ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1163
ตอนที่ ๑๑๖๓
สนทนาธรรม ที่ บ้านธัมมะภาคเหนือ จ.ลำพูน
วันที่ ๑๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ท่านอาจารย์ ทรงแสดงกำกับไว้ด้วย ไม่ใช่เพียงแต่ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ แต่ยังทรงแสดงธรรมกำกับว่า สัจจญาณ กิจจญาณ และกตญาณ ไม่ให้หลงผิดเลย เพราะเหตุว่า มีการหาหนทางที่จะทำอย่างไรสิ่งที่ปรากฏทางตาถึงจะเป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา ไปพยายามให้เกิดดับ แลแสนโกฏิกัปป์ที่เคยไม่รู้และเคยจำไว้ ค่อยๆ คลายไปเมื่อไหร่ถึงสามารถจะประจักษ์ได้ ธรรมไม่ใช่ฟังวันนี้เเล้วประจักษ์แจ้งวันนี้ แต่กว่าจะค่อยๆ คลาย คนนั้นก็สามารถรู้ตามตรงว่าคลายหรือยัง เห็นนี้ก็เป็นคุณอรรณพ คุณนพดล คลายหรือยัง
เพราะฉะนั้น หนทางคลาย คลายอย่างไร ไม่ใช่ตัวตนไปคลาย แต่ด้วยความเข้าใจเพราะสติระลึก เข้าใจอีกๆ ๆ ค่อยๆ ขัดเกลาชำระจิตไปทีละเล็กทีละน้อย จนอวิชชาความไม่รู้และความต้องการไม่สามารถจะเกิดขึ้นปิดบังเป็นสัจจญาณ ปฏิปัตติ การรู้และการถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมทีละหนึ่งจึงเกิดขึ้นได้ ไม่ใช่มีเราไปนั่งเลือกที่จะรู้ลมหายใจ หรือจะรู้รูปนั้น รูปนี้ เพราะว่าถ้าทำก็คือ มีความต้องการจะรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด นั่นคือเป็นความต้องการแล้ว เป็นความเห็นผิดแล้ว เป็นการเลือกแล้ว ไม่รู้ว่าไม่ได้ชำระจิตเลย
ถ้าชำระจิตจะรู้ได้ วันนี้เราตื่นขึ้น เมื่อคืนนี้ก่อนนอนก็ฟังธรรม แต่ตอนตื่นไม่เห็นรู้ว่าขณะนี้เป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา เราได้ยินคำนี้บ่อยแค่ไหน มากแค่ไหน พอหรือยัง พอที่สติจะเกิดพร้อมกับความรู้ที่ถูกต้องว่า แค่เห็น แล้วก็ไม่มี สองคำนี้กว่าจะถึงกาลที่มั่นคงขึ้น สมบูรณ์ขึ้นในขณะที่เห็นว่า แค่เห็น แล้วก็ไม่มี มีแต่เฉพาะขณะที่เห็น และเห็นก็ดับ กว่าจะนำไปสู่การที่สามารถที่จะถึงสติสัมปชัญญะ ซึ่งเป็นสติปัฏฐาน ต้องมาจากปริยัติซึ่งรอบรู้ในพระพุทธพจน์ ไม่ขัดกันเลย สอดคล้องกันทั้งหมด เพราะทุกคำเป็นคำจริงทุกคำ จนกระทั่งเป็นสัจจญาณก็คือ ปัญญา ไม่ใช่เรา
นั่นคือ สัจจะที่มั่นคงว่าทุกอย่างทุกสิ่งไม่ใช่เรา เป็นแต่เพียงธรรมที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ถึงจะสามารถมีกิจจญาณ คือ สติสัมปชัญญะได้ ยังไม่ใช่การประจักษ์แจ้ง โดยการไปนั่งทำอย่างไรให้รู้ว่าเห็นขณะนี้ดับ สิ่งที่ปรากฏทางตาดับ ไม่มีการชำระความไม่รู้และความสงสัย และความเป็นเรานานแสนนานมาได้เลย เพราะฉะนั้น ไม่ใช่หนทางจึงเป็นมิจฉามรรค
