ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1766


    ตอนที่ ๑๗๖๖

    สนทนาธรรม ที่ บ้านขนมนันทวัน จ.เพชรบุรี

    วันที่ ๑๗ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๕


    ท่านอาจารย์ แม้แต่ความเข้าใจก็เป็นธรรมะชนิดหนึ่ง ไม่เข้าใจก็เป็นธรรมะอีกหนึ่งจะให้ไม่เข้าใจไปเป็นความเข้าใจเนี่ยไม่ได้ แล้วจะให้ขณะที่เข้าใจแล้วกลับไปเป็นความไม่เข้าใจ ก็ไม่ได้นะค่ะ แต่ละหนึ่งก็เป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งควรที่จะศึกษาโดยละเอียดว่า ขณะนี้นะคะ ที่เราชินกับคำว่าจิต แต่ให้ทราบว่าเป็นธาตุหรือเป็นธรรมะอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่มีรูปร่างเลย ใครเห็นจิตบ้างคะ รูปร่างเป็นไงคะจิต

    ผู้ฟัง เห็นไม่ได้ค่ะ

    ท่านอาจารย์ แข็งไหม หวานไหม ค่ะ เป็นเสียงดังๆ ออกมาหรือเปล่า ก็ไม่ใช่สักอย่างเดียวนะคะ นามธรรมที่ใช้คำว่าธาตุรู้นี่คะ ภาษาบาลีจะมีอีกคำหนึ่งนะคะ คือ นามะ ธาตุที่น้อมไปรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ ขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏเพราะมีธาตุชนิดนี้เกิดขึ้นรู้สิ่งนั้น สิ่งนั้นจึงปรากฏได้ เพราะฉะนั้นในขณะนี้นะคะ เห็นนี่คะมีจริงๆ เป็นจิตประเภทหนึ่ง ซึ่งเกิดเห็นแล้วดับ

    แต่เสมือนกับว่า ทั้งเห็น ทั้งได้ยิน ทั้งคิดด้วยพร้อมกันหมดเลย เพราะความไม่รู้ ถ้าศึกษาพระธรรมนะคะ ก็จะรู้ได้ว่าจิตที่เห็นเกิดหนึ่งขณะแล้วดับ ทันทีที่จิตนั้นดับ เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อโดยไม่มีระหว่างคั่นเลย เพราะฉะนั้นในขณะนี้นะคะ ที่เหมือนกับว่าทั้งเห็นด้วย ทั้งได้ยินด้วย ทั้งคิดด้วย

    เหล่านี้นะค่ะ เกิดเพราะจิตหนึ่งขณะ เกิดดับสืบต่อ ซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงแสดงความละเอียดนะคะ ตั้งแต่จิตขณะแรกที่เกิดในชาตินี้ ต้องมีธาตุรู้หรือจิตเกิดขณะแรก ขณะแรกที่เกิดเนี่ยนะคะ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่าจิตนั้นรู้อะไร และก็ประกอบด้วยธาตุที่เป็นนามธรรม ที่เกิดพร้อมกันคือเจตสิก

    เพราะว่าถ้าฟังโดยเหตุผลนะคะ ไม่มีอะไรสักอย่างหนึ่งซึ่งจะเกิดขึ้นมาได้ ลอยๆ หรือว่าตามลำพัง ถ้ากล่าวอย่างนี้หมายความว่าไม่รู้เหตุที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น แต่ว่าถ้าผู้ที่รู้แจ้งสภาพธรรมะทั้งหมดนะคะ ก็จะรู้ว่าแม้จิตที่เกิดก็จะต้องมีปัจจัยที่ทำให้จิตนั้นเกิด เพราะฉะนั้นสภาพธรรมะที่ทำให้จิตนั้นเกิดก็คือเจตสิก

    สภาพธรรมะเป็นธาตุรู้นะคะ มีต่างกันเป็นสองประเภทนะคะ จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏ เช่นกำลังเห็น กำลังได้ยิน ได้ยินเสียงใดรู้แจ้งในเสียงนั้น เสียงเวลานี้หลากหลายใช่ไหมคะ จิตรู้แจ้งเสียงแต่ละเสียงซึ่งต่างๆ กันไป และในขณะที่จิตเกิดขึ้นนะคะ ก็มีธรรมะที่เป็นนามธรรมเกิดร่วมกัน พร้อมกัน รู้สิ่งเดียวกัน

