ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1164
ตอนที่ ๑๑๖๔
สนทนาธรรม ที่ บ้านธัมมะภาคเหนือ จ.ลำพูน
วันที่ ๑๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
อ.คำปั่น ขอย้อนกลับมา ในประเด็นที่อาจารย์ธนพลได้สนทนากับท่านอาจารย์ ซึ่งมีพระพุทธพจน์ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส คงจะเป็นข้อความที่จะทำให้เข้าใจยิ่งขึ้นว่า คนที่ทำบาปยังเห็นว่าบาปดี ตราบใดที่บาปยังไม่ให้ผล ต่อเมื่อใดที่บาปให้ผล เมื่อนั้นคนที่ทำบาปย่อมรู้ชัดจริงๆ ว่า บาปนั้นไม่ดีจริงๆ ซึ่งเป็นข้อความที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ ก็เป็นเครื่องเตือนที่ดี เพราะว่าเหตุกับผลตรงกัน และผลที่เกิดขึ้นก็มาจากเหตุ แต่ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่า เหตุที่เคยกระทำมานั้นเป็นเหตุในภพใดชาติใด เพราะว่าแต่ละท่านก็เกิดมามากมายนับไม่ถ้วน ทำทั้งดี ทั้งไม่ดีมา ก็ขึ้นอยู่กับโอกาส ขึ้นอยู่กับวาระว่ากรรมใดจะให้ผลเมื่อใด
เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องของเหตุของผล แต่ถึงอย่างไรก็ตาม การที่เผยแพร่ความเห็นผิดเป็นอกุศลแน่นอน สะสมอยู่ในจิตของผู้นั้น เมื่อถึงคราวที่กรรมนี้ให้ผล ผลที่ไม่ดีย่อมเกิดขึ้นแน่นอน ซึ่งก็เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยทั้งหมด
ผู้ฟัง ตอนที่อาจารย์อรรณพพูดถึง ปกตูปนิสสยปัจจัย แล้วท่านก็ไม่ได้อธิบาย ขณะนั้นผมคิดในใจขึ้นมาว่า ถ้าอาจารย์อรรพณพไม่ขยายความ ผมจะถามต่อ แต่ท่านอาจารย์ก็ได้ถามแทน ซึ่งท่านอาจารย์ก็บอกว่าขณะที่อยากรู้ ขณะนั้นหนามทิ่มแทง ซึ่งผมก็ไม่รู้ตัวว่าตอนนั้นโดนหนามแล้ว
ท่านอาจารย์ อยากรู้เป็นกุศล หรือเป็นอกุศล
ผู้ฟัง อกุศล
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น อยากรู้เป็นอะไร
ผู้ฟัง อกุศล
ท่านอาจารย์ สามารถเป็นปัจจัยให้เกิดกุศลที่สนทนาแล้วรู้ได้ไหม
ผู้ฟัง ก็เป็นปกตูปนิสสยปัจจัย
ท่านอาจารย์ นั่นก็คือปกติของธรรมที่เกิดขึ้น มีความอยาก ความอยากดับไปก็มีฉันทะ มีความขวนขวายที่จะสนใจได้ และขณะที่กำลังฟังแล้วอยากรู้ หรือว่าเห็นประโยชน์แล้วเข้าใจ ตามไปจนกระทั่งถึงขณะที่ฟัง ทั้งหมดคือ ปกตูปนิสสยปัจจัย ละเอียดอย่างยิ่ง
ทุกอย่างเป็นปัจจัยหมด เพราะความเป็นธรรมแต่ละหนึ่งเป็นปกติที่จะต้องเป็นปัจจัยต่อๆ ไป โดยปัจจัยอะไรบ้าง แต่ที่เป็นปกติซึ่งรู้ยาก แต่มีแน่นอนอย่างเช่น อยากรู้ คนที่อยากรู้แล้วไม่ฟังก็มี ใช่ไหม แต่อยากรู้แล้วมีฉันทะที่จะรู้และขวนขวายฟัง ฟังแล้วขณะนั้นเข้าใจหรือไม่ หรือว่าอยากเข้าใจ กับฟังด้วยการไตร่ตรองพิจารณา ซึ่งเป็นปัจจัยให้เข้าใจ
เพราะฉะนั้น ขณะที่ไตร่ตรองเป็นปกตูปนิสสยปัจจัยให้เข้าใจ แต่ขณะที่อยากเข้าใจไม่ได้เป็นปัจจัยให้เข้าใจ นี่คือความละเอียดอย่างยิ่งของธรรม ถ้าไม่มีเหตุการณ์แล้วเราจะมานั่งนึกว่า อะไรเป็นปัจจัยของปกตูปนิสสยปัจจัย อะไรเป็นปัจจยุบบัน ก็ไม่เหมือนเดี๋ยวนี้ที่กำลังเป็น
ดังนั้น การที่จะเข้าใจธรรม ก็คือเข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ซึ่งปกปิดไว้หนาแน่นมานานมาก ด้วยความเป็นปัจจัยทั้งหมดมากมาย ก็ไม่รู้เลย เพราะฉะนั้น ที่แล้วมาทั้งหมดในสังสารวัฏฏ์ เป็นปกตูปนิสสยปัจจัย สำหรับแต่ละขณะของธรรมที่เกิดในขณะนี้และต่อๆ ไป
ผู้ฟัง กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์มากที่แสดงให้เข้าใจเลยว่า การจะเข้าใจธรรมนั้นเว้นจากการสนทนาไม่ได้เลย แม้ฟังเมื่อครู่นี้ ถ้าท่านอาจารย์ไม่พูดต่อ ผมก็จะเข้าใจไปอีกอย่าง ก็คิดว่าไม่ควรอยาก
