ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1741
ตอนที่ ๑๗๔๑
สนทนาธรรม ระหว่างเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย
วันที่ ๑๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๔
ท่านอาจารย์ ที่ทรงแสดงไว้โดยละเอียด ที่จะทำให้เราเข้าใจขึ้น สะสมความเห็นถูก สะสมความเข้าใจถูก เพื่อละ ไม่ใช่เพื่อหวัง
ผู้ฟัง ความดีที่มีตัวตนและความดีที่ไม่มีตัวตน ก็อยู่ที่ว่าความดีน่าจะประกอบด้วยปัญญาหรือไม่ ก็คือว่าความดีที่ยังมีตัวตนนั้น ดีขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งตัวตนนั้นลดลง จะเป็นขั้นตอนในลักษณะของการตรวจสอบอย่างนี้ถูกต้องหรือไม่
ท่านอาจารย์ ฟังธรรมหรือเปล่า หรือว่าดีเอง
ผู้ฟัง ก็ต้องฟังธรรม
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเมื่อฟังธรรมแล้วเข้าใจว่าจะเป็นอกุศลไปทำไม จะรัก จะชัง จะโกรธ จะเกลียด จะพยาบาทไปทำไม ในเมื่อเป็นแต่เพียงธรรมซึ่งปรากฏให้กิเลสที่มีสะสมอยู่ในใจมากมายนั้นเกิดให้เห็นว่ายังมีอยู่ระดับไหน เป็นการเข้าใจที่รู้ความจริงว่าขณะนั้นเป็นธรรม ต้องประกอบด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องด้วย เพราะว่าขณะนี้เราเริ่มเข้าใจว่าสิ่งที่มีเป็นธรรม เพียงฟังนิดเดียว เข้าใจนิดเดียว ประเดี๋ยวก็เป็นอย่างนั้นอย่างนี้แล้วใช่ไหม ก็เป็นเครื่องวัดอยู่ วัดความมั่นคงของการที่จะเข้าใจว่าทุกสิ่งเป็นธรรมนั้นมากพอไหม ถ้ายังไม่มาก ยังไม่พอก็ฟังต่อไป และเมื่อฟังต่อไป มีการระลึกได้ในขณะที่อกุศลเกิดขึ้น แล้วแต่ว่าบังคับบัญชาไม่ได้ว่าจะให้คิดหรือเข้าใจระดับไหน แต่เมื่อสะสมความเข้าใจเพิ่มขึ้น การเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมซึ่งเคยเป็นอกุศลของเราก็จะค่อยๆ เข้าใจถูกต้องว่าเป็นแต่เพียงธรรมซึ่งเกิดชั่วคราวแล้วก็ดับไป
ผู้ฟัง ปรมัตถธรรมมี ๔ มี จิต เจตสิก รูป แล้วก็นิพพาน รูปก็เป็นรูป สิ่งที่ไม่รู้อะไรเลย จิตก็เป็นธาตุรู้ คราวนี้นิพพานเป็นอะไร เป็นอารมณ์ หรือเป็นอะไร ที่จิตรู้
ท่านอาจารย์ นิพพานมีจริงไหม
ผู้ฟัง มีจริง
ท่านอาจารย์ ในขั้นฟัง โลภะติดข้องได้ทุกอย่าง เว้นนิพพานและโลกุตตระ และจะถึงได้ รู้ได้ด้วยปัญญาที่ได้อบรมแล้ว
ผู้ฟัง นิพพานก็เป็นนามธรรมใช่ไหม
ท่านอาจารย์ นามธรรม หมายความว่าไม่ใช่รูป แต่ไม่ใช่ธาตุรู้ คือไม่ใช่จิตเจตสิกเพราะไม่เกิดขึ้น สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เกิด ลักษณะที่รู้เป็นธาตุรู้ ซึ่งได้แก่จิตและเจตสิก ใน ๒ อย่างนี้ จิตเป็นใหญ่ เป็นประธานที่รู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ อย่างเดียว ไม่จำ ไม่โกรธ ไม่รัก ทั้งหมดเลย มีหน้าที่เดียวคือรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นขณะนี้ เห็นคือจิต รู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ ถ้าไม่มีใครอยู่ที่นี่ แล้วเราก็ไปอธิบายให้เขาฟัง พระวิหารเชตวันเป็นอย่างนี้ๆ มีต้นไม้อย่างนั้น อย่างนี้ แต่ไม่มีการเห็น จะเหมือนผู้ที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้แม้ไม่ต้องพูดไม่ต้องอธิบายเลย สิ่งที่ปรากฏทางตาก็เป็นอย่างนี้ นี่คือความต่างกัน เพราะฉะนั้น รู้แจ้งคือจิต แต่ว่าสภาพธรรมที่เกิดกับจิต ปรุงแต่งจิตก็หลากหลายเป็นถึง ๕๒ ประเภท ใน ๕๒ ประเภทนี้ก็มีขั้นต่างๆ ด้วย
