ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1191
ตอนที่ ๑๑๙๑
สนทนาธรรม ระหว่างเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย พุทธคยา
วันที่ ๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๑
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ท่านมีการสังวร มีการระวัง มีการรักษาศีลต่างๆ ในเพศของบรรพชิต ซึ่งโดยส่วนใหญ่ท่านก็นั่งกัน อย่างเรานั่งสนทนาธรรมฟังธรรม ๒ ชั่วโมงก็นานพอสมควร เเต่สำหรับชีวิตของภิกษุในวันหนึ่งๆ ท่านยังต้องนั่งทั้งตอนบ่ายตอนค่ำซึ่งมากกว่าเรา
ด้วยเหตุนี้ จังกัมมะ การก้าวไปตามลำดับ คือเดินผลัดเปลี่ยนอิริยาบถ เพราะว่าจริงๆ แล้วอิริยาบถทั้ง ๔ ควรที่จะสม่ำเสมอ ถ้าทำอย่างใดอย่างหนึ่งมากเกินไปจะทำให้เกิดโทษภัยได้ นั่งมากก็โทษมาก เช่นหลังแข็ง เเละมีตั้งหลายโรคที่เกิดจากการนั่งนานๆ ก็เป็นได้
ดังนั้นท่านจึงผลัดเปลี่ยนอิริยาบถโดยการเดิน เเต่เราไม่เข้าใจเเล้วก็จะมาเดินจงกรม ไม่รู้อะไรสักนิดเดียวว่า จังกัมมะคือการเดินธรรมดา ปกติ เพื่อผลัดเปลี่ยนอิริยาบถ
เพราะฉะนั้น มีหรือที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะให้ใครเดินผิดปกติ นั่นคือความไม่รู้อย่างยิ่ง ยก ย่าง เหยียบ อะไรก็ไม่รู้ ๖ จังหวะหรืออะไร ซึ่งไม่ใช่อย่างนั้นเลย การกล่าวตรงนั้นหมายถึงปัญญาของท่านพระสารีบุตรว่า แม้เพียงการก้าว ท่านสามารถที่จะรู้การเกิดดับของรูปได้ทุกระยะ แต่เพราะไม่ศึกษาให้เข้าใจก็คิดว่าให้ทำอย่างนั้น แปลกันง่ายๆ เพราะไม่มีใครศึกษาธรรมแล้วก็เชื่อคนที่บอกให้เดินจงกรม แต่เขาได้บอกหรือไม่ว่าจงกรมคืออะไร ไปเดินช้าๆ อย่างนั้นมีประโยชน์อะไร
บางคนต้องปิดประตูห้องก่อนถึงจะเดินจงกรมเพราะอาย กลัวคนอื่นจะเห็นว่าผิดปกติ เเล้วที่พระวิหารเชตวันจะมีอาการอย่างนั้นหรือ เป็นไปไม่ได้เลย เป็นความไม่รู้อย่างยิ่ง และเป็นการทำสิ่งซึ่งเป็นโทษด้วยเพราะทำให้เข้าใจผิด
นั่งก็รู้ได้ ยืนก็รู้ได้ เดินก็รู้ได้ นอนก็รู้ได้ ทำอะไรก็รู้ได้ เพราะสภาพธรรมมีจริงอย่างนั้น แต่ที่รู้ไม่ใช่เรา ต้องเป็นปัญญา ซึ่งเกิดจากการฟังเข้าใจตามลำดับ โดยความเป็นอนัตตา
ผู้ฟัง ในส่วนของคำว่า ธรรมเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง และธรรมคือสิ่งที่เกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ แต่ทำไมยังมีการกล่าวถึงเรื่องของกรรมเก่า เรื่องชาติที่แล้ว ซึ่งเป็นเรื่องของสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้น หรือว่ามีอยู่เดี๋ยวนี้
ท่านอาจารย์ เพราะเราไม่รู้ว่ากรรมคืออะไร ใช่ไหม คนที่พูดก็ไม่รู้เหมือนกันแค่ได้ยินมา เราพูดถึงเรื่องอาหารเช้า อาหารกลางวัน อาหารเย็น พูดถึงวันนี้พรุ่งนี้ แต่ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเลย จะมีอาหารเช้า จะมีวันนี้หรือพรุ่งนี้ไหม ก็มีไม่ได้ใช่ไหม
เขาพูดถึงกรรมโดยที่ไม่ได้เข้าใจความละเอียดอย่างยิ่งว่า แท้ที่จริง สิ่งที่เราเข้าใจว่ามีตั้งแต่เกิด ความจริงคืออะไร มีจริงๆ หรือไม่ และมีจริงๆ สั้นมากน้อยแค่ไหน คือพูดไปด้วยความไม่รู้เลย