ท่านอาจารย์ คิดเองไม่ได้เลย ทุกคำ ถ้าคิดเองคือประมาท พระปัจฉิมวาจาก่อนที่จะปรินิพพานต้องเป็นคำที่สำคัญ สำหรับวาจาสุดท้ายที่จะเปล่งออกมา ก่อนที่จะไม่สามารถจะพูดอะไรอีกต่อไปได้ คำนั้นก็คือ "จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม" ให้ถึงพร้อม แม้ในการฟัง แม้ในการคิด ทุกอย่าง
มีหลายคนที่เคยได้ยินได้ฟังธรรม เข้าใจแล้ว หมดแล้ว ไม่ต้องฟังอีก มีไหม ฟังแล้วก็ว่าเรื่องนี้ฟังแล้ว เข้าใจแล้ว หารู้ไม่ว่าถ้าฟังอีกความเข้าใจจะมั่นคงขึ้นอีก โดยเป็นปกตูปนิสสยปัจจัย ถึงแม้ว่าจะฟังแล้วฟังอีก ฟังเเล้วฟังอีก ก็สามารถที่จะเป็นปัจจัยให้เกิดความเข้าใจขึ้นอีกได้ แล้วก็มีบางคนฟังมานานแล้วทิ้งไป เหมือนเข้าใจแล้ว แต่ก็กลับมาฟังใหม่
ทั้งหมดนี้เป็นธรรม ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะไปเปลี่ยนแปลงได้เลย เป็นไปตามปัจจัยจริงๆ บางคนก็ฟังธรรมเหมือนเข้าใจดี แต่ก็ไปปฏิบัติธรรม เห็นไหมว่าความละเอียด ความลึกซึ้งของธรรม ถ้าไม่ระมัดระวังจริงๆ ไม่ไตร่ตรองจริงๆ ก็ผิด
อ.อรรณพ ท่านอาจารย์เตือนดีมาก ระแวดระวังโลภะ ขวากหนามโลภะที่จะอยากรู้ ซึ่งตอนอยากรู้ก็ไม่ได้เป็นประโยชน์ แล้วจะฝ่าฟันขวากหนามของโลภะไปได้อย่างไร และจะได้ไปถึงไหน ท่านอาจารย์ ในเมื่อโลภะมากมายไปหมด
ท่านอาจารย์ ก็เป็นปกติ รู้ว่ามีโลภะมาก
อ.อรรณพ ฟังแล้วอยากรู้เรื่องนั้น เรื่องนี้เเล้ว
ท่านอาจารย์ ก็เป็นปกติ แต่ทำไมฟัง เพราะปกตูปนิสสยปัจจัย ใครจะรู้ แสนโกฏิกัปป์ หาไปว่าเมื่อไหร่สภาพธรรมอะไรเกิดขึ้นบ้าง เป็นปัจจัยปรุงแต่งให้อยู่ตรงนี้ วันนี้ ฟังวันนี้ ไม่มีเราเลย จนกว่าเดี๋ยวนี้เองเป็นจิต เป็นเจตสิก เป็นรูป ไม่เปิดเผยสักที ถูกปกปิดไว้หนาแน่นทึบหนักเพิ่มขึ้นอีก จนกว่าปัญญาที่เกิดจากการฟังค่อยๆ แคะ เปิดขึ้นทีละเล็กทีละน้อย เมื่อไหร่หมด
ดังนั้น จึงเป็นผู้ที่รู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงแสดงธรรมโดยละเอียดถึง ๔๕ พรรษา เพื่อไม่ให้หลงผิด ซึ่งถ้ามีความเข้าใจถูกต้อง หนทางของปัญญา คือ หนทางละ แต่ต้องเพราะรู้ ใครจะไปปล่อยให้ละให้วาง หัวเราะได้เลย ไม่จริงไม่ใช่ จะละจะวางได้อย่างไรเมื่อไม่รู้ เพราะฉะนั้น ละวาง หนทางของปัญญา คือ ละ แต่ต้องรู้ เพราะปัญญาเป็นสภาพรู้ จึงละ
ใครที่ไม่รู้แล้วไปละ ไม่มีทางเป็นไปได้ ไม่รู้อะไรเลยแล้วไปสำนักปฏิบัติ กลับออกมาก็ไม่รู้อะไรเลย ไปทำอะไร มีประโยชน์ไหม ก็เป็นปกตูปนิสสยต่อไป ใครจะทำอะไรเขาได้ แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม คนที่ไม่ไปฟังมีมาก ลูกศิษย์ของอาจารย์ทั้ง ๖ ก็มากมาย
อ.คำปั่น ในความยากของพระธรรมนี้ก็คือยากแน่นอน และหนทางนี้ก็เป็นหนทางละ เป็นหนทางที่ละด้วยความรู้ เบื้องต้นที่กล่าวถึงว่าธรรมยาก เข้าใจยาก ผู้ฟังเหมือนกับจะเริ่มท้อแท้ว่าทำไมถึงเป็นสิ่งที่ยาก แล้วจะเข้าใจได้อย่างไร
ท่านอาจารย์ ก็ตัวตน
อ.คำปั่น แทนที่จะได้ฟังต่อไปว่า แม้จะเป็นเรื่องที่ยากแต่สามารถเข้าใจได้
ท่านอาจารย์ เห็นความต่างของปัญญา สภาพรู้ซึ่งละ กับความไม่รู้ซึ่งติดข้องไหม เมื่อได้ฟังความละเอียดอย่างนี้ โลภะ ความอยากรู้ทำให้ท้อถอย ยากอย่างนี้ใครจะรู้ได้ แต่ถ้าเป็นปัญญา เบิกบานใจที่ได้ฟังคำที่สามารถที่จะค่อยๆ ชำระจิต ซึ่งเต็มไปด้วยความอยากและความติดข้อง ต่างกันแล้ว เพราะฉะนั้น ฟังแล้วเป็นโลภะ หรือว่าฟังแล้วเป็นปัญญา
