ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1771
ตอนที่ ๑๗๗๑
สนทนาธรรม ที่ ริเวอร์แคว วิลเลจ จ.กาญจนบุรี
วันที่ ๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๕
ท่านอาจารย์ แต่วันนี้คงไม่ใช่มีแค่ได้ยินกับเห็นใช่ไหม เพราะฉะนั้นมีใจอะไรอีก ใจดีหรือใจร้าย ที่พูดกัน คนนี้ใจดีใจร้าย ต้องเป็นลักษณะของใจ แต่พูดโดยไม่รู้ใช่ไหม แต่ตอนนี้รู้แล้ว สภาพที่รู้เกิดขึ้น แล้วต้องรู้ ไม่รู้ไม่ได้เลย แล้วแต่ว่าสภาพนั้นจะรู้อะไรซึ่ง เป็นชีวิตประจำวันที่พิสูจน์ได้เห็นได้ เพราะเวลานี้รู้ มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น
เพราะฉะนั้นสภาพที่เห็น เป็นธาตุ รู้ ใช้คำว่าจิต ก็ได้ ใช้คำว่าใจก็ได้ เป็นเราหรือ
ผู้ฟัง ไม่ใช่ เป็นสิ่งที่มีจริงอย่างหนึ่ง เป็นของใครหรือ
ผู้ฟัง ไม่ใช่
ท่านอาจารย์ บังคับบัญชาให้เกิดขึ้นได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ไม่ให้หมดไปได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นไม่ใช่เราแน่ๆ ไม่ใช่ใครแน่ๆ แต่เป็นธาตุหรือสภาพนั้น เท่านั้นที่เป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น นี่คือความหมายของคำว่าธรรม ในภาษาบาลีซึ่งเป็นภาษา มคธี แต่ภาษาอื่นๆ ก็แล้วแต่จะใช้ภาษาไทยก็บอกว่าสิ่งที่มีจริง
เพราะฉะนั้นเรากล่าวถึงสิ่งที่มีจริงให้คนไทยสามารถเข้าใจโดยไม่ต้องใช้ภาษาอื่น เพราะว่ามีสิ่งที่มีจริงแล้วไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง จึงสนทนากันเพื่อให้เริ่มเข้าใจความจริงจะได้มีปัญญาเป็นที่พึ่ง คือความรู้ถูกต้อง ถ้าคนอื่นมาบอกเราว่าไปทำใจ เรารู้ว่าคนนั้นรู้หรือ ว่าใจคืออะไร เห็นไหม
เพราะฉะนั้น มีที่พึ่งหรือยัง เพราะสามารถที่จะรู้ว่า อะไรถูกอะไรผิด ไม่ใช่ว่าเขาให้เราทำใจ เราก็ทำใหญ่เลย แต่ไม่รู้ว่าใจเป็นอะไร แล้วจะทำได้อย่างไร เพราะว่าไม่มีใครทำใจได้ ใจที่โกรธจะทำไหม ไม่มีใครอยากโกรธ แต่โกรธเกิดแล้ว โดยที่ไม่ได้มีใครต้องไปทำ เพราะฉะนั้นใครๆ ก็ทำใจอะไรๆ ก็ไม่ได้ทั้งนั้น เพราะเป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิดแล้วด้วย ตามเหตุตามปัจจัย มีใจอื่นอีกมากที่จะเกิด แต่ยังไม่เกิด เพราะยังไม่มีปัจจัยที่จะทำให้ใจนั้นๆ เกิด แต่ใจที่เกิดแล้ว ในอดีตที่ผ่านมา แม้ในขณะนี้ บังคับให้เกิดก็ไม่ได้ เพราะมีปัจจัยที่จะเกิดแล้ว วันนี้มีกี่ใจ
ผู้ฟัง หลายใจ
ท่านอาจารย์ หลายใจ ยังเหลือสักใจหนึ่งไหม ที่ว่ามี
ผู้ฟัง ณ.ตอนนี้
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้เอง ยังเหลือไหม
ผู้ฟัง เหลือว่ากำลังรับรู้กำลังได้ยินอยู่
ท่านอาจารย์ หมดแล้ว ก็ไม่เหลืออีกแล้ว นี่คือความเป็นจริง เป็นอย่างนี้ไม่เป็นอย่างอื่นเลย เพราะฉะนั้นมีสาระอะไรไหม เพียงเกิดมาเห็น ต้องเห็น ไม่เห็นไม่ได้ เกิดมาต้องได้ยิน ไม่ได้ยินก็ไม่ได้ เพราะถึงเวลาที่จะต้องได้ยิน ใครจะไปทำให้ได้ยินเกิดไม่ได้เลย นอกจากมีปัจจัยที่สมควร ที่จะเกื้อกูลอุปการะทำให้ใจประเภทนั้นๆ เกิดขึ้น ภาษาไทยของเรา ใช้คำไหน ใช้คำว่าใจ ใช่ไหม แต่พอภาษาบาลีอีกชาติหนึ่ง ๒๕๐๐ กว่าปี
