ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1761
ตอนที่ ๑๗๖๑
สนทนาธรรม ที่ ดอยอินทนนท์ จ.เชียงใหม่
วันที่ ๑๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๕
ท่านอาจารย์ ด้วยเหตุนี้ตามความเป็นจริงนี่คะ แต่ละคนก็มีจิตแต่ละหนึ่ง เป็นสองไม่ได้เลยนะคะ แต่ละหนึ่งนะคะ เกิดขึ้น ตราบใดที่จิตนั้นยังไม่ดับ จะมีจิตอื่นเกิดสืบต่อไม่ได้แต่ทันทีที่จิตนั้นดับ จิตอื่นเกิดสืบต่อทันทีไม่มีระหว่างคั่นเลย นี่คือการที่จะเข้าใจสภาพของจิตนะคะ
ตั้งแต่เกิดจนตายทุกขณะเป็นอย่างนี้ เกิดดับสืบต่อเร็วมากจนไม่ปรากฏการดับ ไม่มีอะไรหายไปเลยใช่ไหมคะ แต่ความจริง หายไป หายไป หายไปอย่างเร็วมาก แล้วก็มีสิ่งอื่นเกิดสืบต่อ จนไม่ปรากฏว่าหายไปเลย เช่นในขณะนี้นะคะ ถ้าคิดถึงสภาพธรรมะสิ่งที่มีจริงเพียงทีละหนึ่งอย่าง จิตเห็นเนี่ยคะ ไม่ใช่ได้ยิน แต่เหมือนพร้อมกันเลย
เพราะความไม่รู้ แต่ถ้าเป็นความรู้แจ้งจริงๆ นะคะ จิตเห็นเกิดขึ้นเพราะจักขุปสาท เพราะมีสิ่งที่กระทบจักขุปสาทและจิตนั้นเกิดขึ้นเห็นเพราะมีเจตสิกที่เกิดร่วมกัน และเจตสิกที่เกิดร่วมกันนี่คะ ต่างก็ทำหน้าที่นะคะ ของตน ของตน ทำให้จิตนั้นเกิดขึ้นรู้สิ่งที่กำลังปรากฏนั้น ถ้าจะใช้ภาษาบาลีนะคะ
เราอาจจะคุ้นหูสำหรับบางคน แต่ยังไม่เข้าใจความจริงของลักษณะของสภาพธรรมะ เช่นคำว่าผัสสะ หมายความถึงการกระทบ ขณะนี้คะ ใครเห็น ใครได้ยิน ใครคิดนึก แล้วแต่เจตสิกนั้นจะกระทบอารมณ์อะไร ขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏทางตา เมื่อนะคะ ผัสสะเจตสิกซึ่งเกิดกับจิต กระทบสิ่งที่ปรากฏทางตา และจิตเกิดขึ้นเห็นพร้อมกับผัสสะที่กระทบ
แต่สำหรับอีกคนหนึ่งนะคะ พร้อมๆ กันในขณะนี้ค่ะ ได้ยินแทนที่จะเห็น ก็เพราะเหตุว่าผัสสะเจตสิกกระทบเสียง เป็นปัจจัยให้จิตเกิดขึ้นได้ยินเสียง ทั้งผัสสะเจตสิกและจิต และเจตสิกอื่นที่เกิดพร้อมกันก็ดับไป เพียงชั่วขณะที่สั้น แต่ต้องคนละขณะ นี่คือความเป็นจริงค่ะ ด้วยเหตุนี้นะคะ เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้แล้วนะคะ
ความลึกซึ้งของธรรมะทำให้ไม่น้อมพระทัยที่จะแสดงธรรม ใครจะเข้าใจได้ ถึงความลึกซึ้งของสภาพธรรมะในขณะนี้ซึ่งเกิดดับเหมือนกับไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือเกิดดับเลย แต่เพราะเหตุว่าเป็นสัจธรรมเป็นความจริงนะคะ เราได้ฟังธรรมะวันนี้ เราเข้าใจแค่นี้ แต่คนที่ได้ฟังก่อนเรามานานแสนนาน แสนโกฏิกัปป์มาแล้ว หรือแสนกัปป์มาแล้วก็ตามแต่
อย่างท่านพระสารีบุตรนะคะ ท่านพระอานนท์ ท่านพระมหากัสสปะ ท่านพระอนุรุทธะเป็นบุคคลในอดีตในครั้งพุทธกาล ท่านก็มีการเห็น มีการได้ยิน มีความคิดนึก มีโลภะ มีโทสะก่อนที่จะได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม เหมือนอย่างนี้ค่ะไม่ต่างกันเลย แต่เพราะเหตุว่าเคยได้ฟัง เคยเข้าใจ เคยเห็นคุณค่าของการที่เกิดแล้วตาย