ถ้าเป็นปัญญาไม่เดือดร้อนเลย ใครว่าง่าย ไม่มีทางเป็นไปได้ ใครจะทำอะไร ทำไม่ได้ นอกจากค่อยๆ เข้าใจธรรม เพราะฉะนั้น หนทางของปัญญาเป็นหนทางละความต้องการ
จุดประสงค์ของเราทุกคนก็คือว่า ขอได้เข้าใจความจริงด้วยความหวังดี ด้วยความปรารถนาดี เพราะว่าเกิดมาในสังสารวัฏฏ์นี้ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราได้พบใครชาติก่อน นานแสนนานมาบ้างหรือไม่ หรือชาติต่อไป เพราะว่าความจริงก็คือเป็นธรรมจริงๆ ไม่มีเรา แล้วแต่ว่าสภาพธรรม เช่น จิต เจตสิก สะสมสืบต่อมา และก็เกิดดับเร็วมากสุดที่จะประมาณได้ เมื่อจบชาตินี้ หรือไม่ทันจบ เดี๋ยวเราก็ลืมห้องนี้ แม้วันนี้ยังลืม แล้วแต่ละชาติที่ผ่านมาจะไม่ลืมได้อย่างไร
เพราะฉะนั้น ประโยชน์สูงสุดของการได้พบกัน ไม่ว่าจะพบใครที่ไหน ความเป็นมิตร ความหวังดีก็คือให้ความจริง ซึ่งบางคนอาจจะคิดว่า ทำไมพูดคำที่ไม่เหมือนคนอื่น เขาพูดอย่างหนึ่ง เราพูดอีกอย่างหนึ่ง แต่ว่าทุกคำนี้จะรู้ได้ว่าเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งต้องไม่เหมือนใคร ถ้าคำของพระองค์เหมือนใคร ทุกคนรู้แล้วก็ไม่มีการตรัสรู้ แต่ทุกคำของพระองค์ ต้องไม่ลืม พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คำของพระองค์ทุกคำ ฟังครั้งแรกไม่เข้าใจ ภาษาไทยแท้ๆ คนไทยพูดด้วย มีภาษาอื่นมาเพียงบางคำเท่านั้นแต่ก็ยังไม่เข้าใจ
แม้แต่คำว่า ธรรม คนไทยเข้าใจไหม พูดกันทุกวันใช่ไหม ไม่เป็นธรรม อยุติธรรม ยุติธรรมต่างๆ ศีลธรรมก็พูด แต่แค่คำเดียวของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมคืออะไร ต้องเป็นคำที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน เพราะฉะนั้น ฟังธรรม แต่ถ้าไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร จะเข้าใจได้อย่างไร ทุกคำต้องละเอียดมากด้วยความเคารพอย่างยิ่งว่า ถ้าจากพื้นดินไปสู่ท้องฟ้ากว้างใหญ่มหาศาล สูงลิบลิ่ว พระองค์อยู่ไหน เราอยู่ไหน ความต่างกันแค่ไหน แล้วเราคิดว่าเพียงแค่ได้ยิน เราคิดเองหมดเลย อันตรายอย่างยิ่ง เท่าที่ได้ยินได้ฟังทั้งหมดในรายการธรรม คือคำที่คิดเอง จากคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้วทั้งหมด แล้วคิดเองได้อย่างไร
เพราะฉะนั้น คำที่ไม่จริง ไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และคำที่ไม่จริงทุกคำทำลายความจริง และคำจริงของพระองค์ ดังนั้น ถ้าเป็นผู้ที่บูชาเคารพสูงสุด ที่เราเกิดมาในสังสารวัฏฏ์ในความมืดสนิท ไม่รู้ว่าอยู่ในความมืดเลยแม้เดี๋ยวนี้ ก็มีสิ่งที่ปรากฏแต่ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงได้ แต่มีผู้ที่สามารถเหมือนไฟที่ค่อยๆ มาถึงเราทีละน้อยจนสว่าง สามารถจะเห็นความจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ทั้งหมด และเริ่มรู้จักคำว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริง คุณวิธีเข้าใจธรรม ซึ่งเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า เพราะว่าต้องไม่เหมือนคำว่าธรรม ที่คนที่ไม่เคยได้ฟังคิดกัน
ผู้ฟัง ไม่เข้าใจ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เหมือนมืด ยังไม่มีแสงสว่างใช่ไหม เพราะแม้คำเดียวว่า ธรรม ก็ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าหมายความถึงอะไร เดี๋ยวนี้เข้าใจหรือยัง
ผู้ฟัง เดี๋ยวนี้ก็เริ่มเข้าใจ
ท่านอาจารย์ ธรรม คืออะไร
ผู้ฟัง ธรรม คือของที่มีจริง สิ่งที่ปรากฏว่ามีจริงๆ
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้อะไรเป็นธรรม
ผู้ฟัง อะไรเป็นธรรม