    แต่ไม่ใช่จิตนะคะ สภาพธรรมะนั้นคือเจตสิกในภาษาไทย แต่ภาษาบาลีก็ใช้คำว่าเจตสิกะ หมายความถึงธาตุรู้ หรือนามธาตุซึ่งเกิดพร้อมจิต ดับพร้อมจิต รู้อารมณ์เดียวกับจิต และเกิดที่เดียวกับจิต แยกกันไม่ได้เลยค่ะ เพราะฉะนั้นจิตเป็นปัจจัยให้เจตสิกเกิด เจตสิกก็อาศัยจิตเป็นปัจจัยเกิด

    ต่างอาศัยซึ่งกันและกัน เหมือนธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม เกิดพร้อมกันนะคะ แยกกันไม่ได้เลยนี่คือเป็นเพียงตัวอย่าง ซึ่งเรายากที่จะรู้ได้นะคะ ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ พิจารณา จนกระทั่งค่อยๆ เข้าใจความเป็นธรรมะ ซึ่งใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย แม้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่ได้ตรัสว่าพระองค์จะเปลี่ยนแปลงโลก

    หรือจะทำให้คนที่ไม่รู้อะไรเลยเนี่ย สามารถที่จะรู้ได้ บันดาลให้รู้ได้ โดยไม่มีเหตุ ก็เป็นไปไม่ได้เลยนะคะ แต่ว่าทรงแสดงธรรมะตามความเป็นจริงแต่ละหนึ่งให้พิจารณา เพื่อที่จะได้รู้ว่าเห็นขณะนี้เกิดเห็นและดับไม่ใช่ได้ยิน และได้ยินที่กำลังได้ยินเกิดแล้วก็ดับ และก็มีเห็น หรือว่าเห็นดับไปแล้วก็มีคิด

    คือทุกอย่างเนี่ยเร็วมากค่ะ เร็วเหมือนกับสิ่งที่เกิดดับเร็วไม่ปรากฏเลยว่าเกิดดับ เพราะว่าการเกิดดับเป็นไปอย่างเร็วมาก เพราะฉะนั้นการฟังธรรมะไม่ใช่เอาความคิดของเรามาปน ว่าเราเคยคิดอย่างนั้น เคยเข้าใจอย่างนี้นะคะ แต่ว่ากำลังฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และก็ทรงแสดงความจริงโดยละเอียดยิ่ง

    มีใครทราบบ้างคะว่าขณะที่เห็นเนี่ยเป็นจิตที่เกิดพร้อมเจตสิก ไม่ได้มีแต่จิตนะคะ มีเจตสิกอย่างเวลาจิตเห็นเกิดขึ้นเนี่ยนะคะ จะมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ๗ ประเภท ไม่น้อยกว่านั้น และไม่มากกว่านั้นตามเหตุตามปัจจัย และทรงแสดงลักษณะของเจตสิกแต่ละหนึ่ง ว่าเป็นปัจจัยแก่จิตในขณะนั้นโดยฐานะต่างๆ กันอย่างไร

    เนี่ยค่ะ แล้วจะไม่ว่าจิตเกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้อย่างไร เพราะว่าเราดูเหมือนว่าเห็นกับได้ยินพร้อมกันนะคะ แต่ทรงแสดงจิตที่เกิดก่อนเห็น และหลังจากที่เห็นดับไปแล้ว ก็ทรงแสดงจิตแต่ละหนึ่งขณะตามลำดับขั้นรวมทั้งความพอใจไม่พอใจนะคะ

    ที่เกิดในสิ่งที่ปรากฏ โดยยับยั้งไม่ได้เลยตามเหตุตามปัจจัย ก่อนที่จะมีการได้ยินก็จะต้องมีจิตอื่นเกิดคั่นอีกมากมายค่ะ เป็นสิ่งซึ่งจะเห็นพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งใครละคะ จะละการยึดถือว่าเป็นเรา

