ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1759


    ตอนที่ ๑๗๕๙

    สนทนาธรรม ที่ ดอยอินทนนท์ จ.เชียงใหม่

    วันที่ ๑๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๕


    ท่านอาจารย์ ทุกอย่างเป็นธรรมนี้ก็ต้องอาศัยการฟังและการไตร่ตรอง การพิจารณา จึงสามารถที่จะเข้าใจความลึกซึ้งของ “ทุกอย่างเป็นธรรม” พูดได้ แต่ “เห็น” เดี๋ยวนี้ เป็นธรรมหรือเปล่า เมื่อคืนนี้กลับไปแล้วหลังจากที่ฟังธรรมแล้วทุกคนก็เป็นปกติ ละเอียดขึ้นมาอีกนิดหนึ่งก็คือว่า เห็น แน่นอนใช่ไหม ไม่ใช่ว่า ฟังธรรมเสร็จแล้วกลับไปไม่เห็น ฟังธรรมเสร็จแล้วกลับไปก็เห็นเหมือนเดิมเป็นปกติ ได้ยินเป็นปกติ สนทนาธรรมเป็นปกติ คิดเป็นปกติ ตามที่สะสมมาทุกอย่าง เพราะฉะนั้นเป็นปกติจริงๆ นั่นคือ ธรรม

    ที่ทุกคนเกิดมาปรากฏในโลกนี้เพียงชั่วคราว แล้วก็หายไป แล้วก็จะเป็นคนนี้อีกต่อไปไม่ได้เลยทั้งสิ้น แต่ก่อนนั้น ดีหรือชั่ว หรือว่าสุขหรือทุกข์ มากมาย แม้แต่เมื่อวานนี้ หรือเดี๋ยวนี้ ขณะนี้ก็เป็นอย่างนั้น ด้วยเหตุนี้ ควรรู้ ไม่ใช่ว่ามีโอกาสที่จะเข้าใจ แล้วก็ไม่สนใจที่จะเข้าใจ แต่โอกาสนี้หายาก เพียงจากโลกนี้ไป จะรู้ไหมว่ามีโอกาสที่จะได้ฟังอย่างนี้อีกหรือเปล่า เป็นเพียงสิ่งที่มีจริงชั่วคราว ชั่วคราวคือสั้นมาก แล้วก็หมดไป เพราะฉะนั้นใครจะเข้าใจได้มากน้อยเท่าไหร่ เห็นประโยชน์มากน้อยเท่าไร ก็แล้วแต่ว่าสะสมมาที่จะเห็นประโยชน์ว่า เกิดมาแล้วบางคนก็ขวนขวาย ทำงาน มีเงินมีทอง มีทรัพย์สิน มีทุกอย่างที่อยากจะได้ แล้วก็จากไป แล้วก็หายไปเลย จำอะไรก็ไม่ได้

    เพราะฉะนั้นการที่มีโอกาสที่จะได้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ จะสามารถทำให้เข้าใจถึงอดีต และสิ่งที่จะเกิดขึ้นด้วย เพราะอย่างไรก็ไม่พ้นจากเห็น เกิดแล้วต้องเห็น เกิดแล้วต้องได้ยิน เกิดแล้วต้องได้กลิ่น เกิดแล้วต้องลิ้มรส เกิดแล้วต้องรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เกิดแล้วต้องคิดนึก บังคับไม่ได้เลยว่าสิ่งที่มีชีวิตที่เกิดมาเป็นธาตุรู้ แล้วจะไม่รู้อย่างนี้ เป็นไปไม่ได้ เพียงแต่ว่าจะรู้ที่โลกมนุษย์ หรือว่าสวรรค์ หรือพรหมโลก หรือว่านรก หรือสัตว์เดรัจฉาน เปรต อสูรกาย เลือกไม่ได้เลย แต่ว่าในขณะใดที่มีโอกาสได้ฟัง แล้วได้เข้าใจ ก็จะไม่สูญเปล่า ไม่เหมือนกับเกิดมาแล้วก็จากไป แล้วก็จำอะไรก็ไม่ได้เลย แต่ขณะนี้ความเข้าใจที่ค่อยๆ เข้าใจทีละเล็กทีละน้อย จะสืบต่อไปถึงชาติต่อไป เหมือนชาติก่อนต้องเคยได้ยินได้ฟังมาบ้าง ก็สืบต่อมาจนกระทั่งเห็นประโยชน์ของการที่จะได้เข้าใจสิ่งที่มี ไม่ใช่ว่าอยู่ในโลกไปเรื่อยๆ โดยที่ว่าไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ

    ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมให้เข้าใจ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมีประโยชน์แก่ใครหรือเปล่า เพราะฉะนั้นประโยชน์สูงสุดที่ทุกคนได้รับก็คือ ใครก็ตามที่ฟังแล้วเห็นค่า แล้วก็พิจารณาไตร่ตรองถึงจะเห็นประโยชน์หรือคุณค่าของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าว่ายิ่งกว่าสิ่งอื่นใดทั้งหมด เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าเกิดมาแล้วไม่ฟังพระธรรม แล้วบอกว่านับถือพระรัตนตรัย แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงมีคุณค่า สูงสุดเลิศกว่าบุคคลใดทั้งสิ้นก็เมื่อมีผู้เข้าใจพระธรรมที่ทรงแสดง ถ้าไม่เข้าใจแล้วก็บอกว่าพระองค์เป็นผู้เลิศประเสริฐที่สุด ตรงไหม เรื่องไม่จริงฟังทำไม ฟังแล้วก็ไม่จริง แล้วประโยชน์อะไร สนุกหรือฟังเรื่องไม่จริง ทุกข์หรือ หรือว่าได้ลาภได้ผลอะไรจากการฟังเรื่องที่ไม่จริง ใช่ไหม เพราะฉะนั้นก็ต้องเห็นว่าสิ่งที่มีจริง ควรแก่การฟังให้เข้าใจความจริง

    ก็เริ่มต้นจากเดี๋ยวนี้เอง ที่จะต้องรู้ว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริงๆ ขณะนี้หรือเปล่า เพราะขณะนี้ อะไรจริงที่สุด ถ้าจะฟังเรื่องจริงก็ต้องรู้ก่อน ว่าอะไรจริง ถึงจะฟังได้ถูกต้อง ถ้าไม่รู้ว่าอะไรจริงแล้วจะไปรู้ได้อย่างไรว่ากำลังฟังเรื่องจริง ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่จะได้รับประโยชน์คือผู้ที่ไตร่ตรอง และเป็นคนตรง แล้วก็ฟัง ถ้าไม่เห็นด้วย หรือคิดว่าไม่ใช่ ก็สนทนากัน เพื่อที่จะได้รู้ความจริงว่าเป็นความจริงหรือเปล่า

    ผู้ฟัง กราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า ปกตินั้น แล้วจะเข้าใจปกติว่าเป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ ไม่ต้องติดชื่อว่า ธรรม อะไรมีจริงๆ เดี๋ยวนี้

    ผู้ฟัง เดี๋ยวนี้สิ่งที่ปรากฏก็มีจริงๆ ก็คือ เห็น

    ท่านอาจารย์ เห็น มีจริง จะฟังเรื่องเห็นไหม เพราะเห็นมีจริง ถ้าจะฟังเรื่องอื่น กับฟังเรื่องเห็นให้เข้าใจขึ้น ควรจะฟังเรื่องไหน

    ผู้ฟัง เห็นมีจริงๆ แต่ว่าเห็นก็ยังเป็นเห็น ที่ว่าจะเห็นว่าเป็นธรรม นี่ ...

