ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1192


    ตอนที่ ๑๑๙๒

    สนทนาธรรม ระหว่างเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย พุทธคยา

    วันที่ ๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๑


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น มีสิ่งที่กระทบตาได้ ๑ รูป ภาษาบาลีใช้คำว่า วัณณะ หรือ วัณโณ จะให้ชัดเจนเป็นภาษาไทยก็คือ สิ่งที่ปรากฏให้เห็น มีรส แล้วมีกลิ่นอยู่ที่มหาภูตรูป น้ำหอมเหลวๆ อย่างนี้ก็มีกลิ่น แข็งๆ นี้ก็มีกลิ่น แอปเปิ้ลก็มีกลิ่น ดอกกุหลาบก็มีกลิ่น ดอกมะลิก็มีกลิ่น กล้วยมีกลิ่นไหม งูมีกลิ่นไหม ปลามีกลิ่นไหม แข็งอยู่ตรงไหนมีกลิ่นอยู่ตรงนั้นอีกหนึ่งรูป ตอนนี้กล่าวไป ๓ รูปแล้ว เหลืออีกรูปหนึ่ง

    เมื่อเช้านี้รับประทานอาหาร มีอะไรในอาหารที่ต้องรับประทาน ถ้าไม่รับประทานอาหารก็อยู่ไม่ได้ใช่ไหม ๗ วัน ๑๐ วัน หรือ ๑ เดือน ตายได้แน่ๆ เลย เพราะฉะนั้นที่แข็งที่อ่อน ที่เย็นที่ร้อน ที่ตึงที่ไหว ที่มหาภูตรูปมีอีกรูปหนึ่ง คือรูปอะไร

    อ.ธีรพันธ์ โอชารูป

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นอีก ๔ รูปคือ สี กลิ่น รส เเละโอชา เมื่อมีมหาภูตรูปเเล้วไม่ให้มีโอชาได้ไหม เเละโอชาจะเกิดโดยไม่มีมหาภูตรูปไม่ได้ โอชาเกิดเองไม่ได้เลย ที่ไม้นี้มีโอชาไหม

    โอชา คือรูปที่ทำให้เกิดรูป แสดงว่ารูปที่เกิดจากกรรม แค่ตา หู จมูก ลิ้น กายปสาท ซึมซาบทั่วตัวนั้นไม่พอที่จะดำรงชีวิต ต้องอาศัยโอชา แต่ไม่ใช่รส รสอย่างหนึ่งที่กระทบลิ้น เเต่โอชาไม่ได้กระทบลิ้นเลย โอชาเป็นรูปที่ทำให้เกิดรูป

    ถึงเเม้ว่าเราไม่ได้รับประทานข้าว แต่จะเป็นวิตามินหรืออะไรก็ได้ซึ่งมีโอชาที่ทำให้เกิดรูป อย่างอาหารของพวกนักบินอวกาศ เป็นต้น ก็คิดกันไป ทำกันไป แต่ว่าอย่างไรก็ตามที่มหาภูตรูปทุกกลุ่ม หรือกลาปซึ่งเล็กที่สุด ต้องมีรูปที่แยกออกจากกันไม่ได้ ๘ รูป

    ไม้ก็เป็นอาหารของปลวกได้ ของมนุษย์ก็ได้ เอาไปแตกย่อย ผสมโน่นผสมนี่ก็ทำให้อร่อยได้ใช่ไหม ก็เป็นเรื่องที่ว่ามีโอชาอยู่ที่นั่น แต่ตัวโอชาไม่ใช่รส ชอบโอชาหรือชอบรส

    ผู้ฟัง คนก็จะติดในรส

    ท่านอาจารย์ ปกติไม่รู้จักโอชา รู้แต่ว่าต้องรับประทานอาหาร ไม่รับประทานไม่ได้ แต่ไม่รู้เลยว่า เพราะในอาหารนั้นมีรูปหนึ่งซึ่งเป็นรูปที่ทำให้เกิดรูปอื่นได้

    เพราะฉะนั้น รูปที่เกิดจากสมุฏฐานคือกรรม อย่างอื่นไม่สามารถที่จะทำให้รูปนั้นเกิดได้เลย ต้องเฉพาะกรรม กรรมก็มี ๒ อย่าง กุศลกรรม อกุศลกรรม ดังนั้นจึงมีรูปที่เกิดก็เกิดจากอกุศลกรรม หรือเกิดจากกุศลกรรมก็ได้ ซึ่งก็เป็นปกติตามธรรมดาที่ต้องเป็นไปอย่างนี้