ผู้ฟัง ถ้าจะบรรลุพระอรหันต์ก็มีพระนิพพานเป็นอารมณ์
ท่านอาจารย์ พระโสดาบันก็มีพระนิพพานเป็นอารมณ์
ผู้ฟัง เราพูดว่า ขณะนี้สิ่งมีที่ปรากฏทางตาก็มีรูปารมณ์ รูปารมณ์นี้เป็นรูป
ท่านอาจารย์ ต้องใช้ภาษาบาลีไหม
ผู้ฟัง ไม่ต้องก็ได้
ท่านอาจารย์ พอไปคิดถึงรูปารมณ์ก็ไม่ได้เข้าใจว่า นี่เอง เดี๋ยวนี้ “สิ่งที่ปรากฏ” อย่างนี้แหละ มีสิ่งที่ปรากฏเพราะจิตเกิดขึ้น แต่สิ่งที่ปรากฏทำไมไปว่าเป็นรูป ทำไมใช้คำว่ารูปารมณ์
ผู้ฟัง เพราะเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา
ท่านอาจารย์ เพราะไม่สามารถจะรู้อะไรได้ นี่คือเรากำลังรู้ “เดี๋ยวนี้” หรือเปล่า ว่าสิ่งที่ปรากฏทางตานั้นไม่ใช่เห็นที่กำลังเห็น เห็นไหม เราไปจำคำ จำเรื่อง จำคำพูด แล้วก็พูดตาม แต่ว่าความรู้จริงๆ ว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาขณะนี้ไม่ใช่เห็น จึงสามารถที่จะกล่าวได้ว่าเป็นสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็น และเป็นรูป เพราะไม่สามารถจะรู้อะไรได้ ต้องมาจากความเข้าใจ ทุกคำนั้นตรงกับความเป็นจริง แต่เราไปติดคำเพราะว่าโดยมากจะพูดถึงชื่อ คนฟังก็ตามชื่อไปหมดเลย ปริจเฉทที่ ๑ เรื่องจิต มีอะไรบ้าง จักขุวิญญาณรู้รูปารมณ์ เวลานี้กลายเป็นอย่างนั้นไป แต่ว่าเห็นเดี๋ยวนี้เป็นธรรมหรือเปล่า มีจริงๆ หรือเปล่า กำลังเห็นหรือเปล่า และสิ่งที่ปรากฏก็มีจริงๆ ซึ่งไม่ใช่เห็น ถ้ามีความเข้าใจในขั้นต้นอย่างนี้ ก็ไม่ต้องไปใช้คำว่ารูปารมณ์ใช่ไหม แล้วไม่ต้องไปติดจักขุวิญญาณด้วย แต่พอใครพูดถึงจักขุวิญญาณกับรูปารมณ์ก็สามารถที่จะเข้าใจได้ ไม่ได้กล่าวถึงทางหูหรือทางใจที่เพียงคิด แต่ว่ามีสิ่งที่ปรากฏจริงๆ ขณะนี้เมื่อจิตเห็นเกิด
เพราะฉะนั้นการฟังธรรมไหนภาษาไหนก็ตาม เพื่อเข้าใจธรรมที่มีจริงที่กำลังปรากฏที่ใช้คำว่า ปรมัตถธรรม หมายความว่าขณะนี้สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้นั้น ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นธาตุที่สามารถกระทบจักขุปสาท แล้วเมื่อจิตเห็นเกิดสิ่งนี้จึงปรากฏว่ามีจริงๆ ถ้าจิตเห็นไม่เกิดจะไม่รู้เลยว่าสิ่งที่กำลังปรากฏนั้น มี เป็นธรรมอย่างหนึ่ง แต่พอปรากฏเมื่อไหร่ก็จะได้เข้าใจถูกต้อง เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมเพื่อเข้าใจ
อ.อรรณพ อริยสัจจ์มี ๔ คือความจริง จริงๆ มี ๔ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค แล้วท่านก็แสดงถึงการที่จะรู้ในอริยสัจจ์ ๔ นี้ ก็มี ๓ รอบ รอบแรกก็เป็น สัจจญาณ คือ ความเข้าใจในความจริงในขั้นฟังขั้นพิจารณา ในทุกขสัจจ์ สมุทยสัจจ์ นิโรธสัจจ์ ซึ่งก็คือพระนิพพานที่คุณพรทิพย์พูดถึง แล้วก็มรรคสัจจ์ นี่คือสัจจญาณ ที่จะเข้าใจในอริยสัจจ์ทั้ง ๔ กับการที่ควรรู้สิ่งที่ใกล้ตัว ซึ่งพระนิพพานนี้ไม่ใกล้ตัวเลย แต่ท่านก็แสดงว่าสัจจญาณนั้นรู้ในอริยสัจจ์ทั้ง ๔ กับการที่ควรรู้ในสิ่งที่ใกล้ตัว จะสงเคราะห์กันอย่างไร
ท่านอาจารย์ ไกล หรือใกล้ตัว ที่คุณอรรณพถาม
อ.อรรณพ ตอบยาก