    ถ้าไม่ได้ฟังและเข้าใจธรรมะโดยละเอียด แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่งนะคะ จนค่อยๆ คล้อยตามความเป็นจริงในขั้นฟังว่าเป็นธรรมะซึ่งไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นพระธรรมที่ทรงแสดงนะคะ สมบูรณ์นะคะ ปริยัติ ปฏิปัตติ ปฏิเวธ ค่ะเป็นภาษาบาลีอย่างคำว่าปริยัติ ขอเชิญคุณคำปั่นให้ความหมายด้วยค่ะ

    อ.คำปั่น ก็เป็นคำที่รวมกันสองคำครับท่านอาจารย์ครับ คือคำว่า ปริ แปลว่าโดยรอบ แล้วก็ยัติ หมายถึงปัญญาที่รู้ครับ ซึ่งเมื่อแปลรวมกันก็เป็นการรอบรู้ครับ

    ท่านอาจารย์ คะ รู้นิดรู้หน่อยพอไหมคะ ไม่พอเลยแล้วก็ไม่ใช่รู้จริงด้วย แต่ว่าเป็นความรอบรู้ในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ซึ่งต้องเพิ่มขึ้นนะคะ จากการฟังครั้งแรก และครั้งต่อๆ ไป เพราะเหตุว่าพระธรรมที่ลึกซึ้งนี่คะ ไม่มีใครที่เพียงได้ยินครั้งเดียว แล้วก็จะเข้าใจได้โดยตลอด โดยเฉพาะคนยุคนี้นะคะ

    ไม่ใช่กาลสมบัติ ไม่เหมือนสมัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เป็นกาลที่คนที่ได้ฟังธรรมะนานแสนนานมานะคะ แม้แต่ในสมัยของพระองค์เพราะว่าเมื่อสุเมธดาบสได้รับคำพยากรณ์จากพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าอีก ๔ อสงไขยแสนกัปป์ จะได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้นระหว่างนั้นนะ ก็มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้บำเพ็ญบารมีมาแล้วนะคะ แล้วก็เกิดขึ้นแสดงธรรม ปรินิพพาน ๒๔ พระองค์ กว่าจะถึงพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้ เพราะฉะนั้นใครที่ได้อบรมมาแล้วในสมัยพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้านะคะ ฟังพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนนี้ที่ได้บรรลุแล้วก็มี

    รู้แจ้งอริยสัจแล้วก็มี แต่ทุกคนเป็นคนตรง นะคะ ฟังธรรมะในยุคนี้นี่คะ เข้าใจแค่ไหน เข้าใจต่อไปอีก ไม่ใช่ว่าคิดเอง คิดเองไม่ได้เลยค่ะ ไม่สามารถที่จะมีใครคิดเองได้ ถ้าใครคิดว่าคิดเองได้ประมาทพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยเหตุนี้นะคะ ปริยัติ ผู้ที่ไม่ได้สะสมมาที่จะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า คือรู้ด้วยตัวเอง ตรัสรู้ด้วยตัวเองนะคะ

    แต่ไม่ได้บำเพ็ญพระบารมีที่จะถึงความอนุเคราะห์แก่สัตว์โลกอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม ในเมื่อพระศาสนาคือคำสอนอันตรธานไม่เหลือเลย แต่การสะสมความรู้ไปเรื่อยๆ ทีละเล็กทีละน้อยนี่คะ ก็ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ว่าจะสามารถรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังเกิดดับเป็นอย่างนี้ในขณะนี้ ได้เมื่อไหร่

    เพราะฉะนั้นไม่ประมาทปริยัตินะคะ ฟังนิดเดียวอย่าเพิ่งคิดว่ารู้แล้ว แต่ถ้าฟังต่อไปอีกนะคะ ความเข้าใจ ความรอบรู้ในแต่ละคำที่ได้ยินเนี่ยก็เพิ่มมากขึ้น จนกระทั่งมีปัจจัยที่จะทำให้เริ่มเข้าใจ ธรรมะที่กำลังปรากฏในขณะนี้นะคะ ในขณะที่เกิดปรากฏ เพราะเคยฟังจนกระทั่งเข้าใจ

