ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1182


    ตอนที่ ๑๑๘๒

    สนทนาธรรม ระหว่างเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย พุทธคยา

    วันที่ ๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๑


    ท่านอาจารย์ ขณะโกรธยิ้มไหม ยิ้มเป็นเจตสิกอะไร

    ผู้ฟัง โลภเจตสิก

    ท่านอาจารย์ ก็โลภเจตสิกทั่วๆ ไป แต่เวลาโสมนัส ดีใจเบิกบานที่ได้เข้าใจธรรม ขณะนั้นมีตั้งแต่ตาเริ่มเป็นประกาย จนกระทั่งแย้มออกมานิดหน่อย ก็เเล้วเเต่ ถ้าหัวเราะก็เป็นโลภะแน่ ไม่ใช่ความชื่นชมโสมนัสยินดีในธรรม ก็เป็นเรื่องชีวิตประจำวันซึ่งทรงแสดงโดยละเอียด เพราะว่าถ้าทรงแสดงเพียงเล็กน้อยก็ไม่มีทางที่ความเป็นตัวตนจะออกไปได้ จึงทรงแจกแจงโดยละเอียดอย่างยิ่ง โดยประการทั้งปวง

    เพราะฉะนั้น โลภเจตสิกเป็นอุปาทาน ตั้งแต่ชอบนิดหน่อย ผ่านไปก็ติดแล้วโดยไม่รู้ตัวเลย จนกระทั่งถึงอยากได้ต้องการ จนถึงกระทำทุจริตกรรม เป็นระดับขั้นต่างๆ ของโลภะ ดังนั้น โลภะเป็นตัวที่ติดข้องต้องการ ยึดมั่นเป็นอุปาทาน เป็นขันธ์ด้วยหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ ขันธ์อะไร เห็นไหมว่าต้องละเอียดถึงอย่างนี้ ฟังธรรมต้องเข้าใจและต้องละเอียด ถ้าไม่ถามอีกก็ต้องคิดว่าเข้าใจและผ่านไปเลย ก็เสียประโยชน์

    ผู้ฟัง สังขารขันธ์

    ท่านอาจารย์ เมื่อถามอย่างนี้คุณมนก็จะไม่ลืม เพราะว่ามีความเข้าใจที่มั่นคงขึ้นว่า เวทนาคือเวทนาเจตสิกหนึ่งเจตสิก เป็นเวทนาขันธ์ สัญญาสภาพจำหนึ่งเจตสิก เป็นสัญญาขันธ์ เพราะสำคัญที่จะปรุงแต่งให้เกิดเรื่องราวมากมายก่ายกองในโลกนี้ ซึ่งทั้งหมดที่เหลือเป็นสังขารขันธ์ เพราะฉะนั้น โลภะก็ต้องเป็นสังขารขันธ์ แล้วปัญญาเป็นขันธ์อะไร

    ผู้ฟัง ปัญญาเป็นสังขารขันธ์

    ท่านอาจารย์ เป็นสังขารขันธ์ แล้วโกรธเป็นขันธ์อะไร

    ผู้ฟัง เป็นสังขารขันธ์

    ท่านอาจารย์ เป็นสังขารขันธ์ ตอนนี้ก็ตอบง่ายเลย เว้นเวทนากับสัญญา เจตสิกที่เหลือทั้งหมดเป็นสังขารขันธ์ เป็นวิญญาณขันธ์ได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้แน่นอน วิญญาณขันธ์ก็ต้องเป็นวิญญาณขันธ์ เพราะฉะนั้น โดยนัยของขันธ์ ๕ เป็นรูปขันธ์หนึ่ง ที่เหลืออีก ๔ เป็นนามขันธ์ เพราะว่าถ้าแยกธรรมเป็นประเภทใหญ่กว้างๆ สภาพธรรมที่ไม่รู้ ไม่สามารถจะรู้ได้เลยทั้งหมดเป็นรูปขันธ์ เสียง กลิ่น รส อ่อนเเข็ง พวกนี้เป็นรูปขันธ์ แต่สภาพรู้ที่เป็นใหญ่ รู้แจ้งในสิ่งที่ปรากฏเป็นจิต เป็นวิญญาณขันธ์ และเจตสิกที่เกิดกับจิตที่เหลือก็เป็นสังขารขันธ์

