ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1195


    ตอนที่ ๑๑๙๕

    สนทนาธรรม ที่ ราชกรีฑาสโมสร

    วันที่ ๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๑


    อ.คำปั่น คนอื่นจะมาอบรมปัญญาแทนตนเองก็ไม่ได้ ก็ต้องเป็นผู้นั้น ที่ฟัง ที่ศึกษาพระธรรม ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง และในตอนท้ายของอรรถกถา ก็ได้อธิบายว่า ผู้ที่มีตนเป็นที่พึ่งอย่างสูงสุด สามารถได้ที่พึ่งที่แท้จริง ก็คือถึงความเป็นพระอรหันต์ ดับกิเลสหมดสิ้นได้ เพราะฉะนั้นก็เป็นการแสดงถึง ความเป็นจริงของธรรม ที่ปฏิเสธความเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน อย่างสิ้นเชิง แต่เพราะมีธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไป จึงหมายรู้ หมายเรียกว่า เป็นบุคคลนั้น เป็นบุคคลนี้ ก็เพราะว่ามีธรรม มีสิ่งที่มีจริงๆ นั่นเอง

    อีกคำหนึ่ง ที่ทุกท่านอาจจะเคยได้ยิน ก็คือคำว่าตั้งตนไว้ชอบ ก็จะมีคำว่าตนอีก มีคำว่า อัตตา มีคำว่าอัตตะอีก แต่ว่า ณ ที่นั้นก็แสดงถึงว่า เพราะมีธรรมจากที่บุคคลคนนั้น เคยเป็นคนที่ไม่มีศรัทธา ไม่เห็นประโยชน์ของพระธรรม เป็นคนที่ตระหนี่ เป็นคนที่ไม่มีศีล เป็นคนที่ไม่มีปัญญา จากที่เป็นบุคคลประเภทนี้ แต่พอได้เริ่มเห็นประโยชน์ของพระธรรม มีการฟัง มีการศึกษา พระธรรม ก็เป็นผู้ที่ตั้งตนไว้ชอบ ซึ่งก็ไม่มีตัวตนที่ไปตั้ง แต่ว่าความดีทั้งหลายที่ค่อยๆ เจริญขึ้นนั่นเอง ที่ประคับประคองบุคคลนั้น ให้เป็นไปในทาง ที่ดี ที่ถูก ที่ควร ซึ่งก็เป็นการกล่าวถึงธรรมที่ดีงาม ที่เกิดขึ้นเป็นไป ทั้งหมดก็คือเป็นการแสดงถึง ความเป็นจริงของธรรม เพราะฉะนั้นคำสอนทั้งหมดที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง จะไม่ขัดกันเลย

    ผู้ฟัง สิ่งที่มีอยู่จริง มีสภาวะ หรือเป็นสามัญลักษณะ มีคำว่าอนัตตาอยู่อันหนึ่ง ที่ได้กล่าวไปแล้ว แต่จะมี ๒ คำ ก็คือคำว่า อนิจจัง และทุกขัง

    อ.คำปั่น ซึ่งในความหมายของคำนี้ อนิจจัง ก็คือ ความไม่เที่ยง ไม่เที่ยงเพราะอะไรไม่เที่ยงเพราะเกิดแล้วดับไป นี่คือความหมายของอนิจจัง ส่วนความหมายของทุกขัง ก็คือเป็นสภาพธรรมที่ดำรงอยู่ไม่ได้ หมายความว่า เมื่อเกิดแล้วก็ต้องดับไป นี่คือ แสดงถึงลักษณะ หรือความเป็นจริงของธรรม ที่เกิดขึ้นเป็นไปทั้งหมด ซึ่งจะต้องเป็นอย่างนี้ ก็คือ ไม่เที่ยง เพราะว่าเกิดแล้วก็ต้องดับไป เป็นทุกข์เพราะว่าดำรงอยู่ไม่ได้ มีความเกิดขึ้น ก็ต้องมีความดับไป เป็นธรรมดา

    ผู้ฟัง ชาวพุทธเราส่วนใหญ่ เราได้ยินแล้ว อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ได้ยินคำนี้มาตั้งนาน แต่กิเลสก็ยังเต็ม ไม่เห็นที่จะละกิเลสได้

    ท่านอาจารย์ ก็จริง ได้ยินคำว่า อนิจจัง อะไรอนิจจัง จะได้ดับกิเลส จะได้ไม่มีกิเลส เพียงแค่ได้ยินคำว่า อนิจจัง