ณ.ดินแดนหนึ่ง หรือ ณ.บัดนี้ก็ตามแต่ ไกลจากประเทศถิ่นนี้ มีคำว่าใจหรือไม่ ไม่มี เพราะฉะนั้นที่แห่งหนึ่งใช้คำว่าจิต ใช้มานานแล้วด้วย ๒๕๐๐ กว่าปี จิต-ตะ หมายความถึงธาตุรู้ สภาพรู้ แล้วแต่ว่าภาษาไหนจะใช้คำอะไรก็หมายความถึงสภาพนั้น
เพราะฉะนั้นสำหรับคนไทย ก็ใช้คำว่าใจ วันหนึ่งๆ ก็ไม่เห็นใครพูดถึงจิตใช่ไหม นอกจากจะมาประกอบกับใจ ว่าจิตใจ แต่ธรรมดาเราก็พูดถึงใจ แต่ว่าความหมายก็อย่างเดียวกัน หมายความถึงสิ่งที่มองไม่เห็น ไม่มีรูปร่าง สักนิดเดียวก็ไม่มี จะหวานสักหน่อย จะแข็งสักนิดหนึ่ง ไม่ได้เลย ไม่มีรูปร่างใดๆ เจือปนเลยทั้งสิ้น ลองคิดถึงภาวะของความจริงของธาตุนั้น ไม่มีรูปใดๆ เจือปนเลยทั้งสิ้น แต่มีใช่ไหม
จะมืดหรือจะสว่างธาตุนั้น กำลังมี กำลังมีใจ สว่างหรือมืด ไม่มีรูปใดๆ เจือปนเลยทั้งสิ้น เป็นธาตุที่เกิดขึ้นรู้เท่านั้น เกิดขึ้นเห็น เกิดขึ้นได้ยิน เกิดขึ้นคิดเรื่องราวต่างๆ สภาพที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ที่กำลังคิด หรือกำลังเห็นมืดหรือสว่าง
ผู้ฟัง มืด
ท่านอาจารย์ มืด ตอบเองใช่ไหม ถูกหรือผิด
ผู้ฟัง หนูคิดว่ามืด
ท่านอาจารย์ ใครตอบ ไม่ใช่คนอื่น ใช่ไหม เพราะฉะนั้นรู้เองใช่ไหม เป็นปัญญาความเข้าใจของเราเองใช่ไหม ถ้าคนอื่นเขาบอกว่าธาตุรู้สว่าง จะเชื่อเขาไหม
ผู้ฟัง ไม่
ท่านอาจารย์ เป็นไปได้อย่างไร สว่าง เวลานี้ไม่ใช่จิต ไม่ใช่สภาพรู้ ไม่ใช่ธาตุรู้ เพราะฉะนั้น มีธรรมเป็นที่พึ่ง มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง เพราะคิดเองไม่มีทางเลย เกิดมาก็มีจิตแต่ไม่รู้จักจิตเลย ตั้งแต่เกิดจนตาย มีทุกสิ่งทุกอย่างปรากฏทางตา ทางหู ก็ไม่รู้จักเลยตั้งแต่เกิดจนตาย เข้าใจว่าเที่ยง เป็นเราตั้งแต่เกิด เป็นคนหนึ่งคนใดที่เรามองเห็น แต่หารู้ไม่ว่าถ้าไม่มีสิ่งที่อ่อนแข็ง เย็นร้อน สิ่งที่ปรากฏให้เห็นเป็นรูปร่างสัณฐานก็มีไม่ได้ แต่เราก็ไปเข้าใจว่าทั้งหมดเป็นคน หรือว่าเป็นสิ่งของต่างๆ แต่ต้องแยกโดยละเอียดตามความเป็นจริง สิ่งใดจริงสิ่งนั้นเปลี่ยนอีกไม่ได้เลย เป็นความจริงถึงที่สุด
เพราะฉะนั้นธรรมคือสิ่งที่มีจริง สิ่งที่มีจริงใครก็เปลี่ยนแปลงความจริงนั้นไม่ได้ ถึงที่สุดของความจริงเป็นปรมัตถ์ธรรม เห็นมีจริงๆ ใช่ไหม เป็นธรรมหรือไม่
ผู้ฟัง เป็น
ท่านอาจารย์ เป็นปรมัตถ์ธรรมหรือไม่ เปลี่ยนเห็นให้เป็นอย่างอื่นได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเห็นต้องเป็นเห็น เห็นเกิดขึ้น แล้วดับไป ให้ไม่ดับไป ได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงถึงที่สุดก็คือสิ่งนั้นเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นแล้วก็ดับไป ใช้คำว่า "ปรมัตถ์ธรรม" มีอะไรบ้าง ค่อยๆ เริ่มรู้จักสิ่งที่มีตลอดตั้งแต่เกิดจนตายจนถึงวันนี้ แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจสิ่งนั้นขึ้น อย่างน้อยที่สุด มั่นคงไหมว่าจิตไม่สว่าง หรือว่าสงสัย ตอบแล้วยังสงสัย คำตอบจากอะไร จากการเดา หรือว่าจากการฟัง หรือว่าจากการค่อยๆ เหมือนจะเป็นอย่างนั้น แต่ยังไม่รู้ว่าความจริงเป็นอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นปัญญาก็มีตั้งแต่ขั้นฟัง ขั้นไตร่ตรอง และขั้นที่ถึงความจริงด้วยปัญญานั้น ถ้าอย่างนั้นก็เป็นโลกุตตรสรณคมน์ ไม่ใช่โลกียสรณคมน์ เพราะว่าได้รู้ความจริงถึงที่สุด นี้ก็คือการฟังสิ่งที่มีจริงๆ แล้วก็เกิดความเข้าใจของตัวเองไม่ต้องไปขอยืมใครขอใคร และก็ไม่ต้องไปเชื่อใครด้วยถ้าเขาพูดที่สิ่งที่ไม่ถูกต้อง และไม่จริง