    เพราะฉะนั้นก็สามารถที่จะระลึกได้ และก็เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมะที่ใช้คำว่าปฏิปัตติ ถ้าไม่มีความเข้าใจธรรมะมาก่อนเลย จะมีปัจจัยอะไรที่จะทำให้เข้าใจธรรมะเดี๋ยวนี้ว่าเป็นธรรมะ ไม่ว่าจะเป็นเห็นหรือว่าจะได้ยิน หรือคิดนึก หรือเสียง หรือแข็ง ทุกอย่างนี่คะ ถ้ายังไม่มีความเข้าใจโดยรอบรู้จริงๆ นะคะ

    ว่าเป็นธรรมะไม่มีปัจจัยที่จะเข้าใจสภาพธรรมะที่เป็นอย่างนั้นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลย แต่เป็นความรู้ถูก ความเห็นถูก ในลักษณะที่เป็นธรรมะ ซึ่งไม่เที่ยง เกิดแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นในขณะนี้นะคะ รู้สิ่งที่แข็งที่กระทบไหมคะ รู้ แต่ยังไม่เข้าใจว่าในขณะนั้นนะคะ ไม่มีอย่างอื่นเลย ทั้งโลก ทั้งจักรวาล

    มีแต่เฉพาะธาตุที่กำลังรู้ และแข็งที่ปรากฏให้รู้เท่านั้นเอง นั้นจึงจะถึงความหมายของคำว่า ไม่ใช่เรา ไม่มีเรา เพราะว่ามีแต่ธรรมะซึ่งเพียงเป็นธาตุที่กำลังรู้ และก็แข็งที่กำลังปรากฏให้รู้ แล้วจะเป็นเราได้อย่างไร แข็งนั้นหรือเป็นเรา เพียงแต่เป็นธาตุที่เกิดเปลี่ยนไม่ได้เป็นปรมัตถะ เป็นธรรมะที่มีจริง ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เป็นอภิธรรมะด้วย

    เพราะเหตุละเอียดลึกซึ้งกว่าที่จะเข้าใจถูกต้องว่าขณะนั้นนะคะ เป็นธรรมะที่ไม่ใช่เรา และก็ไม่มีอย่างอื่นปรากฏเลยด้วย ถ้ายังมีอย่างอื่นปรากฏ จะรู้ชัด หรือว่ารู้รอบในสิ่งนั้นได้ไหม ในเมื่อมีสองอย่างที่จะรู้รอบหรือรู้ชัดได้ ก็ต้องปรากฏทีละหนึ่งอย่าง แต่ที่สามารถจะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏในขณะนี้เฉพาะหนึ่ง

    ต้องอาศัยการฟังและก็เข้าใจนะคะ แล้วก็ละความไม่รู้ และก็ละความติดข้อง เพราะเหตุว่า ทุกคนทราบอริยสัจ ๔ อริยสัจจะที่หนึ่งทุกขอริยสัจจะ คือทุกข์ ที่สภาพธรรมะไม่ยั่งยืน ทุกข์ที่นี่คือความแปรปรวนนะคะ เกิดมีแล้วก็หามีไม่ แล้วก็ไม่กลับมาอีกด้วย เพราะฉะนั้นก็ฟังจนไม่สงสัยเลยค่ะ ว่าเดี๋ยวนี้เองเป็นสิ่งที่มีจริง

    อย่างอื่นไม่จริงเท่ากับสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เมื่อวานนี้นะคะ หายไปหมดกลับมาไม่ได้เลย พรุ่งนี้ก็ยังไม่มาถึง แล้วเราจะไปคาดคะเนว่าพรุ่งนี้ จะเป็นอย่างนั้น จะเป็นอย่างนี้ ก็เป็นแค่คิดนะคะ แต่สิ่งที่ขณะนี้เกิดแล้วเป็นอย่างนี้ถ้าสามารถที่จะเข้าใจ มากขึ้นนะคะ ก็จะเป็นปัจจัยให้เกิดปฏิปัตติ