    เพราะฉะนั้น นามขันธ์ ๔ แยกกันได้ไหม ให้เหลือเพียงนามขันธ์ ๒ ได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ให้เหลือเพียงนามขันธ์ ๓ ได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะเป็นนามขันธ์ ต้องรวมจิต เจตสิก ต้อง ๔ คือไม่สับสนแน่ว่าในบรรดาธรรมทั้งหมด รูปทั้งหมดทุกประเภทเป็นรูปขันธ์เพราะไม่ใช่สภาพรู้ ส่วนนามขันธ์ จิต เจตสิก เวทนาต้องเกิดกับจิตทุกขณะและสำคัญด้วย เพราะเราทุกคนแสวงหาเวทนา จึงเป็นเวทนาขันธ์ แยกให้เห็นเลย และสัญญาความจำก็สำคัญ

    เพราะฉะนั้น สัญญาเจตสิกก็เป็นสัญญาขันธ์ เจตสิกที่เหลือทั้งหมดเป็นสังขารขันธ์ จิตก็ต้องเป็นได้อย่างเดียวคือวิญญาณขันธ์ ถ้าอย่างนั้นถามอีกข้อ เวลาหลับ ขันธ์ไหนหลับ เชิญคุณพงษ์ศักดิ์

    ผู้ฟัง จากการฟังธรรมมีความเข้าใจว่า ขณะที่หลับก็เป็นจิตภวังค์ จิตภวังค์นั้นก็เป็นวิญญาณขันธ์ แต่ผมเข้าใจว่า วิญญาณขันธ์ก็ต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยทุกครั้ง เพราะฉะนั้น น่าจะเป็นนามขันธ์ ๔

    ท่านอาจารย์ มี "น่าจะ" ได้หรือ ธรรมเปลี่ยนไม่ได้เลย

    ผู้ฟัง ขอตอบเป็นนามขันธ์ ๔

    ท่านอาจารย์ นามขันธ์ ๔ เพราะนามขันธ์ ๔ ไม่แยกจากกันเลย จะมีวิญญาณขันธ์โดยไม่มีเจตสิก ซึ่งเป็นนามขันธ์อีก ๓ ขันธ์เกิดร่วมด้วยไม่ได้ จะมีแต่เวทนาขันธ์แล้วไม่มีจิต ไม่มีสังขารขันธ์ เเละไม่มีสัญญาขันธ์ก็ไม่ได้ ต้องครบ ๕ ขันธ์เลย เพราะว่าจิตทุกดวงจะต้องมีเวทนาเจตสิกเกิดร่วมด้วย ต้องมีสัญญาเจตสิกร่วมด้วยก็ ๒ แล้ว และสังขารขันธ์ก็ต้องมีเจตสิกที่เป็นสังขารขันธ์ เช่น ผัสสะเจตสิก เกิดกับจิตทุกขณะ

    เพราะฉะนั้น เจตสิกจะแยกเป็นเจตสิกที่เกิดกับจิตทุกดวงทุกประเภท ไม่เว้นเลย หมายความว่า จิตเกิดเมื่อไหร่ต้องมีเจตสิกอีก ๓ ขันธ์เกิดร่วมด้วย มีเวทนาขันธ์ มีสัญญาขันธ์ มีสังขารขันธ์ คือเจตสิกต้องเกิดกับจิตอย่างน้อยที่สุด ๗ ในบรรดา ๗ ก็มีเวทนาหนึ่ง สัญญาหนึ่ง เพราะฉะนั้น อีก ๕ เป็นสังขารขันธ์ นามขันธ์ ๔ ไม่แยกจากกันเลย

    ขณะหลับไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น ชื่ออะไร อยู่ที่ไหน บ้านช่อง เพื่อนฝูง พ่อแม่ มิตรสหาย ไม่เหลือเลยเวลาหลับสนิท เหมือนกับโลกนี้ไม่มี ไม่ปรากฏเลย เราเป็นใครก็ยังไม่รู้ เพราะฉะนั้นทั้ง ๔ ขันธ์หลับ แต่รูปหลับไหม