อาจารย์วิชัย ขั้นแรกที่จะศึกษาคำสอนของพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าจะเริ่มต้นจากที่ไหน
ท่านอาจารย์ ปัญหาของคุณวิชัย จะเริ่มต้นที่ไหน ไม่ต้องเลือกสถานที่เลย เพราะใครจะรู้ว่าจะอยู่ที่ไหนเมื่อไหร่ที่จะได้ฟังธรรม เพราะฉะนั้นการฟังธรรมก็คือว่าได้ฟังความจริง จะไม่ใช้คำว่าธรรมก็ได้ เพราะเหตุว่าเกิดมาแล้วทุกคนก็มีเรื่องมาก ที่จะพูด ก็พูดเรื่องทุกเรื่องทุกวัน แต่ว่าเมื่อไหร่จะได้มีโอกาสฟังธรรม เลือกสถานที่ไม่ได้ เลือกเวลาก็ไม่ได้ แต่ว่าเพราะเหตุว่าได้มีปัจจัยที่ได้กระทำไว้แล้วทำให้ขณะนั้นมีการได้ยินได้ฟัง สิ่งที่มีจริง
เพราะฉะนั้นเราไม่จำเป็นต้องพูดคำที่เราไม่รู้จักเลย ถ้าเรามีความเข้าใจว่า ขณะนี้เป็นสิ่งที่มีจริง แล้วก็ไม่เคยรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงเลยสักนิดเดียว เพราะฉะนั้นถ้ามีการที่จะมีโอกาสได้เห็นประโยชน์ของการที่เกิดมาแล้ว เราจะได้เข้าใจความจริงซึ่ง ไม่มีการได้ฟังมาก่อนเลย ก็เริ่มที่จะเห็นประโยชน์เช่นขณะนี้ เดี๋ยวนี้อยู่ที่ไหน เห็นอะไร แล้วก็กำลังได้ยินได้ฟังอะไร และแต่ละคำที่ได้ยิน พูดถึงอะไร พูดถึงสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ บางคนก็บอกว่าทำไมพูดถึงสิ่งซึ่งเป็นธรรมดามาก เช่นพูดเรื่องเห็น เรื่องได้ยินเรื่องคิดนึก เรื่องสุขเรื่องทุกข์ ถ้าไม่พูดเรื่องเหล่านี้แล้วจะพูดเรื่องอะไร ลองหามาซิ ถ้าไม่พูดเรื่องเหล่านี้เราจะพูดเรื่องอะไร พูดโดยไม่ได้เข้าใจเลยว่าแท้ที่จริงความจริง จริงๆ ก็คือมีสิ่งที่ทำให้เกิดเรื่องราวและเหตุการณ์และความคิดและความเป็นไปของชีวิต แต่ละหนึ่งคน แต่ละอย่างโดยที่ว่าไม่รู้ความจริงเลยว่าเกิดแล้วต้องตาย วันไหนก็ไม่รู้ด้วย ตายแน่ๆ อย่างไรก็ตาย
เพราะฉะนั้นขณะที่ยังไม่ตายหายไป รู้อะไรบ้างหรือไม่ ในระหว่างที่ยังไม่จากโลกนี้ไป เพราะฉะนั้นแต่ละคนก็จะรู้ได้ว่าเกิดมาทำไม เกิดแล้วทำอะไร เกิดมาเพื่ออะไร เกิดแล้วไปไหน หรือว่าจากนี้ก็หมด หรือว่าจบไม่มีอะไรอีกเลย นั่นก็เป็นเพียงความคิดความเห็น โดยที่ไม่ได้เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังมีจริงๆ ในขณะนี้
เพราะฉะนั้นลองเปรียบเทียบ ความรู้ทั้งหลายทุกอย่างที่เคยรู้มาแล้ว กับการที่จะเข้าใจสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ต่างกันมากเพราะเหตุว่าความรู้ใดๆ ก็ไม่สามารถที่จะทำให้รู้ว่าตั้งแต่เกิดจนตายก็คือเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง สุขบ้าง ทุกข์บ้างเท่านี้เอง
เพราะฉะนั้นตั้งต้นเมื่อไหร่แล้วก็ตั้งต้นที่ไหนไม่มีจำกัดเลย
อาจารย์วิชัย ที่ทุกข์ใจเดือดร้อนใจความเข้าใจตรงนี้จะบรรเทาหรือว่าจะละสิ่งเหล่านั้นอย่างไร