ท่านอาจารย์ ตอบยากเพราะอะไร ลืมว่าตรัสพระธรรมนี้กับใคร
อ.อรรณพ ท่านปัญจวัคคีย์
ท่านอาจารย์ ท่านปัญจวัคคีย์เป็นใคร
อ.อรรณพ เป็นผู้ที่พร้อมจะบรรลุ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจะตรัสธรรมที่พระปัญจวัคคีย์เข้าใจได้ แล้วใครพร้อมที่จะบรรลุ
อ.อรรณพ ก็ต้องเป็นผู้ที่สะสมมาถึงขั้นนั้น
ท่านอาจารย์ แม้แต่เพียงคำว่า “ธรรม” ก็ยังไกลแสนไกล ที่จะรู้ว่า เดี๋ยวนี้เองทุกอย่างเป็นธรรม ยังไม่ได้อบรมอย่างท่านปัญจวัคคีย์ แต่ละชาติ แต่ละชาติ แต่ละชาติท่านฟังแล้วท่านค่อยๆ เข้าใจขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะละคลายความติดข้อง แม้วิปัสสนาญาณยังไม่เกิด โสตาปัตติมรรคจิตยังไม่เกิด แต่ความเข้าใจที่สะสมมาที่จะค่อยๆ คลาย ค่อยๆ ขัดเกลาความติดข้อง โดยท่านไม่หวังเลย ท่านคิดไหมว่าท่านจะได้บรรลุเป็นพระโสดาบันวันนั้น ไม่มีทางเลยเพราะเป็นเรื่องละ ใครหวังที่จะรู้เมื่อนั่นเมื่อนี่ บางคนก็มาพระวิหารเชตวันเผื่อจะได้บรรลุ ไม่มีทางเลย เพราะเหตุว่าเป็นเรื่องความเข้าใจจริงๆ ที่กำลังสะสม
เพราะฉะนั้นความห่างไกลของชีวิตของบุคคลที่หลังพุทธกาลมา ๒๕๐๐ กว่าปี กับบุคคลที่พร้อมที่จะรู้ธรรม ถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ นั้น ก็ต่างกันมาก แล้วเราจะฟังธรรมที่ท่านเหล่านั้นเข้าใจได้ แต่เรายังไม่ถึง เพียงฟังเพื่อมีความมั่นคงให้เข้าใจถูกต้องว่าหนทางที่ถูกต้องที่จะรู้อริยสัจจะคืออย่างไร เพราะเหตุว่าสัจจะคือความจริง แต่ความจริงมีหลายอย่าง ความจริงตั้งแต่ ปริยัติ การรอบรู้ด้วยการฟังพระธรรมให้เข้าใจก่อน ยังไม่ถึงปฏิปัตติ ยังไม่ถึงปฏิเวธ ในขณะนี้ธรรมเกิดดับ พระปัญจวัคคีย์เข้าใจในทุกขอริยสัจจะ เพราะไม่สงสัยเลยเพียงได้ยินคำว่าธรรมใช่ไหม ระหว่างที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงพระธรรม ธรรมทั้งหลายก็ปรากฏ
เพราะฉะนั้นการที่ท่านสะสมบารมีมาแล้ว ที่จะเห็นถูกเข้าใจถูก ขณะนั้นก็สามารถที่จะถึงกาลที่จะรู้ความจริงเมื่อไหร่ ก็ตรัสรู้อริยสัจจ์ ๔ เป็นพระโสดาบัน แล้วเรายังบกพร่องตรงนั้นตรงนี้บ้างหรือเปล่า หรือว่าถึงเวลาที่จะสามารถที่จะฟังแล้วก็เป็นอย่างนั้นได้ แต่แม้กระนั้น ก็คือว่าความจริงต้องเป็นความจริงทุกกาลสมัย เพียงแต่ว่าปัญญาระดับไหนจึงสามารถที่จะรู้ความจริงนั้นได้ ขณะนี้เพียงกล่าวว่า เห็นเป็นธรรม สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นธรรม คิดเป็นธรรม เสียงเป็นธรรม ได้ยินเป็นธรรม แข็งเป็นธรรม แข็งด้วย แค่เพียงจะใช้คำธรรมดาว่า ต่อให้เพียงแข็ง ก็รู้หรือเปล่าว่าเป็นธรรม ทั้งๆ ที่ลักษณะแข็งก็ชัดเจนอยู่แล้ว แข็งมีจริงๆ ไม่มีใครไปทำให้เกิดเลย แล้วเปลี่ยนแข็งก็ไม่ได้ และความจริงแข็งก็เกิดแล้วดับ สามารถที่จะรู้ในการเกิดดับของสภาพที่แข็ง
เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า การฟังธรรมเพื่อละนั้น ด้วยความเข้าใจจริงๆ ซึ่งจะทะลุปรุโปร่งไปจนกระทั่งถึงคำอื่นๆ ด้วย เช่น ทุกขอริยสัจจะ คือความหมายของสภาพธรรมทุกอย่างที่เกิดแล้วดับ แต่ขณะนี้ยังไม่เป็นธรรมใช่ไหม ก็ฟังให้รู้ว่าความจริงก็คือทุกอย่างเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แล้วก็โลภะอยู่ที่ไหน ถ้าไม่รู้ที่ขณะที่ธรรมที่เป็นโลภะเกิด ละไม่ได้ ด้วยเหตุนี้หนทางนี้ หนทางที่จะอบรมเจริญปัญญาที่จะให้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมจึงเป็นหนทางละโดยตลอดทาง ไม่อย่างนั้นโลภะก็เป็นสมุทัยที่ทำให้ไม่รู้สภาพธรรมที่ปรากฏว่าเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
อ.อรรณพ อย่างเช่นที่คุณพรทิพย์พูดถึงว่าศึกษาในขั้นปริยัติว่า ปรมัตถธรรมมี ๔ คือ จิต เจตสิก รูป และนิพพาน ทีนี้ ในขั้นการฟังที่เป็นปริยัตินั้น คำว่า นิพพาน คือ เข้าใจแค่ปริยัติได้เพียงใด
ท่านอาจารย์ นิพพานมีจริงแน่ ถ้าไม่มี ไม่มีการตรัสรูที่จะดับกิเลส ใช่ไหม
อ.อรรณพ ใช่
ท่านอาจารย์ เมื่อมีจริง เป็นธรรมแน่ เพราะฉะนั้นก็เป็นธาตุที่ต่างกับธาตุอื่นๆ ธาตุอื่นมีปัจจัยปรุงแต่ง เกิดแล้วก็ดับ แต่นิพพานไม่เกิดและไม่ดับ แค่นี้พอที่จะเห็นความต่างไหมว่า ตราบใดก็ตามที่มีอะไรปรากฏนั้นไม่ใช่นิพพาน คิดว่าโน้นสวยๆ เป็นเมืองสวรรค์ก็ไม่ใช่นิพพาน อะไรก็ตามที่เกิดปรากฏทั้งหมดนั้นไม่ใช่นิพพาน ให้รู้ตามความเป็นจริง และปัญญาที่รู้ความจริงเท่านั้นที่จะนำไปสู่การละ เพราะว่าเพราะละจึงไม่เกิด แต่ถ้ายังไม่ละก็ยังเกิด เพราะฉะนั้น นิพพานเป็นธาตุที่มีจริง รู้แจ้งด้วยปัญญาที่อบรมจนคลายความติดข้อง น้อมไปสู่ธาตุซึ่งไม่มีการเกิดและก็ต้องเห็นโทษด้วยของการเกิด ไม่ว่าสภาพธรรมนั้นจะเป็นสุขสำราญปานใดก็ตามแต่ก็เพียงชั่วคราว เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ถึงอย่างนี้หรือยัง
อ.อรรณพ เพราะฉะนั้น นี่ก็เป็นความเข้าใจในขั้นปริยัติที่เข้าใจในปรมัตถธรรม ๔ ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ประจักษ์สภาพธรรมนั้น
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง
ผู้ฟัง ผ้าเช็ดธุลีนี่คืออะไร
ท่านอาจารย์ ที่บ้านมีไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ แล้วเช็ดอะไรบ้าง
ผู้ฟัง เอาไว้เช็ดธุลี เช็ดเท้า เช็ดของสิ่งสกปรก
ท่านอาจารย์ ผ้าเช็ดธุลีเลือกหรือไม่ว่าจะต้องรับเฉพาะสิ่งนั้นสิ่งนี้
ผู้ฟัง ไม่เลือก เลือกไม่ได้
ท่านอาจารย์ เลือกไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นถ้าเป็นคนที่มีปัญญาสม่ำเสมอ รู้ว่าสิ่งที่ไม่ดีก็เป็นสิ่งที่ไม่ดี เพราะฉะนั้นขณะที่เรามองว่าคนนั้นไม่ดี ใจที่กำลังเห็นคนนั้นไม่ดีนั้นเป็นจิตอะไร หวั่นไหวหรือเปล่า รับไม่ได้แล้ว อันนี้ไม่เอาแล้ว ไม่เช็ดแล้ว ไม่เป็นผ้าเช็ดธุลีแล้ว แต่ถ้าจิตของเรามั่นคงไม่หวั่นไหวด้วยปัญญาที่รู้ความจริงว่าทุกอย่างเป็นธรรม ซึ่งเกิดเพียงชั่วคราวแล้วก็หมดไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย แล้วจะไปสะสมอกุศลไว้ทำไม ไม่มีทางที่จะละออกไปได้เลย เพราะฉะนั้นพระธรรมที่ทรงแสดงทรงอนุเคราะห์เพื่อละอกุศลทั้งหมดเลย เพราะฉะนั้นต้องเห็นอกุศลเป็นอกุศลก่อน แล้วจิตจึงจะเสมอเหมือนผ้าเช็ดธุลี คือไม่หวั่นไหว ไม่เลือก ผ้าเช็ดธุลีหรือพื้นดินก็เหมือนกัน ไม่ว่าใครจะเหยียบย่ำ จะเป็นสิ่งสกปรกหรือสิ่งสะอาด หรืออะไรก็ตามแต่ก็ไม่หวั่นไหว