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงแล้วตั้งแต่เกิด ไม่เคยรู้เลยว่าคืออะไร ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ คือ เห็น นี่คืออะไร ยังไม่รู้ ใช่ไหม จึงฟัง ให้เข้าใจตามความเป็นจริง อย่างคำถามของท่านผู้หนึ่ง ก็แสดงความชัดเจนที่ไม่รู้ว่ากำลังติดข้อง มีความเป็นตัวตน ในขณะนี้ เมื่อไหร่ เพราะว่าทุกคนเกิดมาเห็น แต่คิดว่าเราไปติดข้องสิ่งที่ปรากฏให้เห็น อยากได้อะไร อยากได้กระเป๋าสวยๆ อยากได้เสื้อ อยากได้รองเท้า อยากได้อาหาร ก็เข้าใจความอยากว่าเป็นความต้องการ เป็นความติดข้อง เข้าใจว่าสิ่งนั้นมีจริงๆ คือความต้องการ ความติดข้อง ใช่ไหม

    เพราะฉะนั้นก็พอที่จะรู้จักลักษณะของธรรมเพียงบางส่วน เช่น ความต้องการ ความต้องการ เกิดขึ้นเมื่อเห็นสิ่งที่น่าพอใจ แน่นอน ถ้าชอบมากก็อยากได้ และชอบมากกว่านั้นก็คือ ไม่ใช่เพียงแค่ดู ยังอยากจะได้เอาไว้ดูบ่อยๆ คือว่าให้เป็นเจ้าของสิ่งนั้นเลย หยิบขึ้นมาดูเมื่อไหร่ก็ดูได้ นี่คือความติดข้องเพิ่มขึ้น แต่ถ้าไม่สามารถจะได้สิ่งนั้นมาโดยความถูกต้อง ก็ยังสามารถที่จะกระทำทุจริต เพื่อที่จะได้สิ่งนั้นมา เพราะความต้องการ เพราะฉะนั้นเราจะรู้จักลักษณะของความต้องการเพียงอย่างนี้คร่าวๆ แต่ว่ายังไม่ได้รู้จริงๆ ถึงลักษณะของความต้องการว่าคืออะไร

    ถ้าไม่มีการเห็นเลยจะมีความพอใจ ชอบสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ไหม ไม่ได้ ถ้าไม่มีการได้ยินได้ฟัง เพลงเพราะๆ ก็ไม่มี จะติดข้องในเพลงได้ไหม ในเมื่อไม่ได้ยิน ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นทั้งหมดมาจากเห็น มาจากได้ยิน มาจากได้กลิ่น มาจากลิ้มรส มาจากการที่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เพราะมีสิ่งต่างๆ เหล่านี้ แล้วก็คิดถึงสิ่งนั้นๆ ซึ่งสิ่งนั้นๆ ไม่ได้ปรากฏตลอดเวลา

    เมื่อวานนี้เราเดินชมสวนสวย แล้วเราก็กลับไปนอน คิดถึงดอกไม้สวยๆ หรือเปล่า แต่ไม่เห็น แต่จำไว้แล้ว แค่เห็นก็จำได้ จนกระทั่งพูดถึง มีต้นไม้เล็กๆ ต้นหนึ่ง แล้วก็มีดอกสีเหลือง แต่ละดอกไม่เหมือนกัน มีจุดแต้มสีแดง บางดอก ๓ จุด บางดอก ๔ จุด เห็นไหม จำได้แม้ไม่เห็น เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่านอกจากความจริงที่มีเห็นแล้ว ความจริงอีกอย่างหนึ่งก็คือความจำ เห็นแล้วก็จำ แต่ไม่ได้เห็นตลอดไป ไม่ได้จำตลอดไป เพราะว่าเห็นสิ่งหนึ่งแล้วก็หมดไป แล้วก็เห็นอีกสิ่งหนึ่ง แล้วก็จำสิ่งที่เห็น พอสิ่งที่เห็นหมดไป แล้วเห็นใหม่ จำก็จำสิ่งใหม่ เพราะฉะนั้นแต่ละขณะนี้ไม่ใช่เก่า ไม่ใช่อันเดิม ชีวิตที่เกิดขึ้นแล้วต้องเป็นไป คือมีแต่การเห็นบ้าง การได้ยินบ้าง ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก สุขบ้าง ทุกข์บ้าง แล้วก็จากไปเพราะไม่มีอะไรที่จะยั่งยืน หรือเป็นของใครอย่างแท้จริงได้