    ผู้ฟัง ก็ทุกอย่างไม่เที่ยง

    ท่านอาจารย์ ตอบว่าทุกอย่าง ก็เลยไม่รู้สักอย่าง

    ผู้ฟัง ยกตัวอย่าง ดอกไม้ ไม่เที่ยง ประเดี๋ยวสักบ่ายๆ เย็นๆ นี่ก็เหี่ยวหมดแล้ว

    ท่านอาจารย์ ก็เลยยังคงเป็นดอกไม้ พอเป็นดอกไม้ ก็ต้องชอบดอกไม้ แล้วจะเอากิเลสอะไรออก เห็นไหม ถ้าเราเพียงฟังเผิน แล้วคิดเองไม่พอเลย เกิดแล้วก็ตาย ทำไมไม่หมดกิเลส ก็ไม่รู้ว่าอะไรเกิด ก็ยังเป็นคนนั้น คนนี้ เป็นเรา เกิดแล้วก็ตาย แต่ถ้ารู้จริงๆ ว่า อะไร จะมีเราไหมที่เกิด จะมีเราไหมที่ตาย เพราะฉะนั้นถึงจะเกิดจะตายกันสักเท่าไร ก็ไม่มีใครหมดกิเลส เพราะยังคงยึดถือว่า เป็นเรา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเพียงแต่ว่าจะต้องเป็นไปอย่างนั้น ในวันหนึ่ง แต่ว่าคิดว่าในวันหนึ่ง หารู้ไม่ว่าเดี๋ยวนี้เองกำลังเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นตราบใดที่ธรรมทั้งหลาย ยังควบคุม ประชุมรวมกัน ก็ยังเป็นที่ตั้งยึดถือ ไม่ประจักษ์จริงๆ ว่า แท้ที่จริงคำว่า เกิดแล้วตายนี้ทุกขณะ

    เพราะฉะนั้นถ้าปัญญายังไม่ถึงระดับนั้น ก็ยังไม่รู้ว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงถึงที่สุด โดยประการทั้งปวง ทุกขณะ ทุกอย่าง เพราะฉะนั้นปัญญาแค่นี้ ก็ยังเป็น เราที่คิด เราที่จำ ยังคงเป็นเรา หรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ต่อเมื่อใดแม้สิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็ไม่มี มีแต่ธรรม ที่จะกล่าวได้ว่า ทุกอย่างเป็นธรรม ต้องทีละหนึ่ง ถึงเดี๋ยวนี้ ได้ฟัง ว่าเห็นเกิดแล้วก็ดับ ก็ไม่เห็นเป็นอะไร ก็ยังคงมีเห็นสืบต่อ แล้วจะเป็นอะไร จะเป็นทุกข์ได้อย่างไร ตราบใดที่ยังมีสิ่งหนึ่ง จนกว่าจะรู้ว่า แม้สิ่งนั้นก็เพียงแค่เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป เร็วสุดที่จะประมาณได้ ถ้าไม่มีการเกิดดับสืบต่อ จะไม่ปรากฏเป็นรูปร่างนิมิตสัณฐาน เพียงแค่หนึ่งเดียว ใช่หรือไม่

    ผู้ฟัง ใช่ เพราะยังรวมๆ กันอยู่ และก็ไม่ทำให้เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ ตราบใดที่รวมกันก็ต้องเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

    ผู้ฟัง ตราบใดที่ยังเป็นดอกไม้ ก็ไม่มีทางที่จะเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ได้เลย

    ท่านอาจารย์ เพราะว่าใครก็พูดได้ ดอกไม้วันนี้ กับดอกไม้พรุ่งนี้ ไม่ใช่ลักษณะเดียวกันใช่ไหม ใครก็รู้ นั่นหรือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้ารู้เพียงเท่านี้ เพราะฉะนั้นแค่นี้ก็เตือนแล้ว พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่คนอื่นรู้ไม่ได้ และเป็นความรู้จริงๆ ถึงที่สุด ที่คนอื่นสามารถที่จะอบรมเจริญปัญญา ค่อยๆ ละคลายความไม่รู้ จนกระทั่งสภาพธรรมปรากฏตามความเป็นจริงเมื่อไร ผู้นั้นก็ค่อยๆ ละความยึดถือ ที่ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด จนกระทั่งสามารถที่จะดับกิเลส ถึงความเป็นพระอรหันต์ คือหมดความไม่รู้ ในสิ่งที่ปรากฏ เพราะประจักษ์แจ้งความจริง เพราะฉะนั้นฟังธรรมวันนี้ ไม่ใช่ให้หมดกิเลส แต่ให้เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เริ่มเข้าใจคำที่เราไม่รู้จักตั้งแต่เกิด แต่เราพูดถึงเสมอใช่หรือไม่ เป็นการที่ค่อยๆ เข้าใจแต่ละคำ