ท่านอาจารย์ เห็นไหมว่า จะรู้จักธรรม ไม่ใช่คิดเอง ทุกคนที่คิดเองจะพลาด ไม่มีทางเข้าใจธรรมได้เลย ประมาทแม้คำว่า ธรรม คำเดียว อันตราย อย่าลืม อ่านพบข้อความในพระไตรปิฎก แล้วไม่เคารพในการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คิดเองหมด เพราะฉะนั้น เหมือนขยะที่แทรกเข้ามา ที่จะต้องขจัดออกไป จึงสามารถที่จะเห็นความจริง คือ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ธรรมเดี๋ยวนี้มีไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ อะไร ทีละหนึ่ง
ผู้ฟัง เสียง
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ทำไมเสียงเป็นธรรม
ผู้ฟัง เสียงที่ปรากฏ มีจริงๆ
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวก่อน ทำไมว่าเสียงมีจริง
ผู้ฟัง ก็ได้ยิน
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ถ้าเสียงไม่เกิด จะได้ยินเสียงไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้ยิน
ท่านอาจารย์ จะมีเสียงไหม
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้มีธรรมมากมายหลายอย่างไหม
ผู้ฟัง หลายอย่าง
ท่านอาจารย์ อะไรอีก
ผู้ฟัง เมื่อครู่มีเสียง ทางตาบ้าง ก็เห็นสี
ท่านอาจารย์ เห็น กับ สี เหมือนกันไหม ฟังคำถามแล้วคิดจนเข้าใจแล้วตอบ สีสันวัณณะที่ปรากฏทางตา กับ เห็น เป็นธรรมอย่างเดียวกันหรือเปล่า
ผู้ฟัง สี กับ เห็น ก็คนละอย่าง
ท่านอาจารย์ คนละอย่างกัน ต่างกันตรงไหน
ผู้ฟัง ไม่ทราบ
ท่านอาจารย์ แล้วจะไปฟังอะไรต่อ ทีละคำจนเข้าใจบริบูรณ์ในคำนั้น แล้วจะรู้ได้ว่าบริบูรณ์ระดับไหน ระดับฟังรู้เรื่อง หรือว่าระดับถึงกับประจักษ์แจ้งในความเป็นธาตุนั้นๆ ธรรม กับ ธาตุ เหมือนกันไหม
ผู้ฟัง ก็อย่างเดียวกัน
ท่านอาจารย์ เพราะอะไร
ผู้ฟัง เพราะธาตุก็เป็นธรรม
ท่านอาจารย์ ทำไมธาตุเป็นธรรม
ผู้ฟัง เพราะธาตุมีจริงๆ
ท่านอาจารย์ แล้วทำไมธรรมเป็นธาตุ ต้องฟังแล้วคิด แล้วตอบตามความเข้าใจ ไม่ใช่รีบร้อนตอบ
ท่านอาจารย์ ทำไมธรรมเป็นธาตุ ธาตุ คือ ธ ธง สระอา ต เต่า สระอุ ธรรมหนึ่งก็เป็นธาตุหนึ่ง แต่ทำไมธรรมเป็นธาตุ
ผู้ฟัง คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ท่านอาจารย์ ต้องไตร่ตรองจนกระทั่งเป็นความเข้าใจของเรา พระองค์ไม่ได้ประสงค์ที่จะแสดงความรู้ของพระองค์แล้วไม่ให้ใครเข้าใจ แต่ว่าทุกคำเพื่อประโยชน์ให้คนที่ได้ฟังนั้นมีความเข้าใจถูกต้อง ซึ่งเป็นพระมหากรุณาทรงเเสดงถึง ๔๕ พรรษา จนกว่าเขาจะเข้าใจ
ท่านอาจารย์ ทำไมธรรมเป็นธาตุ
ผู้ฟัง ไม่ทราบ
ท่านอาจารย์ เพราะว่าใครก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงธรรมนั้นๆ ที่เกิดเป็นหนึ่งให้เป็นอย่างอื่นได้ เพราะคำว่า ธา-ตุ หรือ ธาตุ หมายความถึง สภาพธรรมที่ทรงไว้ซึ่งลักษณะอย่างนั้นๆ เปลี่ยนแปลงไม่ได้
ท่านอาจารย์ ร้อน เป็น เสียง ได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ หวาน เป็น แข็ง ได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น หวาน เป็นธรรมหรือไม่
ผู้ฟัง เป็น
ท่านอาจารย์ เป็นธาตุหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็น
