ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1745
ตอนที่ ๑๗๔๕
สนทนาธรรม ระหว่างเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย
วันที่ ๑๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๔
ท่านอาจารย์ เหมือนปกติทุกอย่าง ไม่ผิดปกติเลย เห็น เกิดหรือเปล่า
ผู้ฟัง เกิด
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เกิดจะเห็นได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ไม่ได้ และสิ่งที่ปรากฏทางตา ต้องเกิดเป็นอย่างนี้ หรือว่าไม่เกิดก็ไปเห็นได้
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ต้องเกิดใช่ไหม เข้าใจถูกต้องมั่นคงจริงๆ เพราะฉะนั้น เห็นขณะนี้ ดับหรือเปล่า หมดไปหรือเปล่า
ผู้ฟัง หมด
ท่านอาจารย์ จำว่าหมด ใช่ไหม เพราะอะไร เพราะอะไรถึงบอกว่าหมด
ผู้ฟัง หมด แต่ไม่ค่อยระลึกรู้
ท่านอาจารย์ ยังไม่ต้องระลึกเลย เพียงแค่สนทนา ที่ว่าหมดนี่ เพราะอะไรจึงบอกว่าหมด
ผู้ฟัง ก็มันเกิดแล้ว ดับแล้ว
ท่านอาจารย์ ดับเลยหรือ กำลังเห็นนี่ ดับเลยหรือ ยังไม่ปรากฏการดับแม้กำลังดับ ถูกต้องไหม
ผู้ฟัง ถูกต้อง
ท่านอาจารย์ จึงฟัง เพื่อที่จะให้สามารถประจักษ์ความจริงได้ แต่ที่บอกว่า เห็นขณะนี้ดับ เพราะได้ยินไม่ใช่เห็น นี่คือการเริ่มที่จะค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่กำลังมี ไม่ใช่ไปอ่านตำรับตำราแล้วก็จำไว้ ว่าเกิดสืบต่อกันอย่างไร แต่ละทางนั้นเป็นชื่อ แต่ความจริงขณะนี้ก็คือว่า เห็นก็เป็นอย่างหนึ่ง ได้ยินก็เป็นอย่างหนึ่ง และการที่ทั้งสองอย่างจะเกิดปรากฏพร้อมกันไม่ได้ ไม่ใช่ความถูกต้องชัดเจน ที่สิ่งหนึ่งเกิดเพราะตาเป็นปัจจัย อีกสิ่งหนึ่งเกิดเพราะหูเป็นปัจจัย แล้วจะให้พร้อมกันในขณะเดียวกันนั้น เป็นไปไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ แม้ยังไม่ประจักษ์ว่าเห็นดับ แต่เห็นต้องดับเมื่อจิตได้ยิน หรือเสียงปรากฏ เห็นความไม่รู้ของตัวเองไหม ฟังธรรมแล้วถึงจะรู้ว่าความไม่รู้ คืออวิชชานั้นมากจนกระทั่งหลอกลวง ไม่ให้รู้ความจริง จนกว่าฟังพระธรรมแล้วเริ่มเข้าใจ จนกว่ารู้แจ้งได้ เพราะว่าพระธรรมนั้น ขั้นปริยัติ ปฏิปัตติ ปฏิเวธ นำไปเรื่อยๆ นำไปสู่ทางที่ถูกต้องขึ้นเรื่อยๆ นำไปสู่กุศลขึ้นเรื่อยๆ อย่างที่ถามว่าทำอย่างไรกุศลถึงจะเจริญ ใช่ไหม แต่เวลาที่มีความเข้าใจถูกนั้น ครั้งหนึ่ง แล้วก็อีกครั้งหนึ่ง และอีกครั้งหนึ่ง บ่อยๆ ขึ้น ก็เจริญขึ้น
เพราะฉะนั้นเป็นเหตุเป็นผล แล้วก็ต้องเป็นปัญญาของตัวเองด้วย พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระปัญญาซึ่งบุคคลอื่นเปรียบปานไม่ได้เลย แต่ก็ไม่สามารถที่จะทำให้คนอื่นเกิดปัญญา แต่ทรงอนุเคราะห์ด้วยให้ปัญญาของเขาเกิด เพราะได้ฟัง แล้วก็ไตร่ตรอง และเข้าใจขึ้นเมื่อไหร่ นั่นก็คือปัญญาเกิดขึ้นทุกครั้งที่เข้าใจ และกุศลอื่นก็ตามปัญญาด้วย กุศลทั้งหลายก็เจริญด้วย เพราะฉะนั้นอย่าลืม เป็นปัญญาของเราเอง เมื่อฟังแล้วไตร่ตรอง เมื่อฟังแล้วเข้าใจ เข้าใจยิ่งขึ้น ก็ปัญญาเจริญขึ้น แต่ไม่ใช่เขาบอกว่าเห็นขณะนี้ เกิดแล้วดับ แต่ต้องรู้ด้วยว่าเพราะอะไร เพราะได้ยินไม่ใช่เห็น ได้ยินจะเกิดที่จักขุปสาทไม่ได้ แล้วก็เห็นจะไปเกิดที่หูคือโสตปสาทก็ไม่ได้ ไม่ใช่วิสัย ไม่ใช่ปัจจัยที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้แม้ธรรม เป็นอนัตตาก็ไม่อิสระ เพราะเหตุว่าต้องเป็นไปตามปัจจัย ปัจจัยเป็นอย่างไรธรรมนั้นๆ ก็เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น ปัญญาเจริญหรือยัง