ท่านอาจารย์ ทุกคนไม่ชอบทุกข์ คิดเรื่องละทุกข์ และผู้ที่ดับทุกข์ไม่เกิดเลย มีไหม แล้วก็คิดอย่างนั้นหรือไม่ หรือว่าจะละทุกข์ชั่วคราว เพราะเหตุว่าเดี๋ยวก็มีทุกข์อีก ละทุกข์นี้ ต่อไปก็มีทุกข์อื่น ไม่มีวันจบ และแต่ละทุกข์ จะมาถึงวันไหนก็ไม่รู้ด้วยไม่เหมือนกับการที่ว่าจะดับทุกข์ ไม่มีทุกข์อีกเลย อย่างที่วันก่อนเราพูดถึงเรื่องอุบัติเหตุ แล้วก็มีการกระทบกับสิ่งที่เป็นทุกข์กาย แสบตา แล้วก็ถูกเผาผิวไหม้อะไรพวกนี้ แล้วก็หาทางเยียวยารักษา แต่ว่าสิ่งที่จะเยียวยารักษาที่ประเสริฐสุดแม้ว่าขณะนั้นกำลังเป็นอย่างนั้น ก็คือปัญญา ที่สามารถที่จะไม่มีทุกข์แม้ในขณะนั้น ลองคิดดู ไม่ว่าที่ไหนเหตุการณ์อย่างไรจะโศกเศร้าเสียใจหรือว่า ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงจะวิบัติไปแต่ทั้งหมด ก็เกิดแล้วด้วยความไม่รู้
เพราะฉะนั้นที่จะหมดจากทุกข์ ก็คือ ขณะนั้น ปลอดภัยด้วยปัญญา ปลอดภัยจริงๆ ไม่มีภัยใดๆ ที่สามารถจะทำให้จิตขุ่นหมอง หรือว่าเป็นทุกข์ได้แม้ว่าจะประสบกับเหตุการณ์ใดๆ เพราะฉะนั้นจึงควรที่จะรู้หนทาง ซึ่งไม่ใช่แก้ทุกข์ชั่วคราว และเดี๋ยวก็ทุกข์อีก ทุกข์อีก ทุกข์อีกไปเรื่อยๆ แต่เป็นการแก้ทุกข์ที่ปลอดภัยทุกขณะที่ปัญญาสามารถที่จะเกิดขึ้นแม้ในขณะนั้น ในอดีตกาล ก็มีพระภิกษุที่ท่านอยู่ในป่า แล้วก็ถูกเสือกัด คิดดูว่าภัยทั้งหลายที่จะมากระทบกาย และไม่ว่าที่ไหน ในลักษณะใดทั้งสิ้น ความเจ็บปวดความทุกข์ทรมานสักแค่ไหน แต่ท่านก็รู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ แม้ในขณะนั้น
เพราะฉะนั้น ถ้าคิดถึงสิ่งที่จะทำให้ปลอดจากทุกข์จริงๆ ปลอดจากภัยทั้งหลายด้วย ก็มีอย่างเดียวคือปัญญาที่สามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงในขณะนั้น
อาจารย์วิชัย กล่าวถึงปัญญาคือการรู้ธรรมที่กำลังมี กับเช่นเห็นได้ยิน ความทุกข์ที่จะบรรเทาจากความรู้ในสิ่งที่เห็นได้ยิน จะบรรเทาอย่างไร
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้เป็นทุกข์หรือไม่ หรือว่าเดี๋ยวนี้ มีภัยหรือไม่ เห็นไหม คำตอบก็มาจากความเข้าใจหรือความไม่เข้าใจ และความเข้าใจเพียงเล็กน้อยหรือความเข้าใจที่มั่นคง นั่งสบายๆ อย่างนี้อากาศก็ไม่ร้อน มีภัยไหม เดี๋ยวนี้
อาจารย์วิชัย ก็สบายดี
ท่านอาจารย์ ไม่มีภัยเลยหรือ ยุงไม่กัด ไม่มีภัยหรืออย่างไร หรือว่าแท้ที่จริงแล้วล้อมรอบด้วยภัยของความไม่รู้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ภัยที่ใหญ่กว่าภัยอื่นทั้งหมด ก็คือความไม่รู้กำลังมีความสุขมากๆ รับประทานอาหารอร่อย ทุกอย่างดี สวยงาม ราบรื่น ขณะนั้นเป็นภัยไหม เมื่อมองไม่เห็นภัยอย่างนี้ แต่คิดเพียงที่จะละทุกข์กาย หรือว่าทุกข์ใจเท่านั้น ซึ่งไม่เห็นโทษของการที่ว่าไม่ว่าจะทุกข์หรือสุขเมื่อไรก็ตามแต่ ก็เป็นภัยเพราะความไม่รู้
อาจารย์วิชัย เมื่อไม่รู้ก็ให้เกิดทุกข์ได้หลายอย่าง