    ผู้ฟัง เรากล่าวถึงธรรมมี ๒ ประเภท นามธรรม คือสภาพธรรมที่รู้ และ รูปธรรม สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร นามธรรม ก็ยังแยกออกเป็น ๒ ประเภทด้วยกัน รายละเอียดที่แยกออกมาอีก ๒ ประเภท อะไรบ้าง เป็นหลักสำคัญๆ ให้ได้ทำความเข้าใจมากยิ่งขึ้น

    อ.คำปั่น ในความหมายของ นามธรรม ก็มีคำว่าธรรมอีกใช่ไหม สิ่งที่มีจริงๆ นา มะ ตรงนั้น หมายถึงเป็นสภาพธรรมที่น้อมไปสู่อารมณ์ อารมณ์คือสิ่งที่จิตรู้ เพราะฉะนั้นเมื่อกล่าวถึงธรรม ที่เป็นนามธรรม ที่กำลังกล่าวถึง สภาพรู้ ธาตุรู้ ก็มีอยู่ ๒ ประเภท ประเภทแรกก็คือ เป็นธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ ก็คือ จิต นั่นเอง แล้วก็นามธรรมอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นสภาพธรรม ที่เกิดประกอบพร้อมกับจิต ก็คือ เจตสิก ซึ่งโดยลักษณะของธรรมที่เป็นเจตสิก ก็คือเกิดพร้อมกับจิต ดับพร้อมกับจิต รู้อารมณ์เดียวกันกับจิต แล้วก็อาศัยที่เกิดที่เดียวกันกับจิตด้วย สำหรับในภูมิที่มีทั้งนามธรรม และรูปธรรม นี่คือความเป็นจริงของธรรม ๒ อย่าง ซึ่งเป็นนามธรรม คือ จิต และเจตสิก ที่เกิดร่วมด้วย ไม่ปราศจากกันเลย ทุกครั้งที่จิตเกิดขึ้น ก็ต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ตามควรแก่จิตขณะนั้นๆ

    ผู้ฟัง ความละเอียดที่เราจะต้องเข้าใจสภาพธรรม ยกตัวอย่างเช่น จิต และเจตสิก เราจำเป็นที่จะต้องมีความเข้าใจตรงนี้ อย่างไร

    ท่านอาจารย์ ต้องไม่ลืม ไม่ใช่เข้าใจคำ ไม่ใช่เข้าใจชื่อ แต่เข้าใจสิ่งที่มีจริง และตอนต้น เราก็รู้ว่า สิ่งที่มีจริงทั้งหมดไม่ว่าอะไร เป็นธรรม เพราะหมายความว่ามีลักษณะเฉพาะ ของตนๆ รวมกันไม่ได้ แต่ละหนึ่งๆ ก็มีลักษณะที่ต่างกัน เป็นชีวิตประจำวันจริงๆ ซึ่งไม่เคยได้ยินได้ฟัง แล้วก็ไม่เคยรู้ด้วย ทั้งๆ ที่สิ่งนั้นก็มีอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ผ่านไปเร็วมาก ต้องไม่ลืมทุกคำ ผ่านไปเร็วมาก คุณจักรกฤษณ์เห็นอะไร

    ผู้ฟัง ตอนนี้เห็นดอกไม้ เห็นไมโครโฟน

    ท่านอาจารย์ แค่นี้ แค่เห็นดอกไม้ ทำไมรู้ว่าเป็นดอกไม้ เห็นๆ แน่ใช่ไหม ถ้ากำลังเห็นจริงๆ จะมีใครบอกได้ไหมว่าไม่เห็น พอพูดว่าดอกไม้ ก็รู้ด้วยว่าอะไร แต่ทำไมเห็นดอกไม้ แค่นี้ เราไม่เคยคิดเลยว่า นี่คือชีวิตประจำวัน ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรม ความจริงแต่ละหนึ่ง คุณจักรกฤษณ์เห็นดอกไม้แล้วเห็นอะไรอีก