ผู้ฟัง ไม่เจริญ
ท่านอาจารย์ หมายความว่าไม่เข้าใจ แต่เข้าใจเมื่อไหร่ เจริญคือเพิ่มขึ้น มากๆ เป็นไปไม่ได้เลย เพราะอวิชชาความไม่รู้มีมาก แม้ฟังเข้าใจว่าจริงก็ยังไม่ได้รู้ตามความเป็นจริงนั้น จนกว่าจะเข้าใจขึ้นอีก เข้าใจขึ้นอีก จนเริ่มเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ทีละอย่าง ที่ใช้คำว่า ปฏิปัตติ เพราะฉะนั้นธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้ง คิดเองไม่ได้ ต้องอาศัยการฟัง การไตร่ตรอง และก็เห็นประโยชน์จริงๆ ว่า เกิดแล้วก็ตาย ใช่ไหม เกิดแล้วยังไม่ตาย ระหว่างไม่ตายทำอะไร
ผู้ฟัง ก็ต้องเจริญกุศลทุกประการ
ท่านอาจารย์ แล้วเป็นความจริงหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็นความจริง แต่ก็ไม่ค่อยจะรู้จักกุศล
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นอกุศลเกิดมากไหม กว่าจะตาย เกิดมาแล้วกว่าจะตายนี่นับไม่ได้เลยว่าอกุศลเพิ่มอีกแค่ไหน ใช่ไหม ถ้าเกิดแล้วตายไปเลย ก็ไม่มีทางที่อกุศลจะเพิ่มได้ กุศลจะเพิ่มได้ ใช่ไหม แต่นี่เกิดแล้วยังไม่ตาย เพราะฉะนั้นระหว่างที่ยังไม่ตายนั้น เต็มไปด้วยเรื่องราว ของอกุศลบ้าง กุศลบ้าง แล้ววันหนึ่งๆ อะไรเกิดมากกว่า ถ้าไม่ได้ฟังธรรมจะไม่รู้เลย เทียบกันไม่ได้เลยระหว่างอกุศลกับกุศล แม้กำลังฟังขณะที่เห็นก็เป็นอกุศลได้ ถูกต้องไหม เพราะไม่รู้ความจริงของเห็นก่อนที่เห็นจะดับ หรือว่าก่อนที่สิ่งที่ปรากฏทางตาจะดับ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ตลอดชีวิตจะเข้าใจขึ้นอีกไหม
ผู้ฟัง ก็พยายาม
ท่านอาจารย์ ถ้าฟัง ใช่ไหม ถ้าไม่ฟัง ไม่มีทางที่จะเข้าใจขึ้นได้เลย ชีวิตจะอีกยาวนานเท่าไร ไม่ฟัง ไม่เข้าใจ ก็ไม่เข้าใจต่อไป แต่ถ้าฟังแล้วเข้าใจ ความไม่เข้าใจก็ละ น้อยลง “ละ” ในขณะที่เข้าใจ ไม่ต้องไปคอยคิดว่าแล้วเมื่อไหร่จะรู้อย่างนั้น จะรู้อย่างนี้ เมื่อไหร่จะไม่มีโลภะ เมื่อไหร่จะไม่มีโทสะ นั่นเพราะไม่รู้ความจริงว่าเป็นธรรม ซึ่งปัญญาต้องเจริญขึ้นกว่าจะสามารถรู้ความจริงตามที่ได้ฟัง และเวลาที่เป็นความจริง ตรงตามที่ได้ฟังทุกอย่าง และทุกคำด้วย ขณะนี้ “เห็น” ไม่ได้คิดถึง “สิ่งที่กำลังปรากฏ” ใช่ไหม จะตอบอย่างปัญญาตอบ หรือว่าจะตอบอย่างจำตอบ ขณะนี้เห็น ไม่ได้คิดถึงสิ่งที่กำลังปรากฏ ใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ คิดถึงเรื่องอื่นหรือเปล่า ทั้งๆ ที่กำลังเห็น
ผู้ฟัง คิดเรื่องอื่นมากกว่า
ท่านอาจารย์ แต่แท้ที่จริงแล้ว เห็นแล้วก็สั้นแสนสั้น คือคิดตามสิ่งที่เห็น จึงรู้ว่าใครอยู่ที่ไหน นี่ก็เป็นความละเอียด ให้เห็นพระปัญญาคุณว่าทรงรู้ความจริงที่ละเอียดมาก จึงทรงแสดงความจริงให้เห็นตามความเป็นจริงว่าธรรมละเอียด ประมาทไม่ได้เลย ต้องค่อยๆ เข้าใจขึ้น