ท่านอาจารย์ แน่นอน ต้นเหตุทั้งหมด มาจากความไม่รู้ เมื่อวานนี้ได้ฟังเสียงเพลง เพราะๆ ไหม สนุกสนาน เห็นภัยหรือไม่ เห็นไหม หลงลืม เพราะฉะนั้นก็มีแว่วเสียงธรรม แล้วก็รู้ว่าหลงลืมแค่ไหน จึงต้องฟังจนกระทั่งเข้าใจจริงๆ ไม่ใช่เพื่ออย่างนั้นอย่างนี้ หรือไม่ใช่แม้เพื่อที่จะพ้นทุกข์ด้วยความเป็นตัวตน เพราะฉะนั้นถ้าศึกษาพระไตรปิฏกทุกคำ ก็คือว่าปัญญาที่ได้ทรงตรัสรู้ ก็จะทำให้ทุกคำมีความลึกซึ้ง เช่น ศึกษาธรรม เพื่อพ้นทุกข์ เพื่อตัวเองพ้นทุกข์ เพื่ออยากจะพ้นทุกข์ โดยไม่รู้ว่าทุกข์คืออะไร และพ้นคืออย่างไร
เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีปัญญาก็จะไม่เข้าใจพระไตรปิฎกและคำสอนของพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่าในสูตรหนึ่งก็กล่าวอย่างหนึ่งเช่น เริ่มต้นด้วยศีลใช่ไหม แต่ว่าถ้าไม่มีการที่ทรงแสดงว่าขณะนี้เป็นธรรม เริ่มต้นด้วยศีล ก็เหมือนใครก็บอกได้ใช่ไหม ว่าก่อนอื่นก็คือว่าต้องมีกายวาจาใจที่เป็นไปในทางที่ ไม่เบียดเบียนคนอื่นไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนแต่ไม่มีปัญญาอะไรเลย
เพราะฉะนั้นสูตรนั้นหรือสูตรไหนก็ต้องสอดคล้องกับพระไตรปิฏกทั้งหมดว่าทรงแสดงพระธรรมแม้ในเรื่องศีล ก็เพื่อให้ปัญญามีความเห็นที่ถูกต้อง ในการที่รู้จักตัวเองตามความเป็นจริงว่ากิเลสมากไหม แม้แต่เดี๋ยวนี้มีภัยหรือไม่ ถ้ายังไม่รู้ใช่ไหม ก็เห็นความหนาแน่นของกิเลสได้แม้ขณะนี้มีภัยก็ยังไม่รู้เลย ตาบอดสนิท หูหนวกด้วย ไม่ได้ยินไม่ได้ฟังอะไร ดูโลกสว่างไสว มีดอกไม้ มีทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ไม่รู้ว่ากำลังมีภัยทุกขณะที่เห็น และก็ติดข้อง หรือที่เห็นแล้วก็ขุ่นเคือง ไม่รอดพ้นไปจากภัยคือความไม่รู้ได้เลย
ด้วยเหตุนี้ จึงต้องเป็นผู้ละเอียดว่าแม้พระสูตรนี้ก็ต้องสอดคล้องกับพระสูตรอื่นคือพระธรรมทั้งหมด เป็นไปเพื่อความเห็นที่ถูกต้อง ความเข้าใจถูกในสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ นั่นจึงชื่อว่าคำสอนของพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งจะต่างกับคำสอนของผู้ไม่รู้ ผู้ไม่รู้ก็เห็นแต่เพียงการกระทำทางกาย ทางวาจา แล้วก็คิดว่าก็เว้น แต่ไม่รู้หรอกว่า แล้วทำไมเว้นไม่ได้ ทำไมจึงเดี๋ยวก็มีการกระทำทางกาย ทางวาจา ที่เป็นไปตามกำลังของอกุศล แล้วๆ เล่าๆ ตรงนี้ ตรงนั้น ตรงไหนของโลก ไม่ว่าโลกไหนก็ตามแต่ใช่ไหม ก็เป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้นพระธรรมที่ทรงแสดงขึ้นอยู่กับปัญญาความเห็นถูกความเข้าใจถูกว่า ทรงชี้ให้เห็นว่ากิเลสมากระดับไหน เดี๋ยวนี้ก็มีภัยของกิเลสขณะที่ไม่รู้ เพราะฉะนั้นเมื่อกิเลสมากอย่างนี้ การที่จะให้ปัญญารู้แจ้งสภาพธรรมทันที เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย แต่ว่าเมื่อเห็นโทษก็ค่อยๆ ละสิ่งที่ไม่ดีตามลำดับ คือละกายวาจาที่ถึงกับทำความเดือดร้อนของผู้อื่น ความเดือดร้อนของตัวเอง อย่าพูดเลย อยู่ในใจมากมาย แต่ว่ามีกำลังถึงกับจะทำให้คนอื่นเดือดร้อนหรือยัง
นี่คือความละเอียดของธรรม ซึ่งจะขาดปัญญาความเห็นถูกต้องไม่ได้ ด้วยเหตุนี้พระธรรมที่ทรงแสดงไม่ว่าเรื่องของศีลเรื่องของสมาธิ เรื่องของปัญญาทั้งหมด ก็จะขาดความเห็นถูกความเข้าใจถูกไม่ได้ว่า แม้ศีลที่จะตั้งต้น ศีลคืออะไร ทุกอย่างเริ่มจากปัญญา ถ้าไม่รู้ว่าศีลคืออะไร ก็เพียงแต่ว่ามีความเป็นตัวตนที่จะต้องการศีล
