่านี้ก็ไม่สนใจ ไม่ใส่ใจที่จะฟัง ที่จะศึกษาเพื่อความเข้าใจ เพราะว่าสะสมมาที่จะเป็นอย่างนั้น
ในยุคนี้สมัยนี้ ใครก็ตามที่ชักชวนคน พาไปประพฤติปฏิบัติในทางที่ผิด เท่ากับว่าเป็นการปิดกั้นบุคคลนั้น ไม่ให้ได้ฟังคำจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น คนที่มีความเห็นผิดแม้เพียงบุคคลเดียวก็เป็นโทษกับบุคคลหมู่มากจริงๆ
คำไม่จริงทั้งหมดมาจากผู้ที่ไม่รู้ มาจากผู้ที่มีความเห็นผิด ก็ทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมด เพราะฉะนั้น หนทางสำคัญที่จะช่วยกันดำรงรักษาไว้ซึ่งคำจริงแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ การได้ยินได้ฟัง ได้ศึกษาและมีความเข้าใจอย่างถูกต้อง แล้วสำหรับผู้ที่มีความเข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว ก็ประกาศเผยแพร่คำจริงนั้นตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น
ท่านอาจารย์ สิ่งที่น่าคิด น่าไตร่ตรองด้วยความเป็นผู้ตรงก็คือ พระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะดำรงยั่งยืนต่อไปได้เพราะอะไร น่าคิดไหม ฟังดูเหมือนทุกคนห่วงใยพระพุทธศาสนา ด้วยความอยากให้พระพุทธศาสนายั่งยืนต่อไป หรือเพราะว่าเห็นคุณจริงๆ ประโยชน์ใหญ่หลวงของพระธรรมที่ได้ทรงแสดงความจริงทุกอย่าง ทำให้สัตว์โลกพ้นจากความมืดบอด เพราะไม่รู้จึงมีอกุศลต่างๆ มากมาย แต่เมื่อรู้แล้ว ความรู้นั้นก็จะนำไปสู่สิ่งทั้งปวงที่ดีขึ้น
เพราะฉะนั้น การที่จะดำรงพระพุทธศาสนาต้องรู้ว่า จะดำรงพระพุทธศาสนาได้อย่างไร ด้วยการมีพระภิกษุที่ไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ไม่เข้าใจพระธรรม และไม่ประพฤติตามพระวินัย จะดำรงพระศาสนาได้ไหม เริ่มต้นจากไม่เข้าใจพระธรรมก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า ไม่สามารถที่จะดำรงพระพุทธศาสนาไว้ได้
บางท่านก็บอกว่าวัดวาอาราม พระวิหารเชตวัน ณ บัดนี้ ไม่เหมือนพระวิหารเชตวันในครั้งก่อนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับ แต่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังดำรงอยู่กับผู้ที่เข้าใจเท่านั้น ถ้าไม่เข้าใจพระศาสนาจะดำรงอยู่ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น พระพุทธศาสนาไม่ได้ดำรงอยู่ที่บุคคลหนึ่งบุคคลใด ไม่ใช่ดำรงอยู่ที่พระภิกษุ หรือคฤหัสถ์ แต่ว่าดำรงอยู่ที่ผู้ที่ศึกษาด้วยความเคารพ และมีความเข้าใจที่ถูกต้อง จึงสามารถที่จะดำรงพระศาสนาให้สืบทอดไปได้ และพระศาสนาก็ไม่ได้ดำรงอยู่ที่วัด เพราะวัดก็เสื่อมสลายไป
ถ้าใครคิดจะรักษาวัด ก็รักษาวัดในฐานะวัฒนธรรมประเพณี เพราะเหตุว่า วัดไม่มีชีวิต ไม่มีความเข้าใจอะไรเลยเป็นแต่วัตถุ เพราะฉะนั้น จะรักษาวัตถุ ก็ดำรงวัตถุในฐานะที่เป็นวัตถุโบราณ หรือว่าศิลปะ หรือประเพณี แต่ถ้าจะดำรงพระพุทธศาสนาต้องไม่ใช่เพราะคิดว่าจะต้องมีวัด เพราะมีวัดแต่ไม่มีคำสอน ไม่มีใครเข้าใจธรรมได้ มีภิกษุที่ไม่ประพฤติปฏิบัติตามธรรม ไม่เข้าใจ ไม่ศึกษาธรรม แล้วไม่ประพฤติตามพระวินัยก็รักษาพระศาสนาไม่ได้ เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่ตรง จึงสามารถที่จะช่วยกันดำรงพระพุทธศาสนาเพื่อประเทศชาติ และคนรุ่นหลังต่อๆ ไปได้ เพื่อพระศาสนาจะได้ดำรงต่อไป