ผู้ฟัง ขอกราบเรียนถามท่านอาจารย์ การฟังธรรมที่อินเดียเป็นมหากุศลหรือเปล่า
ท่านอาจารย์ มาอินเดียแล้วโกรธบ้างหรือเปล่า
ผู้ฟัง ก็มี
ท่านอาจารย์ ขณะที่โกรธเป็นกุศลหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่เป็น
ท่านอาจารย์ ก็รู้อยู่แล้วใช่ไหม ว่าขณะไหนเป็นกุศล ขณะไหนไม่เป็นกุศล ไม่ใช่หมายความว่าตอบรวมไปเลย มาอินเดียแล้วเป็นกุศล แต่แต่ละขณะจิต กุศลก็มี อกุศลก็มี ต้องเป็นผู้ที่ตรง มีความหวังดี เมตตา ช่วยเหลือคนอื่นบ้างหรือเปล่า
ผู้ฟัง มีบ้าง
ท่านอาจารย์ ขณะนั้นเป็นอะไร
ผู้ฟัง กุศล
ท่านอาจารย์ ขณะที่พูดคำที่ไม่น่าฟังเลย ติเตียนคนอื่น ถึงแม้ว่าจะไม่ดี ไม่ดีก็เป็นไม่ดี แต่ใจที่คิดถึงความไม่ดี ชอบหรือไม่ชอบความไม่ดีนี่
ผู้ฟัง ไม่ชอบความไม่ดี
ท่านอาจารย์ ขณะที่ไม่ชอบนั้น เป็นกุศลหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็นอกุศล
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น อกุศลอยู่ที่ไหนขณะนั้น
ผู้ฟัง อกุศลอยู่ที่ ที่การมองเห็น และที่ใจของเรา
ท่านอาจารย์ อยู่ที่ใจ เพราะฉะนั้นใจสามารถที่จะรู้และก็สะสม เวลาที่จิตกำลังคิดถึงความไม่ดีของคนอื่น แล้วจิตขณะที่คิดเป็นจิตที่ไม่ดี เสมอกันไหม คือ ไม่ดีทั้งคู่ ว่าเขาไม่ดี แต่จิตที่กำลังเห็นความไม่ดีของคนอื่นนั้น ไม่ดีด้วยใช่ไหม ก็เสมอกัน เหมือนกัน
ผู้ฟัง ส่วนมากดิฉันก็จะเห็นอกุศลของผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา แต่ว่าไม่เคยเห็นอกุศลของตัวเองเลย เพราะฉะนั้นดิฉันเลวกว่าคนอื่นอีก
ท่านอาจารย์ อกุศลเป็นอกุศล ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน กับใคร สูงต่ำดำขาว มั่งมียากจน มีความรู้ ไม่มีความรู้อะไร อกุศลก็เป็นอกุศล
ผู้ฟัง แต่ดิฉันนับถือคนนี่ ไม่ได้นับถือที่ความรวย ความอะไรทั้งสิ้น ดิฉันไม่ได้ยึดถือบุคคล ดิฉันยึดถือความดีของบุคคลคนนั้น
ท่านอาจารย์ ก็เป็นผู้ที่เคารพในความดี แล้วต้องทำอะไร เห็นไหม แล้วทำอย่างไร เขาดีเราก็ชื่นชม แล้วทำอะไรต่อไป
ผู้ฟัง เขาดี เราก็อนุโมทนาในความดีของเขา
ท่านอาจารย์ อย่าลืม กตัญญูบุคคล คือ ผู้ที่รู้คุณของความดี ความไม่ดีนี่ใครจะไปรู้ว่าดีบ้าง เป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ความดี แล้วใครรู้คุณ ประโยชน์ของความดี คุณของความดี ผู้นั้นเป็นกตัญญูบุคคล ถ้ารู้อย่างนี้แล้วจะทำดีไหม เห็นไหม นี่คือคำถามต่อไป ไม่ใช่พอชื่นชมเขาอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วต่อไปอะไร ไม่ดีเหมือนเดิม หรือว่า คิดที่จะดีขึ้นๆ ด้วย
ผู้ฟัง ถ้าสิ่งที่ดีก็จะทำดีเพิ่มขึ้น แต่สิ่งที่ไม่ดีก็จะขัดเกลาต่อไป
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นไม่ใช่เพียงคนอื่น แต่คนอื่นนั้นสะท้อนให้เห็นเป็นตัวอย่าง ใครก็ตามที่เป็นคนดี ใครๆ ก็เห็นความดีใช่ไหม แล้วจะไม่เป็นคนดีอย่างนั้นบ้างหรือ ปล่อยให้คนอื่นเขาดีไป หรืออย่างไร