    ทั้งหมด ๘ รูปแยกกันไม่ได้เลย ที่ตัวของเรามีอากาศธาตุ ไม่ใช่แข็ง ไม่ใช่กลิ่นด้วย เป็นอีกรูปหนึ่งแล้ว เพราะฉะนั้น ๒๘ รูป ค่อยๆ ฟังไปเดี๋ยวก็ครบ ถ้ายังไม่ครบก็ไม่ต้องเดือดร้อนเพราะต้องเข้าใจ อย่าฟังเเค่เพื่อให้ครบ ถ้าฟังครบแล้วพูดได้แต่ไม่เข้าใจคือหยาบ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่มีประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้นเลย เพราะฉะนั้น พูดคำที่ไม่รู้จักมาตลอดชีวิต จนกว่าจะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อไหร่เข้าใจเมื่อนั้นพูดคำที่รู้จัก

    ดังนั้นโอชามี เเล้วทุกรูปก็ย่อยละเอียดยิบได้ เพราะมีอากาศธาตุแทรกคั่นอยู่ แตกทำลายได้ เมื่อคิดอย่างนี้ เข้าใจอย่างนี้ เเล้วไหนเรา

    รูปเป็นรูปที่เล็กมาก ละเอียดมาก เกิดจากสมุฏฐานต่างๆ ใครก็ทำให้รูปเกิดไม่ได้นอกจากกรรม ทำให้รูปนี้ๆ ๆ เกิดขึ้น เช่น จักขุปสาท โสตปสาท

    รูปที่เกิดจากจิต ยิ้ม หัวเราะ โกรธ เศร้า ร้องไห้ น้ำตาไหล เต้นรำสนุกสนาน พวกนี้ก็เกิดจากจิต

    รูปที่เกิดจากอุตุ ความเย็นความร้อน ทำให้ป่วยไข้ได้เจ็บ บางคนเจ็บคอเพราะตากน้ำค้าง หรืออะไรก็แล้วแต่

    และยังมีรูปที่เกิดจากอาหารคือ โอชา ที่ทำให้รูปเกิดได้

    เพราะฉะนั้นที่มหาภูตรูปก็มีรูปอีก ๔ รูป ถ้าเราไม่นับอากาศซึ่งอยู่ระหว่างกลาป กลุ่มที่เล็กที่สุดที่ย่อยออกแล้วมีรูปน้อยที่สุดคือ ๘ รูป เรียกว่าหนึ่งกลาป แต่ถ้ามีตาเกิดร่วมด้วย จักขุปสาทแยกออกจากธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม ได้ไหม บอกไปแล้วต้องไม่ลืม มหาภูตรูป ชื่อนี้ไม่เปลี่ยน จะไปทิ้งที่ไหนก็ไม่ได้

    รูปใหญ่ รูปที่เป็นประธานมี ๔ รูป ถ้าไม่มี ๔ รูปนี้ รูปใดๆ ก็ไม่มีทั้งสิ้น ทั้งสิ้นคือต้องมีอีก ๔ รูปอย่างน้อยที่สุด แต่ก็มีที่เพิ่มอีกเพราะเหตุว่า ตาเกิดแล้วเพราะกรรม เพราะฉะนั้น เรารู้ได้เลยว่ารูปที่เกิดจากกรรมคือจักขุปสาทซึ่งมองไม่เห็นเลย ไม่ใช่ตาขาวตาดำทั้งหมด แต่รูปนั้นสามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏ แค่กระทบแต่ไม่เห็นเพราะเป็นรูปธรรม

    ขณะนั้นเองก็มีรูปซึ่งเกิดจากกรรม เพราะจักขุปสาทเป็นรูปที่เกิดจากกรรมเฉพาะตรงนั้น

    รูปที่เกิดจากจิต เช่น นั่ง เดิน ยืน นอน พูด ก็เกิดจากจิตเป็นสมุฏฐาน

    รูปที่เกิดจากอุตุ ป่วยไข้ได้เจ็บบ้าง ตากแดดมากๆ ผิวคล้ำไปอะไรอย่างนี้ก็เป็นรูปที่เกิดจากอุตุ