    ผู้ฟัง รูปไม่หลับ ขณะที่หลับก็มีรูปที่เกิดดับ

    ท่านอาจารย์ รูปหลับไหม

    ผู้ฟัง รูปไม่หลับ เพราะรูปไม่เป็นจิต เจตสิก

    ท่านอาจารย์ รูปหลับไม่ได้เลย เพราะรูปไม่รู้อะไรเลย ไม่มีตื่น ไม่มีหลับ เพราะรูปไม่รู้ เพราะฉะนั้น นามขันธ์คือจิตและเจตสิกเท่านั้นที่หลับ ซึ่งได้แก่ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ทั้งหมดเกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน หลับ เมื่อจิตตื่นก็ตื่นหมด นามขันธ์ ๔ ตื่น รูปตื่นไหม

    ผู้ฟัง รูปไม่ตื่น

    ท่านอาจารย์ รูปไม่ตื่นไม่หลับ เพราะรูปไม่รู้อะไร กว่าจะละความเป็นเรา ต้องเข้าใจขึ้นๆ นี่คือขั้นปริยัติ คำว่าปริยัติไม่ได้หมายความว่าเพียงเเค่ฟังเเต่ต้องรอบรู้ในพระพุทธพจน์ รอบรู้ที่นี่คือทุกคำ ถ้าไม่รอบรู้คำนี้ก็ผิดอีกแล้ว ต่อๆ ไปก็ผิดอีกเพราะไม่รอบรู้ เช่น ธรรม ต้องทุกอย่างทั้งหมดที่มีจริง สิ่งที่มีจริงทั้งหมด

    เรื่องนี้จะยากแล้ว ตอนนี้จิต เจตสิกหลับไหม ถ้าเรียนวิถีจิต เวลาที่มีรูปกระทบปสาทรูป รูปที่กระทบกันได้ เช่น ตากำลังกระทบกับสิ่งที่ปรากฏ เสียงกระทบกับหู เเต่ถ้าขณะที่ไม่มีเห็น ไม่มีได้ยิน ไม่มีได้กลิ่น ไม่มีลิ้มรส ไม่มีการรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่คิดนึก เป็นภวังคจิต เพราะรูปดับแล้ว จิตจะรู้รูปต่อไปไม่ได้ คิดก็คิดได้แค่ ๗ ขณะ โลภะหรือโทสะเกิดขึ้นซ้ำๆ กัน หลังจากนั้นเป็นภวังค์คั่น แล้วภวังค์คืออะไร

    ถ้าเราพูดคำไหนเราต้องเข้าใจคำนั้น ไม่ใช่เพียงเเต่พูด ถ้าเพียงเเต่พูดหรือคิดว่าเข้าใจแล้วต่อไปก็ผิดอีก ต้องรู้จริงๆ คำว่าภวังค์ หมายความถึงจิตซึ่งไม่ใช่วิถีจิต และวิถีจิตคืออะไร

    วิถีจิต คือจิตที่รู้อารมณ์ที่ต้องอาศัยทวารคือ ทางตา หรือหู หรือจมูก หรือลิ้น หรือกาย หรือใจ มี ๖ ทาง ตาเห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ใจคิดนึก อย่างตอนที่ฝันไม่มีอะไรกระทบเลย แต่ใจที่สะสมเรื่องทุกเรื่องมานานแสนนาน สภาพนั้นก็ถึงเวลาที่จะคิดถึง

    เพราะฉะนั้น จิตนี่เองเป็นทวารของความคิด โดยไม่ต้องอาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย เเต่อาศัยจิตซึ่งเป็นภวังค์สุดท้ายดับ และไม่ได้ทำกิจของภวังค์ คือเวลาพูดถึงจิต จะพูดถึงกิจของจิตด้วย จิตไม่ได้เกิดมาเปล่าๆ เลย เหมือนเราทำนั่นทำนี่เเล้วคิดว่าเราทำ ที่แท้ก็คือ จิต เจตสิก รูป ที่ทำ

    โดยที่จิต เจตสิก แต่ละหนึ่งขณะเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ของจิตนั้นๆ เช่น จิตที่เกิดขึ้นทำทัสสนกิจที่กำลังเห็น จะไปทำหน้าที่อื่นไม่ได้ คิดก็ไม่ได้ อะไรก็ไม่ได้ เเสดงให้เห็นว่าไม่ใช่เราโดยละเอียดอย่างยิ่ง

    เพราะฉะนั้น วิถีจิตหมายความถึงจิตที่รู้อารมณ์อื่น ที่ไม่ใช่อารมณ์ของภวังค์ และภวังค์คืออะไร ภวังค์คือจิตซึ่งเกิดสืบต่อจากปฏิสนธิ