ก่อนที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้ ความคิดของพระองค์ต้องต่างกับความคิดของคนอื่น อย่างเราเกิดมาก็สนุกไป มีความสุขไปวันๆ เรียนหนังสือจบเเล้วทำงานอะไรต่างๆ แต่พระองค์เห็น เห็นเดี๋ยวนี้คืออะไร แล้วเห็นอะไร และเห็นเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ความคิดไม่เหมือนกันทั้งๆ ที่เห็นกันทุกคน คนอื่นคิดเรื่องอื่น แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าคิดถึงสิ่งที่มีจริงด้วยว่า แท้ที่จริงสิ่งนี้คืออะไร
เพราะฉะนั้น กว่าจะรู้ว่าสิ่งที่เห็น สภาพเห็น ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็น ใครคิดออก หรือมีใครมานั่งคิดว่า ทั้งวันเราเห็นแต่สิ่งที่จิตเกิดขึ้นรู้ทั้งนั้น มีธาตุรู้ สภาพรู้ ซึ่งถ้าในโลกนี้ หรือโลกไหนก็ตามไม่มีธาตุรู้ อะไรๆ ก็ไม่ปรากฏ
ก่อนการตรัสรู้ก็มีคนพูดถึงเรื่องกรรม พูดเรื่องอะไรต่างๆ กันทั้งนั้น แต่ไม่ได้เข้าใจว่าความจริงแท้ ที่ใช้คำว่า ปรมัตถะ ความจริงถึงที่สุดของสิ่งที่มี เพราะเขาไม่รู้ว่าเป็นธรรม เขาคิดว่าเป็นคน คนนั้นได้รับสิ่งที่ดีในชีวิตมากมาย อีกคนหนึ่งก็ยากจนเหลือเกิน คนนั้นทำไมทำดี คนนี้ทำไมทำไม่ดีเป็นคนที่ทำชั่ว ก็พูดกันไปว่าเป็นคน เป็นสิ่งต่างๆ หารู้ไม่ว่าความจริงของสิ่งนั้นคืออะไร
ดังนั้น จากการที่พระโพธิสัตว์คิดไม่เหมือนคนอื่น ทำให้พระองค์เป็นโพธิสัตว์ สัตว์คือผู้ข้อง โพธิคือปัญญา ท่านไม่ข้องในอย่างอื่นเลย แต่ข้องที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่มี จนกระทั่งได้เฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ เเละได้รับคำพยากรณ์ บำเพ็ญบารมี จนทุกคำที่ตรัสเป็นสิ่งที่เราสามารถเข้าใจและพิสูจน์ได้ทุกคำ เช่น สิ่งที่มีจริง และความจริงของสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ด้วยว่าคืออะไร เราไม่พูดถึงสิ่งที่ไม่มี ลองพูดถึงสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้มาหนึ่งอย่าง
ผู้ฟัง ที่นั่งฟังอยู่จริง
ท่านอาจารย์ ที่นั่งฟัง ฟังไม่ใช่นั่ง ใช่ไหม แต่เพราะไม่รู้เลยเป็นเรานั่งฟัง ทั้งชีวิตเลย เพราะฉะนั้น ทุกอย่างที่คนอื่นไม่รู้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงถึงที่สุด แต่ละหนึ่ง แม้แต่กรรมที่คนพูดกันว่า บาปกรรม บุญกรรม แต่ถามว่ากรรมคืออะไรก็ตอบปนกันแล้ว บางคนเข้าใจว่ากรรมเป็นอกุศล บุญเป็นกุศล เลยมีทั้งบุญและกรรม มีกุศลและอกุศล เข้าใจกันเอง คิดกันไปต่างๆ นานา แต่คำนี้หมายความถึงธรรมที่ต้องมีแน่นอน แล้วคืออะไร
นี่คือประโยชน์ของการฟัง ทำให้เรารู้ว่าคนอื่นคิดเองไม่ได้แน่นอน แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่า สิ่งที่มีหลากหลายมาก มี แต่ไม่สามารถรู้อะไร เช่นแข็ง ใครไปทำให้แข็งเกิดไม่ได้ แข็งเกิดแล้ว โดยมีเหตุปัจจัยซึ่งใครก็รู้ไม่ได้ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรู้ความต่างของแข็งด้วยว่า แข็งนี้เกิดเพราะกรรม แข็งนี้เกิดเพราะจิต แข็งนี้เกิดเพราะอุตุ หรือแข็งนี้เกิดเพราะอาหาร