ผู้ฟัง ถ้ามีเหตุและปัจจัยที่จะได้ทำความดี ก็ได้ทำเอง
ท่านอาจารย์ อันนี้แน่นอน แต่ที่สำคัญที่สุดคือ “รู้ว่าเป็นธรรม” มิฉะนั้นก็ยังคงเป็นเรา ดีก็เรา ไม่ดีก็เรา ไม่ได้เข้าใจว่าทุกอย่างเป็นธรรม ไม่เป็นของใครเลย มีปัจจัยเกิดขึ้น ดับแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย ชาติก่อนๆ ก็อย่างนี้ และชาตินี้ พอถึงชาติหน้าก็เหมือนอย่างนี้ เกิดแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย
ผู้ฟัง ดิฉันคิดว่าถ้าฟังต่อไป ศึกษาต่อไป ความศรัทธาและความมั่นคงที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ว่าทุกอย่างจริง แล้วก็มีความศรัทธาเพิ่มขึ้น
ท่านอาจารย์ ดี แต่ไม่เข้าใจธรรม หรือ เข้าใจธรรมแต่ไม่ดี ยังมีอยู่ ใช่ไหม ความไม่ดี แล้วก็ยังเก็บความไม่ดีนั้นไว้ด้วย เก็บเลย ไม่ละ ไม่คลาย ไม่ปล่อย ไม่ต้องถึงขั้นที่จะดับเป็นสมุจเฉท เพราะเท่านี้ยังไม่ได้ แล้วจะดับเป็นสมุจเฉทได้อย่างไร ไม่มีทางเป็นไปได้เลย ถ้าตราบใดที่ยังไม่เห็นโทษของอกุศล ไม่มีทางที่จะละอกุศลได้ มีแต่จะเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นตรงกันไหม ดีแต่ไม่เข้าใจธรรม และบางท่านเข้าใจธรรมแต่ก็ยังไม่ดี เพราะจริงๆ แล้ว ถ้ากล่าวอย่างนี้หมายความว่าความเข้าใจธรรมยังไม่พอ ถ้ามีความเข้าใจธรรมพอ เป็นเครื่องวัดเลย สิ่งที่เราเคยผูกไว้ เก็บไว้มากๆ ในสิ่งที่ไม่ดี เริ่มที่จะคลายเพราะปัญญาที่มีความเห็นที่ถูกต้องว่า ไม่มีใคร แต่มีจิต และแต่ละจิตนี่ก็หลากหลายมาก ก็เป็นแต่ละคนต่างๆ กันไปตั้งแต่เกิด จนกระทั่งวิถีชีวิตคือจิตที่เกิดดับสืบต่อ ก็หลากหลาย ไม่ซ้ำกันเลย เป็นแต่ละหนึ่ง
เพราะฉะนั้นคำที่ทรงแสดงว่า อยู่ในโลกคนเดียว ถูกหรือผิด แล้วก็อยู่ในโลกของความคิดมากที่สุด เห็นนี้เพียงเหมือนจะกล่าวได้ว่าแวบเดียว แต่คิดมากมายเหลือเกิน แล้วก็ได้ยินก็ชั่วขณะที่สั้นมาก แต่ก็คิดมากมายทั้งๆ ที่สิ่งที่ปรากฏทางตาก็ไม่เหลือ สิ่งที่ปรากฏคือเสียงแต่ละเสียง ก็ไม่เหลือ แต่ความจำและความคิดมากมาย พาไปไหน จากโลกนี้แน่ๆ ทุกคนอยู่ไม่ได้หรอก อยู่ได้ชั่วคราว วันไหนก็ไม่รู้ ที่จะพ้นจากความเป็นบุคคลนี้ จำบุคคลนี้ไม่ได้ เป็นใคร ที่ไหน เพราะเป็นบุคคลที่ไม่ใช่บุคคลนี้แล้วในโลกหน้า แต่ว่าสิ่งที่สะสมมาในโลกนี้ตามไป สะสมต่อไป ทำให้มีอัธยาศัยต่างๆ ต่อไปอีก หลากหลายต่อไปอีก
เพราะฉะนั้น ถ้าความดีเป็นสิ่งที่เห็นแล้วว่าควรเจริญ ก็เจริญนับแต่บัดนี้ แล้วก็เข้าใจธรรมขึ้นด้วย ถ้าไม่เข้าใจธรรมอย่างไรๆ ก็ทำกุศลได้น้อยกว่าที่ควรจะทำ แต่แม้ว่าฟังธรรมเข้าใจแล้วยังไม่เป็นคนดี ก็หมายความว่าสะสมความไม่ดีมามาก ระดับที่แม้ฟังธรรมแล้วก็ยังไม่สามารถที่จะดีได้ ไม่ต้องถึงการดับกิเลส เพียงแต่สะสมความดีเป็นบารมี ความดีเล็กๆ น้อยๆ ที่แต่ละคนทำ แม้ว่ายังไม่ได้เข้าใจมากในเรื่องธรรม แต่ความดีทั้งหลายก็เป็นบริวารของบารมี ถ้าไม่มีเลย บารมีก็เจริญไม่ได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นกุศลเล็กน้อยสักแค่ไหน ก็ควรที่จะเห็นประโยชน์ว่า ถ้าขณะนั้นไม่เป็นกุศลก็เป็นอกุศล