    เพราะฉะนั้นให้ทราบว่า อยากเห็นอยู่ แน่ๆ เพราะมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นที่น่าพอใจ แล้วก็ติดข้องโดยที่ว่าลืมคิดว่าถ้าไม่เห็นเลยก็ไม่เป็นทุกข์ เพราะต้องการสิ่งที่ปรากฏ ถูกต้องไหม เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วเกิดมาในโลกนี่เป็นทุกข์หรือเป็นสุข เป็นทุกข์ ตอบอย่างเร็ว เพราะฉะนั้นคำถามให้คิดต่อไปที่จะได้เข้าใจ คือทุกข์เมื่อไหร่ ถ้าเราไปเร็วๆ ก็ไม่เข้าใจอะไรเลย แต่ว่าทุกอย่างต้องละเอียดเพื่อที่จะได้เข้าใจจริงๆ ไม่อย่างนั้นเหมือนเราฟังมาก เหมือนเข้าใจมาก แต่ความจริงไม่ได้เข้าใจ ถ้าเข้าใจต้องตอบได้ ใช่ไหม ถ้าจะตอบว่าทุกข์ ทุกข์เมื่อไหร่ ทุกข์เมื่อไม่ได้สิ่งที่ต้องการ

    ผู้ฟัง ทุกข์เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่เที่ยง ความสุขมันก็เกิดขึ้นแล้วดับไป ความทุกข์เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่มีอะไรเที่ยงเลย

    ท่านอาจารย์ ไม่มีอะไรเที่ยง แต่ว่าเล็กน้อยเหลือเกิน เพียงแค่คิดว่าทุกอย่างเกิดขึ้นแล้วหมดไป ทุกข์ เป็นทุกข์เพราะว่าทุกอย่างไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วหมดไป แต่ว่าทุกข์นั้นน้อยไหม เพียงแค่พูด บอกว่าเป็นทุกข์เพราะทุกอย่างไม่เที่ยง น่าเสียดายจะตายใช่ไหม ได้มาแล้วก็หมดไป อะไรๆ ก็หมดไป ไม่เห็นมีอะไรที่จีรังยั่งยืนสักอย่างเดียว ดูน่าจะต้องเป็นทุกข์แน่ๆ แต่ทั้งๆ ที่พูดอย่างนี้ก็ไม่ได้เป็นทุกข์ ใช่ไหม เพียงแต่เริ่มที่จะรู้เพียงเล็กน้อยนิดเดียว ว่าสิ่งที่ไม่เที่ยงนั่นแหละน่าเป็นทุกข์อย่างยิ่ง เพราะว่าไม่มีใครเป็นเจ้าของที่ยั่งยืนได้ เกิดมาให้พอใจ นิดหนึ่งแล้วก็หายไปเลย ทุกอย่างหมดเลยไม่มีอะไรที่เกิดแล้วจะยั่งยืนได้ ฟังแล้วเหมือนควรจะเป็นทุกข์ใช่ไหม แต่ก็ยังไม่ได้ทุกข์จริงๆ จะจริงก็ต่อเมื่อได้ประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไป

    เพราะฉะนั้นเพียงพูดนิดเดียว เข้าใจนิดเดียว ทุกข์หรือไม่ทุกข์ก็ยังไม่รู้เลย หรืออาจจะทุกข์นิดเดียว แต่ว่าจริงๆ แล้วพูดคำที่เป็นทุกข์แน่นอน แต่ว่าความรู้สึกยังไม่มั่นคงอย่างนั้น เพียงแต่คะเนว่าต้องเป็นทุกข์แน่ๆ ใช่ไหม แต่ว่าตามความเป็นจริง จะแน่ก็ต่อเมื่อได้ประจักษ์ว่าสิ่งนั้นเกิดแล้วดับไป จึงจะกล่าวได้เต็มที่ ทุกขอริยสัจจะ ไม่ว่าจะเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ หรืออะไรก็ตามแต่ ทั้งหมด เกิดขึ้นแล้วก็หมดไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย นี่คือปัญญาที่สามารถที่จะเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นถ้าปัญญายังไม่ถึงระดับ ที่จะสะสมความมั่นคงที่จะไม่หวั่นไหว เพราะรู้จริงๆ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นชั่วคราวจริงๆ ก็จะรู้ได้ว่ายังไม่เป็นอย่างนั้นแน่นอน จนกว่าปัญญาจะเพิ่มขึ้น แล้ว"ทุกข์"เป็นสิ่งที่ควรรู้ควรเข้าใจไหม

    ผู้ฟัง ควรรู้ แล้วก็เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไร เห็นไหม คือถ้ามีคำตอบแล้วก็จะเป็นความเข้าใจที่ถูกต้องขึ้น แต่ถ้าปล่อยไป ผ่านไป ดูเหมือนเข้าใจแล้วนั้น ไม่พอ เพราะว่ายังไม่เข้าใจจริงๆ จนกว่าจะถามต่อไปอีก เพราะอะไร เพราะเป็นความจริง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นจริงควรรู้มิใช่หรือ เพราะฉะนั้นก็ต้องเป็นผู้ที่ตรงจริงๆ ทำไมถึงควรรู้ เพราะเป็นความจริง จะไม่รู้ความจริงหรือ ในเมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ ยังอยากจะไม่รู้ต่อไปหรือ ทั้งๆ ที่ความจริงก็เป็นอย่างนี้

    เพราะฉะนั้นผู้ที่มีปัญญา เป็นผู้ที่แสวงหาความจริงเพราะว่าการรู้ความจริง ถูกต้องตามความเป็นจริงของสิ่งนั้น ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ไม่มีใครเป็นเจ้าของที่จะไปบันดาลให้ความจริงนั้นเปลี่ยนไปได้เลย ด้วยเหตุนี้เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ ควรรู้ แต่ไม่ใช่ให้ไปควรทำอะไร ที่จะให้เป็นอย่างอื่น นอกจากขณะนี้มีสิ่งที่เกิดแล้ว ถ้าเป็นความไม่รู้ ความไม่รู้มีจริงๆ ไหม ความไม่รู้มีจริงๆ ควรรู้ไหม

    ผู้ฟัง ควรรู้

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไร ก็เพราะเป็นความจริง ไม่รู้ ก็จริง ใช่ไหม ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีแต่รู้ทั้งหมดเลย ไม่รู้ก็มีจริงๆ เพราะฉะนั้นแม้แต่ความไม่รู้ ถ้ารู้ถูกต้อง ก็คือว่า ไม่รู้ขณะนั้นจะเป็นรู้ไม่ได้ จะเปลี่ยนไม่รู้ขณะนั้นให้เป็นรู้ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงในชีวิตคือเดี๋ยวรู้ เดี๋ยวไม่รู้ เดี๋ยวเข้าใจ เดี๋ยวไม่เข้าใจ ทั้งหมดเป็นความจริง ให้ทราบว่าทุกอย่างที่มีแล้วเป็นความจริงทั้งหมด แต่เป็นความจริงที่หลากหลายมากต่างๆ กันไป เพราะฉะนั้นขณะที่กำลังไม่รู้นั้น อยากรู้ไหม มาอีกแล้ว ต้องเป็นเรื่องละเอียด ควรกับอยากไม่เหมือนกันใช่ไหม เป็นสิ่งที่ถูกต้องจึงควรรู้ยิ่ง แล้วอยากรู้ไหม บางคนไม่กล้าตอบเพราะกลัวว่าจะเป็นโลภะ รู้จักชื่อโลภะ แต่กลัวสิ่งที่เกิดแล้ว คือความอยาก