อาจารย์วิชัย อาจารย์ก็ตั้งคำถามว่า ศีลคืออะไร ศีลก็ต้องเป็นธรรมอย่างหนึ่ง คิดถึงการที่อาจจะกล่าวคำไม่ดีแล้วก็เว้น หรือว่าการกระทำทางกายที่อาจจะฆ่าสัตว์ หรือเบียดเบียนบุคคลอื่นก็เว้นที่จะไม่กระทำ แต่ก็ยังไม่รู้จักธรรม
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็ต้องเข้าใจตามความเป็นจริง ถ้าไม่มีธาตุรู้ สภาพรู้ และก็ไม่มีธาตุที่ไม่รู้อะไรเลย ก็ไม่มีอะไร โลกก็ไม่มี อะไรก็ไม่มี เพราะฉะนั้นแม้แต่คำที่เราใช้คำว่าโลก ก็คือ โล-กะ ในภาษาบาลี หมายถึงทุกสิ่งซึ่งแตกดับ เว้นอย่างเดียวคือโลกกุตตระคือนิพพานซึ่งตรงกันข้าม แต่ว่าจริงๆ แล้วการศึกษาก็ต้องตามลำดับ คือได้เริ่มเข้าใจสิ่งที่มี แล้วก็จะเข้าใจคำที่เราได้ยินได้ฟังด้วย
อย่าง "โลก" หรือ โล-กะ ก็คือถ้าไม่มีธาตุรู้ ไม่มีธาตุที่ไม่รู้ โลกก็ไม่มี เพราะฉะนั้นสิ่งที่ไม่รู้อะไรเลยมีจริงๆ เป็นศีลหรือไม่ ร่างกายตั้งแต่ศีรษะจดเท้า เป็นศีลหรือ
ไม่รู้อะไรแล้วจะเป็นศีลอะไร ใช่ไหม แต่ที่มีคำว่า ศีล หรือ ศี -ละ ก็เพราะเหตุว่ามีธาตุรู้ เพราะฉะนั้นธาตุรู้ มีหลากหลายมากมาย แม้แต่ความไม่รู้ก็มากมายระดับต่างๆ ด้วย ไม่รู้แม้แต่ว่าศีลคืออะไรก็ไม่รู้ ไม่รู้แม้แต่ว่ากายตั้งแต่ศีรษะจดเท้า เป็นศีลหรือไม่ ก็ไม่รู้ ที่จริงก็เพียงแต่พิจารณาหรือคิดสักนิดหน่อย ก็พอที่จะรู้เค้า แต่ว่าไม่ใช่รู้จริง เช่น แม้แต่ขณะนี้ มีธาตุรู้แน่ๆ รู้ธาตุรู้นั้นหรือยัง เพียงแต่แว่วๆ ว่ามี แล้วก็กำลังมีแต่ก็ยังไม่รู้จักธาตุรู้นั้นจริงๆ แต่ว่าขณะนี้ มีเห็น แน่ๆ ไม่มีรูปร่าง ไม่มีสีสันวัณณะใดๆ เลยทั้งสิ้น เวลาที่กล่าวถึงธรรม ต้องแยกออกมาเป็นทีละหนึ่งจึงสามารถที่จะเข้าใจธรรมะนั้นจริงๆ ได้ไม่ปะปนกัน
เพราะฉะนั้นขณะนี้กำลังเห็น ยังไม่พูดถึงอย่างอื่นเลย พูดถึงสภาวะหรือสิ่งที่กำลังรู้ว่าสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเป็นอย่างนี้ เราสามารถจะเห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แต่ลืมว่าขณะนั้น เพราะมีธาตุเห็นสิ่งนี้ว่าเป็นอย่างนี้ด้วย เพราะว่าตัวสิ่งที่ปรากฏทางตาไม่รู้เลย จะมีใครเรียกว่าดอกกุหลาบ จะมีใครเรียกว่าโต๊ะ มีใครเรียกว่าเก้าอี้ สิ่งนั้นไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าเป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้น ซึ่งหลากหลาย เป็นสิ่งที่ปรากฏทางตาได้หนึ่ง เป็นสิ่งที่สามารถกระทบปรากฏลักษณะที่อ่อนหรือแข็งก็มีจริง
เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็มีจริง แต่ความจริงของสิ่งที่มีจริง ลึกซึ้งเพราะเหตุว่าเกิดกับสืบต่อรวดเร็วปรากฏเป็นนิมิต เหมือนอยู่ในโลกของความคิด หรือในความฝันเพราะมีสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งเกิดดับแล้วไม่รู้ เพราะฉะนั้นก็ปรุงแต่งให้คิดเป็นเรื่องต่างๆ เป็นสิ่งต่างๆ
เพราะฉะนั้นการตั้งต้นฟังธรรมก็คือว่าไม่ละเลยที่จะเข้าใจความจริงของแต่ละคำที่ได้ยิน ไม่ว่าจะเป็นคำว่าศีล ไม่ว่าจะเป็นคำว่าธรรม หรือว่าสิ่งที่มีจริง ไม่ว่าเป็นสิ่งที่มีจริงแต่ไม่ใช่สภาพที่สามารถจะรู้อะไรได้เลยก็มีตั้งหลายอย่าง มีทั้งสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ก็จริง มีทั้งเสียงที่ปรากฏให้ได้ยินก็จริง คิดนึกก็จริง แต่ว่าลักษณะที่ต่างกัน จะไม่ปะปนกันเลย