    ปฏิแปลว่าเฉพาะ ปัตติแปลว่าถึง ถึงเฉพาะความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏทีละหนึ่ง เพราะฉะนั้นจากปริยัตินะคะ ก็จะเป็นปัจจัยให้เกิดปฏิปัตติ ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ละคลายการยึดถือสภาพธรรมะว่าเป็นตัวตน เพราะว่าปัญญาต้องสมบูรณ์ตามลำดับนะคะ กว่าจะรู้แจ้งอริยะสัจธรรม

    เพราะฉะนั้นขณะใดก็ตามที่มีความเข้าใจจากการฟัง เป็นปัจจัยให้มีการรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ ซึ่งภาษาบาลีจะใช้คำว่าสติสัมปชัญญะจะใช้คำว่าสติปัฏฐานก็แล้วแต่ จะใช้คำไหนก็ต้องรู้ความเป็นจริงคือลักษณะนั้นไม่ใช่จำชื่อเรียกชื่อ แต่ว่าไม่รู้จักสภาพที่เป็นสติสัมปชัญญะหรือว่าเป็นปฏิปัตติ

    เพราะฉะนั้นปฏิแปลว่าเฉพาะ ปัตติแปลว่าถึง ขณะนี้รู้ว่าเห็นเป็นธรรมะ ยังไม่ถึงลักษณะเห็นซึ่งเกิดเห็นและดับ ต่อเมื่อไหร่นะคะ ปริยัติมากพอที่จะเป็นปัจจัยให้เริ่มเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ ตรงตามที่ได้ฟังขณะนั้นจึงเริ่มที่จะเป็นปฏิปัตติ ซึ่งภาษาไทยใช้คำว่าปฏิบัติ แต่ไม่ใช่ปฏิเวธ ยังไม่ใช่การแทงตลอด

    เดี๋ยวนี้นะคะ มีแข็งเหมือนเดิมไหมคะ เมื่อเช้านี้ก็แข็งอย่างนี้ แข็งไม่เปลี่ยน แต่ความรู้เพิ่มขึ้นนิดนึงไหมว่าแข็งเนี่ยเกิดแล้วเป็นแข็ง ซึ่งขณะที่แข็งปรากฏเนี่ยไม่มีอย่างอื่นปรากฏเลย ยังไม่ถึงระดับนั้นนะคะ ก็เพราะเหตุว่าจะต้องอบรม ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก จนกว่าสามารถที่จะเป็นปฏิปัตตินะคะ

    เริ่มรู้ว่าขณะนั้นเฉพาะแข็ง ถ้าเย็นละค่ะ ได้ไหมคะ เย็นกำลังปรากฏแล้ว แต่ก่อนนี่ไม่เคยสนใจเลย เวลาอาบน้ำกระทบเย็น ดื่มน้ำกระทบเย็น ชีวิตประจำวันก็ไม่เคยรู้ลักษณะของเย็น เกิดแล้วดับแล้ว โดยไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น แต่พอฟังธรรมะนะคะ รู้ว่าขณะนั้นนะคะ สิ่งที่มีจริงที่เป็นโลก สภาพธรรมะที่เกิดดับ

    โลกะหมายความถึงธรรมะซึ่งเกิดดับ ยังไม่ใช่โลกุตระ ยังไม่พ้นไปจากการเกิดดับนะคะ สิ่งใดก็ตามที่มีเพราะเกิด แล้วก็สิ่งที่เกิดนั่นแหละดับ เพราะฉะนั้นในขณะนี้เริ่มรู้จักโลกแต่ละโลก ปรากฏได้ทีละหนึ่งโลก และถ้ามีความเข้าใจในขณะที่ฟังนะคะ แล้วก็แข็งปรากฏ หรือเย็นปรากฏ หรือกลิ่นปรากฏ หรือเสียงปรากฏ