เราไม่ได้เห็นว่าแข็งเป็นแข็ง เราเห็นแข็งเป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นอาหาร ดังนั้น ก่อนที่จะได้ฟังธรรมทุกคนอยู่ในโลกของมายา ไม่มีการที่จะเข้าใจได้เลยว่าขณะนี้มีธาตุรู้ ที่เห็น ที่ได้ยิน ที่ได้กลิ่น ที่ลิ้มรส รสปรากฏเพราะมีธาตุรู้กำลังรู้ แล้วก็ที่กระทบสัมผัส อย่างเวลานี้ลองกระทบสัมผัส อะไรปรากฏ กระทบเลย อะไรปรากฏ
ผู้ฟัง แข็ง
ท่านอาจารย์ แข็ง ขณะที่ปรากฏ ใช่ไหม เพราะฉะนั้น ถ้าคนที่มีความเข้าใจจริงๆ ตรงคำนั้น เข้าใจลึกซึ้งจนกระทั่งสามารถประจักษ์แจ้งได้ เหมือนอย่างท่านพระสารีบุตรฟังท่านพระอัสสชิ แข็งมี เมื่อแข็งปรากฏ เมื่อแข็งตรงนั้นปรากฏแล้ว เวลาที่รู้อย่างอื่น ยังมีแข็งปรากฏไหม ไม่มี
เพราะฉะนั้น จากการที่ค่อยๆ เข้าใจจะรู้ว่า คำนั้นหมายความลึกซึ้งแค่ไหน ที่คนหยั่งถึงไม่ได้คือ แข็งที่มีเมื่อปรากฏนั้นดับ ไม่เหลือเลย แล้วไม่กลับมาที่จะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้อีกเลย และทุกอย่างเป็นอย่างนี้ มีแค่เมื่อปรากฏ
ขณะนี้ กำลังมีสิ่งที่ปรากฏกระทบตา ขณะที่เสียงปรากฏต้องไม่มีสิ่งที่กระทบตา แต่ลึกซึ้งกว่านั้นอีกคือ สิ่งที่กระทบตาเมื่อครู่นี้ดับ ไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้น เห็นที่เห็นใหม่ ไม่ใช่เห็นเก่าแล้ว
ดังนั้น จึงหาความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงไม่ได้ แต่ละหนึ่งๆ แตกย่อยละเอียดยิบไม่เหลือเลย ที่เราติดข้องเพราะเราคิดว่ายังเหลืออยู่ ใช่ไหม ยังมีเรา เมื่อวานนี้เห็นเป็นเราเห็น เห็นวันนี้ก็เป็นเราเห็นอีก เห็นพรุ่งนี้ไม่ใช่เห็นวันนี้เพราะเป็นพรุ่งนี้ แต่เห็นพรุ่งนี้ก็เป็นเราอีก จึงยึดถือสิ่งที่มีว่าเป็นเรา
อย่างที่กล่าวไว้แต่ละคำตั้งเเต่เริ่มต้นเลยว่า ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย โลกมีไหม แต่เมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดจึงมีโลก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสคำนี้ โลกะ หมายความถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่เลือกเลย เฉพาะสิ่งเดียวแต่ละหนึ่งๆ เกิดขึ้นและดับไป นั่นคือโลก
เพราะฉะนั้น โลกุตตระ เหนือโลก พ้นจากโลก คือไม่เกิด ไม่มีปัจจัยที่จะให้เกิด คือมี แต่เป็นธรรมซึ่งไม่ปรากฏในชีวิตประจำวัน เเต่ก่อนอื่นก็ต้องเข้าใจสิ่งที่มีก่อน เพราะมีแล้วยังไม่เข้าใจ และจะไปรู้สิ่งที่ไม่มีได้อย่างไร
ดังนั้น ก่อนที่จะถึงสภาพที่ไม่ใช่ชีวิตประจำวัน ก็ต้องเข้าใจสิ่งที่มีโดยละเอียดยิ่งกว่านี้มากมาย ค่อยๆ พิจารณา จนกระทั่งมีความเข้าใจสิ่งที่ได้ฟังบริบูรณ์ แน่ใจมั่นคงว่า มีแค่เดี๋ยวนี้ที่ปรากฏ ค่อยๆ ฟัง
ผู้ฟัง โดยส่วนตัวผมเป็นคนที่ไม่เชื่อเรื่องอดีต เรื่องของชาติก่อน
ท่านอาจารย์ ไม่เชื่อเรื่องอดีต ใช่ไหม แล้วเมื่อวานนี้ เชื่อไหม