อ.คำปั่น กล่าวถึงในยุคนี้สมัยนี้ ก็จะมีการกล่าวถึงว่าเป็นผู้ที่อยากให้พระพุทธศาสนาดำรงอยู่มั่นคง
ท่านอาจารย์ ถ้ามีความไม่รู้ก็ต้องไม่ตรงและไม่จริงใจ ยุคนี้ คนหวังให้เด็กสนใจธรรม เข้าใจธรรม แต่จริงๆ แล้วคือ ผู้ใหญ่นั้นเองที่ควรสนใจ ถ้าผู้ใหญ่ไม่เข้าใจธรรม เด็กจะเข้าใจธรรมได้อย่างไร ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลย ผู้ใหญ่ที่บอกว่าให้เด็กไปบวชเณร หรือว่าให้ศึกษาธรรม หรืออะไรก็ตาม แต่ผู้ใหญ่เองไม่รู้อะไรเลย แล้วเด็กรู้จากใคร ก็จากผู้ไม่รู้ทั้งนั้น เพราะฉะนั้น ก็ไม่ใช่การที่จะดำรงพระพุทธศาสนา ต้องเป็นผู้ที่รอบคอบ ละเอียด เป็นผู้ที่ตรงและมั่นคง จึงสามารถที่จะดำรงพระศาสนาได้ ต้องเป็นผู้ที่จริงใจด้วย และถ้าเป็นสิ่งที่ดี รู้ว่าดี เเต่ไม่กล้าที่จะทำดี พูดดี คิดดี หรือว่าอะลุ้มอล่วย ประนีประนอม ปรองดอง นั่นไม่ใช่ผู้ตรง ตรงคือกุศลเกิดเมื่อไหร่ อกุศลเกิดไม่ได้เมื่อนั้น
เพราะฉะนั้น กุศลกับอกุศลปรองดองกันได้ไหม หาทางพยายามปรองดองกันไปเถิด พบปะกัน ข้างหลังเป็นอาวุธก็ได้ ดังนั้น ต้องเป็นผู้ที่ตรง จริงใจ ซื่อสัตย์และมั่นคงจริงๆ ถ้าเป็นผู้ที่รู้ว่าอะไรดี พูดสิ่งที่ดีที่เป็นประโยชน์ด้วยความเป็นมิตร ความเป็นเพื่อนที่หวังดี ไม่อยากจะให้คนอื่นไม่รู้ เข้าใจผิด ทำอะไรผิดๆ ซึ่งจะไม่เป็นประโยชน์กับเขาทั้งในชาตินี้และชาติหน้า
ถ้าคำนั้นจะเป็นคำที่ตรง จริง ถูกต้อง ก็พูดเพื่อประโยชน์ เพื่อความเป็นมิตรแท้ มิตรจริงๆ ไม่ใช่ลวงให้เขาคิดว่าเขาจะได้ปัญญา ได้มรรคผล ได้นิพพาน แต่ว่าไม่มีความรู้ ไม่มีความเข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น นั่นคือไม่ใช่มิตร ไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด ถ้าให้สิ่งที่ดีที่สุด ผู้นั้นต้องไตร่ตรองก่อนว่าถูกต้องหรือเปล่า ถ้าถูกต้องสมควรที่จะให้ จึงให้ แต่อย่าให้สิ่งที่ผิดๆ และบอกว่าหวังดี
ผู้ฟัง คำว่า ภิกษุ มีนัยหนึ่งว่า ผู้ขอ แต่ว่าถ้าเราแยกศัพท์ของภิกษุว่า บุคคลใดเห็นภัยในสังสารวัฏฏ์ บุคคลนั้นชื่อว่าเป็นพระภิกษุ
อ.คำปั่น เพราะว่าโดยความหมายมีคำว่า ผู้ขอ แต่ว่าด้วยคุณธรรม ด้วยคุณความดี มีพราหมณ์ท่านหนึ่งเป็นผู้ขอ ก็ไปกราบทูลพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าในเมื่อพระภิกษุก็เป็นผู้ขอ ตนเองก็เป็นผู้ขอ ควรที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเรียกข้าพระองค์ว่าเป็นภิกษุเช่นเดียวกัน แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความเป็นภิกษุที่แท้จริง ก็คือผู้ที่ปราศจากธรรมที่เป็นพิษ ก็คือปราศจากอกุศลธรรมทั้งหลาย เรียกว่าเป็นภิกษุ ไม่ใช่เพียงอาการขอเท่านั้น
ความเป็นพระภิกษุมีชีวิตเนื่องด้วยผู้อื่น ต้องอาศัยผู้ที่เป็นคฤหัสถ์ที่มีศรัทธา ที่จะทำนุบำรุงท่านให้ชีวิตเป็นไปได้ สิ่งที่จะเป็นเครื่องอุปการะตอบแทนก็คือประพฤติคุณความดีทุกประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือ ได้ฟัง ได้ศึกษาพระธรรม ขัดเกลากิเลสของตนเอง ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ ได้ทรงบัญญัติไว้