    เพราะฉะนั้นธรรมก็เป็นเรื่องที่ละเอียด แล้วก็ตรง แล้วก็ไตร่ตรอง แล้วก็เป็นความเข้าใจ เมื่อเข้าใจแล้วก็ไม่เปลี่ยนแปลง ถ้าอยาก อยากจริงหรือเปล่า เป็นสิ่งที่มีจริงหรือเปล่า นี่คือผู้ที่ตรง ไม่หวั่นไหว สิ่งที่จริงไม่ได้มีแต่สิ่งที่ดี สิ่งที่ไม่ดีก็มีจริงๆ ด้วย แล้วก็เปลี่ยนแปลงสิ่งที่ไม่ดีซึ่งเป็นจริงไม่ได้ เพราะว่าเกิดแล้วดับแล้ว เร็วมาก เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมคือเพื่อรู้ตามความเป็นจริง เป็นผู้ที่ตรง ที่จะค่อยๆ รู้จักตัวเองเพิ่มขึ้น ตรงขึ้น เพราะเหตุว่าธรรมเป็นธรรม อย่างเห็น อย่างนี้ เป็นจีนหรือเป็นไทย หรือเป็นนก หรือเป็นคน หรือเป็นเทวดา หรือเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ตรง เห็นเป็นเห็น แต่เราบอกว่านกเห็น ตามรูปร่าง แมวเห็นไหม หรือว่ารูปร่างเป็นแมว เป็นรูป แต่ไม่ใช่เป็นเห็น เห็นที่ตรงจริงๆ ก็คือเห็นเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลยนอกจากเป็นเห็น และเห็นขณะนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร และเป็นใครหรือเปล่า

    นี่คือเรื่องของ เห็น ซึ่งละเอียดมาก เพราะอะไร พระผู้มีพระภาคจึงทรงแสดงความละเอียดอย่างยิ่ง เพื่อให้เห็นตามความเป็นจริงว่าเป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้น และสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดขึ้น ต้องมีปัจจัย ธรรมหรือสิ่งที่อุปการะ เกื้อกูล อาศัยกันและกันเกิดขึ้น เพราะถ้าไม่มี ตา คือ จักขุปสาท เห็น ขณะนี้เกิดไม่ได้เลย และถ้าไม่มีสิ่งที่สามารถจะกระทบกับตา คือจักขุปสาท เห็นก็เกิดไม่ได้ อยู่ดีๆ จะนึกเห็นขึ้นมา ได้ไหม ไม่มีทางเป็นไปได้เลย แต่ขณะนี้เห็นเกิดแล้ว โดยไม่รู้เลยว่า เห็น ขณะนี้เกิดเพราะปัจจัย ชอบสิ่งที่ปรากฏทางตาทันที และก็อยากจะเห็นทันที โดยไม่รู้ความจริงว่าชั่วคราว เพียงแต่มีปัจจัยที่ทำให้เกิดเห็น แล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย และสิ่งที่ปรากฏก็เหมือนกัน ไม่เที่ยง สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดแล้วต้องดับ เพราะฉะนั้นอยู่ในโลกที่ไม่เที่ยง

    โลก คือการเกิดดับ เปลี่ยนได้ไหมว่าไม่ให้เกิดดับ ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ก็รู้ความจริงว่าโลกทั้งหมดไม่ว่าโลกไหน ก็คือสภาพธรรมที่มีจริงๆ เกิดขึ้นและดับไป แต่เพราะความไม่รู้ ก็สมมติเรียกต่างๆ กันไป เพราะความไม่รู้ เพราะฉะนั้นเพียงเห็น มีอะไรปรากฏให้เห็นเท่านั้น