ผู้ฟัง สำหรับผม เมื่อวานคือเราก็ได้ทำเต็มที่สำหรับเมื่อวาน
ท่านอาจารย์ แล้วก่อนเมื่อวาน เชื่อไหม
ผู้ฟัง คือผมคิดว่า เป็นสิ่งที่ผมได้ทำไปแล้ว
ท่านอาจารย์ ยังมีตัวเรา เห็นไหมว่า ตัวเราติดตามตั้งแต่เมื่อวานนี้มาถึงเดี๋ยวนี้ แต่ถ้าฟังแล้วไตร่ตรองดีๆ เมื่อวานนี้เป็นเมื่อวานนี้ อย่างที่เราพูดเมื่อครู่นี้ว่า มีแค่ขณะที่ปรากฏจริงๆ ดังนั้นเวลาที่สภาพธรรมหนึ่งปรากฏ สภาพธรรมอื่นต้องไม่มี ใช่ไหม นั่นถึงจะเข้าใจชัดเจนว่า ขณะนั้นมีสภาพนั้น รอบรู้ในสิ่งนั้นสิ่งเดียวว่า สิ่งนั้นเกิดจึงมี และประจักษ์การดับด้วย
แต่ถ้าตราบใดยังรวมกันอย่างนี้ เกิดดับสลับกันสืบต่อทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็เหมือนว่ายังมีเรา ดังนั้นที่บอกว่าไม่เชื่อเรื่องอดีต ก็ต้องรู้ว่าคำว่า อดีต มีหลายความหมาย อดีตที่ยาวไกล ชาติก่อนๆ หรืออดีตในชาตินี้ สั้นเข้ามาอีก และอดีตเมื่อวานนี้ จนถึงอดีตเมื่อครู่นี้ เชื่อไหม
ผู้ฟัง ในความหมายของผม อดีตคือเวลาที่คนชอบพูดถึงกันว่าเป็นชาติก่อน
ท่านอาจารย์ แต่ลองคิดดู เดี๋ยวนี้มีจิตได้อย่างไร ถ้าไม่มีเมื่อครู่นี้ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นก็ถอยๆ ๆ ไป คือต้องเป็นอย่างนี้ นี่คือเราเริ่มรู้ความจริงซึ่งคัดค้านไม่ได้ แต่ความรู้ของเรายังน้อยมาก ถ้ารู้ยิ่งกว่านี้ ยิ่งเห็นความเกิดขึ้นของแต่ละหนึ่งว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ตอนนี้เริ่มเข้าใจแล้วว่าจิตเป็นธาตุรู้ ไม่มีรูปร่าง เกิดขึ้นต้องรู้ เกิดขึ้นไม่รู้ได้ไหม ไม่ได้
เพราะฉะนั้น มีธาตุซึ่งเกิดเมื่อไหร่ต้องรู้เมื่อนั้นเพราะเป็นธาตุรู้ จะเกิดแล้วไม่รู้ไม่ได้ ที่เกิดแล้วไม่รู้ จะให้รู้ก็ไม่ได้ เช่น รูปธรรม เกิดเเล้วไม่รู้ก็ต้องไม่รู้ไปตลอด ส่วนสภาพซึ่งเป็นธาตุรู้ เกิดขึ้นต้องรู้ตลอด ไม่รู้ไม่ได้
ด้วยเหตุนี้ ธาตุรู้ที่เกิดขึ้น เราไม่รู้เลยว่าหนึ่งขณะนั้นมีเจตสิก สภาพธรรมที่เกิดพร้อมกัน อาศัยกันและกันเกิด ที่เป็นเอกัคคตาเจตสิก ทุกเจตสิกมีชื่อเป็นภาษาบาลี แต่ภาษาไทยหมายความว่า เป็นธาตุที่ตั้งมั่นในอารมณ์ เกิดพร้อมจิต ทำให้จิตตั้งมั่นในสิ่งที่ถูกผัสสะเจตสิกกระทบ ทำให้จิตนั้นเกิดขึ้นรู้ตรงลักษณะนั้นเท่านั้น ไม่รู้อย่างอื่น
จิตเป็นจิต เจตสิกเป็นเจตสิก สิ่งที่ปรากฏเป็นสิ่งที่ปรากฏ ด้วยเหตุนี้ จิตไม่ใช่เจตสิก เจตสิกไม่ใช่จิต ไม่ปะปนกัน อาศัยกันและกันเกิดขึ้น ต่างคนต่างทำกิจของตน โดยจิตเป็นใหญ่เป็นประธาน เดี๋ยวนี้เห็นคือตัวจิต แต่เจตสิกที่เกิดกับจิตปรุงแต่งอาศัยกันและกันอีก ๗ ประเภทนั้น ไม่ปรากฏ แต่มี
ถ้าศึกษาต่อไปจะเข้าใจว่า ทั้งหมดเกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน แล้วไม่กลับมาอีกเลย แต่การดับไปของจิตขณะก่อนเท่านั้น เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดได้ และถ้าแตกย่อยจิตหนึ่งขณะ ขณะเกิดไม่ใช่ขณะดับ เพราะฉะนั้น ขณะเกิดเป็น อุปาทะ บังเกิดหรือเกิดขึ้นที่ใช้คำว่า อุบัติ อุปาทะ และขณะดับใช้คำว่า ภังคะ ดังนั้นขณะที่เกิดไม่ใช่ขณะที่ดับแน่นอน โดยจิตหนึ่งขณะเป็นอนุขณะ ขณะเกิดเป็นอุปาทขณะ ขณะที่ยังไม่ดับเป็นฐิติขณะ ขณะที่ดับเป็นภังคขณะ ถ้า ๓ ขณะนี้ยังไม่ปราศหมดสิ้นไป จิตต่อไปเกิดไม่ได้