แล้วระหว่างที่ยังไม่ตายเนี่ยก็เหมือนกับมีสิ่งที่เป็นของๆ เรา แต่ความจริงก็ไม่ใช่เลยสักอย่างเดียวนะคะ ติดตามไปไม่ได้เลย แม้ร่างกายซึ่งเข้าใจว่าขณะนี้เป็นเรา กำลังนั่งอยู่ กำลังฟังธรรมะ แต่เพียงไม่มีจิตเกิดที่รูปนี้ รูปนี้ก็น่าดูไหมคะ แย่เลย ใช่ไหมค่ะ แค่วันเดียว สองวัน เจ็ดวันก็แย่ละ เป็นของเราจริงๆ หรือเปล่า
แต่ขณะใดที่มีจิตเกิดขึ้นด้วยความไม่รู้นะคะ ก็ยึดถือทั้งจิตและรูปซึ่งเกิดขึ้นเพราะกรรม ต้องมีปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้นนะคะ ว่าเป็นของเรา เพราะฉะนั้นเมื่อธรรมะเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งอย่างนี้นะคะ ก็ต้องเป็นผู้ที่เห็นคุณค่า และเห็นประโยชน์ และเป็นผู้ที่สะสมอบรมมาแล้ว ไม่ใช่พระผู้มีพระภาคท้อถอยนะคะ คนที่หมดกิเลสแล้วจะไม่มีความท้อถอยเลย
แต่ขณะนั้นไม่น้อมพระทัยเพราะสภาพธรรมะลึกซึ้งมาก ก็เห็นความลึกซึ้งนี่คะ ยากที่ใครจะรู้ได้ แต่เพราะเหตุว่าเป็นสิ่งที่มีจริงนะคะ เมื่อขณะที่ไม่น้อมพระทัยเป็นขณะหนึ่ง หลังจากนั้นก็รู้ว่า มีบุคคลที่สะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก พอที่จะฟังแล้วเข้าใจ และสามารถที่จะดับกิเลสเช่นพระองค์ได้ แต่ไม่ถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
จึงได้ทรงแสดงธรรม และก็ตามธรรมเนียมนะคะ ของธรรมะที่ลึกซึ้ง และมีผู้ที่ได้เคยฟังพระธรรมจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ก็ได้รู้ว่าขณะนั้นพระผู้มีพระภาคนะคะ ตรึกอย่างไร ก็มาเฝ้าอาราธนาให้ทรงแสดงพระธรรม แต่ตามความเป็นจริงก็ทรงบำเพ็ญพระบารมีที่จะทรงแสดงพระธรรมอยู่แล้ว
เพียงแต่ว่าลองคิดดูค่ะ สิ่งที่เป็นธรรมดาอย่างนี้เนี่ยนะคะ ก่อนที่จะเสด็จไปประทับที่ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ไม่ได้รู้ความจริงเลยว่าสภาพธรรมะขณะนี้เกิดขึ้นและดับไปอย่างไร แต่เพราะเหตุว่าบารมีที่ได้ทรงอบรม แล้วความดีมหาศาลที่สามารถจะทำให้รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏเป็นความจริงอย่างนี้ได้
จึงสามารถที่จะรู้ความจริงถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ เพราะฉะนั้นจะมีหรือที่จะไม่อนุเคราะห์สัตว์โลกด้วยการทรงแสดงพระธรรม เพราะฉะนั้นก็เป็นวิสัยของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งตั้งความปรารถนาที่จะถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่เป็นเพียงพระปัจเจกพุทธเจ้าซึ่งรู้ธรรมะนะคะ โดยไม่ต้องฟังใคร
เพราะได้สะสมการเข้าใจธรรมะจากการฟังในอดีตเป็นพาหุสุตตะ เป็นผู้ฟังมาก เข้าใจมากมาแล้ว พร้อมที่แม้ไม่มีคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าหลงเหลืออยู่เลยต้องอันตรธาน ไม่มีใครที่จะเข้าใจคำสอนนั้นได้เลย แต่ว่าการสะสมของบุคคลที่เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้านี่คะ
ก็สามารถที่จะรู้ความจริงได้โดยฐานะของความเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ไม่ถึงกาลที่จะอนุเคราะห์สัตว์โลก ให้สามารถที่จะถึงความเข้าใจความละเอียดของแต่ละคำ ซึ่งมาจากปัญญาการที่ตรัสรู้ แต่ละคำจริงๆ ค่ะ ที่ทำให้คนอื่นเนี่ยสามารถที่จะได้พิจารณาไตร่ตรอง และเข้าใจได้