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ แค่คำว่าความดีก็ยากแล้ว
ท่านอาจารย์ ยากแน่ แต่เพราะอะไร นี่คือเป็นเรื่องของปัญญาทั้งหมด ถ้าไม่ไตร่ตรอง ไม่ถาม ไม่ทบทวน ไม่ตรึกตรอง ปัญญาก็ไม่เจริญ ก็ได้แต่เพียงพูดว่า ความดี ใช่ไหม แล้วก็ยาก เพราะอะไร ความดียากกว่าความไม่ดีแน่ๆ แต่เพราะอะไร จะได้แก้ให้ตรงจุด ปัญหาทั้งหลายนี่ ให้ทราบว่าไม่สามารถที่จะแก้ได้เพราะไม่ตรงเหตุ จะแก้อย่างไรๆ ก็ไม่ตรงเหตุ เหมือนคนไข้ รักษาโรคไม่ตรง หายไหม ไม่หาย เพราะฉะนั้นเพราะอะไร ที่ว่าทำความดียาก เพราะอะไร
ผู้ฟัง กุศลไม่เกิด
ท่านอาจารย์ ทำไมกุศลไม่เกิด เพราะอะไรกุศลไม่เกิด
ผู้ฟัง สะสมมาที่จะไม่คิดที่จะทำหรือเปล่า
ท่านอาจารย์ เพราะสะสมอกุศลมามาก เมื่อมีเหตุมากก็ต้องเกิด เป็นไปตามเหตุปัจจัยที่สะสมมา เพราะฉะนั้นถ้าสะสมความดีเพิ่มขึ้น ความดีก็เกิดไม่ยาก แต่ถ้าสะสมความไม่ดีไว้มาก อย่างไรๆ ฟังพระธรรมอย่างไรๆ ก็ยากที่ความดีจะเกิดขึ้น
ผู้ฟัง ฟังที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า เพราะปรมัตถธรรมเกิดขึ้น จึงทำให้เกิดเป็นนิมิตตามมา ขออาจารย์ช่วยขยายคำว่านิมิตด้วย
ท่านอาจารย์ สภาพธรรมเกิดแล้วดับเร็ว ใครรู้บ้าง ไม่สามารถจะรู้ได้ ใครก็ไม่สามารถรู้ได้ นอกจากปัญญา กล่าวถึงความจริงแต่ละอย่างๆ ความรู้ ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก จะทำให้เข้าใจสิ่งที่ปรากฏ แล้วค่อยๆ ละคลายความติดข้องก่อนที่จะรู้ว่าสภาพธรรมขณะนี้เกิดดับจริงๆ เพราะฉะนั้นอย่างที่ถาม ถึงเรื่องนิมิต เป็นภาษาบาลี ภาษาไทยพอได้ยินคำว่านิมิตนี้ คิดถึงอะไร ความฝัน จริงไหมความฝัน เพราะฉะนั้นสิ่งใดก็ตามที่เป็นนิมิต ก็เป็นสิ่งซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เป็นจริง หรือมีจริง
เวลานี้มีธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ไหม คือแข็งมีไหม เย็นร้อนมีไหม ตึงไหวมีไหม ธาตุน้ำ นั้นก็คือธาตุที่เกาะกุม ซึมซาบธาตุทั้ง ๓ แยกจากกันไม่ได้เลย เมื่ออาศัยกันและกันเกิดขึ้นก็ดำรงอยู่ร่วมกัน ซึมซาบกัน เกาะกุม เป็นสิ่งที่แยกจากกันไม่ได้เลยธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ที่ใดที่มีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ก็จะมีอีกธาตุหนึ่งซึ่งเป็นธาตุที่อาศัยเกิดกับธาตุดินน้ำไฟลม เป็นธาตุที่สามารถกระทบจักขุปสาทเฉพาะรูปที่เป็นตา ที่ไม่ใช่ตาบอด ถ้าพูดภาษาไทย จักขุปสาท คือ รูปพิเศษที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏ ๒ อย่างไม่เหมือนกัน “ตา”กับ “สิ่งที่ปรากฏให้เห็น” นี้ คนละอย่าง เพราะฉะนั้นเวลาที่รูปเกิดแล้วดับไหม ตามความเป็นจริงที่ทรงแสดงเร็วสุดที่จะประมาณได้ จักขุปสาทเกิดแล้วดับไหม
ผู้ฟัง จากการศึกษา