    ผู้ฟัง ไมโครโฟน

    ท่านอาจารย์ ทำไมรู้ว่านั่นดอกไม้ ทำไมรู้ว่านี่ไมโครโฟน ชีวิตประจำวันหรือไม่ เคยคิดไหมว่านี่เป็นธรรม ซึ่งไม่มีใครเคยคิดมาก่อนเลย จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม เริ่มรู้ว่าจริงในชีวิตประจำวัน พอเห็นก็รู้ว่าอะไร เพราะอะไร

    ผู้ฟัง เพราะว่ามีสีต่างกัน

    ท่านอาจารย์ ทำไมรู้ว่าต่างกัน

    ผู้ฟัง จำได้ว่าต่างกัน

    ท่านอาจารย์ เห็นไหม เพราะจำได้ เริ่มรู้จักว่า ทั้งวันจำทุกอย่าง พอตื่นมาเห็นก็จำ ได้ยินก็จำ คิดก็จำ เพราะฉะนั้นเห็นเป็นอย่างหนึ่ง แต่จำเป็นอีกอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นชีวิตประจำวัน ก็คือว่าเกิดมาแล้วมีธาตุรู้ ในขณะซึ่ง ไม่ใช่สิ่งที่ไม่รู้อะไร อย่างแข็งก็มี แต่ขณะนั้นถ้าไม่มีธาตุแข็ง แข็งก็ไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏนั้นปรากฏเพราะมีธาตุรู้สิ่งนั้น ธาตุรู้นั้นไม่ทำอะไรเลย นอกจากเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ เห็นอย่างเดียว ได้ยินเสียงอย่างเดียว แต่ว่าทำไมรู้ว่าหลากหลาย เพราะว่ามีสภาพที่จำความต่างของสิ่งที่ปรากฏ เห็นเท่านั้น ไม่ได้จำอะไร แต่สภาพที่จำไม่ใช่เห็น แต่จำกับเห็นพร้อมกัน ทันทีที่เห็นก็จำสิ่งที่ปรากฎ จึงสามารถที่จะรู้ว่า สิ่งต่างๆ ที่ปรากฏนั้นหลากหลาย เพราะมีสภาพที่จำความต่าง รูปร่าง สัณฐานต่างๆ ซึ่งมาจากสิ่งที่กระทบตา เป็นสีสันต่างๆ นี้คือชีวิตประจำวันจริงๆ อวิชชาทั้งนั้น เมื่อไม่รู้ แต่เมื่อรู้ เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ทรงแสดงละเอียดอย่างนี้เพื่ออะไร เพื่อให้รู้ตามพระองค์ว่า แท้ที่จริงแล้ว สิ่งที่มีแค่เกิดขึ้นปรากฏ แล้วก็หมดไป แต่เพราะเกิดดับสืบต่อรวดเร็วอย่างมาก สีสัน หลากหลายไป ทำให้ปรากฏเป็นนิมิตรูปร่างต่างๆ แล้วก็จำ เพราะเห็นแค่เห็น แต่สภาพที่จำ จะต้องเกิดทุกขณะ ที่มีธาตุรู้เกิดขึ้น

    ด้วยเหตุนี้ สภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ ใช้คำว่า "จิต" หรือ "วิญญาณ" เป็นใหญ่เป็นประธาน ใช้คำว่า "มนินทรีย์" ได้ เพราะเหตุว่ามาจากคำว่า "มนะ" จิตสภาพรู้ วิญญาณสภาพรู้ มนะก็รู้ "ปัณฑระ" ก็รู้ ทรงแสดงหลายๆ คำเพื่ออนุเคราะห์ให้รู้ว่าไม่ใช่เรา แต่ว่าเป็นลักษณะที่เป็นอย่างนั้น อย่างจิตเป็นปัณฑระ อีกชื่อหนึ่ง ไม่มีใครพูดถึงบ่อยๆ เพราะเหตุว่า เขาไม่ได้ใช้คำ ที่จะอธิบายความต่างกันของจิตและเจตสิก สภาพที่เป็นธาตุรู้แต่ไม่ใช่อย่างเดียวกัน เพราะฉะนั้นมี ๒ คำ จากธรรม ๑ ทุกสิ่งที่มีจริง เป็นธรรม ๒ สภาพที่ไม่รู้อะไรเลยเป็นรูปธรรม และสภาพรู้คือนามธรรม สภาพรู้ยังต่างเป็น ๒ คือ จิต เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ และสภาพธรรมที่เกิด ไม่มีใครรู้เลย แต่ละหนึ่งเกิดได้เมื่อมีปัจจัย ใช้คำว่า "ปัจจัย" คือที่อาศัย ที่อุปการะ ส่งเสริม สนับสนุน ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นมาได้ เช่น เห็น ถ้าไม่มีตาเห็นเกิดไม่ได้ ไม่มีสิ่งที่สามารถกระทบตา เห็นก็เกิดขึ้นเห็นสิ่งที่กระทบตาไม่ได้ เพราะฉะนั้นแม้แต่เห็นหนึ่งขณะ ยังต้องมีสิ่งที่อาศัยทำให้เกิดขึ้น ธรรมทั้งหมดปรากฏแต่ละหนึ่งจริง แต่ความจริงแล้ว มีสิ่งที่อาศัยให้สิ่งนั้นเกิด