    และรูปที่เกิดจากอาหารที่รับประทานเข้าไป ไม่ว่าจะมีประโยชน์หรือว่าเป็นพิษ อาหารนั้นก็ทำให้เกิดรูปดีบ้างไม่ดีบ้างต่อไป

    รูปใดก็ตามซึ่งเกิดจากกรรม แยกจากมหาภูตรูปไม่ได้ ในกลุ่มนั้นมีรูปเพิ่มจาก ๘ รูปอีกรูปหนึ่ง ไม่ใช่ตรงอื่นเเต่เฉพาะส่วนนั้น เช่น มีจักขุปสาทรูปแล้วยังต้องมีอีกรูปหนึ่ง รูปใดๆ ก็ตามที่เกิดจากกรรมเป็นสมุฏฐานต้องมีรูปพิเศษอีกรูปหนึ่งคือ ชีวิตรูป หรือ ชีวิตินทริยรูป มีคำว่าอินทรีย์ เป็นใหญ่ เพราะเหตุว่าทำให้รูปนั้นมีชีวิตเพราะเกิดจากกรรม ไม่ได้เป็นรูปปั้นที่ถึงเเม้ว่าหน้าตาจะเหมือนคนทุกส่วน เเต่ไม่มีชีวิตรูปซึ่งเป็นรูปที่เกิดจากกรรม

    ดังนั้นเราก็สามารถที่จะเข้าใจความจริงคือ ไม่มีเรา ต้องบอกเลยว่าความจริงที่คนไม่รู้ก็คือไม่รู้ว่าไม่มีเราแต่เป็นธรรมทั้งหมด เพราะฉะนั้น ความจริงถึงที่สุดก็คือไม่ใช่เรา

    ด้วยเหตุนี้ ธรรมคือสิ่งที่มีจริง จิตมีจริงไหม เป็นธรรมหรือไม่ เจตสิก รูป ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา จึงใช้คำว่าปรมะ อรรถคือ ลักษณะของแต่ละหนึ่งๆ รวมความว่า ธรรมที่เป็นปรมัตถธรรม ถึงที่สุดก็แค่นี้เองคือ (เป็นรูปที่เกิดจากกรรม ๑๘ รูป โดยรูปทั้งหมดมี ๒๘ รูป) ดังนั้นไม่ว่าจะปรากฏเป็นท้องฟ้า น้ำทะเล เต่า นก คน เป็นเครื่องมืออะไรต่างๆ ก็ไม่พ้นจากที่เป็นรูป

    กรรมคืออะไร ถ้าไม่ฟังเรื่องอื่นประกอบด้วย จะไม่มีทางเข้าใจเพราะเพียงแค่จำ เขาบอกเราก็จำ เขาบอกชื่อเจตสิก เราก็จำไว้เท่านั้นเอง แต่จะถึงความไม่ใช่เราได้นั้นต้องละเอียดมาก เพราะฉะนั้น ปรมัตถธรรมมีอะไรบ้าง จิต เปลี่ยนไม่ได้ เเล้วมีอะไรอีก เจตสิก สภาพธรรมที่มีจริงทั้งหมดเป็นธรรม ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ จึงใช้คำว่า ปรมะ ปรมัตถธรรม ซึ่งมีจิต มีเจตสิก แล้วมีอะไรอีกก่อนนิพพาน นิพพานยังไม่มีตอนนี้ แต่ตอนนี้สิ่งนั้นมี

    ผู้ฟัง รูป

    ท่านอาจารย์​ รูป ดังนั้นเราเริ่มเข้าใจปรมัตถธรรม ๔ เมื่อได้ยินคำว่าปรมัตถธรรมที่ไหน ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ธรรมทั้งหมดเป็นปรมัตถธรรมมี ๔ จิต เจตสิก รูป เเละนิพพาน