    รู้ตรงเฉพาะลักษณะนั้นเมื่อไหร่ เข้าใจว่าขณะนั้นเป็นธรรมะเพียงอย่างเดียวที่มี ไม่ใช่เรา ไม่ใช่โลกใหญ่โตมโหฬารประเทศนั้นประเทศนี้นะคะ แต่ว่าเป็นธรรมะที่เกิด แล้วก็ดับไปขณะนั้นจึงจะเป็นปฏิปัตติจากปริยัติ และก็เมื่อไหร่ที่สภาพธรรมะปรากฏตามความเป็นจริงอย่างที่ได้ฟัง คือทีละหนึ่งเนี่ย

    น่าอัศจรรย์ไหมคะความรู้จริงๆ จะรู้หลายๆ อย่างพร้อมกันไม่ได้ ขณะนี้จะเป็นอย่างขณะนั้นไม่ได้ ที่สภาพธรรมะเพียงปรากฏหนึ่ง ให้รู้จริงๆ ว่าเพียงหนึ่ง ให้มีความรอบรู้ ในสิ่งที่ปรากฏนะคะ เพราะอย่างอื่นไม่มี จะไปรู้รอบธรรมะอื่นได้ยังไง ก็ต้องเฉพาะธรรมะที่ปรากฏ ขณะนั้นก็เริ่มนะคะ

    ที่จะเห็นตามความเป็นจริงว่าพระปัญญาคุณที่ทรงบำเพ็ญมาด้วยการประจักษ์แจ้งความจริงของสภาพธรรมะ ธรรมะก็ปรากฏให้รู้ได้อย่างนี้ เริ่มรู้จักพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่เพียงแต่ฟังคำที่พระองค์ทรงแสดง ในครั้งพุทธกาลนะคะ แม้ภิกษุที่เดินตามหลังพระผู้มีพระภาค ก็เข้าใจว่าพระธรรมที่กำลังได้ฟังในครั้งโน้น เกิดจากการที่ทรงไตร่ตรอง

    ถึงกับกล่าวว่าพระธรรมที่ทรงแสดงเนี่ยทำให้พ้นทุกข์ได้จริง แต่ก็เกิดจากการคิดและการไตร่ตรอง นี่คือเมื่อสภาพธรรมะนั้นยังไม่ปรากฏ ก็ไม่สามารถที่จะคาดคะเนได้ ว่าตามความเป็นจริง สภาพธรรมะเป็นจริงอย่างนี้ แต่ไม่ใช่เรานะคะ เมื่อไหร่จะรู้ ทำยังไงเราถึงจะรู้ นั้น ไม่ใช่ปัญญาเลยค่ะ เป็นความต้องการ เป็นตัวตนมีเรานะคะ

    ซึ่งก็เป็นเครื่องกั้นทำให้ไม่สามารถที่จะรู้สภาพธรรมะที่กำลังเป็นอย่างนั้น แต่เริ่มเข้าใจ เพราะฉะนั้นการฟังนี่คะ ปริยัติจะนำไปสู่ปฏิบัติติ และเมื่อมีความเห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมะนะคะ ก็ถึงปฏิเวธคือแทงตลอด หมายความว่าเฉพาะลักษณะหนึ่งที่ปรากฏตามความเป็นจริง

    จนกว่าปัญญาที่รู้แจ้งชัดที่ใช้คำว่าวิปัสสนาจะเพิ่มขึ้นนะคะ ถึงกาลที่จะดับกิเลสได้ ซึ่งบุคคลในครั้งโน้นนะคะ อาศัยการฟังจากไม่รู้เลยค่ะ จะกระโดดข้ามขั้นจาก ไม่มีความรู้อะไรไปถึงปฏิเวธไม่ได้นะคะ หรือว่าไม่รู้อะไรไม่เข้าใจอะไรก็ถึงปฏิปัตติก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นไม่ว่าวิชาใดๆ ทั้งสิ้นนะคะ ต้องตามลำดับ