    ด้วยเหตุนี้ นามธรรมซึ่งเป็นสภาพรู้ รู้แจ้งอย่างเดียว แต่ว่าสภาพความรู้สึก ความจำ ความชอบ ไม่ชอบ ทั้งหมด ไม่ใช่จิต ซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ แต่เป็นสภาพธรรมที่เกิดกับจิต เกิดพร้อมจิต รู้สิ่งเดียวกับจิต แล้วก็ดับพร้อมกันด้วย สภาพนั้นไม่เกิดกับสิ่งอื่นเลย นอกจากจิต จึงใช้คำว่า "เจตสิกะ" ในภาษาบาลี ภาษาไทยเราก็เริ่มรู้จักธรรมอีกอันหนึ่งคือ "เจตสิก" เพราะฉะนั้นรู้จักธรรม รู้จักรูปธรรม นามธรรม รู้จัก จิต เจตสิก รูป เดี๋ยวนี้มีไหม

    ผู้ฟัง มีครบ จิต เจตสิก รูป

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้มีอะไร รูปมีไหม

    ผู้ฟัง รูปก็ต้องมี

    ท่านอาจารย์ จิตมีไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ เจตสิกมีไหม

    ผู้ฟัง ต้องมี

    ท่านอาจารย์ นี้คือ ที่ว่าเป็นเรา แต่ความจริงเป็นธรรม จึงไม่ใช่เรา ใช้คำว่า "อนัตตา"

    ผู้ฟัง รูป หรือ รูปะ เป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรเลย

    อ.คำปั่น ธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งไม่ใช่สภาพรู้ ไม่ใช่ธาตุรู้ ซึ่งก็คือไม่สามารถที่จะรู้อะไรได้ พระองค์ก็ทรงบัญญัติเรียกชื่อว่า รูปะ-ธรรม หรือว่า รูปธรรม ซึ่งหมายถึงสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งเป็นรูปก็คือ ไม่ใช่สภาพรู้ ไม่ใช่ธาตุรู้ ไม่ได้นอกเหนือจากชีวิตประจำวันเลย รูปธรรมก็คือธรรมที่มีจริง ที่เกิดขึ้นเป็นไปในขณะนี้ ยกตัวอย่างสภาพธรรมที่เป็นรูปธรรม ก็คือ "สี" สิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นหนึ่งในรูปที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ แล้วก็ทรงแสดงว่าเป็นธรรม สีเป็นสี เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ได้ นอกจากสีก็ยังมีอีกใช่ไหม "เสียง" ที่ปรากฏทางหู ที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวตอนต้น ก็แสดงถึงความเป็นรูปธรรม เพราะว่าเสียงไม่สามารถรู้อะไรได้ เสียงเพียงแค่เกิดขึ้น เป็นไปเท่านั้น มีกลิ่นไหม กลิ่นก็มีใช่ไหม "กลิ่น" ก็เป็นรูปธรรมอย่างหนึ่ง มีรสด้วย "รส" ก็เป็นรูปอย่างหนึ่ง มี "การกระทบสัมผัส" ก็มี เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว พวกนี้ คือตัวอย่างของรูปธรรม ที่มีจริงๆ ซึ่งเกิดขึ้นเป็นไปในชีวิตประจำวัน และที่ตัวของแต่ละบุคคล ก็จะมีรูป แต่ละรูปซึ่งหลากหลายมาก ตาก็มี หูก็มี ซึ่ง โดยประเภททั้งหมด ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง รูปทั้งหมดมี ๒๘ รูป