    ปฏิสนธิคืออะไร ปฏิสนธิก็คือจิต เจตสิก ขณะแรกที่เกิดพร้อมกับรูปซึ่งมีกรรมเป็นปัจจัย ขณะที่เราฟังธรรมเดี๋ยวนี้ เป็นกรรมทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดได้ และถ้าขณะนั้นมีความเข้าใจ จิตนั้นก็ประกอบด้วยปัญญา ซึ่งปฏิสนธิก็มีทั้งคนที่เกิดมาโดยเป็นผลของกุศลอย่างอ่อน ทำให้พิการตั้งแต่กำเนิด อาจจะปัญญาอ่อนหรืออะไรก็แล้วแต่ ซึ่งไม่เป็นปัจจัยที่จะทำให้เขาได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม หรือเข้าใจธรรม บางคนเป็นเศรษฐีมหาศาล กษัตริย์มหาศาล แต่ไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วย ถ้าไม่ใช่ผลของกรรมที่ประกอบด้วยปัญญาแต่ให้ผลทางอื่น ซึ่งคนเหล่านี้ก็มีอยู่มากมายเลย

    ถ้าเป็นผลของกรรมที่ประกอบด้วยปัญญา ก็ทำให้ขณะเกิดมีปัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วย ซึ่งไม่ได้ทำกิจของปัญญาเพราะไม่ใช่ชวนจิต เเต่แค่ทำปฏิสนธิเกิดขึ้น เป็นบุคคลที่ประกอบด้วยปัญญา กรรมทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดหนึ่งขณะ สืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อนแล้วดับ

    เพราะฉะนั้น กรรมให้ผลแค่นั้นไม่พอ กรรมยังให้ผลต่อไป คือทำให้จิตอื่นเกิดสืบต่อจากจิตที่ดับไปแล้ว เพราะว่าจิตดับแล้ว การดับของจิตดวงก่อนที่ปราศไปโดยไม่เหลือเลย เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดได้ทีละหนึ่งขณะ โดยจิตที่ดับไปเป็นปัจจัยทำให้จิตที่เกิดต่อ และกรรมทำให้จิตที่เกิดต่อก็ต้องเป็นตามปฏิสนธิจิต เพราะเป็นผลของกรรมเดียวกัน จนกว่าจะถึงแก่กรรม สิ้นสุด ไม่เป็นบุคคลนี้อีกต่อไป ก็เป็นเรื่องยาวทั้งนั้น แต่ว่าค่อยๆ ฟังค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ พิจารณา ค่อยๆ มั่นคงว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา

    ดังนั้น ทุกคำต้องชัดเจน ไม่ว่าจะหลับหรือจะตื่นจะอะไรก็ตามแต่ ถ้ากล่าวถึงจิต เจตสิก ก็ต้องรู้ว่าจิตขณะไหนทำกิจอะไร เพราะฉะนั้น เกิดมาหนึ่งชาติ มีปฏิสนธิเป็นผลของกรรมหนึ่ง ซึ่งประมวลมาซึ่งกรรมที่สามารถจะให้ผลในชาตินั้น อย่างเช่นเกิดเป็นผีเสื้อ กรรมก็ประมวลมาแค่นั้น เกิดเป็นสุนัข เป็นแมว แล้วแต่ว่ากรรมประมวลมาให้มีเจ้านายใจดี มีอาหารอร่อย อะไรต่ออะไรก็แล้วแต่

    ถ้าเป็นคนก็หลากหลายกันไป เมื่อถึงเวลาที่กรรมสิ้นสุด จะเป็นบุคคลนี้อีกต่อไปไม่ได้ ก็มีจิตซึ่งแทนที่จะเป็นภวังค์ดำรงภพชาติ จิตประเภทเดียวกันนั้น คือปฏิสนธิเป็นจิตประเภทเดียวกับภวังค์ และกรรมก็ทำให้จิตขณะสุดท้ายเกิดขึ้น ทำภวังคกิจไม่ได้ แต่ทำจุติกิจ พ้นสภาพความเป็นบุคคลนั้น เคลื่อนไป หมดไป กลับมาเป็นอีกสักหนึ่งขณะก็ไม่ได้ นี่คือธรรม