อ.อรรณพ ที่ท่านอาจารย์แสดงนี้คือให้เห็นโทษที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมอย่างหนึ่งที่พระองค์ไม่ทรงเล็งเห็นเลยว่า จะมีอะไรที่ร้ายยิ่งกว่ามิจฉาทิฏฐินี้เลย ทิฏฐิก็เป็นอกุศลและเจตสิกที่มีโทษมาก แล้วยังมิจฉาสติ ไม่มีสภาพธรรมเลย แต่ด้วยโลภะ ด้วยทิฏฐิอวิชชา ก็ทำให้คิดว่าอย่างนี้ จดจ้องตามติดเลย ดูจิตว่าจิตทำอะไร กำลังคิด กำลังทำอะไร ให้ดูความคิด ให้ดูอะไร เหมือนตามติดคิดไปเลย คนก็เลยดูว่านี่เป็นการเจริญสติ เป็นสติปัฏฐาน แต่ว่าไม่มีสติเจตสิกเลย โล่งเปล่าจากสติ เพราะว่ามิจฉาสติ ไม่ใช่สติเจตสิก
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้ สภาพธรรมเกิดดับหรือไม่
อ.อรรณพ เกิดดับ
ท่านอาจารย์ อะไรปิดกั้นไม่ให้เห็นการเกิดดับของสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับ
อ.อรรณพ ความสืบต่อที่รวดเร็วของสภาพธรรมที่เกิดดับนั้น แล้วก็ความที่ปัญญายังไม่เจริญมากพอ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น รู้จักความไม่รู้หรือยัง
อ.อรรณพ ค่อยๆ รู้จักตั้งแต่ขั้นศึกษา
ท่านอาจารย์ ความไม่รู้ แม้สิ่งนั้นปรากฏเผชิญหน้าเฉพาะหน้าก็ไม่รู้ แล้วไม่รู้อย่างนี้มานานเท่าไหร่แล้ว เหมือนฉากกั้นที่ดำมืดสนิท หนาแน่น ปิดกั้น ฟังตั้งเท่าไหร่ว่าสภาพธรรมเกิดดับ สภาพธรรมก็ยังไม่ได้ปรากฏการเกิดดับ เพราะความไม่รู้และการที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา หรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดนี้หนาแน่นมากมายมหาศาลระดับไหน แล้วจะให้สามารถละการยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด อย่างที่คุณอรรณพกล่าวนี้ได้ทันทีหรือ เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่าหนาแน่นปานนั้น
ถ้าไม่ค่อยๆ ละ ค่อยๆ คลายไปทีละเล็กทีละน้อย มีโอกาสที่สภาพธรรมจะปรากฏให้เห็นไหม เราพูดเรื่องจิต จิตก็ไม่ได้ปรากฏเลย เรื่องเจตสิกแต่ละหนึ่งๆ เกิดดับสืบต่อพร้อมจิต ทำกิจอยู่ตลอดเวลามากมายมหาศาล นับไม่ถ้วนประมาณไม่ได้ เพราะกว่าจะเห็นเป็นแจกันนี้ก็คิดดูแล้วกันว่า จิตจะต้องกระทบสัมผัสกับสิ่งที่ปรากฏทางตา และคิดนึกติดตามมา และก็มีจิตคั่นระหว่างนั้นมากมายเท่าไหร่ ที่ทรงแสดงไว้เพื่อให้ไม่ประมาท
เพราะฉะนั้น สิ่งที่หนาแน่นมากมายมืดทึบที่ปิดกั้น คนมีปัญญารู้ว่า ถ้าไม่ละคลาย สภาพธรรมปรากฏไม่ได้ ละคลายอะไร ละคลายความไม่รู้ที่มืดหนาแน่นมากมาย ด้วยความเข้าใจความจริงทีละเล็กทีละน้อย ไม่มีใครไปทำอะไรได้เลย ดังนั้น เวลาที่เราฟังธรรมแล้วขณะที่กำลังฟังได้ยินคำว่า ทุกอย่างไม่เที่ยง สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ต้องเกิดแล้วก็ดับด้วย ฟังเเล้วก็เข้าใจ ไม่มีใครบอกว่าไม่เข้าใจ แต่ไม่ว่าจะเดี๋ยวนี้หรือเมื่อไหร่ก็ตาม ตื่นนอนขึ้นมาเป็นปกติที่จะไม่รู้ ซึ่งไม่ใช่ที่จะไปฝืนทำให้รู้ แต่ขณะนั้นผู้มีปัญญาย่อมรู้ว่า ปัญญาต้องรู้ทั่ว จึงสามารถจะรู้จริงๆ ว่า ขณะนั้นไม่ใช่เรา เป็นธรรมที่เกิดและดับ