ด้วยเหตุนี้นะคะ เมื่อพระธรรมลึกซึ้งอย่างนี้ ผู้ที่ฟังก็ต้องค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจ เพราะเห็นประโยชน์นะคะ ว่าวันนี้เข้าใจได้แค่นี้เนี่ย ดีกว่าไม่เคยเข้าใจเลยหรือเปล่า หรือว่ารู้อย่างนี้ไม่เข้าใจดีกว่าหรือเปล่าคะ เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย เพราะว่าความรู้ไม่ได้ให้โทษอะไรเลยค่ะ มีแต่ประโยชน์ทั้งสิ้น
ความรู้อื่นยังให้ประโยชน์ได้นะคะ ตัดเสื้อ ทำอาหาร ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นประโยชน์ตามควรแต่การที่จะยืนอยู่ในโลกนี้ แต่พระธรรมที่ทรงแสดงนี่คะ ให้ประโยชน์ยิ่งกว่านั้นอีก คือคนที่เก่งมีความสามารถอาจจะมีปริญญามีความรู้อะไรเยอะแยะ แต่ยังเป็นทุกข์ เพราะไม่รู้ความจริง
แต่คนที่สามารถที่จะเข้าใจพระธรรมได้นะคะ ปลอดจากทุกข์ ในขณะที่ปัญญาเกิดมีสิ่งเดียวค่ะที่จะทำให้พ้นจากความทุกข์ได้ เมื่อปัญญาเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมเนี่ยนะคะ ก็เป็นสิ่งที่ต้องเห็นความละเอียดด้วย ว่าแม้แต่จิตในขณะนี้เกิดทีละหนึ่งขณะของแต่ละคน
แต่ถ้าจิตนั้นยังไม่ดับ ยังไม่ปราศไป จิตอื่นจะเกิดสืบต่อไม่ได้ ที่ว่าเกิดคือจิตขณะแรกเกิด ซึ่งความจริงนะคะ ก็เกิดสืบต่อจากจิตขณะสุดท้ายของชาติก่อน ที่เราบอกว่าตาย ตายคือพ้นสภาพความเป็นบุคคลนั้น แต่กรรมที่จะทำให้เกิดเนี่ย ยังมี เพราะเหตุว่ามีกิเลส ยังไม่ใช่ผู้ที่เป็นพระอรหันต์นะคะ ไม่มีกิเลสแล้วจะเกิดได้ยังไง
แต่ผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่จะไม่เกิดได้ยังไงเพราะยังมีกิเลส เพราะฉะนั้นเมื่อยังมีกิเลสอยู่นะคะ ทันทีที่จิตขณะสุดท้ายเกิดแล้วดับไปก็เป็นปัจจัยที่จะทำให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นจะเห็นความจริงว่าจิตนี่ค่ะเกิดแล้วดับ และสืบต่ออยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่เฉพาะในชาตินี้นานแสนนานมาแล้ว
จนทำให้แต่ละบุคคลในขณะนี้ค่ะ ต่างอัธยาศัย ต่างความคิด ต่างทุกอย่าง ตามการสะสมของแต่ละหนึ่งขณะจิต ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้นะคะ ว่าการที่สภาพธรรมะเกิดดับสืบต่อได้ทีละหนึ่งขณะ แล้วเราไม่เคยรู้เลยเนี่ย ถ้าได้ฟังอย่างนี้ จริงไหม แล้ววันหนึ่งก็จะถึงขณะสุดท้ายที่จะสิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้
แต่ยังต้องมีการเกิดต่อไปเพราะว่าการเกิดดับของจิตนี่นะคะ ขณะนี้ชื่อว่าขณิกมรณะคือตายทุกขณะ ไม่กลับมาอีกเลย ทุกขณะที่ดับไม่กลับมาอีกแล้วก็จะถึงสมมุติมรณะ ทุกคนที่เราบอกว่าเขาตายแล้วเนี่ยเขาหายไปแล้ว สมมตินะคะ สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ แต่ทันทีที่จิตขณะสุดท้ายดับไปก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิด
คือเราได้เกิดมาในชาตินี้ต่อจากจิตขณะสุดท้ายของชาติก่อน และก็การสะสมของแต่ละคนนี่คะ ก็ทำให้เป็นแต่ละหนึ่งซึ่งต่างกันไป และก็กำลังสะสมอีกด้วย จะสะสมความเข้าใจธรรมะหรือว่าไม่เข้าใจเลย ตลอดไปอีกกี่ภพกี่ชาติก็ได้ ใช่ไหมคะก็แล้วแต่ แต่ละคน จนกระทั่งถึงจิตขณะสุดท้ายต้องถึงแน่ แล้วก็มีจิตขณะต่อไปเกิดขึ้น
เพราะฉะนั้นนี่คือสังสารวัฏค่ะ วัฏฏะ วนเวียน สังสาระ ท่องเที่ยว จิตเกิดขึ้นแล้วก็ไป วันนี้เรามาที่นี่ใช่ไหมคะจากกรุงเทพฯ บ้าง จากนครสวรรค์บ้าง แต่จิตเกิดขึ้นแล้วไป ทางตาบ้าง ทางหูบ้าง ทางจมูกบ้าง ทางลิ้นบ้าง ทางกายบ้าง ทางใจบ้าง ๖ ทาง มีทางอื่นอีกไหมคะ ใครหาพบ ใครเก่งเกินกว่าความจริง ก็ไม่มีใช่ไหมคะ พิสูจน์ไม่ได้
แต่ที่รู้จริงๆ ก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทุกคนก็ทราบนะคะ ด้วยปัญญาเป็นสิ่งที่ประเสริฐกว่าสังขารธรรมทั้งหลาย เมื่อวานนี้มีใครคิดถึงตอนค่ำบ้างไหมคะ รู้สึกว่าทุกคนก็อนุโมทนาในกุศลจิตนะคะ ของผู้ที่ได้เข้าใจพระธรรม แล้วก็จะได้เห็นว่าพระธรรมเป็นสิ่งที่มีทุกกาละ แต่ว่าในขณะที่กำลังเห็นกำลังได้ยินนะคะ
แล้วแต่ว่าปัญญาของใครสามารถที่จะรู้ความจริงในขณะนั้นได้ ถึงแม้ว่าผ่านไปแล้วค่ะ ก็เป็น ณ กาลครั้งหนึ่ง ซึ่งได้ผ่าน แต่ว่าเมื่อวานนี้นะคะ เห็นเยอะมาก ได้ยินเสียงด้วยนะคะ แล้วยังจะมีใครจำอะไรที่ละเอียดอย่างที่กำลังเห็นได้หรือเปล่า เพราะนับไม่ถ้วนเลยค่ะ แม้ในขณะนี้นะคะ เห็นเมื่อวานนี้ มาก
แต่ว่าย้อนระลึกไปสิคะว่าใครจำอะไรได้แค่ไหน นึกออกไหมคะ ผ่านไปแล้วก็ผ่านไปเลย เป็น ณ กาลครั้งหนึ่ง เหมือนขณะนี้เลยค่ะ ขณะนี้ก็คือ ณ กาลครั้งหนึ่ง ซึ่งเราได้ฟังธรรมะมากนะคะ เช้าสาย บ่ายค่ำ หรือแม้แต่การสนทนาธรรม แต่ว่าจำอะไรได้บ้าง หรือว่าเข้าใจมากน้อยแค่ไหน ในสิ่งที่ได้ยินแล้ว
เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ฟังแล้วฟังอีกนะคะ เพื่อจะเข้าใจสิ่งที่มีค่าที่สุด ซึ่งไม่มีผู้อื่นสามารถที่จะให้ได้ ส่วนมากวันสำคัญๆ อย่างวันปีใหม่เนี่ย คนก็จะขอพร ขอสิ่งที่ประเสริฐที่สุด ให้แล้วรับไหม เพราะว่าอะไรจะประเสริฐกว่าพระธรรม เพราะฉะนั้นที่ไปขอพร ขอพร เนี่ยนะคะ
ขอสิ่งที่ประเสริฐที่สุดเหนือกว่าสิ่งที่สามารถที่จะเป็นอามิส รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ หรือว่า ลาภยศ สักการะ นะคะ ซึ่งเพียงแต่ทำความปลาบปลื้มใจเพียงเล็กน้อยค่ะ แล้วก็หมดไป แต่ว่าสิ่งที่จะนำความปลาบปลื้มใจมาให้จริงๆ ก็คือคำจริง วาจาสัจจะ ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงนะคะ ๔๕ พรรษา
เพื่ออนุเคราะห์ให้คนที่ยังไม่เข้าใจสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏนี่คะ ได้เริ่ม แม้จะน้อยมากนะคะ แล้วอีกนานแต่ก็เป็นผู้ตรงที่จะรู้ว่าฟังเพื่อรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ซึ่งถ้าไม่ใช่พระธรรมไม่มีใครสามารถที่จะทำให้เข้าถึงความจริงในขณะนี้นะคะ ว่าเป็นสิ่งที่เพียงปรากฏเหมือนกาลครั้งหนึ่ง