ท่านอาจารย์ คนขอไม่ใช่ภิกษุ คนขออยากเป็นภิกษุ ถึงกับไปทูลพระพุทธเจ้าขอให้เรียกตนเองว่าภิกษุ ดูความอยาก เพราะฉะนั้น ภิกษุไม่ใช่ผู้ขอ หรือว่าผู้ขอไม่ใช่ภิกษุ แต่ที่ใช้คำว่าภิกษุคือผู้ขอ หมายความว่า เป็นผู้ที่ไม่ได้ทำกิจหุงหาอาหาร หุงต้ม ซื้อขายข้าวของอย่างคฤหัสถ์ และอีกประการหนึ่ง คุณความดีซึ่งชาวพุทธทุกคนที่ได้ฟังธรรมแล้วก็รู้ค่าของการเป็นภิกษุ จึงมีศรัทธาที่จะทะนุบำรุงภิกษุด้วยอาหารบิณฑบาต
ดังนั้น ภิกษุที่เขาใจธรรมแล้วขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต รู้คุณของตนเองไหมว่า เราสละชีวิตเพื่อที่จะศึกษาพระธรรม ซึ่งยากมาก ไม่ใช่ว่าคฤหัสถ์ทุกคนจะทำได้ แต่ผู้ที่ทำได้ด้วยความจริงใจต้องรู้ค่า รู้คุณความดีของตนเองที่สามารถสละเพศคฤหัสถ์ได้
เพราะฉะนั้น เนื่องด้วยตนเองมีคุณ ได้เข้าใจธรรม ประพฤติปฏิบัติขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต นำมาชึ่งสักการะด้วยศรัทธาของพุทธบริษัท ภิกษุนั้นจึงไปอนุเคราะห์พุทธบริษัทด้วยการบิณฑบาต ให้เขาได้กระทำสิ่งซึ่งเป็นกุศลอย่างยิ่ง เพราะเป็นผู้ที่เห็นคุณในการที่จะดำรงรักษาพระพุทธศาสนา ด้วยการอนุเคราะห์ผู้ที่เป็นภิกษุในธรรมวินัย จึงต้องเข้าใจให้ถูกต้องด้วย พระภิกษุเดินไป ท่านมีคุณความดี เป็นผู้ที่สละชีวิตเพื่อศึกษาธรรม ขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต เป็นผู้ที่ทุกคนควรกราบไหว้ ด้วยเหตุนี้ ท่านไปอนุเคราะห์ ใจของท่านเดินไปไม่ใช่มุ่งหมายจะไปขอใคร แต่รู้ว่าคนที่มีศรัทธาเขาก็จะเกิดกุศล ที่จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อตัวเขาและแก่พระธรรม
ด้วยเหตุนี้ ภิกษุที่ได้รับอาหารบิณฑบาตแล้ว ทำความดีในเพราะการขอด้วยศรัทธา ด้วยคุณความดีของตนก็ต้องทำความดี คือเป็นภิกษุในพระธรรมวินัย ขณะนี้ กำลังฟังธรรมหรือเปล่า ฟัง กำลังสนทนาธรรมหรือเปล่า เราไม่ได้พูดเรื่องอื่นเลย แต่พูดเรื่องสิ่งที่มีซึ่งไม่เคยรู้มาก่อน ค่อยๆ เข้าใจขึ้นว่าสิ่งนั้นเองเป็นธรรม ไม่มีอะไรพ้นจากธรรมเลย เพราะฉะนั้น รอบตัวทั้งหมด รวมทั้งที่เราเคยเข้าใจว่าเป็นเรา หรือเป็นตัวก็เป็นธรรมด้วย
ฟังเรื่องธรรม เราพูดถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ตามความเป็นจริง ให้เข้าใจถูกต้องว่าเป็นธรรมอะไร เป็นจิตใจที่เราใช้คำว่าจิต หรือว่าเป็นรูปธรรมซึ่งไม่ใช่สภาพรู้ เราแยกธรรมให้ละเอียด มีสภาพธรรมที่เป็นสภาพที่ไม่รู้อะไรเลยเป็นรูปธรรม และอีกสภาพหนึ่งคือนามธรรม แต่นามธรรมมี ๒ อย่าง เห็นไหมว่าเริ่มแยกนามธรรมออกเเล้ว ขณะที่เห็นกับขณะที่ชอบ เป็นขณะเดียวกันหรือเปล่า
อ.อรรณพ ไม่ใช่ขณะเดียวกัน
ท่านอาจารย์ ก็เริ่มมีความเข้าใจทีละหนึ่งว่า เห็นเป็นอื่นไม่ได้เลย เห็นขณะนั้นรู้ว่ามีสิ่งอะไรที่กำลังปรากฏทางตา นั่นคือเห็น แต่ไม่มีใครรู้ว่าจิตเห็นเพียงหนึ่งขณะเท่านั้นเอง แล้วก็ดับไป แต่จิตที่เกิดสืบต่อสามารถที่จะรับรู้ว่าสิ่งที่เห็นเป็นอะไร ซึ่งไม่เห็น ถูกต้องไหม ที่รู้ว่าเป็นอะไรเพราะคิดนึกถึงรูปร่าง ขณะนั้นต่อจากจิตเห็นแต่ไม่ใช่จิตเห็น
วันหนึ่งมีเห็นซึ่งเราคิดว่ามากมายเหลือเกิน แต่สิ่งที่เกิดต่อจากจิตเห็นมากกว่านั้น เห็นนิดเดียว แต่คิดมาก ได้ยินก็นิดเดียว เพียงชั่วได้ยิน แต่คิดมาก เพราะว่าขณะนี้กำลังคิดถึงความหมายของทุกคำ จากเสียงที่ได้ยินแค่นิดเดียวแล้วก็ดับไป นี่คือธรรมทั้งหมด มีความละเอียดอย่างยิ่งซึ่งคิดเองไม่ได้ คิดเองไม่ออก คิดเองก็ผิดด้วย