เพราะฉะนั้น ทุกอย่างที่มีสำหรับผู้มีปัญญา เตือนให้รู้ว่ายังเข้าใจไม่พอที่จะให้สภาพธรรมปรากฏ แต่ถ้าคนที่ฟังธรรมเผินๆ ก็คิดว่า ต้องมีความเพียรไปพยายามที่จะให้รู้ นั่นก็คือหนทางผิดที่ปิดบังกันอยู่นิดเดียว ถ้าเป็นผู้ที่ไม่รอบคอบ โลภะกับความเห็นผิดก็นำไปอีกทางหนึ่ง ให้ไปนั่งปฏิบัติ ไปสู่สำนักไปทำอะไร ไปก้าวเดินผิดปกติ รับประทานผิดปกติไปหมด เพราะความไม่รู้และความต้องการ
แต่ถ้ามีปัญญาแค่ลืมตาก็รู้ว่า ยังไม่สามารถรู้ได้เพราะเราเพิ่งได้ฟัง ในสังสารวัฏฏ์กี่ชาติแล้ว และชาตินี้ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า ถ้าเกิดระลึกได้ขณะนั้นรู้เลยว่าไม่ใช่เรา เป็นอนัตตา ไม่มีใครสามารถไปทำให้เกิดเข้าใจทันทีที่ตื่นขึ้น เพราะว่าสติสามารถจะเกิดเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ไม่มีใครไปทำให้สติเกิดตามเวลา เข้าห้องไปนั่งขัดสมาธิแล้วสติเกิด เป็นไปได้อย่างไร
ผู้ฟัง ปัจจุบันมีบุคคลที่สอนผิดและให้ผู้อื่นปฏิบัติธรรม แล้วก็ได้ลาภสักการะมากมาย เขาก็รู้สึกว่าสิ่งที่เขาทำนั้นถูก ทำไมตอนที่เขาทำไม่ดี ผลวิบากที่เป็นลาภสักการะ แม้จะไม่ใช่เกิดจากผลของการกระทำ ณ ตอนนั้น แต่ก็แปลกว่าทำไมมาให้ผลตอนที่ทำไม่ดี
ท่านอาจารย์ ทุกคนกำลังเห็นเดี๋ยวนี้ เเต่ละคนเพราะกรรมชาติไหนทำอะไรมา คำตอบคือ ไม่รู้ เพราะฉะนั้น เขาได้รับผลดีต้องจากกรรมดี ชาติไหนก็ไม่รู้ และการกระทำที่ไม่ดีขณะนี้จะให้ผลในชาติไหนก็ไม่มีใครรู้ ได้ยินเดี๋ยวนี้เป็นผลของกรรมชาติไหน
ผู้ฟัง ไม่ทราบ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ที่เขาทำดีหรือไม่ดีชาตินี้ ใครจะรู้ว่ากรรมที่เขาทำไม่ดีชาตินี้จะให้ผลเมื่อไหร่ และที่เขากำลังได้รับผลดีมาจากกรรมดีในชาติไหนของเขา
ผู้ฟัง ถ้าเรามั่นคงก็คือว่า ผลของกรรมดีย่อมให้ผลดี แต่จะเมื่อไหร่ก็แล้วแต่
ท่านอาจารย์ แต่ละคำต้องไตร่ตรอง เหตุกับผลต้องตรงกัน กรรมเป็นสภาพที่ปกปิด เพราะขณะที่ทำก็ไม่รู้ว่าจะให้ผลในชาติไหน และผลของกรรมก็ปกปิดเหมือนกัน คือไม่รู้ว่าผลที่ได้รับในชาตินี้เกิดจากกรรมในชาติไหน
อ.อรรณพ ขออนุญาตสนทนาในประเด็นที่ว่า การสอนที่ผิด การเผยแพร่ที่ผิด ทำให้ได้ลาภสักการะ แต่เรื่องของปัจจัยนี้เป็นเรื่องที่กว้างขวาง อกุศลเป็นปัจจัยให้เกิดกุศลวิบากได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
อ.อรรณพ ไม่ได้โดยกรรมปัจจัย เพราะกุศลกรรมต้องให้ผลเป็นกุศลวิบาก อกุศลกรรมให้ผลเป็นอกุศลวิบาก แต่เป็นปัจจัยอะไรได้ เป็นปกตูปนิสสยปัจจัยได้ แต่ไม่ใช่กรรมปัจจัย แล้วก็ไม่ได้เป็นอย่างนี้ตลอดไป คนบางคนทำไม่ดีแล้วตำรวจจับทันที ติดคุกมีไหม
ผู้ฟัง มี
อ.อรรณพ เพราะฉะนั้น เมื่อไหร่กรรมจะให้ผลก็ไม่รู้ อย่างที่ท่านอาจารย์กล่าว ซึ่งก็แล้วแต่ว่าจะเป็นไปตามเหตุปัจจัยใด แต่ ๑.คือ ไม่เกิดขึ้นลอยๆ และไม่มีบังเอิญ ๒. เกิดขึ้นต้องมีเหตุ มีปัจจัยหลายหลาก