เราพูดถึงกาลครั้งหนึ่งเนี่ยรู้สึกนานมาก นานแสนนาน แต่ขณะนี้นะคะ ชาติหน้าซึ่งใกล้มากไม่รู้ว่าจะเร็วสักแค่ไหน ก็เป็นสิ่งที่ทุกคนจะต้องจากสิ่งที่เคยเห็นเคยได้ยิน แล้วก็เป็น ณ กาลครั้งหนึ่งแน่นอน เหมือนหลายพันปี หลายแสนปีมาแล้วนะคะ ก็มี ณ กาลครั้งหนึ่ง ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
แล้วแต่ว่าในแต่ละชาตินั้นนะจะเกิดเป็นใครนะคะ ยากดีมีจน มีทรัพย์สินเงินทองมากมาย มีเกียรติยศมหาศาล แต่ก็ ณ กาลครั้งหนื่งเท่านั้นเอง จะไม่มีอะไรที่จะยั่งยืนเลย เมื่อวานนี้ค่ะใครทำอะไรบ้างคะ คำถามง่ายๆ นะคะ แต่ต้องเข้าใจและคำตอบก็ตามความเข้าใจด้วยจะตอบช้าตอบเร็วนะคะ ก็แล้วแต่
แต่ว่าถามว่าเมื่อวานนี้ค่ะ ใครทำอะไรบ้าง จำได้ไหมคะ มากมาย พูดกี่คำ พูดกับใครกี่คนใช่ไหมคะ จำได้หรือเปล่าว่าพูดอะไรบ้าง จำได้หรอค่ะ ค่ะ พูดกับใครกี่คน กี่คำ แค่นี้ก็จำไม่ได้แล้ว ใช่ไหมคะ และยิ่งมากกว่าคนหนึ่งเป็นหลายๆ คนเนี่ยจะจำได้ยังไง ก็เช่นเดียวกับคำที่ได้ยินได้ฟังนะคะ ฟังแล้วฟังอีก
แต่ว่าอาศัยความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อยนะคะ ก็จะรู้ประโยชน์ว่าสามารถทำให้เข้าใจสิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อนทั้งๆ ที่กำลังปรากฏเผชิญหน้า แต่ว่าขณะนั้นไม่รู้จนกว่าจะค่อยๆ รู้ขึ้น เมื่อวานนี้จำไม่ได้ใช่ไหมคะ ตอบได้ไหมว่าเมื่อวานนี้ ไม่ต้องถามถึงคนอื่นนะคะ แต่ถามถึงแต่ละคนนี่คะ เมื่อวานนี้ใครทำอะไรบ้างคะ
อ.ธิดารัตน์ ถ้าไม่คิดทบทวนนะคะท่านอาจารย์ แทบจะจำไม่ได้เลยคะ แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องในชีวิตประจำวัน ซึ่งปกติก็ทำๆ อยู่นะคะ หลังจากฟังธรรมะจบแล้วนะคะ เข้ากระเป๋าอย่างเดียว
ท่านอาจารย์ คะ แค่เมื่อวานนี้ก็ ณ กาลครั้งหนึ่งแล้วใช่ไหมคะ ลืมไปซะเป็นส่วนใหญ่ที่เราฟังแล้วนี่คะ ได้ยินทุกคำบ่อยๆ ทุกอย่างเป็นธรรมะนะคะ เดี๋ยวนี้ก็เป็นธรรมะเห็นก็เป็นธรรมะ ได้ยินก็เป็นธรรมะ คิดนึกก็เป็นธรรมะ แต่ถามว่าเมื่อวานนี้ใครทำอะไรบ้างคะ ก็เริ่มคิดถึงนะคะ แต่ลืมว่าไม่มีใครทำเลย
ทั้งหมดเมื่อวานนี้ค่ะมาจากจิตและเจตสิกของแต่ละหนึ่งคน ซึ่งสะสมมาหลากหลายมากมายนะคะ ทั้งผู้ที่ทำอะไรให้เราชื่นชมอนุโมทนา และเราเองที่กำลังฟังนะคะ ก็เป็น จิตและเจตสิก รูป ไม่มีใครเลยสักคนเลย จนกว่าความเข้าใจของเราจะมั่นคงนะคะ และไม่ลืมว่าขณะที่มีทั้งจิตเจตสิกและรูปนี่คะ
ก็จะมีการกระทำต่างๆ ทางกาย ทางวาจา มีการเคลื่อนไหวไป แต่กว่าจะปรากฏเป็นสิ่งที่เคลื่อนไหวต่างๆ นะคะ จิตและเจตสิก รูป เกิดดับนับไม่ถ้วน และไม่เหลือเลยสักอย่างเดียว ก็เป็น ณ กาลครั้งหนึ่งจริงๆ นะคะ แต่ว่ากว่าจะรู้ว่าขณะนี้กำลังคิดถึงเมื่อวานนี้ เพราะฉะนั้นเมื่อวานนี้ค่ะหายไป ใครจะไปตามหาก็ไม่ได้นะคะ