    ผู้ฟัง สี

    ท่านอาจารย์ เพียงสิ่งเดียวใช่ไหม ที่จะปรากฏให้เห็นได้ และเห็นแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นถ้าศึกษาต่อไปจะทราบว่าการเกิดขึ้นของเห็นนี้ เป็นอุปปัตติ เมื่อถึงกาลที่จะต้องเห็นเท่านั้น เห็นจึงจะเกิดได้ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องรู้ต่อไปอีก ว่าเห็นเกิดขึ้นเพราะอะไร เกิดขึ้นเพราะกรรมที่ได้กระทำแล้ว ทำให้มีตา จักขุปสาท เพราะว่าบางคนเกิดมาก็ตาบอดแต่กำเนิด ถึงเวลาที่ควรจะมีจักขุปสาทก็ไม่มี ใครจะไปบันดาลให้มีก็ไม่ได้ ใช่ไหม แต่ว่าทุกคนที่กำลังเห็นขณะนี้ ต้องมีกรรมที่เนื่องกับการเห็น เพราะฉะนั้นก็ถึงกาลที่กรรมที่เป็นกุศลที่เกิดจากการเห็น มีไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เห็น ก็จะไม่สามารถทำกุศลอะไรๆ ได้ตั้งหลายอย่าง ถ้าเห็นสิ่งที่ควรให้ แล้วมีคนที่ควรได้รับเพื่อประโยชน์ของเขา แล้วให้ มาจากเห็นใช่ไหม ไม่อย่างนั้นจะมีคนที่เราจะให้ หรือว่ามีวัตถุที่จะให้ได้อย่างไร แต่เมื่อมีเห็นแล้วก็ยังมีขณะจิตหรือความคิดที่จะสละเพื่อประโยชน์สุขแก่คนอื่น ซึ่งไม่ใช่เห็น เห็นมีหน้าที่อย่างเดียว เห็นเกิดเห็น เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ศึกษาธรรม ก็ต้องเข้าใจว่าสิ่งที่มีจริงนั้นเป็นเพียงหนึ่ง แต่ขณะนี้เห็นเกิดแล้วโดยไม่รู้เลย ว่าเห็นขณะนี้เกิดเพราะปัจจัย ชอบสิ่งที่ปรากฏทางตาทันที และก็อยากจะเห็นทันทีโดยไม่รู้ความจริงว่าชั่วคราว เพียงแต่มีปัจจัยที่ทำให้เกิดเห็น แล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย และสิ่งที่ปรากฏก็เหมือนกัน ไม่เที่ยงสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดแล้วต้องดับ

    เพราะฉะนั้นอยู่ในโลกที่ไม่เที่ยง โลกคือการเกิดดับ เปลี่ยนได้ไหมว่าไม่ให้เกิดดับ ไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็รู้ความจริงว่าโลกทั้งหมดไม่ว่าโลกไหน ก็คือสภาพธรรมที่มีจริงๆ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แต่เพราะความไม่รู้ก็สมมติเรียกต่างๆ กันไปเพราะความไม่รู้ แต่เมื่อมีเห็นแล้ว ก็ยังมีขณะจิตหรือความคิดที่จะสละเพื่อประโยชน์สุขแก่คนอื่น ซึ่งไม่ใช่เห็น เห็นมีหน้าที่อย่างเดียว เห็นเกิดเห็น เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ศึกษาธรรม ก็ต้องเข้าใจว่าสิ่งที่มีจริงนั้นเป็นเพียงหนึ่ง จะเป็นสิ่งสองอย่างที่จริงในความจริงหนึ่งนั้น ไม่ได้เลย เช่นเมื่อเห็นเป็นสิ่งที่มีจริงหนึ่ง คือ เห็น ก็ต้องเป็นเห็นเท่านั้น จะเป็นคิด หรือจะเป็นอะไรไม่ได้เลย ขณะที่จริงคือได้ยิน ได้ยินก็คือได้ยินเท่านั้น จะเป็นอื่นไม่ได้เลยทั้งสิ้น เป็นคิดก็ไม่ได้