    ผู้ฟัง ธรรมทั้งหลาย จะเข้ามากับชีวิตประจำวันอย่างไร

    ท่านอาจารย์ คือข้อสำคัญที่สุด ทุกคนก็รู้ว่าฟังแล้วก็ลืม ใช่ไหม ทั้งวันเราฟังอะไรมาบ้าง ตั้งแต่เช้า ตื่นขึ้นมาเราพูดอะไรบ้าง เรื่องอะไรบ้าง ลืมหมดใช่ไหม เพราะฉะนั้นฟังแล้วก็ลืม โดยเฉพาะคำที่ลึกซึ้ง เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่ลืมก็หมายความว่า เห็นคุณค่าอย่างยิ่ง ที่ว่าเกิดมาแล้วขอให้ได้เข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสักคำ พอเข้าใจแล้ว เห็นค่ามากขึ้น ก็ต่อไปอีกสักคำ เรื่อยๆ ไป แต่ที่สำคัญที่สุด ไม่ใช่เพื่อให้เพียงฟัง แต่ประโยชน์จริงๆ ก็คือว่าเข้าใจ แล้วก็เข้าใจจริงๆ ด้วย แล้วเข้าใจนั้นก็ใช้คำในภาษาบาลีว่า "ปัญญา" หรือ "สัมมาทิฏฐิ" ความเห็นถูกต้องตามความเป็นจริง ของสิ่งที่มีจริง

    แสดงว่าก่อนฟังธรรม เราคิดว่าสิ่งนั้นก็จริง สิ่งนี้ก็จริง นั่นคือคนที่ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังไม่รู้อะไรเลย แต่ว่าเมื่อเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ละคำ เป็น คำที่ฟังแล้วไม่ควรลืม แต่ไม่ควรลืมนี้จะอย่างไรดี คือว่าฟังแล้ว คิด ไตร่ตรอง แล้วก็พิจารณา เช่นเดี๋ยวนี้ ฟังแล้ว เรื่องจิต เรื่องเจตสิก เรื่องรูป ลองคิด หิว เป็นธรรมหรือไม่ แค่นี้ตั้งแต่ต้นเลย ประโยชน์ที่ได้รับจากการเข้าใจธรรม คือต้องเป็นธรรมแน่นอน มีจริงๆ ด้วย เป็นรูปธรรม หรือนามธรรม นี่ต้องเป็นการไตร่ตรอง เพราะเหตุว่า ฟังแล้วว่ารูปธรรมคืออะไร นามธรรมคืออะไร ถ้ายังไม่เข้าใจอย่างนี้ ชื่อต่างๆ ไม่มีความหมายเลย เพราะว่ายังจำ เหมือนคนนั้นชื่อนี้ คนนี้ชื่อนั้น ไม่พบกันบ่อยๆ ก็ลืม

    เพราะฉะนั้นธรรมก็เช่นเดียวกัน ฟังแล้วมีจริงๆ เดี๋ยวนี้ ไม่ต้องไปหาที่ไหนเลย หิวทุกวัน ใช่ไหม แต่หิวนั่นไม่ใช่เรา ก็ต้องเป็นธรรม แต่ว่าเป็นธรรมอะไร เห็นไหม แค่ธรรมนี่ทุกคนตอบได้ ไม่ว่าอะไรทั้งนั้น ขอให้ทราบว่าเป็นธรรม แต่จะรู้จักมากน้อยนั่นอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าเราฟังมาก เรายิ่งรู้ธรรมนั้นละเอียดขึ้นๆ เพราะว่าทรงแสดงไว้ถึง ๔๕ พรรษา แต่ก็มีจริงๆ ในชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้นศึกษาธรรม ฟังธรรม เข้าใจธรรม คือที่ตัว มีครบทุกอย่าง แต่ว่าไม่เคยรู้เลยว่าเป็นธรรม หิวก็หิวทุกวัน แล้วหิวเป็นอะไร เห็นไหม