ได้เพียงแค่จำ ไม่หมด ชั่วคราว เพราะฉะนั้นการสะสมธรรมะเนี่ยนะคะ ก็คือฟังจนกว่าจะสามารถเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏโดยละเอียดด้วย เพราะเหตุว่าโลกปรากฏเพราะมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ได้มีแต่ใจ และไม่ใช่มีแต่กาย แต่เมื่อมีทั้งกายและใจนะคะ กายจะประพฤติเป็นไปไม่ได้เลย ถ้าจิตไม่เกิดขึ้นเป็นไปตามที่จะให้กายนั้นเคลื่อนไหวเป็นไป
เพราะฉะนั้นการกระทำและคำพูดนะคะ ถ้าเป็นผู้ที่ละเอียด ก็สามารถที่จะระลึกและเข้าใจได้ว่าขณะนั้นนะคะ สภาพจิตเป็นอย่างไร รูปทำอะไรไม่ได้เลย รูปไม่รู้อะไรถ้าไม่มีจิต เพราะฉะนั้นที่สำคัญที่สุดนะคะ โลกคือจิตหนึ่งขณะที่เกิดขึ้นและเป็นไป ขณะนี้กำลังเป็นอย่างนั้นค่ะ ไม่ได้มีแต่เพียงรูปธรรมที่ปรากฏนะคะ
แต่ขณะนี้มีได้ยินเกิดขึ้น ดับแล้ว เห็นเกิดขึ้น ดับแล้ว แม้แต่จะคิดถึงเมื่อวานนี้ ก็ไม่ใช่ความคิดเมื่อวานนี้นะคะ เป็นความคิดเดี๋ยวนี้ซึ่งเกิดขึ้น แล้วก็ดับแล้ว เพราะฉะนั้นจะมีอะไรเหลือ เกิดมาทั้งชาติมีอะไรเหลือ ถ้าประพฤติไม่ดีมีความชั่วเพราะอกุศลจิตนะคะ ก็จะติดตามไป
การกระทำทั้งหลายที่ได้กระทำไปแล้วหมดสิ้นไปแล้วก็จริงนะคะ แต่ธาตุรู้ซึ่งเกิดขึ้นรู้และดับไปนี่คะ เป็นที่น่าอัศจรรย์เพราะเหตุว่าทันทีที่จิตขณะหนึ่งดับไม่เหลือเลย ขณะต่อไปจึงเกิดขึ้น แต่สิ่งที่ผ่านไปแล้วอย่างเมื่อวานนี้ค่ะ จิตนับไม่ถ้วนแต่ว่าเกิดขึ้นทีละหนึ่งขณะ แต่ก็สะสมทำให้เราจำนะคะ แล้วก็คิดถึงเมื่อวานนี้ได้
เพราะฉะนั้นพรุ่งนี้ก็ไม่ใช่วันนี้ และต่อไปเนี่ยใครจะรู้คะ สักหนึ่งขณะจิตว่าอะไรจะเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นจากคำถามที่ว่าเมื่อวานนี้ทำอะไรก็จะเป็นคำถามต่อไปละ แล้ววันนี้จะทำอะไร ใครรู้คะ คิดได้ แต่ว่าจะเป็นอย่างที่คิดหรือเปล่า นี่คือความเป็นอนัตตาว่าทุกสิ่งทุกอย่างนี่คะ เป็นแต่เพียงสิ่งที่ต้องเกิดเมื่อมีเหตุปัจจัยที่จะต้องเกิด
แต่ถ้ายังไม่มีเหตุปัจจัยที่จะเกิด เกิดไม่ได้ค่ะ ใครจะไปทำให้เกิด เกิดไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นการศึกษาพระธรรมก็คือเข้าใจความจริงถึงสิ่งที่สุด เป็นปรมัตถธรรมซึ่งต้องเป็นผู้ที่เห็นประโยชน์จึงรู้ว่า เกิดแล้วต้องตาย ไม่เหลืออะไรเลย จะช้าหรือจะเร็วก็ตามแต่นะคะ เพราะฉะนั้นตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่
กายนี้ยังสามารถที่จะเคลื่อนไหวทำอะไรก็ได้ ก็ขอให้เป็นการกระทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ สิ่งที่เป็นความดี เพราะว่าถ้าไม่ได้ทำความดีในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ที่สามารถจะเข้าใจพระธรรมได้ และจากโลกนี้ไป นกได้ยินเสียงเดียวกับเราที่กำลังได้ยินนะคะ แต่ไม่สามารถที่จะเข้าใจ เราเข้าใจเสียงนกไหมคะ ค่ะ ไม่เข้าใจนะคะ เสียงเหมือนกันรึเปล่า
เสียงทุกเสียงเป็นสิ่งที่สามารถกระทบโสตปสาทหรือหูนะคะ แล้วก็หมดไป แต่เพราะการจำที่เกิดพร้อมกับเสียง ซึ่งไม่ใช่จิตแต่เป็นเจตสิก เกิดแล้วก็มีหน้าที่จำ ไม่มีเลยสักขณะเดียวค่ะที่อะไรปรากฏละเจตสิกที่จำจะไม่เกิดร่วมด้วย ด้วยเหตุนี้พระผู้มีพระภาคทรงแสดงความจริงว่านะคะ