    เพราะฉะนั้นคำถามที่ว่า เห็นเป็นดอกไม้ ก็แสดงให้เห็นว่าต้องแยก ใช่ไหม ความจริงหนึ่ง คือเห็น ความคิดถึงสิ่งที่ปรากฏเพราะจำ มีอีกหนึ่งแล้วใช่ไหม ถ้าไม่จำจะรู้ไหมว่าสิ่งที่เห็นเป็นอะไร เพราะฉะนั้น จำเป็นเห็น หรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นจำ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เห็นเป็นเห็น ๑ จำเป็นจำ ๑ นี่คือการศึกษา สิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง ปนกันไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น เห็นเป็นเห็น แล้วก็จำเป็นจำ แล้วพอจำแล้วเห็น รู้ไหมว่าสิ่งที่เห็นเป็นอะไร

    ผู้ฟัง รู้

    ท่านอาจารย์ เพราะจำ เพราะฉะนั้นขณะที่กำลังรู้ เป็นความคิด เพราะว่าไม่ใช่เห็น ที่ใช้คำว่าคิด เพราะขณะนั้นไม่ได้เห็น ขณะนี้เหมือนกับว่า ทั้งเห็นและจำ พร้อมกัน ไม่ได้มีเห็นดับไปเลยใช่ไหม แล้วก็จำหมดเลย ใครเป็นใคร อยู่ที่ไหน อะไรอยู่ที่ไหนก็จำได้ นี่ก็แสดงการเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วสุดที่จะประมาณได้ของธรรม ซึ่งพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงธรรมคือสิ่งที่มีจริงทีละหนึ่ง ลองคิดดู ซึ่งคนอื่นไม่สามารถที่จะรู้อย่างนี้ได้เลย เพียงแต่ฟังและเริ่มพิจารณาไตร่ตรอง ว่าที่ได้ยินได้ฟังได้จริงหรือเปล่า ตอนนี้กำลังไตร่ตรองใช่ไหม เพียรหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เพียร

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็เริ่มเข้าใจความต่างของจิต ว่าจิตเห็นเกิดขึ้นเพราะการอุปปัตติ ถึงกาล เวลาที่จะต้องเห็น กรรมทำให้จิตเห็นเกิด ถ้าเป็นสิ่งที่น่าพอใจ กุศลกรรมทำให้เกิดเห็น เลือกไม่ได้เลย แต่พอเป็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ จิตเห็นจะเกิดหรือไม่เกิดแล้วแต่กรรม ว่าถึงเวลาที่กรรมจะให้เกิดเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจหรือเปล่า ก็เลือกไม่ได้อีก นี่คือแม้แต่สิ่งที่มีจริงเพียงแค่สั้นที่สุดหนึ่งขณะ หรือหนึ่งอย่าง พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้แล้วก็ทรงแสดงความจริงโดยละเอียดยิ่ง เพื่ออะไร เพื่อให้เข้าใจถูก ให้รู้ถูก ตามความเป็นจริงของสิ่งที่มีจริง ทั้งหมดอยู่ที่จริง เพราะฉะนั้นพระพุทธศาสนาก็เป็นคำสอนของผู้ที่ทรงตรัสรู้ความจริง โดยสิ้นเชิง โดยประการทั้งปวง และก็คนอื่นที่ได้ยินได้ฟังก็เริ่มที่จะเข้าใจความจริง

    เพราะฉะนั้นตอนนี้ยังสงสัยไหมว่า เห็นกับคิด และรู้ ขณะไหน เพียร โดยที่ว่าไม่ใช่มีเราไปเพียรเลย แต่เพราะความต่างกันของธรรมนั่นเอง คือเห็นไม่ต้องเพียรก็เกิดขึ้นเห็น แต่ว่าหลังจากเห็นแล้วที่จะรู้ว่าเป็นอะไร ก็ต้องมีวิริยะหรือความเพียรซึ่งเป็นสภาพธรรมที่มีจริงเกิดขึ้นในขณะนั้น เร็วมากแล้วก็หมดไปแล้วด้วย

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 198
    4 ธ.ค. 2568