    เพราะฉะนั้น ชีวิตแต่ละชาติก็เหมือนกับกระแสของภวังค์เกิดดับสืบต่อ คั่นด้วยเห็นหนึ่งวาระ แล้วก็เป็นภวังค์ แล้วได้ยิน แล้วคั่นด้วยภวังค์ เป็นกระแสของภวังค์ตลอด แต่มีสิ่งที่คั่นคือเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง แล้วกิเลสที่สะสมมาก็ชอบบ้างไม่ชอบบ้าง แรงบ้างอ่อนบ้าง ทำกรรมกันไปสืบต่อเนื่อง กิเลส กรรม วิบาก ก็ต้องเป็นธรรมทั้งหมดซึ่งเป็นปรมัตถธรรม ใครก็เปลี่ยนแปลงลักษณะของธรรมไม่ได้ ใครจะไปทำให้อะไรเกิดไม่ได้เลย แม้เดี๋ยวนี้ก็เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย การที่เราจะมาถึงที่นี่ นั่งอยู่ตรงนี้ ก็เพราะเหตุปัจจัย เพราะบางคนตั้งใจจะมาก็ไม่ได้มา เพราะเหตุปัจจัย

    ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าเลยว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่ให้มั่นคงว่าสิ่งที่เกิดต้องมีปัจจัยที่ทำให้เกิดเเน่นอน และผลของกรรมในชาติหนึ่งก็คือ ในขณะเกิดเป็นผลของกรรม ขณะเห็นทางตา ได้ยินทางหู ได้กลิ่นทางจมูก ลิ้มรสทางลิ้น รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย เป็นผลของกรรม นอกจากนั้นเป็นกิเลส และกุศล หรืออกุศลที่สะสมมา แล้วก็ตาย แล้วก็จากโลกนี้ไป และเหตุปัจจัยก็วนเวียนสืบต่อไป เร็วสุดที่ใครจะประมาณหรือรู้ได้

    จนกว่าจะมีคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เกิดจากการตรัสรู้ แสดงความจริงให้รู้ว่าเป็นอย่างนี้ จนกว่าจะเข้าใจขึ้นอีกๆ ๆ ปัญญาก็เจริญขึ้นตามลำดับขั้น แต่ต้องตั้งต้นจากการฟังให้ถูกต้อง ถ้าไม่มีปัญญาจากการฟัง ปัญญาขั้นอื่นเกิดไม่ได้แน่นอน ปฏิปัตติ รู้เฉพาะเดี๋ยวนี้ หนึ่งที่ปรากฏชัดเจน ปฏิเวธ ประจักษ์แจ้งในความเป็นจริงของการเกิดขึ้นและดับไป ก็มีไม่ได้ถ้าไม่มีปัญญาขั้นฟัง

    อวิชชามีจริงไหม อะ แปลว่าไม่ วิชชาแปลว่ารู้ เพราะฉะนั้น อวิชชา ไม่รู้ มีจริงไหม

    ผู้ฟัง มีจริง

    ท่านอาจารย์ มีจริง แล้วเป็นเราหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ แล้วเป็นอะไร เป็นธรรมใช่ไหม

    ผู้ฟัง เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรมประเภทไหน

    ผู้ฟัง นามธรรม

    ท่านอาจารย์ นามธรรมอะไร เพราะนามธรรมมีสองอย่าง จิตและเจตสิก

    ผู้ฟัง เจตสิก

    ท่านอาจารย์ เป็นเจตสิกที่เป็นขันธ์อะไร

    ผู้ฟัง สังขารขันธ์

    ท่านอาจารย์ เราก็ค่อยๆ ชัดเจนตามลำดับ ไม่สับสน เคยได้ยิน "สติ" บ่อยๆ ใช่ไหม มีจริงไหม เป็นอะไร

    ผู้ฟัง เป็นสังขารขันธ์

    ท่านอาจารย์ เป็นนามธรรม เป็นสังขารขันธ์ ไม่ใช่เรา ทุกคำที่บ่งไปที่ไม่ใช่เรา เมื่อเข้าใจชัดเจนขึ้นๆ สติจะเกิดเมื่อไหร่ก็ไม่ใช่เรา แต่ถ้าไม่มีปัจจัย สติก็เกิดไม่ได้ ไม่มีปัจจัยที่จะนั่งอยู่ตรงนี้ก็นั่งตรงนี้ไม่ได้

    ผู้ฟัง จากการที่จะมีสติ มีความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย สะสมปัญญา