แม้ว่าเป็นนามธาตุหรือนามธรรมซึ่งไม่มีรูปใดๆ เจือปนเลยทั้งสิ้น แต่นามธาตุหรือนามธรรมก็ยังต่างกัน คือนามธรรมหนึ่งเป็นธาตุที่สามารถที่จะรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏเท่านั้นเองเป็นปัณฑระ โดยสภาวะแท้ๆ ของจิต ไม่มีอะไรเจือปนที่จะทำให้เศร้าหมอง หรือว่าเป็นกุศล หรือเป็นอกุศลได้เลย
ต่อเมื่อมีเจตสิกนะคะ ซึ่งเป็นฝ่ายไม่ดีเกิดขึ้นพร้อมกับจิต จิตนั้นก็เป็นอกุศลตามเจตสิก และในทำนองเดียวกันนะคะ ถ้าเป็นธรรมะฝ่ายดีคือเจตสิกฝ่ายดีนี่คะ เกิดกับจิตก็ทำให้จิตนั้นเป็นไปตามเจตสิก เพราะฉะนั้นจิตเป็นใหญ่เป็นประธาน เพราะว่าจิตเกิดตลอดเวลานะคะ
ไม่มีสักขณะเดียวที่จิตจะหายไป ดับไป จากสังสารวัฎ สืบต่ออย่างแนบเนียนสนิทมากไม่ปรากฏเลยในขณะนี้เอง เพราะฉะนั้นการที่จะสามารถเข้าใจความจริงของจิต ก็ต้องรู้ว่าขณะที่เห็นนี่ค่ะ หลายคนก็ได้ยินแต่เพียงคำว่าจิตนะคะ แล้วก็ยังสงสัยว่าแล้วจิตมีลักษณะอย่างไร ธรรมะที่มีจริงทุกอย่างนะคะ
ต้องมีลักษณะเฉพาะของธรรมะแต่ละหนึ่ง จึงสามารถที่จะกล่าวได้ว่าไม่ใช่เป็นธรรมะอย่างเดียวกันนะคะ เพราะฉะนั้นเมื่อจิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏ ใช้คำว่ารู้แจ้งเนี่ยหมายความว่าถ้าเราคิดจะไม่ใช่เหมือนเห็นถูกต้องไหมคะ เพราะฉะนั้นในขณะนี้เห็น ไม่ใช่คิดเลยค่ะ
สามารถที่จะรู้ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาเป็นอย่างนี้ในขณะนี้ เพราะฉะนั้นจะไปหาจิตโดยการที่จะนึกถึงรูปร่างใดๆ เนี่ยไม่ได้เลยนะคะ แต่สามารถเริ่มเข้าใจในขณะนี้ว่าธาตุที่กำลังเห็นเนี่ยต้องมีเป็นธรรมะอย่างหนึ่ง เกิดขึ้นทำหน้าที่ของตนนะคะ คือเกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไป
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1741
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1742
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1743
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1744
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1745
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1746
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1747
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1748
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1749
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1750
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1751
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1752
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1753
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1754
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1755
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1756
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1757
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1758
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1759
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1760
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1761
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1762
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1763
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1764
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1765
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1766
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1767
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1768
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1769
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1770
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1771
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1772
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1773
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1774
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1775
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1776
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1777
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1778
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1779
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1780
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1781
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1782
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1783
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1784
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1785
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1786
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1787
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1788
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1789
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1790
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1791
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1792
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1793
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1794
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1795
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1796
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1797
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1798
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1799
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1800