เพราะเหตุว่าอาจจะคิดว่าเห็นกับได้ยินพร้อมกัน ก็ไม่พร้อมกันแล้ว เห็นกับชอบพร้อมกัน ก็ไม่พร้อมกันอีกแล้ว เพราะฉะนั้น เห็นก็หนึ่งขณะ ได้ยินก็หนึ่งขณะ เห็นเป็นจิต เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ว่า สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้เป็นอย่างนี้ ส่วนชอบ ไม่ชอบ เป็นนามธรรมซึ่งไม่ใช่จิต แต่เกิดกับจิต นามธรรมนั้นภาษาบาลีใช้คำว่า เจตะสิกะ แต่คนไทยเขาออกเสียงว่าเจตสิก
เพราะฉะนั้น จิตเห็น เห็นเป็นจิต แต่สภาพนามธรรมอื่นซึ่งเกิดกับจิต อาศัยกันและกันเกิดขึ้นกับจิตไม่ใช่จิต แต่เป็นเจตสิก โดยเจตสิกทั้งหมดต่างกันหลากหลายมากเป็น ๕๒ ประเภท ชอบเป็นจิตเห็นหรือเปล่า ไม่เป็น คนที่ฟังแล้วคิดเเละเข้าใจก็ตอบได้ แต่คนที่ฟังและคิดว่าอะไรกัน อาจจะไม่สนใจเลยทั้งๆ ที่กำลังอยู่ตรงนี้ แต่ว่าไม่ฟังในความละเอียดก็จะตอบไม่ได้
เพราะฉะนั้น จิตเห็นไม่ใช่ชอบ ชอบเป็นจิตหรือเปล่า มีอีกอย่างหนึ่งที่เราพูดถึงเมื่อครู่นี้ คือเจตสิก เป็นสภาพที่เป็นนามธรรม ไม่อ่อนไม่แข็ง ไม่เย็นไม่ร้อน แต่ว่ามีลักษณะหลากหลายมาก สงสัยมีจริงๆ ไหม เป็นจิตหรือเป็นเจตสิก นอกจากเห็น นอกจากได้ยิน นอกจากได้กลิ่น นอกจากลิ้มรส นอกจากรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ๕ ทางนี้แล้ว ที่เหลือชอบบ้างไม่ชอบบ้าง ดีใจบ้างเสียใจบ้าง ทั้งหมดเป็นเจตสิก เพราะเห็นอย่างนั้นจึงชอบ เพราะเห็นจึงไม่ชอบ เพราะเห็นจึงดีใจ เพราะเห็นจึงเสียใจ เบื่อมีไหม ใครไม่รู้จักเบื่อบ้าง เบื่อมีจริงๆ เป็นธรรมหรือเปล่า เป็นนามธรรมหรือรูปธรรม เป็นนามธรรม เป็นจิตหรือเป็นเจตสิก เป็นเจตสิก คือที่เข้าใจว่าเป็นเราตั้งแต่เกิดจนตายก็คือ จิต เจตสิก และรูป นี่คือธรรม
ถ้าฟังอย่างอื่น ไม่ได้ฟังธรรมก็เข้าใจอย่างอื่น ไม่ได้เข้าใจธรรม ถ้าเข้าใจธรรมคือตัวจริงสิ่งที่มีจริง ซึ่งใครก็ไม่สามารถจะรู้ได้ เข้าใจว่ามีคน แต่ที่ว่ามีคน ถ้าไม่มีธรรมเลยสักอย่างจะมีคนไหม แต่เพราะมีนามธรรมและรูปธรรมจึงกล่าวว่ามีคน โต๊ะเป็นธรรมหรือเปล่า เป็นรูปธรรมหรือนามธรรม รูปธรรม ชัดเจนแล้วตอนนี้
สภาพรู้เท่านั้นที่เป็นนามธรรม และสภาพรู้ก็ต่างกันเป็น ๒ อย่างคือ สภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธานคือ จิตเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส นอกจากนั้นแล้วก็เป็นเจตสิก คิดนึกก็เป็นจิต แต่คิดเพราะชอบหรือคิดเพราะไม่ชอบ เวลาชอบสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็คิดถึงสิ่งที่ชอบใช่ไหม เวลาที่ไม่ชอบสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็คิดถึงสิ่งที่ไม่ชอบใช่ไหม เพราะฉะนั้น คิดเป็นจิต ชอบหรือไม่ชอบเป็นเจตสิก ไม่ต้องท่องใช่ไหม เดี๋ยวนี้กำลังเป็นอย่างนี้ แต่จากที่ไม่เคยฟัง ไม่เคยเข้าใจ ก็เริ่มรู้ว่า ธรรมไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใคร แต่เกิดแล้ว บังคับไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ ไม่ให้ได้ยินได้ไหม ได้ยินแล้วไม่ให้คิดได้ไหม
มีอีกคำหนึ่ง ซึ่งเป็นการเริ่มต้นที่จะทำให้เข้าใจถูกต้องยิ่งขึ้น คือ ธรรมทั้งหลายคือสิ่งที่มีจริงทั้งหมดเป็นอนัตตา ไม่ทราบว่าใครเคยได้ยินคำนี้มาก่อนหรือเปล่า อนัตตา หมายความว่าไม่ใช่อัตตา อัตตาคือสิ่งหนึ่งสิ่งใด อนัตตาไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่เป็นแต่ละหนึ่งๆ ๆ ซึ่งมีลักษณะเฉพาะของตน ของตน ใครไม่มีจิตบ้าง ใครไม่มีเจตสิก ไม่มีรูป ไม่มี