อาจารย์วิชัย ท่านอาจารย์กล่าวว่าเห็นสิ่งนี้ว่าเป็นอย่างนี้ ดังนั้น คำว่าเห็นจะหมายถึงกำลังเห็นขณะนี้ หรือว่าจะเข้าใจเห็น
ท่านอาจารย์ กำลังเห็น เพราะฉะนั้นสั้นแค่ไหนถ้าคิดถึงว่ากำลังเห็นสั้นมาก เพราะว่าไม่ได้รวมความคิดนึกหรือการรู้ว่าสิ่งที่เห็นเป็นอะไรเลย เห็นไหม แม้แต่เพียงเห็นเดี๋ยวนี้ก็เล็กน้อยและสั้นที่สุด ไม่ปะปนกับความคิดนึกหรือว่าจิตประเภทอื่นๆ ซึ่งถ้าศึกษาโดยละเอียดก็ต่างออกไป เพราะว่าจิตที่กำลังทำหน้าที่เห็นเกิดขึ้นแค่เห็น แต่เวลานี้ยาวมากเลยใช่ไหม เห็นเป็นคนนั้น คนนี้นั่งอยู่ที่นี่ และในห้องนี้มีอะไรบ้าง นั่นแสดงว่าเห็นต้องมากมายขนาดไหน แต่ถ้าคิดถึงจิตหรือสภาพรู้ หรือเห็นเกิดขึ้นเพียงเห็นจริงๆ เพียงเห็น เท่านั้นเอง เล็กน้อยขนาดไหน
อาจารย์วิชัย แต่ก็เห็นมานาน แต่ไม่ยังไม่เคยเข้าใจว่าเป็นเพียงแค่เห็นเท่านั้น
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็ต้องเริ่มฟังว่าเพียงเห็น เห็นไหม แค่สองคำว่า"เพียงเห็น" ค่อยๆ ลดความคิดเรื่องต่างๆ แล้วก็เริ่มเข้าใจความหมายของคำว่า"เพียงเห็น" เพราะว่า"เพียงเห็น"จริงๆ และ"เพียงเห็น" ถ้าไม่มีเหตุที่จะให้เกิดขึ้น ไม่มีปัจจัยที่จะทำให้เกิดขึ้น ก็เกิดไม่ได้ นี่ก็แสดงความจริงของสิ่งที่มีจริงว่า ถ้าไม่มีปัญญาจริงๆ ก็ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงของทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งทุกคนรวมเรียกว่าเป็นโลก มีมนุษย์ มีพื้นดิน มีอากาศ มีพระอาทิตย์ พระจันทร์ มีสารพัดอย่าง แต่ทั้งหมดก็ต้องมาจากสิ่งที่เพียงเกิดแล้วดับ สืบต่ออย่างเร็วมาก นี่คือการเริ่มที่จะเข้าใจจริงๆ ว่าโลก โล-กะ ก็คือแค่นี้เอง คือมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดปรากฏแล้วหมดไป
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1741
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1742
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1743
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1744
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1745
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1746
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1747
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1748
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1749
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1750
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1751
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1752
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1753
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1754
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1755
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1756
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1757
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1758
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1759
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1760
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1761
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1762
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1763
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1764
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1765
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1766
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1767
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1768
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1769
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1770
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1771
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1772
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1773
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1774
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1775
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1776
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1777
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1778
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1779
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1780
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1781
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1782
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1783
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1784
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1785
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1786
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1787
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1788
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1789
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1790
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1791
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1792
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1793
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1794
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1795
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1796
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1797
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1798
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1799
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1800