ท่านอาจารย์ นี่ก็คือ ถ้าจะเข้าใจธรรมก็ต้องค่อยๆ เข้าใจขึ้นว่า เดี๋ยวนี้ที่เราเคยเข้าใจว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นดอกไม้ เป็นอะไรก็ตาม ก็ต้องมาจากสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นแต่ละหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะที่หลากหลายแล้วรวมกัน ทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด คืออัตตา หรืออัตตานุทิฏฐิ ความเห็นที่คล้อยตามในความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด มีรูปร่างต่างๆ เพราะเกิดดับอย่างเร็วสุดที่จะประมาณได้ ใครจะรู้นอกจากการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ตัวคุณวิธีมีธรรมไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ ธรรมที่ตัว เป็นคุณวิธีหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่ใช่
ท่านอาจารย์ นี่คือการเริ่มต้นที่จะรู้ว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ต้องตั้งต้นอย่างนี้ เพราะว่าหนทางนี้ จะเป็นหนทางนำไปสู่การรู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง ตั้งแต่คำแรกที่ได้ฟัง ถูกต้องไหม
ผู้ฟัง ถูกต้อง
ท่านอาจารย์ สภาพธรรมเกิดโดยไม่มีปัจจัย อาศัยกันและกันปรุงแต่งได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ไม่มีใครที่จะบันดาลให้เกิดอะไรขึ้นได้เลยสักคน แต่ไม่รู้ เหมือนกับว่าดอกกุหลาบเป็นหนึ่ง แต่ความจริงมีอะไรบ้างที่ดอกกุหลาบ
ผู้ฟัง สี กลิ่น
ท่านอาจารย์ สี เป็นหนึ่งใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ กลิ่นเป็นหนึ่ง อะไรอีก
ผู้ฟัง อ่อน
ท่านอาจารย์ เป็นหนึ่ง
ผู้ฟัง แข็ง
ท่านอาจารย์ เป็นหนึ่ง หนึ่งทั้งนั้นเลย เกิดขึ้นแต่ละหนึ่งๆ ๆ เกิดและดับไหม
ผู้ฟัง ดับ
ท่านอาจารย์ เพราะอะไร
ผู้ฟัง ไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน
ท่านอาจารย์ แล้วปัจจัยที่ทำให้เกิดดับ สิ่งนั้นก็ต้องดับใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ถ้าเสียงดับ จะได้ยินต่อไปได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เป็นคุณวิธีได้ยินหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่ใช่
ท่านอาจารย์ เป็นอะไร
ผู้ฟัง เป็นจิต
ท่านอาจารย์ จิต คืออะไร
ผู้ฟัง จิต ก็คือ ธาตุรู้
ท่านอาจารย์ ธาตุรู้เป็นอะไร
ผู้ฟัง ธาตุรู้เป็นธรรม
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น จิตเป็นธรรม นี่คือความเริ่มจะบริบูรณ์ ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ ไม่มีทางที่จะเข้าใจคำต่อๆ ไปได้เลย เพราะฉะนั้น มีคุณวิธีหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ ไม่มีคุณวิธี แต่มีอะไร
ผู้ฟัง มีธรรม
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ต้องคิด ไม่ใช่ว่าตามคำ แต่ต้องคิด มีธาตุไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ ธาตุ กับ ธรรม ต่างกันตรงไหน
ผู้ฟัง ก็ไม่ต่าง
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เห็นไหมว่าต้องมั่นคงจริงๆ ไม่ใช่ว่า ถ้าถามอีกอย่างแล้วเปลี่ยนแปลงได้ นั่นคือ ไม่มั่นคง
เพราะฉะนั้น ถ้าใครก็ตามที่ไม่ได้พูดถึงเรื่องสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ตรงตามความเป็นจริงทีละหนึ่งให้เข้าใจ เขาพูดธรรมหรือเปล่า ถ้าพูดเรื่องอื่น ไม่ใช่พูดเรื่องสิ่งที่มีจริงถึงที่สุด ไม่มีอะไรจริงยิ่งกว่านี้ คือสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง เกิดขึ้นเป็นแต่ละหนึ่ง แล้วก็ดับไป เป็นธาตุแต่ละหนึ่ง ถ้าไม่พูดถึงเรื่องสิ่งที่มีจริง พูดเรื่องธรรมหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ เพราะฉะนั้น ผู้ฟังสามารถที่จะรู้เลยว่า กำลังฟังธรรม คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือคำที่ไม่ใช่คำของสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่คิดเอง คุณวิธีเคยได้ยินคำที่คนคิดเองแล้วพูดไหมว่าเขาพูดธรรม