ถ้าเป็นสิ่งที่มีชีวิตไม่ว่าจะรูปร่างอย่างใด เป็นนก เป็นงู เป็นช้าง รูปร่างต่างกัน รูปก็ยังคงเป็นรูป คือไม่สามารถจะรู้อะไรได้ ทุกสิ่งที่ได้ฟังแล้วเปลี่ยนไม่ได้ ต้องมีความเข้าใจที่มั่นคง ทดสอบคือเมื่อได้ฟังอะไรแล้ว สามารถที่จะเข้าใจทันทีถึงสิ่งที่ได้ฟังแล้ว เพราะฉะนั้น เคยได้ยินคำว่า กายกับใจใช่ไหม ก่อนฟังธรรมทุกคนก็ได้ยินคำว่ากายกับใจ แต่ฟังธรรมแล้วความเข้าใจต้องชัดขึ้น เพราะว่าทุกอย่างเป็นธรรม
ดังนั้น กายกับใจ กายเป็นธรรมหรือเปล่า เป็นธรรมอะไร รูปธรรม คือที่เคยพูดคำที่ไม่รู้จัก ต่อจากนี้จำได้เลย ถ้ารู้จักคือสามารถที่จะรู้ได้ว่า สิ่งที่พูดถึงเป็นอะไร ต้องเป็น ๑ ใน ๓ คือเป็นจิต หรือเป็นเจตสิก หรือรูป ต้องมีความเข้าใจในความต่างชัดเจน มิฉะนั้นเราก็เพียงแต่อ่านหนังสือ หรือได้ยินแล้วก็จำไว้เท่านั้นเอง แต่ความเข้าใจไม่ใช่เพียงอ่าน ไม่ใช่เพียงแค่ได้ยิน แต่เป็นความเข้าใจคำที่ได้ฟัง เพราะฉะนั้น สภาพธรรมสิ่งที่มีจริง แต่ไม่ใช่สภาพรู้เป็นรูปธรรม
กายกับใจ กายเป็นรูปธรรม ใจเป็นอะไร ใจเป็นนามธรรม นามธรรมมี ๒ อย่าง เพราะฉะนั้น ใจเป็นอะไร และมีเจตสิกด้วยไหม จิตกับเจตสิกไม่แยกจากกันเลย เวลาที่เราพูดคำธรรมดา เช่น ใจ ต้องมีทั้งจิตและเจตสิก ใจดีหมายความว่า จิตเป็นสภาพรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฎ ใจดีคือขณะนั้นเป็นกุศลธรรมเป็นธรรมที่ดีงาม ที่สามารถที่จะทำให้เกิดผลที่ดี สิ่งที่ดีทั้งหมดต้องมาจากเหตุที่ดี
เพราะฉะนั้น ให้ทราบว่า ไม่ว่าเราจะพูดว่ากายกับใจ เราก็ต้องรู้ว่ากายหมายความเฉพาะรูป ส่วนใจนั้นต้องทั้งจิตและเจตสิก และทั้งสองอย่างนี้ไม่แยกจากกันเลย แต่ว่าจิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ ถ้ารู้อะไรต้องรู้จริง ได้ยินคำว่าจิต ต้องรู้จริง ได้ยินคำว่าเจตสิก ต้องรู้จริง มิเช่นนั้นแล้วก็สับสน เพราะว่าทั้ง ๒ อย่างเกิดพร้อมกัน เกิดร่วมกัน ดับพร้อมกัน รู้สิ่งเดียวกัน แยกกันไม่ออกเลย
เพราะเหตุว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่จะเกิดขึ้น มีใครรู้บ้าง ต้องมีธรรมสิ่งที่มีจริง ที่อาศัยที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นได้ จะเกิดขึ้นตามลำพังไม่ได้เลย เช่น เห็นต้องอาศัยตา ถ้าไม่มีตาเห็นเกิดขึ้นไม่ได้ และไม่ใช่แต่อาศัยตาอย่างเดียว ต้องอาศัยสิ่งที่สามารถกระทบกับตาได้ด้วย แข็งกระทบตาได้ไหม ไม่ได้ สิ่งที่กระทบตาได้คือ สีสันวัณณะที่อยู่ที่แข็งนั่นเอง ต้องฟัง
สีสันวัณณะ เราเรียกว่าสีสันวัณณะ แต่หมายความถึงสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่เรียกว่าสี ไม่เรียกว่าวัณณะ ไม่เรียกอะไรเลย กำลังปรากฏ สิ่งนี้เองอยู่ที่ธาตุแข็ง เพราะฉะนั้น แสดงให้เห็นว่าแต่ละหนึ่งที่ปรากฏเพียงหนึ่ง ความจริงต้องมีสิ่งอื่นรวมอยู่ด้วยในสิ่งนั้น เพราะจะมีแต่เพียงสิ่งนั้นเกิดขึ้นเองตามลำพังไม่ได้