    ผู้ฟัง เจริญพรอาจารย์สุจินต์ พระพุทธเจ้าก็สอนว่าให้เราละโลภ โกรธ หลง ก็มีวิธีปฏิบัติก็คือการเจริญสติมีสติทุกอิริยาบถ เราสามารถฝึกได้แล้วก็สามารถกั้นสิ่งเหล่านี้ไม่ให้เกิดกับจิตใจได้ ก็ติดตรงนี้ว่าเห็นอาจารย์บอกว่าไม่สามารถละได้ ก็คืออยากถามความเข้าใจผมอาจจะฟังผิดหรืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ ต้องไม่ลืมแต่ละคำที่ได้ยินนะคะ แล้วก็ต้องสอดคล้องกันด้วยขัดกันไม่ได้เลย ปัญญาเป็นใคร หรือว่าเป็นธรรมะที่มีจริง ตรงกันข้ามกับอวิชชา อวิชชาไม่รู้แต่วิชชารู้ เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมเนี่ยค่ะต้องให้สอดคล้องกันด้วยนะคะ ที่กล่าวว่าพระผู้มีพระภาค ให้มีสติ ทุกอิริยาบถ ทุกขณะใช่ไหมเจ้าค่ะ ค่ะ พุทธะคือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ด้วยปัญญา

    พระพุทธศาสนาคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านี่คะ ทุกคำเพื่อให้เกิดความรู้คือปัญญา ไม่มีคำสอนของพระองค์สักคำเดียวที่เป็นไปเพื่อความไม่รู้ เพราะฉะนั้นประโยชน์ที่ผู้ฟังนะคะ มีความเลื่อมใสในพระศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าเมื่อฟังแล้วเกิดความเห็นถูก ความเข้าใจถูก

    จะมาก จะน้อย ไม่ใช่หมายความว่าเราอยากจะมีมากๆ แต่ว่าเป็นผู้ที่ตรงไหนแต่ละคำที่เข้าใจจะไม่พูดคำที่ไม่รู้จัก และจะไม่ประมาทด้วยนะคะ คิดว่าไม่ต้องศึกษาโดยละเอียดก็เข้าใจแล้ว เช่น สติ ภาษาไทยนี่ค่ะใช้ภาษาบาลีมาก แต่ว่าไม่ได้เอาความหมายที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงในภาษาบาลีซึ่งเป็นคำสอนเรื่องสิ่งที่มีจริงคือสภาพธรรมะ

    เพราะว่าภาษามคธีเป็นภาษาที่ชาวมคธในแคว้นมคธนี่คะ ใช้กันเป็นประจำ เหมือนภาษาไทยนะคะ เพราะฉะนั้นที่เราจะเข้าใจธรรมะได้ด้วยภาษาของเรา แต่ว่าถ้าเราใช้คำว่าสติ เราไม่ใช่ชาวมคธ เราจะรู้ไหมว่าสติในภาษานั้นหมายความถึงอะไร และความลึกซึ้งของธรรมะนี่คะ ถึงแม้ว่าจะเป็นภาษาที่ใช้กันเป็นประจำ

    แต่ภาษาที่ส่องให้ถึงลักษณะที่มีจริงนะคะ ต้องมีคำอธิบาย เพราะฉะนั้นอย่างที่เราใช้คำว่าสติ ต้องเป็นธรรมะที่มีจริงๆ ซึ่งต่างกับ สภาพธรรมะอื่น เพราะฉะนั้นสติจะเป็นปัญญาได้ไหม ไม่ได้ สติจะเป็นอวิชชาได้ไหม สติจะเป็น ความสุขหรือความทุกข์ได้ไหม แต่ละหนึ่งนะคะ

    พระธรรมที่ทรงแสดงนี่คะ ใช้คำในภาษานั้นเหมือนกับคนไทยใช้ภาษาไทย แต่ก็ยังต้องอธิบายให้ถึงลักษณะที่เป็นธรรมะ เพราะไม่ได้หมายความว่าคนที่พูดภาษานั้น รู้ภาษานั้น เข้าใจภาษานั้น แล้วจะเข้าใจธรรมะทั้งหมด เหมือนคนไทยนี่คะ เราก็พูดภาษาไทยแต่ว่าไม่ได้หมายความว่าพูดแล้วเราจะเข้าใจธรรมะได้