    รูป ไม่รู้อะไร เป็นรูปปรมัตถ์ แล้วนิพพานรู้อะไรไหม นิพพานเป็นรูปหรือไม่ ไม่ใช่ ถึงแม้ว่าไม่รู้อะไรแต่ก็ต่างกันกับรูป โดยที่สภาพหนึ่งไม่รู้แต่เกิดขึ้น มีลักษณะหลากหลายและก็ดับเป็นรูปธรรม แต่อีกสภาพหนึ่งไม่รู้อะไรเหมือนกัน ไม่ใช่จิต ไม่ใช่เจตสิก ไม่ใช่รูป แต่ไม่เกิด นี่คือการที่กว่าจะถึงพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ตราบใดที่ยังไม่ประจักษ์แจ้งนิพพาน ต้องติดข้องในสิ่งที่เกิดดับ

    เพราะฉะนั้น ธรรมจึงเป็นปรมัตถธรรมทั้งหมด รูปเป็นปรมัตถธรรมหรือไม่ จิตเป็นปรมัตถธรรมหรือไม่ เจตสิก นิพพาน ทั้งหมดเป็นอภิธรรม อภิ แปลว่า ลึกซึ้งอย่างยิ่ง รู้ได้อย่างไรว่ามี ๘ รูปไม่ใช่ ๙ เเละรู้ได้อย่างไรว่ารูปนี้มีถึง ๑๐ รูป เพราะมีจักขุปสาทรูปกับชีวิตรูป หรือชีวิตินทริยรูป

    รูปที่ไม่ได้เกิดจากกรรมจะมีชีวิตินทริยรูปไม่ได้ นี่คือความต่างกัน เราถึงได้บอกว่าตายแล้ว ตาก็ยังอยู่เหมือนเดิม รูปร่างก็เหมือนเดิม แต่คือตายแล้ว เพราะว่ากัมมชรูปจะต้องดับก่อนจุติจิต ๑๗ ขณะ เพราะฉะนั้นเมื่อตาย จิต เจตสิก รูป ดับพร้อมกันทั้งหมด ไม่เหลือเลย ไม่เหลือความเป็นคนนี้อีกเลย

    ดังนั้น การที่เข้าใจว่าเป็นเราคือหลง เพราะไม่มีแต่มีการเกิดขึ้น จิต เจตสิกเกิดก็บอกว่าเราเกิด เมื่อถึงเวลาที่กรรมสิ้นสุดที่จะให้เป็นบุคคลนี้ ก็ถึงขณะสุดท้ายที่จิตเกิดขึ้นไม่ได้ทำกิจเห็น ได้ยิน ไม่ได้ทำภวังคกิจดำรงภพชาติ แต่ทำกิจเคลื่อนพ้นจากความเป็นบุคคลนี้ ทันทีที่จิตนั้นดับก็เป็นบุคคลนี้อีกไม่ได้เลย ซึ่งเป็นธรรมทั้งหมด ไม่มีเรา

    กรรม มีจริงแน่นอน ใช่หรือไม่ รูปทำกรรมได้ไหม ถ้าเราบอกว่ากรรมคือการกระทำ อย่างกายกรรม การกระทำทางกาย วจีกรรม กรรมที่กระทำทางวาจา แล้วมโนกรรมคือกรรมที่ทำทางใจ ไม่ต้องพูด ไม่ต้องเคลื่อนไหว แต่เป็นกรรมที่จะให้ผล

    เพราะฉะนั้น กรรมได้แก่ จิต หรือเจตสิก หรือรูป รูปไม่รู้อะไรเลย

    ผู้ฟัง จิตกับเจตสิก

    ท่านอาจารย์ ต้องเจาะจงอีก เพราะจิตเป็นธาตุรู้ เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ เป็นมนินทรีย์ กรรมคือ เจตนาเจตสิก (เจ-ตะ-นา) ภาษาไทยเราออกเสียงเป็นเจด-ตะ-นา นั่งตรงนี้มีเจตนาไหม ลุกขึ้นยืนมีเจตนาไหม มี

    เพราะฉะนั้น เจตนาเจตสิกเกิดกับจิตทุกขณะ แต่เรายังไม่รู้ เพราะว่าเจตสิกอื่นก็เกิดกับจิตทุกขณะ เเล้วเจตนาเจตสิกนี้มีลักษณะและกิจการงานอย่างไร