นี่เป็นเหตุที่เราจะต้องศึกษาให้ละเอียดขึ้นๆ ตั้งแต่คำว่าธรรม ได้แก่ สิ่งที่มีจริง ไม่ใช่สภาพรู้ เป็นรูปธรรม สภาพรู้เป็นจิตและเจตสิก แต่ทั้งหมดไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ต้องมีปัจจัยที่อาศัยที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น เกิดเองตามลำพังไม่ได้
เพราะฉะนั้น จิตอาศัยเจตสิกเกิด เกิดพร้อมกันด้วย ดับพร้อมกันด้วย เป็นธาตุรู้สิ่งเดียวกันด้วย เจตสิกก็อาศัยจิต และอาศัยเจตสิก เกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน เดี๋ยวนี้ จิตเห็นมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยไหม มี นี่คือการฟัง ถ้าไม่ฟัง หรือว่าแค่ได้ยินจะไม่รู้เลย แต่ถ้าตอบได้ว่า จิตเห็นต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยก็เพราะเมื่อสักครู่ได้ฟังว่า จิตเป็นธาตุรู้เป็นใหญ่เป็นประธาน รูปไม่รู้อะไร แต่ไม่ว่าธรรมอะไรทั้งหมดที่เกิดขึ้น เกิดตามลำพังไม่ได้ ต้องมีธรรมที่อาศัยกันและกันปรุงแต่งให้เกิดขึ้น
ดังนั้น จิตจะเกิดได้ต่อเมื่อมีเจตสิก และเจตสิกจะเกิดได้ต่อเมื่อมีจิต ต่อไปเราจะรู้ว่า จิตหนึ่งขณะจะมีเจตสิกอะไรเกิดร่วมด้วยบ้าง ไม่มีไม่ได้ จิตเกิดไม่ได้เลย ก็แสดงให้เห็นว่าเราคิดว่ามีตัวตน มีเรา ความจริงก็เป็นธรรม ซึ่งถ้าเข้าใจแล้วก็จะรู้ว่า ไม่มีเรา แต่เป็นธรรมทั้งหมด เพราะฉะนั้น ใจคืออะไร จิตและเจตสิกอาศัยกันและกันเกิดขึ้น ถ้าแยกก็เป็นจิตและเจตสิก ถ้ารวมกันก็เป็นใจ
เห็นเป็นอะไร เห็นเป็นจิตและเจตสิกที่เกิดพร้อมกัน แต่อะไรเห็น จิตเห็น เพราะจิตเป็นใหญ่เป็นประธาน แต่อาศัยเจตสิกซึ่งทำให้จิตนั้นเกิดขึ้น รู้สึกอย่างไร ความรู้สึกมีจริงๆ หรือเปล่า มีแน่ๆ รู้สึกมีจริงแล้วเป็นธรรมหรือเปล่า เป็นธรรมอะไร เป็นนามธรรมประเภทไหน จิตหรือเจตสิก
ถ้ากล่าวโดยเจาะจง ความรู้สึกเดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวเสียใจ เดี๋ยวดีใจ บังคับบัญชาไม่ได้เลย เกิดแล้วปรากฏให้รู้ว่าเป็นอย่างนั้น แล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้น ความรู้สึกเป็นธรรมแน่นอน เป็นนามธรรมแน่นอน แต่เป็นจิตหรือเจตสิก เป็นเจตสิก เพราะว่าจิตเห็น จิตได้ยิน แต่ขณะนั้นที่เห็นมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย และความรู้สึกเกิดกับจิตทุกขณะ เวลาเสียใจ กำลังเสียใจเป็นเราหรือเปล่า ไม่ใช่ แล้วเป็นอะไร เป็นธรรม เป็นนามธรรม เป็นเจตสิก ชัดเจน เปลี่ยนไม่ได้เลย
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1141
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1142
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1143
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1144
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1145
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1146
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1147
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1148
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1149
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1150
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1151
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1152
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1153
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1154
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1155
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1156
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1157
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1158
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1159
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1160
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1161
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1162
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1163
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1164
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1165
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1166
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1167
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1168
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1169
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1170
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1171
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1172
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1173
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1174
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1175
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1176
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1177
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1178
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1179
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1180
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1181
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1182
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1183
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1184
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1185
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1186
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1187
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1188
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1189
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1190
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1191
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1192
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1193
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1194
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1195
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1196
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1197
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1198
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1199
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1200