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นขณะนี้เพียงรูปที่กระทบตาแล้วดับ จะปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานใดๆ ได้ไหม ไม่ได้ แต่ถ้าเกิดดับสืบต่อ สิ่งที่สามารถกระทบตาได้นั้น ก็ทำให้เกิดเป็นสีสันต่างๆ เช่น คิ้ว กับ หู เห็นไหม พอพูดถึงคิ้ว ใครคิดถึงหูบ้าง หรือเวลาพูดถึงหู ใครคิดถึงคิ้วบ้าง เพราะความต่างของรูปร่างสัณฐานที่ปรากฏสืบต่อ จากเพียงสิ่งที่เกิดแล้วกระทบจักขุปสาท แต่ความรวดเร็วจะสักแค่ไหน จะมากสักแค่ไหน จนกระทำให้เกิดเป็น “นิมิต” (นิ-มิต-ตะ) เป็นส่วนของสัณฐานใช่ไหม และใน ๑ คนนี้ มีกี่ส่วน ไม่ใช่มีแต่ตา หูก็มี ผมก็มี จมูกก็มี ใช่ไหม เป็นนิมิตทั้งหมด เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีรูปใดๆ เลย คิ้วตาจมูกปาก จะมีได้ไหม ไม่ได้ ถึงแม้มีรูป ซึ่งแข็ง เวลากระทบสัมผัส ก็เป็นรูปที่แข็ง มีสีสันวรรณะปรากฏหรือเปล่า นี่คือการเป็นผู้ตรงต่อความจริง ไม่ใช่ว่าเพราะเขาบอก แต่ว่าในขณะที่แข็งปรากฏ ตรงแข็งนั้นมีสีสันวรรณะปรากฏด้วยหรือเปล่า ไม่มี ต้องเฉพาะรูปที่สามารถกระทบจักขุปสาท เกิดซ้ำๆ ๆ กันจนนับประมาณไม่ได้ เวลานี้มีกี่คน ต่างกันหมดเลยใช่ไหม เป็นคน ไม่ใช่เป็นโต๊ะ นี่ก็ต่างกันแล้ว และคนแต่ละคนก็ต่างกันไปเพราะตา หู จมูก ลิ้น กาย ส่วนที่ปรากฏให้เห็นได้ ผม เป็นต้น เพราะฉะนั้นความรวดเร็วของการเกิดดับของรูปและจิตซึ่งดับเร็วกว่ารูปอีก จะสักแค่ไหน
นี่คือสิ่งที่ไม่สามารถจะรู้ได้ ถ้าไม่ใช่ผู้ที่อบรมบำเพ็ญบารมีเป็นพระมหาโพธิสัตว์ ที่จะถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือผู้ที่เป็นปัจเจกโพธิสัตว์ หรือเป็นสาวกโพธิสัตว์ ใครๆ คนธรรมดานั้นไม่มีการที่จะสามารถรู้ละเอียดอย่างนี้ได้เลย แม้แต่สิ่งที่ปรากฏเป็นภายนอกอย่างนี้ แต่อยู่ที่ไหน ถ้าไม่ได้ฟังมาก่อนจะไม่รู้เลยว่า เพราะมีธาตุดินน้ำไฟลมอยู่ตรงนี้ จำได้ว่าเป็นคนนี้ใช่ไหม จากความจำก็เป็นธรรมอีกอย่างหนึ่งแล้ว เพราะฉะนั้นวันหนึ่งๆ ก็มีธรรมแต่ละหนึ่งๆ ซึ่งไม่ใช่ธรรมเดียวกัน เช่น ความจำไม่ใช่โกรธ คนละหน้าที่ คนละลักษณะ คนละสภาพธรรม เพราะฉะนั้นสภาพธรรมใดเกิดขึ้น เป็นอย่างไร มีกิจอย่างไร ก็เฉพาะธรรมนั้น เช่น ขณะที่จำ บาลีใช้คำว่าสัญญา สัญญาเจตสิกเป็นเจตสิกที่จำ ในขณะที่มีเห็น ก็มีสัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วยแล้วกับจิตเห็น ขณะนั้นสัญญาจำสิ่งที่ปรากฏให้เห็น และเวลาที่เกิดดับ สืบต่อ สัญญาก็จำในส่วนที่ปรากฏเป็นรูปร่างต่างๆ ที่ใช้คำว่านิมิต ปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐาน ก็รู้ว่าคนนั้นไม่ใช่คนนี้ สิ่งนั้นไม่ใช่สิ่งนี้ เพราะความจำอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้น นิมิตตะ ถ้าไม่มีปรมัตถธรรม ไม่มีรูป ไม่มีเวทนา ความรู้สึก ไม่มีจิต นิมิตก็มีไม่ได้ อย่างพอบอกว่าโกรธ โกรธเกิดแล้วดับ เร็วแค่ไหน ๑ ขณะนี้ไม่ต้องไปคิดเลย แต่โกรธไม่รู้ว่านานเท่าไร นิมิตตะของความโกรธก็ปรากฏลักษณะที่เป็นความโกรธ ความรู้สึกเสียใจ เกิด ๑ ขณะใครรู้ได้ แค่ ๑ ขณะเกิดแล้วดับแล้ว แต่พอเกิดมากๆ นิมิตตะของความรู้สึกอย่างนั้นก็ปรากฏว่าต่างกับความรู้สึกอย่างอื่น