    ถ้าไม่ได้ศึกษาไม่ได้ไตร่ตรองให้เข้าใจจริงๆ เพราะฉะนั้นแม้แต่คำว่าสติ คืออะไร ธรรมะทุกคำที่ได้ฟังนะคะ ทำให้เกิดความเห็นถูกความเข้าใจถูกจะไม่ผ่านไป และไม่เผินด้วยแต่ละคำเนี่ยค่ะส่องถึงลักษณะของธรรมะไม่ใช่เป็นแต่เพียงภาษาบาลี ภาษามคธีแต่ต้องส่องถึงลักษณะของธรรมะด้วย

    เช่นคนไทยใช้คำว่าเห็น ภาษาบาลีใช้คำว่าจักขุวิญญาณ ธาตุรู้ซึ่งอาศัยตา ถ้าไม่มีตานะคะ จะไม่มีจักขุวิญญาณซึ่งภาษาไทยใช้คำว่าจักขุวิญญาณ บางคนพอศึกษาธรรมมะไม่พูดภาษาไทยเลย จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณนะคะ แต่ความจริงเห็นชัดเจนไหมคะ ขณะนี้กำลังเห็น แต่พอไปถึงจักขุวิญญาณ ต้องไปแปลงอีกทีหนึ่ง

    หรือว่าบางคนนะคะ บอกว่าเสียใจนะคะ โทมนัสเป็นเวทนาหรือเปล่า คือจะเอาแต่ชื่อแต่คำ แต่ไม่รู้ว่าชื่อหรือคำเนี่ยก็คือแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่มีจริงในขณะนั้น ไม่ใช่ให้ไปติดจำชื่อไว้เยอะๆ แต่ไม่รู้อะไร เพราะฉะนั้นก่อนที่จะมีปัญญา ที่จะสามารถละโลภะ โทสะ เพราะทราบอยู่แล้วว่าอวิชชาความไม่รู้ไม่สามารถที่จะละอกุศลใดๆ ได้เลย

    เพราะอวิชาก็เป็นอกุศล และจะเอาอกุศลไปละอกุศลได้อย่างไร ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลย ต้องเป็นฝ่ายตรงกันข้ามนะคะ ถ้ามีโลภะ เพราะไม่รู้ จะไม่มีโลภะก็ต่อเมื่อรู้ตามความเป็นจริง จะไม่ให้มีโทสะโดยไม่รู้ว่าโทสะเป็นอะไร และจะไม่ให้มีโทสะ สอนวิธีให้ไม่มีโทสะ แต่ไม่เข้าใจอะไรเลย ไม่สามารถที่จะละโทสะได้

    พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านะคะ เป็นพระบรมศาสดาของเทวดา และมนุษย์พรหมทั้งหมดเลยในสากลจักรวาลแสดงให้เห็นว่าผู้อื่นไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงต้องมาเฝ้ากราบทูลถาม เพื่อที่จะได้เข้าใจธรรมะโดยไม่คิดเอง

    เพราะฉะนั้นถ้าจะพูดสักคำหนึ่งว่าสติ โดยไม่รู้ว่าสติคืออะไร มีประโยชน์ไหมคะ จะไปทำสติไหมค่ะ คิดว่าทำได้ แต่ต้องไม่ลืมว่าธรรมะเป็นอนัตตา ถ้าไม่มีปัจจัยเกิดไม่ได้เลยคะ สักอย่างเดียว แม้แต่ปัญญาถ้าไม่มีปัจจัยคือการฟัง การไตร่ตรอง จนกระทั่งเป็นความรู้นะคะ ก็เกิดไม่ได้

    เพราะฉะนั้นพระธรรมที่ทรงแสดงนี่คะ งามทั้งเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด ทั้งศีล ทั้งสมาธิ ทั้งปัญญา ก็จะต้องศึกษาให้เข้าใจจริงๆ ในความต่าง และความละเอียดอย่างยิ่ง ท่านที่คิดว่าเข้าใจสติ และก็จะไม่มี โลภะ โทสะ ไม่มีอกุศลใดๆ เพราะว่ามีสติ จะช่วยกรุณาบอกได้ไหมคะว่าสติคืออะไร

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 198
    9 ธ.ค. 2568