เพราะฉะนั้น หมายความถึงจิตใจที่มั่นคงด้วยปัญญา ไม่เดือดร้อน เปรียบเหมือนผ้าเช็ดธุลีซึ่งท่านพระสารีบุตรเองเป็นผู้กล่าวถึงตัวท่านด้วยคำอุปมาของผู้ที่มีปัญญาจริงๆ ว่าไม่หวั่นไหว และไม่ใช่เพียงแต่เฉพาะผ้าเช็ดธุลี แม้แต่ว่าเป็นลูกคนจัณฑาล เห็นไหม อ่อนน้อมถ่อมตนเสมอ ไม่หวั่นไหวว่าใครจะด่าจะว่าจะบอกว่านี่จัณฑาล นี่ลูกคนจัณฑาลก็ไม่ได้เดือดร้อน เหมือนโคเขาขาดไม่ทำอันตรายใครได้เลย เพราะเหตุว่าไม่มีจิตที่จะประทุษร้ายคนอื่น เพราะฉะนั้นทั้งหมดก็เป็นการแสดงคุณธรรมส่วนที่ดีทั้งหมดของธรรม ไม่ใช่ฟังเฉยๆ ทุกคนที่ฟังแล้วไตร่ตรอง เข้าใจ แล้วก็ประพฤติปฏิบัติตาม ไม่อย่างนั้นพลาดโอกาสแน่ๆ เราฟังธรรม เรารู้ว่าธรรมพระผู้มีพระภาคทรงอนุเคราะห์ต่างๆ แล้วเราก็เฉยเมย ยังเหมือนเดิม แล้วจะได้ประโยชน์อะไร
เพราะฉะนั้นถ้าเป็นผู้ที่ใช้คำว่า กตัญญู คือผู้ที่รู้คุณของความดี ความดีทั้งหมดไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน กับใคร ผู้ที่เห็นคุณของความดี ผู้นั้นมีหรือที่จะไม่ทำความดี ไม่ลืม ก่อนถึงความเป็นพระอรหันต์หรือแม้จะเป็นพระโสดาบัน เช่น ท่านอัญญาโกณฑัญญะ ก่อนนั้นท่านเป็นใคร ปุถุชน ยังไม่ถึงความเป็นพระอริยบุคคล แล้วถ้าไม่มีคุณความดีความเข้าใจธรรม แล้วจะถึงความเป็นพระอริยบุคคลได้ไหม เพราะฉะนั้นทุกคนไม่ได้สิ้นหวัง ถ้ามีความเข้าใจที่ถูกต้อง คืออบรมเจริญปัญญา พร้อมกับทำความดีที่จะทำให้สามารถที่จะเข้าใจธรรมได้ และก็ละความติดข้อง และอกุศลอื่นๆ ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อมีตัวอย่างของพระอริยเจ้าทั้งหลาย ณ สถานที่นี้ ท่านพระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านพระสารีบุตร ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ท่านพระอานนท์ ท่านพระมหากัสสปะ ท่านพระภัททิยะ ทั้งหลายในอดีตก็เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าทุกคนที่เห็นประโยชน์ เห็นคุณค่าของความจริงความถูกต้อง ธรรมฝ่ายดีก็คือดี ธรรมฝ่ายไม่ดีก็ไม่ดี เมื่อปัญญาเห็นตรงอย่างนี้ ก็จะฟังธรรมเพื่อเข้าใจถูกต้องยิ่งขึ้น เพื่อที่จะขัดเกลาละคลายกิเลสจนกระทั่งวันหนึ่งก็สามารถที่จะถึงความสิ้นกิเลสอย่างพระอริยเจ้าทั้งหลายได้
อ.กุลวิไล กราบเรียนท่านอาจารย์ถึงความเข้าใจธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้
ท่านอาจารย์ ได้ยินคำว่าธรรม ไม่เผินเลย คือ เดี๋ยวนี้คือสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นทุกคนจะไม่คิดถึงอย่างอื่นเลยในขณะที่อยู่ตรงนี้ มีสิ่งที่ปรากฏแต่ว่าเราไม่สามารถที่จะเข้าใจว่าเป็นธรรม แม้ว่าจะมีการเห็นการได้ยินมานานแสนนานในชีวิต แต่ก็ไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วก็เป็นธรรมนั่นเอง เพราะฉะนั้นธรรมไม่ใช่ขณะที่ยังไม่มาถึงที่เราสามารถที่จะไปรู้ได้ หรือธรรมที่ผ่านไปแล้วอย่างเร็วที่สุดก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ แต่สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ปรากฏจริงๆ แสดงความเป็นธรรมว่าเป็นสิ่งหนึ่งซึ่งมีจริง ที่ปรากฏให้เห็นว่าสิ่งนี้มีจริง เพราะฉะนั้นก็เริ่มเข้าใจถูก ว่าสิ่งที่มีจริงเป็นธรรมอย่างหนึ่ง เพียงอย่างหนึ่งซึ่งตลอดชีวิตก็ไม่ใช่มีแต่เฉพาะธรรมเพียงอย่างเดียว แต่ขณะนี้สิ่งที่ปรากฏมีจริงเป็นธรรมอย่างหนึ่ง เห็นก็มีจริงเป็นธรรมอย่างหนึ่ง