เพราะฉะนั้นเป็นโลกของนิมิตตะ ทั้งๆ ที่ปรมัตถธรรมก็มีจริง แต่ว่าเกิดขึ้นแล้วดับไปเร็วสุดที่จะประมาณได้ สิ่งที่เหลือคือนิมิตตะ ถ้าไม่มีนก จะมีเงานกไหม ก็ไม่มี เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีปรมัตถธรรม ธรรมที่จริงถึงที่สุด ไม่ได้กล่าวถึงคน ถึงสัตว์ อย่างที่เคยเข้าใจเลย แต่กล่าวถึงลักษณะแท้ๆ ของธรรมแต่ละอย่าง จึงใช้คำว่า ปรม (ปะ-ระ-มะ) อรรถ (อัด-ถะ) ถ้าไม่มีลักษณะที่ต่างกัน จะไม่มีอรรถ ความต่างกันของสภาพธรรมนั้น เพราะฉะนั้นสภาพธรรมแต่ละหนึ่งเป็นปรมัตถธรรมเฉพาะหนึ่ง เปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย เป็นความจริงแท้ที่สุด เมื่อมีแล้วจึงปรากฏว่าเกิดดับสืบต่อจนเป็นนิมิต เพราะฉะนั้นถ้าจะเข้าใจจริงๆ ตั้งแต่เกิด อยู่ในโลกของนิมิตตลอด ไม่รู้ความเป็นปรมัตถธรรมใดๆ เลยทั้งสิ้น มีแต่นิมิตของปรมัตถธรรมที่ปรากฏ ทันทีที่เห็น คุณสุมิตตรามาแล้ว จำแม่น จำเก่ง จำเร็ว ทั้งๆ ที่รูปร่างหน้าตาแค่นี้ ความจำมาแล้ว เป็นอะไร เพราะเหตุว่าคุ้นเคยต่อการที่จะจำนิมิต
เพราะฉะนั้นกว่าปัญญาที่จะเข้าถึงปรมัตถธรรม ลักษณะเฉพาะแต่ละอย่าง ก็ต้องอาศัยการฟัง และรู้ว่าที่ปรากฏขณะนี้ ที่รู้และเข้าใจว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเพราะสภาพธรรมที่ปรากฏนี้ เกิดแล้วดับอย่างเร็วมาก ข้อสำคัญที่สุด เกิดแล้วดับไป แล้วไม่กลับมาอีก แต่ความไม่รู้ ทำให้ติดข้องในนิมิต เห็นไหม แค่นิมิตก็ติดจะแย่อยู่แล้ว ทุกคนเลย ใช่ไหม เพราะเหตุว่าทางตานี้ ปรากฏสีสันที่น่าพอใจทั้งนั้นเลย ดอกไม้ดอกไหนที่ไม่สวย ใช่ไหม ดอกหญ้าก็สวย ดอกกล้วยไม้ก็สวย ดอกกุหลาบก็สวย นิมิตตะทั้งนั้นเลย ไม่ได้รู้ว่าชั่วคราว ถ้าไม่มีปรมัตถธรรมสิ่งต่างๆ เหล่านี้มีไม่ได้ เพียงคุณสุมิตตรา ธาตุดินน้ำไฟลมที่เคยเข้าใจว่าเป็นบุคคลนี้ เดินออกไปจากห้อง ใครจะเห็นนิมิตของคุณสุมิตตราได้ไหม เพราะอยู่ที่ธาตุดินน้ำไฟลม เพราะฉะนั้นพอธาตุดินน้ำไฟลม ไปอยู่ไหน กระทบจักขุปสาทเมื่อไหร่ จิตเห็นเกิดเมื่อไหร่ เกิดดับอย่างเร็วก็ปรากฏเป็นนิมิตตะ
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1741
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1742
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1743
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1744
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1745
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1746
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1747
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1748
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1749
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1750
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1751
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1752
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1753
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1754
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1755
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1756
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1757
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1758
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1759
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1760
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1761
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1762
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1763
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1764
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1765
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1766
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1767
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1768
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1769
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1770
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1771
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1772
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1773
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1774
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1775
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1776
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1777
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1778
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1779
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1780
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1781
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1782
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1783
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1784
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1785
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1786
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1787
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1788
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1789
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1790
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1791
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1792
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1793
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1794
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1795
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1796
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1797
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1798
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1799
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1800