    ท่านอาจารย์ จนถึงความเป็นสัจจญาณ

    ผู้ฟัง ขณะที่มีสติก็เป็นกุศล ขณะที่หลงลืมสติก็เป็นอกุศล

    ท่านอาจารย์ แต่ทั้งหมดคือเป็นธรรมซึ่งมีปัจจัยจึงเกิดขึ้น ใครไม่อยากให้อกุศลเกิดบ้าง แต่อกุศลก็ต้องเกิดตามปัจจัย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับใครอยากหรือไม่อยากเพราะไม่มีใคร มีแต่ธรรม ลองคิดดู สิ่งที่มองไม่เห็นเลยคือนามธรรม ทั้งจิตและเจตสิกเกิดดับไปเร็วสุดที่จะประมาณได้ ยิ่งกว่ากลิ้งไปอีก แล้วใครจะไปรู้ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรมโดยประการทั้งปวง โดยสิ้นเชิงในแต่ละขณะ

    เพราะฉะนั้น เราจะได้ไปกราบนมัสการ เพราะว่าได้มีความเข้าใจในคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่มีคำของพระองค์เราจะไม่ได้ยิน เเละไม่สามารถที่จะเข้าใจอย่างนี้ได้เลย แค่เบื้องต้นก็ไม่มี

    คำตอบว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดอย่างนี้ก็เคยพูดมานานแล้วในสังสารวัฏฏ์ นี่อะไร

    ผู้ฟัง เก้าอี้

    ท่านอาจารย์ ก็ตอบกันอย่างนี้มานาน นี่อะไร

    ผู้ฟัง เสื้อ

    ท่านอาจารย์ ทุกคนจะพูดอย่างนี้มาในสังสารวัฏฏ์ แล้วแต่ว่าเป็นภาษาอะไร เมื่อถามก็ตอบได้ เพราะไม่เคยได้ยินคำว่าธรรม คือสิ่งที่มีจริง

    เพราะฉะนั้น จะเห็นได้เลยว่าอยู่มานานในสังสารวัฏฏ์เท่าไหร่ ก็จะมีแต่ความคิดเหมือนเดิมที่จำว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดมานานในสังสารวัฏฏ์ แต่หลังจากการที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ จึงมีคำใหม่เกิดขึ้นคือธรรม ในภาษาบาลี ซึ่งหมายความถึงสิ่งที่มีจริง คำไหนถูกต้อง

    ผู้ฟัง สิ่งที่มีจริง

    ท่านอาจารย์ ใครจะคิดตอบอย่างนี้บ้างว่านี่คือสิ่งที่มีจริง แต่ว่าสิ่งที่มีจริงที่คนในครั้งนั้นได้ยินได้ฟังคือ ธรรม เขาพูดตาม แต่ผู้ตรัสคำว่าธรรมคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น แม้ว่าจะพูดคำเดียวกัน จะกี่คำก็ตามในพระไตรปิฎก จะอ่าน จะคิด จะพูดตาม จะฟัง กับผู้ที่ตรัสรู้ ปัญญาต่างกันระดับไหน

    ดังนั้น ประมาทไม่ได้เลย ได้ยินคำว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ในสังสารวัฏฏ์ที่ยาวนานก็มีผู้ที่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหลายพระองค์ นับไม่ถ้วน เพราะสังสารวัฏฏ์ยาวมาก ซึ่งความห่างไกลระหว่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งกับอีกพระองค์หนึ่ง ก็ต้องแสนนาน

    เพราะฉะนั้น การที่เรามีโอกาสได้ฟังคำนี้ แล้วได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้ ซึ่ง ณ บริเวณนี้ทั้งหมดเป็นที่ที่พระองค์เสด็จ และสาวกทั้งหลายก็ติดตามพระผู้มีพระภาค ไม่ว่าพระองค์จะเสด็จไปที่ใด

    ในที่นี้เมื่อ ๒๕๐๐กว่าปี ก็มีคนที่เห็นอย่างนี้ ได้ยินอย่างนี้ แต่ว่าการได้ฟังคำจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และมีโอกาสที่จะสะสมความเข้าใจนั้นหลากหลายต่างกัน เพราะฉะนั้น ณ กาลครั้งหนึ่ง เราก็คงจะเคยอยู่บริเวณนี้ แถวนี้ แล้วก็ได้ยินได้ฟังคำที่ได้ยินอย่างนี้แล้วๆ เล่าๆ จนกว่าจะมีความเข้าใจค่อยๆ ชัดเจนมั่นคงว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริง ซึ่งก่อนการตรัสรู้ ทุกคนก็สำคัญว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด นี่คือภาษาไทย เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นคน เป็นกระเป๋า เป็นรองเท้า เป็นเสื้อ เป็นผ้าห่ม

    แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่คนอื่นไม่รู้ และไม่สามารถที่จะรู้ได้ด้วยตัวเองว่า แท้ที่จริงสิ่งที่เหมือนเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ต้องมีสิ่งที่รวมกันหลายๆ อย่างแล้วสิ่งนั้นต้องเกิดขึ้น ถ้าไม่เกิดขึ้นก็ไม่มี ด้วยเหตุนี้ ขณะนี้เอง มีสิ่งซึ่งเป็นธรรมที่อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น และปัจจัยที่เกิดไม่ใช่เฉพาะเมื่อเช้านี้ที่เรารับประทานอาหารเสร็จแล้วมาที่นี่ แม้เเต่เห็นเดี๋ยวนี้ก็เกิดดับสืบต่อ จากนานแสนนานมาแล้วในสังสารวัฏฏ์ และจากหนึ่งขณะดับไป ก็มีปัจจัยที่จะทำให้ขณะต่อไปเกิดสืบต่อเร็วมาก สนิทมาก แนบเนียนแน่นมาก จนไม่มีใครสามารถรู้ว่าเดี๋ยวนี้เอง สิ่งที่มีอยู่ที่ปรากฏ เกิดแล้วก็ดับอยู่ตลอดเวลา

    เพราะฉะนั้น ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงประมาทไม่ได้เลย ต้องเป็นผู้ที่ตรง จริงใจ มั่นคงที่จะรู้ว่า ขณะนี้ไม่ใช่ขณะเมื่อก่อนนี้ และไม่ใช่ขณะต่อไปที่ยังไม่ได้มาถึง แต่ขณะนี้เอง ขณะที่เป็นเมื่อครู่นี้ดับแล้ว และสิ่งที่ยังไม่เกิดเมื่อครู่นี้ก็กำลังเกิดแล้ว แล้วก็ดับอีก เป็นแบบนี้ตลอดไปในสังสารวัฏฏ์

    มืดสนิท ถ้าไม่ได้ฟังคำไม่มีทางที่จะรู้เลยว่า แต่ละหนึ่งหลากหลาย เพราะสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นหนึ่ง สภาพธรรมที่เห็นสิ่งที่กำลังปรากฏเป็นหนึ่ง และปัจจัยที่จะทำให้เกิดเห็นก็เป็นแต่ละหนึ่งๆ ๆ ๆ ซึ่งรวมกัน เกิดดับอยู่ตลอดเวลา

    ปัญญาสามารถที่จะรู้ความจริงอย่างนี้เมื่อไหร่ เมื่อนั้นจะถึงการที่ค่อยๆ ละคลายความที่เคยยึดถือมานานแสนนานว่าเป็นเรา หรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด และสภาพธรรมที่ปรากฏ ปรากฏตรงตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสทุกอย่าง ทุกประการ เพราะเห็นเดี๋ยวนี้ไม่ใช่ได้ยิน พร้อมกันไม่ได้

    แต่ละคำ ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ สะสม จนกว่าค่อยๆ มั่นคงว่า ขณะนั้นเป็นอย่างนี้ เมื่อปัญญาสามารถที่จะรู้จริงอย่างนี้ทีละหนึ่ง ทีละหนึ่งไม่มีเสียง ไม่มีคิด ไม่มีแข็ง มีเห็นหนึ่ง แต่หนึ่งนั้นเกิดเพราะเจตสิกที่เป็นปัจจัยปรุงแต่งให้เกิด ทั้งจิตและเจตสิกดับ ในขณะที่เห็นกำลังปรากฏ ใครรู้จักเจตสิกที่เกิดกับจิตอย่างน้อย ๗ ประเภท หนึ่งขณะที่เห็น ก่อนเห็นไม่ใช่เห็นที่มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ๗ ขณะ เเต่เป็นจิตที่มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยมากกว่าขณะที่กำลังเห็น

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 186
    15 ต.ค. 2568