ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1742


    ตอนที่ ๑๗๔๒

    สนทนาธรรม ระหว่างเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย

    วันที่ ๑๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๔


    ท่านอาจารย์ แต่ว่าถ้าไม่ดับแล้วจะมีธรรมปรากฏหลายๆ อย่างพร้อมกันได้อย่างไร แต่เพราะเหตุว่าธรรมอย่างหนึ่งเกิดปรากฏแล้วดับไป แล้วธรรมอื่นก็เกิดสืบต่อ ปรากฏแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็วมากสุดที่จะประมาณได้ จึงไม่ปรากฏว่าธรรมหนึ่งธรรมใดเกิดดับเลย เพราะฉะนั้นการสืบต่ออย่างรวดเร็ว ทั้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ๖ รูป ก็ทำให้มีความยึดมั่นเพราะความไม่รู้ในสิ่งที่แท้จริงดับแล้ว แต่ก็มีสิ่งที่มีปัจจัยทำให้เกิดปรากฏเหมือนเดิม ทำให้เข้าใจผิดคิดว่าไม่ได้ดับไปเลย ทั้งๆ ที่สภาพธรรมแต่ละขณะนี้แม้แต่เสียง เสียงที่กำลังปรากฏขณะนี้ ไม่ใช่เสียงก่อน เสียงก่อนหายไปไหน เกิดแล้วดับไป ไม่เหลือเลย แต่ก็ยังติดข้อง ยังจำได้ แล้วก็ยังคิดเป็นเรื่องราวของเสียงนั้น

    เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรมก็คือได้ฟังความจริงของสิ่งที่มีจริง และเห็นประโยชน์ของการที่เกิดมาแล้ว อยู่ด้วยความไม่รู้ เป็นเหตุให้เกิดความติดข้อง ทั้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และก็เวลาไม่ได้สิ่งที่ต้องการก็เกิดโทสะ กิเลสทั้งหลายก็นำมาเพราะความไม่รู้ แต่ถ้ารู้จริงๆ ว่าทั้งหมดนี้เป็นสภาพธรรม เห็นก็เป็นธรรม โกรธก็เป็นธรรม สำคัญตนก็เป็นธรรม พยาบาทก็เป็นธรรม เมตตาก็เป็นธรรม แล้วจะเป็นของใคร เป็นแต่เพียงธรรมหลากหลายซึ่งเกิดมาแล้วก็หมดไป แต่ว่าสะสมสืบต่ออยู่ในจิต ทำให้แต่ละคนแม้จะจากโลกนี้ไปแล้ว แต่สิ่งที่สะสมไว้ในโลกนี้ก็ติดตามไป ทำให้เป็นแต่ละบุคคล แต่ละอัธยาศัย แม้แต่รูปร่างกายเป็นคน มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็ไม่เหมือนกัน ตามความละเอียดของกรรมที่ได้กระทำแล้ว เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมก็เป็นเรื่องของความอดทน การเห็นประโยชน์ มีความเพียร และก็ตรงต่อความเป็นจริงคือสัจจะว่าฟังเพื่อเข้าใจ เพราะฉะนั้น ถ้าฟังแล้วไม่เข้าใจ ฟังอีก ทบทวน ไตร่ตรอง จนกระทั่งรู้ว่าคำที่ได้ยินเป็นวาจาสัจจะซึ่งจะนำไปสู่ญาณสัจจะ ความรู้ที่ถูกต้องจริงๆ ไม่ผิดไปจากพระธรรมที่ทรงแสดงไว้ จนกระทั่งสามารถที่จะเป็นมรรคสัจจะ หนทางที่จะนำไปสู่การอบรมปัญญายิ่งขึ้น จนกว่าสามารถที่จะละความไม่รู้และความติดข้อง ซึ่งจะทำให้เมื่อละแล้ว สภาพธรรมจึงสามารถที่จะปรากฏตามความเป็นจริงว่าแต่ละหนึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แล้วจะเยื่อใยในแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดแล้วดับไป แล้วไม่กลับมาอีกไหม ถ้าประจักษ์จริงๆ ในทุกสิ่ง มีปัจจัยเกิดแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับไปอีกสักอย่างเดียว แต่ละขณะ ย้อนกลับไปไม่ได้เลย มีแต่มีปัจจัยจะเกิดขึ้นเป็นไป จนกว่าจะถึงวันที่จากโลกนี้ไป