ท่านอาจารย์ ความไม่รู้มีมากมายก่ายกอง การที่จะเข้าใจทุกอย่างต้องค่อยๆ เข้าใจจริงๆ ตามลำดับขั้น ด้วยเหตุนี้ ในพระไตรปิฎกก็มีข้อความตั้งแต่เบื้องต้นจนถึงที่สุด กล่าวถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดขึ้น ใช้คำว่า สิ่งนั้นเกิดไม่ได้ ถ้าไม่มีสภาพธรรมที่อาศัยทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น แสดงว่าต่างก็อาศัยซึ่งกันและกัน เพราะเหตุว่าล้วนเป็นธรรม แต่การอาศัยซึ่งกันและกันกิดขึ้นหลากหลายโดยปัจจัย โดยฐานะต่างๆ กัน เพราะฉะนั้น ต้องเป็นการที่เราเข้าใจสิ่งที่มีก่อน ก่อนที่เราจะรู้ว่าเกิดจากปัจจัยอะไร
อย่างเช่น เวลานี้ที่กำลังเห็น รู้ปัจจัยก่อนเห็นหรือไม่ ฟังเรื่องปัจจัยเพื่อให้เข้าใจเห็น ถูกต้องไหม เพราะฉะนั้น ไม่ว่าฟังเรื่องอะไรทั้งหมด ถึงแม้จะเป็นเรื่องอื่นก็เพื่อให้เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่อย่างนั้นเราพลาดไปอีกแล้ว มีโลภะความต้องการอยากจะเข้าใจ ปัจจัยนี้เองได้ยินชื่อแล้วก็อธิบายให้ละเอียดเราจะได้เข้าใจปัจจัยนี้ ก็มีความอยาก มีความเจาะจงโดยไม่รู้ตัวเลย เพราะฉะนั้น การฟังธรรมต้องละเอียดระแวดระวัง เหมือนอยู่ท่ามกลางกองหนาม จะก้าวเท้าไปแต่ละก้าวต้องระมัดระวังอย่างยิ่งที่จะไม่ให้หนามตำ หนามก็คือ กิเลส อกุศลทั้งหลายประเภทใดประเภทหนึ่ง
การฟังธรรมนั้นเพื่อเข้าใจ ถ้าเราคิดว่าเราจะต้องไปศึกษาปัจจัย ๒๔ ให้จบ ถ้าคิดว่าอย่างนั้น ผลคือให้จบ แต่เข้าใจหรือไม่ เพราะฉะนั้น ที่สำคัญที่สุดคือเข้าใจอะไร เข้าใจตัวหนังสือ หรือว่าเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพื่อมีความค่อยๆ เข้าใจความจริงว่า ไม่ใช่เรา มิฉะนั้น ก็ต้องยืดยาวต่อไปในสังสารวัฏฏ์อีกนับไม่ถ้วน เพราะเรามัวแวะตรงนั้นบ้าง แวะตรงนี้บ้าง ตกไปบ้างกว่าจะขึ้นมาใหม่
เพราะฉะนั้น ให้รู้ปัญญาของตัวเองว่าปัญญาของเราระดับไหน แค่ได้ยินแต่ละคำแล้วเข้าใจ เช่น สภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใด ถ้าไม่อาศัยสิ่งอื่นเป็นการอุปถัมภ์สนับสนุนให้เกิดขึ้นก็เกิดไม่ได้ ตัวอย่างง่ายๆ ก็คือ เห็น ถ้าไม่มีตาก็ไม่เห็น โดยตาเป็นที่อาศัย ใช่ไหม เพราะเหตุว่า ถ้าไม่มีตาจิตเห็นเกิดไม่ได้ และจิตเห็นก็เกิดที่ตา ซึ่งเป็นรูปด้วย เพราะฉะนั้น ฟังเพื่อเข้าใจอะไร ไม่ใช่เรา ซึ่งคำว่า อาศัย คือ นิสสยะ ด้วยเหตุนี้ สภาพธรรมใดซึ่งเป็นที่อาศัยสภาพธรรมนั้นเป็น นิสสยะ ตาเป็นที่ตั้งที่อาศัยให้จิตเห็นเกิดขึ้น เป็นที่อาศัยให้เกิดจิตเห็น โดยเป็นที่ตั้งของจิตเห็น จิตเห็นเกิดที่ไหน ไม่ใช่เกิดที่หูแน่ๆ เกิดตรงตา