ผู้ฟัง อาจจะเคยแต่ไม่ทราบ
ท่านอาจารย์ ถ้ารู้จักธรรม แล้วเขาไม่ได้พูดธรรม คุณวิธีทราบไหมว่าไม่ได้ฟังธรรม
ผู้ฟัง ทราบ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เคยฟังคนที่ไม่ได้พูดธรรม แต่บอกว่าธรรมหรือเปล่า
ผู้ฟัง เคย
ท่านอาจารย์ เคยก็ต้องเคย ไม่เห็นเป็นไร เป็นความจริงก็เป็นความจริง ถ้าไม่พูดความจริง คนจะเข้าใจความจริงไหม คนก็ยังคิดว่าความไม่จริงนั้นเป็นความจริง ถ้าไม่พูดสิ่งที่ถูก คนจะรู้ไหมว่าอะไรผิด
ผู้ฟัง ไม่รู้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่รู้ว่าถูกคือถูก ผิดคือผิด เขาก็ยังคงคิดว่าผิดเป็นถูก แล้วดีไหมที่จะให้เขาเข้าใจผิดไปตลอด
ผู้ฟัง ไม่ดี
ท่านอาจารย์ เป็นคนที่หวังดีหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่หวังดี
ท่านอาจารย์ ถ้าหวังดีก็อาจหาญที่จะพูดคำจริงที่พิสูจน์ได้ เพราะเหตุว่าเป็นจริงทุกขณะ เพราะเป็นคำจากการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดีไหม พูดคำจริงดีไหม
ผู้ฟัง ดี
ท่านอาจารย์ เป็นประโยชน์ไหม
ผู้ฟัง เป็น
ท่านอาจารย์ คนชอบหรือไม่ชอบ ก็ไม่เป็นไร ใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ทุกคนก็มีความหวังดีที่สุดที่ไม่หวั่นไหว ขอให้ใครก็ได้ที่ไม่ได้ฟังธรรม ได้เข้าใจธรรมในชาตินั้น แลัวก็จะเป็นประโยชน์ในชาติต่อๆ ไปด้วย อีกนานในสังสารวัฏฏ์เหมือนที่ผ่านมาแสนนาน แต่ก็ไม่รู้อะไรเลย ได้แต่เกิดแล้วก็ตาย เกิดแล้วก็ไม่รู้อะไรเลย ตายไปก็หมด จบไป
แค่เมื่อวานนี้ ในห้องนี้มีคนที่นั่งเต็มอย่างนี้ ไปไหนกันมา หรือไม่มีเลย มีแต่ขณะที่เกิดดับสืบต่อ จนเหมือนกับกลับมาที่นี่อีกครั้งหนึ่ง และก็ออกไปข้างนอก กลับเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง ก็เหมือนคนเดิมใช่ไหม แต่ความจริงหาเป็นอย่างนั้นไม่ เร็วกว่านั้นอีก ไม่มีอะไรเลยนอกจากจิต สภาพรู้เกิดขึ้น กำลังเห็น กำลังได้ยิน ออกไปข้างนอกก็เห็น อยู่ข้างในก็เห็น ออกไปข้างนอกก็ได้ยิน อยู่ข้างในก็ได้ยิน แต่ได้ยินแต่ละหนึ่งขณะไม่เหมือนกัน ข้างนอกกับข้างในก็เสียงคนละอย่าง สิ่งที่ปรากฏคนละอย่าง เห็นคนละอย่าง คิดคนละอย่าง ดับหมด จนถึงขณะนี้ก็กำลังเกิดดับ เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือยัง
ผู้ฟัง เริ่มๆ
ท่านอาจารย์ ฟังต่อไปอีกใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ เพื่อละความไม่รู้ ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะทำให้รู้ได้เลย อยู่ในความมืดจริงๆ ต่อไปนี้ก็ค่อยๆ มีแสงสว่าง แต่จะสว่างมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับความเข้าใจ เพราะเข้าใจจึงสว่าง ไม่เข้าใจต้องมืด
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1141
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1142
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1143
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1144
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1145
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1146
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1147
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1148
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1149
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1150
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1151
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1152
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1153
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1154
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1155
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1156
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1157
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1158
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1159
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1160
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1161
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1162
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1163
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1164
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1165
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1166
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1167
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1168
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1169
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1170
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1171
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1172
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1173
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1174
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1175
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1176
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1177
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1178
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1179
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1180
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1181
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1182
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1183
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1184
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1185
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1186
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1187
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1188
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1189
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1190
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1191
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1192
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1193
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1194
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1195
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1196
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1197
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1198
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1199
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1200