เพราะฉะนั้น จิตที่เกิดและดับ เป็นปัจจัยทำให้จิตขณะต่อไปเกิด เหมือนเดี๋ยวนี้เลย เราไม่ต้องเรียก ไม่ต้องคิด ไม่ต้องทำอะไรก็เกิดแล้ว แต่เมื่อเริ่มเข้าใจก็คือ ถ้าจิตขณะก่อนยังไม่ดับ จิตขณะต่อไปเกิดไม่ได้เลย โดยถ้าใช้ชื่อคือ "อนันตรปัจจัย" หมายความว่าจิตหนึ่งขณะนี้ เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดโดยไม่มีระหว่างคั่น อนันตระ ทันทีเลย สนิทเนียนมาก เกิดดับไม่ปรากฏ จึงปรากฏเป็นอย่างอื่น เป็นนิมิตต่างๆ แต่ความรวดเร็วของหนึ่งขณะนั้นไม่ปรากฏ
พอจะเข้าใจได้หรือยังว่าอดีตมีตั้งหลายอย่าง มีทั้งยาวนาน ทั้งสั้น ซึ่งยังไม่ได้กล่าวถึงกรรมเลย แต่ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้แล้วจะเข้าใจกรรมได้ไหม เราก็เข้าใจว่ากรรมยั่งยืน กรรมเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นเราหรือเป็นของเรา ใช่ไหม
เพราะฉะนั้น ได้ยินคำว่า กรรม ต้องแปลก่อนว่าหมายความถึงอะไร เพราะไม่ใช่ภาษาไทยเเต่เป็นภาษาบาลี หมายความถึงอะไร
ผู้ฟัง ถ้าโดยความเข้าใจน่าจะเป็น สิ่งที่เคยกระทำ หรือสิ่งที่เคยเกิดขึ้น
ท่านอาจารย์ นั่นเราคิดเอง เราไม่รู้จักตัวธรรมเดี๋ยวนี้เลย เพราะตัวธรรมเดี๋ยวนี้ มีทั้งสิ่งที่ปรากฏให้เห็นทางตา และสภาพที่รู้สิ่งนี้คือกำลังเห็นแต่ไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้ว กรรมมี แล้วได้แก่อะไร
รูป เย็นร้อน อ่อนแข็ง เป็นกรรมได้ไหม
กรรมคือการกระทำที่เป็นกุศลและอกุศล ค่อยๆ ละเอียดขึ้น เฉพาะการกระทำที่เป็นกุศลและอกุศล กำลังนั่งอยู่อย่างนี้ก็ได้ ยังไม่ต้องเดิน เป็นกุศลหรืออกุศล
ผู้ฟัง เป็นกุศล
ท่านอาจารย์ เป็นกุศลใช่ไหม กุศลคืออะไร
ผู้ฟัง กุศลคือสิ่งที่ดี
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เรา ใช่ไหม แล้วเป็นอะไร รูปเป็นกุศลได้ไหม ไม่มีทางเลย เพราะฉะนั้น อะไรเป็นกุศลได้ สภาพธรรมทั้งหมดมีจิต เจตสิก รูป เเละนิพพาน ย่อยทุกสิ่งลงไปแล้ว เช่นที่เราบอกว่าเก้าอี้ คนก็ยังจำอยู่อย่างนั้นว่าเป็นเก้าอี้ แต่ว่าเก้าอี้มีกี่รูป มีหลายรูป เเล้วเกิดดับด้วย เเต่ไม่รู้เลยใช่ไหม
เพราะฉะนั้น สภาพที่ไม่รู้ แข็ง สี กลิ่น รส พวกนี้ไม่ใช่สภาพรู้เลย ที่แข็งนี้มีสีสันวัณณะไหม มี ถึงกระทบตาได้
รูปที่เป็นใหญ่เป็นประธานที่ใช้คำว่า "มหาภูตรูป" คือ ธาตุดิน อ่อนหรือแข็ง ไม่ใช่หมายความถึงดินที่เราปลูกต้นไม้ ธาตุไฟ เย็นหรือร้อน ไม่ว่าจะอุณหภูมิเท่าไหร่ก็ตามแต่ ธาตุลม ตึงหรือไหวที่กาย และธาตุน้ำ ซึมซาบเกาะกุมทั้ง ๓ รูปไม่ให้แยกจากกัน