ดังนั้น การที่เข้าใจธรรมแต่ละหนึ่งๆ ก็ต้องหมายความว่า เราค่อยๆ เริ่มเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย ก็แสดงให้เห็นว่า แม้แต่คำที่ว่าจิต และเจตสิกอาศัยกันและกันเกิดขึ้น ก็แสดงความเป็นปัจจัยแล้ว โดยสหชาตปัจจัย เพราะเรารู้ว่าจิตและเจตสิกต้องเกิดพร้อมกัน แต่ดับพร้อมกันหรือไม่ เพราะฉะนั้น สหชาตปัจจัยที่ผลกับเหตุไม่ดับพร้อมกัน มีไหม ถ้าไม่ศึกษาก็ว่าไม่มี แต่ถ้าศึกษาแล้วมี แสดงว่าเราประมาทไม่ได้เลย จิต เจตสิก เป็นสหชาตปัจจัย เกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน ใช่ไหม แล้วรูปที่เกิดจากจิต มีจิตเป็นปัจจัยหรือไม่
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ มีจิตเป็นปัจจัย และดับพร้อมกับรูปหรือไม่ นี่ก็แสดงให้เห็นว่า สภาพธรรมที่อาศัยกันและกันเกิดขึ้น และดับพร้อมกัน ได้แก่ จิตและเจตสิก แต่รูปที่เกิดพร้อมจิตมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ เพราะฉะนั้น จิตที่ทำให้รูปเกิดขึ้น รูปยังไม่ดับ แต่จิตนั้นดับไป ๑๗ ขณะ รูปนั้นจึงได้ดับ
ทั้งหมดนี้เพื่อค่อยๆ ชำระความไม่รู้ จากการที่หลงยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา แต่ไม่ได้มุ่งหวังว่าจะต้องวันนี้ เดี๋ยวนี้รู้ให้หมด รู้ให้มาก นั่นคือ ความอยากซึ่งปิดกั้นทันที เพราะฉะนั้น ความอยากเป็นอาจารย์แล้วก็เป็นลูกศิษย์ อยากรู้ อาจารย์บอกแล้ว ลูกศิษย์ตาม เปิดหนังสือหนังหา ฟังนั่น ฟังนี่ คิดไตร่ตรอง ทุกเรื่องหมดเลยไม่ว่าอะไรทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้น ธรรม ประมาทความละเอียดความลึกซึ้งไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ชาติก่อนเคยได้ฟังปัจจัยมา ๒๔ ปัจจัย ชาตินี้จำได้ไหม เหมือนชาติก่อนเคยพูดภาษาอะไร ชาตินี้ไม่รู้สักคำ อาจจะเคยอยู่ที่แคว้นมคธ ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือพระสาวกในภาษามคธีเข้าใจ เดี๋ยวนี้ใครรู้ภาษาบาลีบ้าง ก็ไม่มี เพราะฉะนั้น ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง สะสมความเห็นถูก คือความเข้าใจถูก แม้ว่าจะได้ยินในภาษาไหน ความเข้าใจที่สะสมมาก็สามารถที่จะเข้าใจได้
ธรรมเป็นเรื่องที่ลึกซึ้ง ละเอียด กว้างขวาง เพราะปัญญาของพระสัมมาสัมเจ้าที่ตรัสแสดงธรรมกับเรา ตามที่พระองค์ตรัสว่า เสมือนเท่ากับใบไม้สองสามใบในฝ่าพระหัตถ์ แต่ว่าความเข้าใจ ความรู้ เพราะปัญญาของพระองค์ อุปมาเหมือนใบไม้ในป่า แค่ต้นเดียวก็กี่ใบแล้ว แต่ใบไม้ในป่า เพราะฉะนั้นเราฟังแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีการที่จะถึงความเข้าใจนั้นโดยรวดเร็ว แต่ว่าต้องอาศัยการไตร่ตรองและการเข้าใจ โดยการที่รู้ว่า เพื่อรู้ว่าไม่ใช่ตัวตน และการเข้าใจความรู้อย่างนี้ไม่หายไปไหนเลย สะสมอยู่ในจิตเมื่อไหร่ เข้าใจเกิดขึ้นในสิ่งที่ปรากฏเมื่อไหร่ ไม่ว่าปัญญาระดับไหนทั้งสิ้น มาจากที่เคยสะสมความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย
ในขณะที่กำลังเข้าใจสภาพธรรม ทุกคนกระทบแข็ง เข้าใจแค่ไหน เห็นไหมว่าไม่เหมือนกัน เด็กเล็กๆ ก็บอกว่าแข็ง ชาติไหนภาษาไหน ก็รู้ว่าแข็ง นักวิทยาศาสตร์ หรือศาสตร์ต่างๆ ก็แข็งทั้งนั้น แต่รู้ไหมว่า แข็งนั้นไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง และไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งเขาจำไว้ว่า เป็นวัตถุสิ่งนั้นสิ่งนี้ เป็นวิชาการต่างๆ แต่ลักษณะที่แข็งนี้เพียงปรากฏและดับ ซึ่งถ้าไม่มีปัจจัย แล้วจะรู้อย่างนี้ได้อย่างไร
เพราะฉะนั้น กว่าจะชำระจิตซึ่งเต็มไปด้วยความไม่รู้ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ เข้าใจขึ้น การที่สิ่งหนึ่งสิ่งใดจะดับหมดสิ้นไปได้ ต้องมีการละคลาย ดังนั้นที่ว่า วางเสีย ปล่อยเสีย กำไว้ออกแน่นอย่างนั้น แล้วยังไม่รู้หนทางเลยว่าจะปล่อยอย่างไร บางคนยิ่งตกใจยิ่งกำแน่น ใช่ไหม นี่ก็แสดงให้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างต้องเป็นความละเอียดอย่างยิ่งว่า ฟังเข้าใจ แค่ที่จะเข้าใจว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดเดี๋ยวนี้เพราะปัจจัยหลากหลายมาก ค่อยๆ เข้าใจไป แต่ว่าไม่ใช่มีความจงใจอยากจะรู้ จำไว้เยอะๆ จบแล้ว เรียนปัจจัยจบแล้ว จบหรือ มีจบไหม จบแค่ชื่อ
การฟังธรรม ก็คือว่าได้ยินชื่อจริง เข้าใจตามที่จะเข้าใจได้ ถึงไม่มีชื่อแต่เข้าใจได้ ใช่ไหม จิตกับเจตสิกไม่ได้แยกจากกันเลย เกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน แสดงว่าสหชาตปัจจัยด้วย และสัมปยุตตปัจจัยด้วย
สัมปยุตตะ หมายความว่า นามธรรมเท่านั้นที่อาศัยกันเกิดขึ้น เข้ากันสนิทเป็นไป คือทั้งเกิดพร้อมกันแล้วก็ดับพร้อมกันด้วย และก็รู้สิ่งเดียวกันด้วย แล้วก็เกิดตรงรูปที่เดียวกันด้วย ไม่ได้แยกกันเกิดว่า เจตสิกเกิดตรงนี้ จิตเกิดตรงนั้น
แม้ได้ยินคำว่าสหชาตปัจจัย อาศัยกันและกันเกิดขึ้น ก็ยังมีความเข้าใจต่อไปว่า ถ้าจิตเป็นปัจจัยให้รูปเกิด เป็นสหชาตปัจจัยได้ แต่เป็นสัมปยุตตปัจจัยไม่ได้ เพราะเหตุว่ารูปไม่สามารถที่จะเป็นสภาพรู้ และจิต เจตสิก เกิดพร้อมกัน อาศัยกันและกัน รู้สิ่งเดียวกันและดับพร้อมกัน
เพราะฉะนั้น จะไม่มีธรรมอื่นเลยที่สามารถจะเป็นสัมปยุตตปัจจัยได้ นอกจากจิตและเจตสิก เพราะถ้าเป็นรูปธรรมกับจิต ถึงแม้ว่าจะเกิดพร้อมกันก็ไม่ใช่ว่าจะดับพร้อมกัน รูปดับพร้อมจิตได้ไหม กว่าปัญญาจะถึงตัวจริง ความเป็นผู้มีเหตุมีผล ความเป็นผู้ตรง ความเป็นผู้มั่นคงในสภาพธรรมแต่ละหนึ่ง จิตเป็นจิต เจตสิกเป็นเจตสิก รูปเป็นรูป
เมื่อครู่นี้เราได้ยินว่ารูปที่เกิดเพราะจิตมี ใช่ไหม เพราะฉะนั้น จิตที่เป็นเหตุให้เกิดรูปดับไปก่อน เพราะรูปยังดับไม่ได้ รูปมีอายุเท่ากับจิต ๑๗ ขณะ โดยเกิดพร้อมกัน แต่ดับไม่พร้อมกัน ทีนี้ถามว่ารูปดับพร้อมจิตได้ไหม