    มีคำ ๓ คำ ๑) ธรรม ๒) รูปธรรม นามธรรม ๓) จิต เจตสิก รูป ฟังแล้วไม่ทิ้งเปล่า ถ้าทิ้งเปล่าคือลืม ชาตินี้ลืม ชาติหน้าจะได้ฟังอีกหรือไม่ ฟังแล้วจะเข้าใจแค่ไหน แต่ถ้าไม่ลืม ค่อยๆ เพิ่มขึ้น และก็จะติดตาม สืบต่อไปด้วย เหมือนเราเรียนหนังสือตั้งแต่เด็ก ทีละตัว ใช่ไหม พอไปพบที่ไหน จำได้เลยว่าตัวนั้น อ่านออกได้ด้วย ชาติไหนก็ตาม ที่มีโอกาสได้ยินได้ฟังอีกครั้งหนึ่ง ความเข้าใจที่เข้าใจแล้ว ไม่สูญหาย เพียงแต่ว่าเราคิดน้อย ลืมมาก พอฟังอีกก็ต้องทบทวน หรือว่าถ้าคิดบ่อยๆ ฟังบ่อยๆ จำได้บ่อยๆ เพียงแค่ได้ฟัง ก็เข้าใจได้มากกว่าคนที่ไม่เคยฟังเลย เพราะฉะนั้นลองคิด "หิว" เป็นอะไร เป็นธรรมดาแน่นอน คำนี้ตอบได้ แต่ธรรมอะไร

    ผู้ฟัง ขออนุญาตตอบ หิว เป็น เจตสิก เพราะเป็น ความรู้สึกหิว

    ท่านอาจารย์ รู้สึก หิว ใช่ไหม เป็นความรู้สึกอย่างหนึ่ง ชอบหิวไหม

    ผู้ฟัง ไม่ชอบหิว

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเป็นความรู้สึกประเภทไหน ความรู้สึกมี ๕ อย่าง ไม่เกินกว่านั้นเลย ถ้าเป็นทางกาย จะมีความรู้สึก ๒ อย่าง คือ สุขหรือทุกข์ เวลาที่กระทบสัมผัส ไม่ว่าจะเป็น เย็นหรือร้อน ธาตุไฟ อ่อนหรือแข็ง ธาตุดิน ตึงหรือไหว ธาตุลม ที่กาย จะนำมาซึ่งความรู้สึก เมื่อมีการรู้สิ่งที่กาย เป็นความรู้สึกอย่างหนึ่งอย่างใด ใน ๒ อย่างคือ สุขหรือทุกข์ เพราะฉะนั้นหิวเป็นความรู้สึกใช่ไหม ความรู้สึกมี ๕ อย่าง ทางกายอย่างหนึ่งอย่างใด สุขหรือทุกข์ ทางใจ แม้ว่าร่างกายเป็นทุกข์ แต่ใจไม่เป็นทุกข์ก็ได้ หรือว่าร่างกายสบายดี มีทรัพย์สมบัติ มีเงินทอง มีทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ใจเป็นทุกข์

    เพราะฉะนั้นมีทุกข์กายกับทุกข์ใจ สุขกายกับสุขใจ พระอรหันต์ยังต้องเจ็บปวด เพราะว่ายังมีกาย แต่ไม่มีทุกข์ใจ แต่คนธรรมดา มีทั้งทุกข์กาย ทุกข์ใจ ใช่ไหม สุขทางกาย ทุกข์ทางกาย ๒ สุขทางใจ ทุกข์ทางใจ ๒ เป็น ๔ ความรู้สึกอีกประเภทหนึ่ง คือเฉยๆ ภาษาบาลีใช้คำว่า "อทุกขมสุข" ไม่สุขไม่ทุกข์ เดี๋ยวนี้มีไหม เห็นหรือไม่ ธรรมไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย อยู่ที่ตัว แต่ไม่เคยรู้ว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้นถ้าจะเข้าใจธรรม ก็เข้าใจเวลาที่สภาพธรรมหนึ่ง สภาพธรรมใดกำลังปรากฏ แล้วรู้ ไม่ใช่เรียกชื่อ แต่ความรู้สึกนั้นมี แล้วก็ไม่ใช่เราด้วย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา แสดงความเป็นอนัตตา จนกว่าจะหมดความเป็นเรา แต่เวลาทุกวันนี้ หิวคือ เราหิวใช่ไหม แต่ความจริงไม่ใช่ เป็นธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้น เป็นความรู้สึกที่เป็นอะไร

    ผู้ฟัง ทุกขเวทนา

    ท่านอาจารย์ ทุกขเวทนาทางกาย

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 186
    1 พ.ย. 2568