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงสภาพธรรมโดยไม่คลาดเคลื่อน หมายความว่าต้องชัดเจน ไม่ให้หลงเข้าใจผิด ทรงแสดงธรรมโดยลักษณะว่า นี่คือลักษณะของสิ่งนั้น ถ้าไม่มีลักษณะเราจะรู้ว่าต่างกันไหม ก็ไม่รู้ใช่ไหม แต่ที่รู้ว่าต่างเพราะลักษณะของแต่ละหนึ่งๆ ต่างกัน เพราะฉะนั้น ทรงแสดงธรรมโดยประเภทที่แต่ละหนึ่งก็ต่างกันโดยลักษณะ กิจการงานหน้าที่ อาการที่ปรากฏ และเหตุใกล้ให้เกิด

    พูดคำเดียว ปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือระดับไหน แต่สำหรับปัญญาของเรา ๔ อย่างนี้ ไม่สามารถรู้ได้ครบ เพียงรู้นิดๆ หน่อยๆ ว่า กรรมคือเจตนาเจตสิก แต่ต้องรู้ต่อไปอีกว่าแล้วเจตนาเจตสิกทำอะไร มีกิจอะไร มีลักษณะอย่างไร

    ลักษณะของเจตนาเป็นสภาพที่จงใจ ตั้งใจ บางคนที่บอกขอโทษ ไม่ได้เจตนา นั่นคือผิด เพราะว่าเจตนาเจตสิกเกิดกับจิตทุกขณะ แต่เพราะเขาไม่รู้ เขาหมายความว่าไม่ได้ตั้งใจที่จะทำอย่างนั้น ใช่ไหม เขาเลยกล่าวว่าไม่ได้เจตนา เเต่จริงๆ ต้องมีเจตนาเจตสิกเกิดกับจิตทุกขณะ

    ผู้ฟัง แต่คนก็จะพูดออกมาโดยที่ไม่รู้ว่าเจตนาคืออะไร

    ท่านอาจารย์ ไม่รู้อะไรเลย เพราะว่าเขาพูดคำที่ไม่รู้จัก จนกว่าจะได้ฟังธรรมชัดเจน ซึ่งเมื่อเขาบอกไม่ได้เจตนาสำหรับภาษาธรรมดา เราเข้าใจได้เลยว่าเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะทำอย่างนั้น แต่ความตั้งใจต้องเกิดกับจิตทุกขณะ

    เพราะฉะนั้น จิตหนึ่งขณะจะขาดเจตสิกเกิดร่วมด้วยไม่ได้เลย และจิตที่เกิดได้ต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยน้อยที่สุด ๗ ประเภท และน้อยที่สุดนั้นใครรู้ว่าขณะไหน ขณะเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส โดยกรรมทำให้เกิดรูป ซึ่งสามารถกระทบกับสิ่งซึ่งจะทำให้จิตที่เป็นผลของกรรม เกิดขึ้นรู้สิ่งนั้น ผลของกรรมต้องเป็นจิตที่เกิดขึ้นรู้

    รูปเป็นผลของกรรม แต่ไม่รู้อะไร เพราะไม่ใช่ธาตุรู้จึงใช้คำว่ารูป รูปเป็นผลของกรรมแต่ไม่ใช่วิบาก แต่จิตเป็นสภาพรู้ ไม่รู้ไม่ได้เลย เกิดขึ้นต้องรู้ โดยเป็นผลของกรรมที่ต้องทำให้รู้อย่างนั้น

    เพราะฉะนั้น จิตและเจตสิกใช้คำว่า วิปากะ หรือวิบาก ดังนั้นกรรมให้ผล ๒ อย่าง คือทำให้วิบากจิต และเจตสิกเกิด และทำให้รูปซึ่งเป็นผลของกรรมแต่ไม่ใช่วิบากเกิด ละเอียดมากเลย ทุกขณะจิตที่ดำรง เป็นหนึ่งขณะในชีวิต ไม่ว่าใครทั้งหมดที่มีชีวิต จะอยู่โลกไหนก็ตามก็เป็นอย่างนี้


    สนทนาธรรม ที่ ราชกรีฑาสโมสร

    วันที่ ๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๑


    ผู้ฟัง จะทราบกันว่าคำว่า ธรรมคือสิ่งที่มีอยู่จริง สิ่งที่มีอยู่จริงนั้นสำคัญในความเป็นธรรมอย่างไร ในการเริ่มต้นที่จะศึกษาพระธรรม

    ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นคำที่คนอื่นกล่าว ใครๆ ก็เข้าใจได้ไม่ยาก แต่ถ้าเป็นคำที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสด้วยพระองค์เอง คำนั้นต้องลึกซึ้งอย่างยิ่ง เราต้องรู้ว่า เเต่ละคำมาจากการที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีในครั้งที่เป็นพระโพธิสัตว์ จนกระทั่งได้ตรัสรู้ธรรม ดังนั้นแค่คำเดียว ความลึกซึ้งของธรรมต้องมากมายกว่าที่เราคิด หรือที่เราจะฟังเผินๆ แล้วคิดว่าเข้าใจได้

    ทุกคนลองคิดหรือพูดดังๆ ว่า ธรรม ความเข้าใจของคนที่พูดต่างกันไหม ถ้าไม่เคยได้ยินได้ฟังเลยจะคิดว่าธรรมคืออะไร ก็แล้วแต่คนนั้นบอกอย่างนี้ คนนี้บอกอย่างนั้น แต่ถ้าเป็นคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส คำนั้นต้องลึกซึ้งอย่างยิ่ง

    ดังนั้น แต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสิ่งซึ่งประมาทไม่ได้เลย แม้คำเดียวที่ทุกคนพูดตามได้ แต่พระปัญญาที่ตรัสคำนี้ กับคำที่คนอื่นได้ฟังแล้วคิดและพูดตาม ปัญญาของคนนั้นต้องต่างกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ห่างไกลกันแค่ไหน

    เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรม ประการแรกก็คือ ฟังด้วยความเคารพอย่างยิ่งว่า คำนี้ไม่ใช่เป็นคำที่เผินมาก เพียงแค่ได้ยินแต่ไม่พิจารณา ไม่ไตร่ตรองให้ลึกซึ้ง ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ลึกซึ้งตามลำดับ เหมือนคนที่ยืนอยู่ที่ริมฝั่งมหาสมุทร มหาสมุทรลึกไหม หรือว่าบนบกลึก แต่ละก้าวที่หยั่งลงไป ความลึกซึ้งของมหาสมุทรก็ยิ่งชัดเจนขึ้น

    ความลึกซึ้งของคำว่าธรรมคำเดียว คนที่ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อได้ฟังคำนี้ต้องระลึกถึงพระปัญญาคุณที่ตรัสคำนี้ เพื่อให้คนอื่นได้รู้ตามที่พระองค์ได้รู้ด้วย เพราะฉะนั้น ธรรมเป็นคำที่ตั้งแต่ไม่เข้าใจอะไรเลย จนกระทั่งฟังแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น จนสามารถที่จะดับกิเลสถึงความเป็นพระอรหันต์

    ดังนั้นจึงมีพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะ ที่เรากล่าวว่า พระรัตนตรัย ๓ ถ้าไม่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระพุทธรัตนะ ก็ไม่มีธรรมรัตนะ เเละสังฆรัตนะ ต้องรู้ว่า สำหรับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหนือบุคคลใดในสากลจักรวาล ในสมัยหนึ่งที่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมกัน ๒ พระองค์ไม่ได้ นี่คือความเลิศที่สุดของพระปัญญา ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะเปรียบได้

    มีข้อความว่า ผู้ที่จะสรรเสริญพระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ก็คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่งเท่านั้น คนอื่นไม่มีทางรู้ได้เลย อย่างเราที่ได้ฟังก็ยังรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าน้อยมาก เพียงแค่พระองค์เป็นพระพุทธรัตนะ ทรงแสดงธรรมซึ่งเป็นรัตนะ มีค่ายิ่งกว่าสิ่งใดในสากลจักรวาลเมื่อเข้าใจ

    โดยจะเห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อเข้าใจคำแต่ละคำ เช่นคำว่า ธรรม ตั้งต้นด้วยธรรม จนถึงที่สุดก็ธรรม เพราะฉะนั้น ธรรมหมายความถึงทุกอย่างที่มีจริง ถ้าไม่มีจริงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงตรัสรู้อะไร