เพราะฉะนั้น รูปดับพร้อมจิต แต่ไม่ใช่จิตที่เกิดพร้อมรูป รูปอายุ ๑๗ ขณะแต่จิตเกิดดับสืบต่อไม่มีระหว่างคั่นเลย ดังนั้น รูปดับพร้อมกับจิตไหนก็ได้เมื่อรูปนั้นมีอายุครบ ๑๗ ขณะ เห็นไหมว่า การศึกษาธรรมนี้ไม่ใช่ให้เราตามตัวหนังสือแล้วก็จำ แต่ไม่เข้าใจ นั่นไม่มีประโยชน์เลย แต่ว่าฟังแล้วไตร่ตรอง ฟังแล้วเข้าใจ ฟังแล้วพิจารณา แม้คำถามนิดๆ หน่อยๆ เล็กๆ น้อยๆ ทบทวนว่าความเข้าใจมั่นคงระดับไหน ที่จะรู้ว่าธรรมแต่ละหนึ่งเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง
ผู้ฟัง ที่ฟังท่านอาจารย์ จิตตชรูป คือ จิต กับ รูป เกิดขึ้นพร้อมกัน
ท่านอาจารย์ คำว่า จิตตชรูป คืออะไร
ผู้ฟัง รูปที่เกิดจากจิต
ท่านอาจารย์ หมายความว่า จิตนั้นเป็นปัจจัยให้รูปเกิด แต่ละรูปที่ตัวนี้มีมากไหม
ผู้ฟัง มาก
ท่านอาจารย์ บางกลุ่ม หรือบางกลาปในภาษาบาลี เกิดจากกรรม กลุ่มของรูปไหนที่เกิดจากกรรม รูปนั้นจะเกิดจากจิตไม่ได้ เกิดจากอุตุไม่ได้ เกิดจากอาหารไม่ได้ รูปใดที่เกิดจากจิต รูปนั้นไม่ได้เกิดจากกรรม
ผู้ฟัง จิตตชรูปก็มีอายุ ๑๗ ขณะ เหมือนกันใช่ไหม
ท่านอาจารย์ แล้วแต่ประเภทซึ่งต้องศึกษาต่อไปอีก รูปที่เกิดดับพร้อมจิตก็มี ต้องศึกษาด้วยความละเอียด ด้วยความรอบคอบอย่างยิ่ง ด้วยความมั่นคง เป็นพื้นฐานให้สามารถที่จะเริ่มมีการระลึกรู้ลักษณะของสภาพที่ปรากฏดี ปรากฏดีเพราะเข้าใจอยู่ตรงนั้น
เวลานี้สภาพธรรมก็ปรากฏ รูปทางตาปรากฏตั้งเท่าไร ไม่ได้ปรากฏดีเลย หมดแล้ว ดับแล้วก็ไม่รู้ ปรากฏดีต่อเมื่อขณะนั้นสติสัมปชัญญะเกิดเพราะเข้าใจ ถ้าไม่มีความเข้าใจ สติสัมปชัญญะเกิดไม่ได้ ต้องละเอียดมาก รู้เลยว่าความรู้ที่ฟังๆ นี้เท่าไหร่ก็ยังไม่พอ จนกว่าเป็นสัจจญาณ
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1141
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1142
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1143
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1144
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1145
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1146
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1147
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1148
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1149
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1150
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1151
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1152
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1153
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1154
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1155
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1156
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1157
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1158
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1159
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1160
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1161
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1162
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1163
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1164
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1165
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1166
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1167
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1168
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1169
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1170
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1171
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1172
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1173
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1174
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1175
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1176
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1177
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1178
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1179
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1180
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1181
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1182
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1183
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1184
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1185
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1186
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1187
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1188
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1189
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1190
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1191
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1192
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1193
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1194
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1195
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1196
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1197
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1198
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1199
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1200