เพราะฉะนั้นทั้ง ๔ รูปเป็นใหญ่ มหาภูตะ ไม่ใช่พูดลอยๆ แต่พูดให้เข้าใจว่าเมื่อใช้คำว่า มหาภูตะ หมายความว่า เป็นใหญ่ โดยที่ถ้าไม่มี ๔ รูปนี้ รูปอื่นมีไม่ได้แน่นอน ไม่ว่ารูปอะไรทั้งสิ้นจะมีไม่ได้เลย ต้องมีมหาภูตรูป๔ เมื่อมีมหาภูตรูป๔ แล้ว ยังมีอีก ๔ รูปที่มหาภูตรูป โดยอาศัยเกิดกับมหาภูตรูป แยกไม่ได้ เมื่อมหาภูตรูปเกิดต้องมีอีก ๔ รูปเกิดร่วมด้วย
ตอนนี้เราพูดถึงอีก ๔ รูปที่เกิดกับมหาภูตรูป แต่ไม่ใช่มหาภูตรูป เป็นรูปที่อาศัยมหาภูตรูป คืออะไรบ้าง ถ้าคิดจะรู้ เมื่อครู่นี้ก็ตอบมาแล้วด้วย เห็นไหมว่าความเข้าใจมั่นคงแค่ไหน ถ้ามั่นคงจะตอบได้ทันที แต่เมื่อยังไม่มั่นคงก็ต้องไตร่ตรองจนกว่าจะมั่นคง ปัญญาพร้อมสติสัมปชัญญะรู้ขณะกระทบ นั่นคือปฏิปัตติ นั่นคือสติสัมปชัญญะ อีกระดับหนึ่ง นี่แค่ขั้นฟังเรายังต้องคิดเลยใช่ไหม
เพราะฉะนั้น รูปอะไรเกิดกับมหาภูตรูป สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ กระทบตาได้ สีสันวัณณะต่างๆ มีไหม ลืมตาแล้วมีสิ่งที่ปรากฏไหม ตอนหลับตาไม่มีคนเลย แต่เมื่อลืมตามีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏที่ยังไม่ใช่คนถ้าไม่คิด เห็นความรวดเร็วไหม จิตเห็นไม่ใช่เรา ธาตุรู้เกิดขึ้นเพราะอาศัยตา แล้วอาศัยสิ่งที่กระทบตาได้เพราะมหาภูตรูปกระทบตาไม่ได้ แข็งจะมากระทบตาได้อย่างไร
โดยสิ่งที่อยู่ตรงแข็งเป็นรูปหนึ่งที่กระทบตาได้ แต่ไม่ปรากฏจนกว่าจิตเห็นเกิด สิ่งนั้นต้องกระทบจักขุปสาทก่อนเห็น หมายความว่า จักขุปสาทต้องเกิดก่อน และสิ่งที่กระทบตาก็ต้องเกิดก่อนเห็น เพราะเมื่อทั้งสองอย่างนี้กระทบกัน เป็นปัจจัยให้จิตเห็นเกิดขึ้นพร้อมเจตสิกที่กระทบ ไม่ใช่ใครกระทบเลย
เจตสิกหนึ่งคือผัสสเจตสิกเกิดขึ้น เป็นสภาพรู้ที่สามารถกระทบกับสิ่งที่ปรากฏ โดยที่จักขุปสาทไม่ใช่ธาตุรู้ เป็นแต่เพียงฐานหรือที่เกิด หรือปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้มีรูปกระทบได้ ซึ่งจิตธาตุรู้เกิดตรงนั้น รู้สิ่งที่กระทบตรงนั้นแล้วก็ดับตรงนั้น หนึ่งขณะจิต
ขณะนี้ที่มหาภูตรูปมีรูปอื่นอีก ๔ รูปเกิดร่วมด้วย มหาภูตรูปมี ๔ เมื่อมหาภูตรูปเกิดเมื่อไหร่ ต้องมีอีก ๔ รูปเกิดร่วมด้วย กล่าวถึงทีละหนึ่ง สิ่งที่กำลังปรากฏต่อหน้าต่อตา ใช้คำว่าต่อหน้าและต่อตาด้วย ไม่ปรากฏต่อหู ไม่ใช่ดีต่อหูเหมือนอย่างที่เขาใช้คำว่า ดีต่อใจ ใช่ไหม แต่นี่กระทบตา รูปนี้กระทบตา โดยแข็งกระทบไม่ได้
สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่แข็ง สิ่งนั้นจะมีรูปที่กระทบตาได้ ไม่ว่าอะไรทั้งหมด นี่ก็อ่อนหรือแข็งใช่ไหม เเต่กระทบตาได้เฉพาะสี ตัวแข็งกระทบไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น เห็นอะไร เห็นสิ่งที่สามารถกระทบตาแล้วปรากฏ
ความหลากหลายของมหาภูตรูปทั้ง ๔ สิ่งที่กระทบตาปรากฏเป็นสีต่างๆ ตามปัจจัยที่อาศัย ดอกกุหลาบมีกี่สี แม้เป็นดอกกุหลาบ ถึงเเม้เป็นต้นกุหลาบพืชพันธุ์เดียวกันยังหลากสี นั่นคือรูปธรรม เพราะฉะนั้นจิต เจตสิก ซึ่งเป็นนามธรรมจะหลากหลายยิ่งกว่านั้นสักเท่าไหร่ ประมาณไม่ได้เลย แต่ก็ทรงประมวลมาว่า ธาตุรู้ซึ่งเป็นจิตประกอบกับเจตสิกแต่ละขณะ แล้วก็ต่างกันเป็น ๘๙ ประเภท รวมทั้งในสวรรค์ นรก พรหมโลก อะไรต่ออะไรทั้งหมด เพราะว่าหนึ่งขณะนับไม่ได้อยู่แล้ว แต่สามารถจะประมวลเป็นประเภทได้ ๘๙ ประเภท
เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้ รูปที่มหาภูตรูป๔ ยังต้องมีรูปอื่นอีก ๔ รูป ใช่ไหม ตอนนี้จะกล่าวถึง ๔ รูปนี้ทีละหนึ่งว่ามีอะไรบ้าง ใช้คำว่า สี ซึ่งภาษาบาลีคือ วัณณะ วัณโณ หรือนิภาก็ได้ หลากหลายชื่อ ไม่ว่าจะเรียกเป็นภาษาอังกฤษหรือภาษาอื่น อย่างไรธรรมก็ไม่ได้เปลี่ยนไปตามชื่อ แต่อาศัยชื่อของแต่ละภาษา แต่ละคำเพื่อให้รู้ว่าหมายความถึงอะไร
ดังนั้น ไม่ต้องเรียกว่าสีก็ได้ ชึ่งภาษาบาลีใช้คำว่า วัณโณหรือวัณณะ กระทบตาได้ ปรากฏได้ ปรากฏเกิดดับตั้งนานกว่าจะเป็นสัณฐาน หรือนิมิต
นิมิตคือรูปร่างสัณฐาน แต่ละหนึ่ง คิ้ว ตา จมูก ปาก ไม่อย่างนั้นเราจะรู้ได้อย่างไรว่าคนนี้ไม่ใช่คนนั้น แต่เร็วสุดที่จะประมาณได้ ข้อพิสูจน์คือแค่หลับตา วัณณรูปไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้น เป็นรูปที่มีจริง ซึ่งไม่ใช่มหาภูตรูป เเล้วอีก ๓ รูปรู้ไหม จะรู้ได้ถ้าคิด เห็นสีสันวัณณะรูปร่างสัณฐาน แล้วทำไมถึงบอกเป็นแอปเปิ้ลไม่ใช่กล้วย เพราะรสต่างกัน เพราะฉะนั้น รสหวาน รสเค็ม รสเปรี้ยว รสอยู่ที่ไหน อยู่ที่มหาภูตรูป เห็นไหมว่าต้องอาศัยคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และต้องไตร่ตรองจนกระทั่งเป็นปัญญาของตัวเอง ได้รับมรดกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อเข้าใจ แต่ถ้ายังไม่เข้าใจก็ไม่ใช่ทายาท ไม่ใช่ผู้รับมรดก ไม่มีพระบิดาผู้ให้กำเนิด
เพราะฉะนั้น มีสิ่งที่กระทบตาได้หนึ่งรูป ภาษาบาลีใช้คำว่า วัณณะ วัณโณ อะไรก็แล้วแต่ จะให้ชัดเจนเป็นภาษาไทย คือ สิ่งที่ปรากฏให้เห็น
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1141
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1142
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1143
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1144
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1145
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1146
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1147
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1148
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1149
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1150
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1151
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1152
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1153
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1154
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1155
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1156
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1157
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1158
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1159
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1160
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1161
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1162
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1163
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1164
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1165
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1166
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1167
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1168
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1169
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1170
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1171
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1172
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1173
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1174
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1175
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1176
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1177
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1178
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1179
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1180
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1181
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1182
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1183
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1184
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1185
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1186
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1187
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1188
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1189
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1190
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1191
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1192
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1193
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1194
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1195
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1196
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1197
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1198
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1199
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1200