    ดังนั้น สิ่งที่ทรงตรัสรู้มีจริง และมีจริงทุกกาลสมัยไม่ว่าสมัยใด ไม่ใช่แต่เฉพาะในครั้งที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ แม้แต่ขณะนี้ก็มีธรรม แต่ใครจะรู้ว่าเดี๋ยวนี้อะไรเป็นธรรมถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม เพราะฉะนั้น แต่ละคำ ฟังแล้วไม่ลืมก็ยังไม่พอ ยังต้องไตร่ตรองพิจารณา เข้าใจขึ้นจนกระทั่งมั่นคง

    เริ่มต้นด้วย ธรรมต้องเป็นสิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้มีธรรมไหม เห็นไหมว่าไม่ใช่เพียงฟัง แต่ว่าประโยชน์ที่ได้จากการฟัง คือได้รับสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิต คือความเห็นถูกต้อง ซึ่งเป็นปัญญาของผู้ฟัง ซึ่งไม่สามารถที่จะมีได้เลยถ้าไม่มีการฟังพระธรรมแล้วเข้าใจ

    เพราะฉะนั้น การฟังไม่ได้หมายความแค่ได้ยิน แต่ไตร่ตรองจนกระทั่งไม่ลืมทุกคำ ธรรมคือสิ่งที่มีจริงทุกกาลสมัย แค่นี้ เดี๋ยวนี้มีธรรมไหม ถ้าฟังแล้วไม่มีการสนทนา ก็คงจะไม่ทราบว่ามีความเข้าใจมากน้อยแค่ไหน ทุกสิ่งที่มีจริง ภาษาไทย ภาษาบาลีคือธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงทุกกาลสมัย เดี๋ยวนี้มีธรรมไหม แค่คำเดียวที่ถาม ยังต้องไม่ไปไกล เดี๋ยวนี้มีธรรมหรือไม่

    ผู้ฟัง ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้มีหรือไม่

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้อะไรเป็นธรรม

    ผู้ฟัง สิ่งที่ปรากฏอยู่ทั้งหลายรอบๆ ตัวเหล่านี้ เป็นธรรมทั้งหมด

    ท่านอาจารย์ กรุณาบอกแต่ละคำได้ไหมว่าอะไร ทีละหนึ่ง

    ผู้ฟัง เสียงที่ได้ยินอยู่เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง นี่เริ่มรู้จักธรรม แค่ฟังแล้วไตร่ตรองก็เข้าใจได้ใช่ไหม เสียงมีจริง ถ้าเสียงไม่เกิดจะมีเสียงไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เสียงเกิดแล้วดับไป ไม่เหลือเลยใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมีจริง เกิดแล้วดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ จนกระทั่งไม่ปรากฏการเกิดดับของสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้เลย ผู้ที่ตรัสคำนี้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า "สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา" เชิญคุณคำปั่นให้ความหมายของคำว่า ธรรมดา ด้วย

    อ.คำปั่น คำว่า ธรรมดา มาจากภาษาบาลีว่า ธรรมตา มาจากคำสองคำคือ ธรรม กับ ตา ธรรมคือสิ่งที่มีจริงๆ ตาคือความเป็น รวมกันเป็นธรรมตา ภาษาไทยก็คือ ธรรมดา โดยความหมายคือ ความเป็นจริงของธรรม ความเป็นไปของธรรม

    ท่านอาจารย์ คนไทยใช้คำนี้จนเหมือนเป็นภาษาไทย ใช่ไหม ทุกอย่างเป็นธรรมดา แต่หารู้ไม่ว่า ถ้าพูดอย่างนั้นด้วยความเข้าใจ แต่ละหนึ่งเกิดแล้วต้องเป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น คือเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเป็นธรรมดา ภาษาบาลีใช้ ตา แต่ภาษาไทยเปลี่ยน ต.เต่าเป็น ด.เด็ก แทนที่เราจะพูดว่าธรรมตา เราก็บอกว่าธรรมดา ฝนตกเป็นธรรมดาไหม แดดออกเป็นธรรมดาไหมในภาษาไทย แต่ความเข้าใจของคนพูด ต้องเข้าใจว่าลึกซึ้งกว่านั้นมาก เพราะเหตุว่าสิ่งที่มีจริงยากที่จะรู้ได้ เช่น ขณะนี้ มีท่านที่ตอบว่าเสียงมีจริง ทำไมถึงรู้ได้ว่าเสียงมีจริง

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 186
    22 ต.ค. 2568