เพราะฉะนั้น ณ บัดนี้ก็เริ่มที่จะค่อยๆ เข้าใจความจริงว่า ธรรมมีอยู่ตั้งแต่เกิดจนตาย เป็นธรรมทั้งหมด แต่เพราะไม่รู้จึงต้องฟังจนกว่าจะมีความเข้าใจมั่นคงจริงๆ ว่าแต่ละหนึ่งขณะในชีวิตประจำวันเป็นธรรม ซึ่งเกิดแล้วปรากฏตามเหตุตามปัจจัย ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาได้ แต่ทำไมจึงไม่รู้แม้ว่าจะได้ยินอย่างนี้ ก็เพราะเหตุว่าเราสะสมความไม่รู้มานานมาก แล้วธรรมแสนสั้น เพียงเกิดขึ้นปรากฏแล้วก็หมดไป สืบต่อรวดเร็ว อุปมาประหนึ่งเหมือนลูกข่าง ซึ่งไม่มีใครเห็นการเคลื่อนไหวของลูกข่างเลย ก็เหมือนกับว่าไม่ได้ไปไหน อยู่กับที่ แต่ความจริงขณะนี้ เสียงก็ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตา แข็งก็ไม่ใช่เสียง เพราะฉะนั้นแต่ละหนึ่งเป็นธรรมที่มีจริงซึ่งไม่มีใครสนใจที่จะเข้าใจ บางคนก็ฟังธรรม อ่านธรรม แต่ไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วขณะนั้นกำลังเป็นธรรมหลากหลายแต่ละอย่าง
เพราะฉะนั้นเมื่อได้ฟังพระธรรมแล้ว ก็รู้ว่าหน้าที่เดียว กิจของการที่จะเป็นสาวกคือผู้ฟังซึ่งมีโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรม ก็คือว่าสิ่งนี้กำลังปรากฏ ฟังเพื่อให้รู้ว่าเป็นธรรม การที่จะเข้าใจว่าเป็นธรรมไม่ใช่สามารถที่จะเข้าใจได้โดยตลอดทั้งหมดทันที แต่แม้เพียงคำเดียวที่ได้ฟังว่า "ธรรม" ก็ข้ามไม่ได้ ไม่ว่าเมื่อไหร่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ การฟังจนกระทั่งไม่ลืม จนกระทั่งเข้าใจ ก็สามารถที่จะรู้ลักษณะที่เป็นธรรม ซึ่งรู้ยาก อย่างแข็งนี่มีใครไม่รู้บ้างว่าแข็ง ทุกคนรู้ว่าแข็ง แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม เสียงมีจริงๆ ทุกคนก็รู้จักเสียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้นตลอดชีวิตตั้งแต่ขณะเกิดถ้าไม่ใช่ธรรมที่เกิด มีเพราะเหตุปัจจัยแล้วจะเป็นอะไร แต่ว่าเพราะความไม่รู้ สะสมมานานมาก เพราะฉะนั้นก็เป็นเราเป็นเขาเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ เพราะเหตุว่าขณะนี้ผู้ที่ได้อบรมปัญญามาแล้วเมื่อได้ยินได้ฟังคำว่าสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น ท่านสามารถที่จะรู้ความจริงว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ แล้วก็เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป
เพราะฉะนั้นปัญญาของผู้ที่สามารถที่จะละความไม่รู้ และความติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ ก็ต้องต่างกับผู้ที่เริ่มต้น ที่เพียงได้ยินคำว่าธรรมก็ลืมบ่อยๆ ขณะนี้สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นธรรม เพียงหลับตาไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้นความจริงของสิ่งที่มีจริงขณะนี้ ก็คือว่าสิ่งนี้สามารถกระทบจักขุปสาท ต้องมีตาที่สามารถกระทบกับรูป เป็นปัจจัยให้จิตเกิดขึ้นเห็นขณะนี้ ไม่ใช่เรา แต่เป็นธาตุที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้นจิตในขณะนี้ก็เกิดขึ้นเห็น ทั้งหมดดับไปรวดเร็วมาก ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ความจริงได้จนกว่าจะได้ฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดง
เริ่มเห็นความห่างไกลมากของผู้ที่ไม่รู้ กับผู้ที่รู้แจ้งทุกอย่างโดยประการทั้งปวง โดยสิ้นเชิง ที่จะทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษาก็เป็นเรื่องของสิ่งที่มีจริงๆ ที่ปรากฏให้รู้ได้ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เท่านี้เองชีวิต เกิดมาแล้วต้องเห็น แล้วก็คิดถึงสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น เช่นขณะนี้ทุกคนทราบว่าเห็นอะไรทั้งๆ ที่เพียงเห็น แต่ใจก็สามารถที่จะได้ยินได้ฟัง ณ กาลครั้งหนึ่ง สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรม ณ ที่นี้ ให้พระปัญจวัคคีย์ได้ฟัง เห็นไหม เพียงแต่เห็น ใจของเราก็คิดถึงเรื่องราวในอดีต และก็รู้ว่า ณ ที่นี้ คือที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรม ทรงอนุเคราะห์สัตว์โลกให้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ดับกิเลส เช่นที่พระองค์ได้รู้แจ้ง เป็นการถึงความสมบูรณ์ของการที่สะสมพระบารมีที่จะอนุเคราะห์ให้คนอื่นได้รู้ตาม ถ้าไม่มีใครรู้ตามเลย ใครจะรู้ถึงพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ต้องเป็นผู้ที่สะสมปัญญา ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก จึงสามารถที่จะเข้าใจพระธรรม
ทุกคำเป็นสัจจวาจา เป็นวาจาสัจจะ คือเป็นคำจริงที่ส่องถึงสภาพธรรมที่มีจริง เช่นขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นได้เป็นวาจาสัจจะเป็นความจริง แล้วก็ไม่ใช่เสียง เพราะว่าเสียงไม่สามารถจะปรากฏให้เห็นได้ แต่เสียงก็เป็นสิ่งที่ปรากฏให้ได้ยิน ให้รู้ว่าเสียงมี ก็เป็นธรรมอย่างหนึ่งปรากฏต่อเมื่อมีจิตได้ยิน นี่ก็คือทุกขณะในชีวิต เกิดดับสืบต่อรวดเร็วมาก ต้องอาศัยการฟังจนค่อยๆ เข้าใจขึ้น แล้วก็ละคลายความติดข้อง ที่เคยยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ไม่ดับ แต่ว่าถ้าไม่ดับแล้วจะมีธรรมปรากฏหลายๆ อย่างพร้อมกันได้อย่างไร
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1741
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1742
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1743
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1744
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1745
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1746
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1747
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1748
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1749
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1750
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1751
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1752
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1753
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1754
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1755
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1756
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1757
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1758
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1759
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1760
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1761
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1762
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1763
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1764
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1765
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1766
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1767
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1768
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1769
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1770
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1771
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1772
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1773
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1774
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1775
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1776
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1777
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1778
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1779
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1780
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1781
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1782
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1783
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1784
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1785
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1786
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1787
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1788
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1789
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1790
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1791
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1792
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1793
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1794
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1795
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1796
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1797
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1798
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1799
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1800