    แต่ว่าลองทบทวนดูตั้งแต่เกิดจนกว่าจะจากโลกนี้ไป ความดีและความชั่วมีมากน้อยแค่ไหน เพราะว่าเกิดมาถ้าไม่เข้าใจธรรมทั้งวัน ไม่รู้ทั้งวัน ติดข้องทั้งวัน ก็เป็นเหตุที่จะนำมาซึ่งอกุศลอื่นๆ ด้วย แต่ว่าถ้าสามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจขึ้นก็ค่อยๆ เห็นว่าสิ่งใดเป็นสิ่งที่สะสมและก็จะเป็นเหตุให้เกิดกุศลความดีงาม และสิ่งใดถ้าสะสมต่อไปก็เป็นเหตุที่จะให้เกิดกรรมที่ไม่ดี และผลของกรรมก็ไม่ดีด้วย ก็เป็นเรื่องที่ละเอียด ฟังต่อไป ฟังต่อไป เพื่อละความไม่รู้ และก็เพื่อละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะได้ยินคำว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ถ้าไม่รู้จักว่าธรรมคือสภาพธรรมที่ปรากฏเดี๋ยวนี้ จะเป็นธรรมทั้งหลายไหม คิดก็เป็นธรรม กำลังคิดอยู่ เห็นก็เป็นธรรม กำลังเห็นอยู่ ได้ยินก็เป็นธรรม กำลังได้ยินอยู่ นี่แค่ตัวอย่าง แต่ตามความจริงวันนี้จิตของใครตั้งแต่เช้ามาเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง ทั้งหมดก็เป็นธรรม เพราะฉะนั้นเพียงได้ยินได้ฟังว่าทุกอย่างเป็นธรรม เป็นอนัตตา ข้ามไม่ได้เลย ไม่มีใครไปทำให้เกิดขึ้นได้เลย ใครทำให้จิตเกิดได้ ใครทำให้โลภะเกิดได้ ใครทำให้ความไม่รู้เกิดได้ ใครทำให้ปัญญาเกิดได้ ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ จะรู้ว่าทุกอย่างที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้และทรงแสดงว่าเกิดเพราะเหตุปัจจัย ที่จะให้เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น ถ้าไม่มีปัจจัยที่จะให้เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น ก็จะเป็นอย่างนั้นไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้นก็เป็นการที่เริ่มเข้าใจ ตั้งแต่คำแรก คำที่ทรงแสดงว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป อนิจจัง ไม่เที่ยง ทุกขัง ไม่ใช่สิ่งที่ควรยินดีพอใจ เพลิดเพลิน อนัตตา ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ไม่มีใครสามารถที่จะบันดาลให้เกิดขึ้นเป็นไปอย่างที่ต้องการได้

    ผู้ฟัง ที่ว่าไม่ใส่ใจในสภาพธรรมที่กำลังเกิดขึ้นปรากฏในขณะนี้ หรือเป็นเพราะว่าปัญญาของเราไม่ถึงที่จะทำให้เราเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังเกิดขึ้นปรากฏ

    ท่านอาจารย์ เข้าใจธรรมหรือยัง ที่จะว่าไม่ใส่ใจในสิ่งที่กำลังปรากฏ

    ผู้ฟัง เข้าใจในแค่ขั้นการฟัง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็ยังไม่ถึงที่จะไม่ใส่ใจในสิ่งที่ปรากฏ ใครก็ไม่ใส่ใจด้วยตัวเองไม่ได้ แต่ต้องเป็นปัญญาที่เห็นถูกต้องตามความเป็นจริง ถึงจะไม่ใส่ใจคือไม่ติดข้อง คำว่า ไม่ใส่ใจ คือ ไม่ติดข้อง เพราะว่าสภาพธรรมขณะนี้ เห็นกับได้ยินนี่ ไม่ใช่พร้อมกัน ถ้าไม่รู้ว่าขณะนี้เห็นเป็นธรรมอย่างหนึ่ง ติดข้องแล้ว แล้วก็มีได้ยินต่อไป ก็ติดข้องอีก แต่ที่จะไม่ติดข้องได้เมื่อเข้าใจเห็น ยังไม่ถึงได้ยิน แต่ก็ละความติดข้องในเห็น เพราะฉะนั้นไม่ใช่เพียงแต่พูดว่าละความติดข้อง แล้วใครก็จะไปพยายามละความติดข้อง นั่นคือไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่าพุทธะคือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เพราะรู้ความจริงของสภาพธรรม จึงตื่น เพราะเห็นความจริงที่ถูกต้อง แล้วก็เป็นผู้เบิกบานในความตื่นขึ้นรู้ความจริง

    ผู้ฟัง กราบเรียนท่านอาจารย์ที่เคารพอย่างสูง ผมอยากทราบว่าธรรมในขณะนี้เป็นอภิธรรมอย่างไร และเป็นปรมัตถธรรมอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ได้ยินคำว่า ธรรม ตอนนี้เริ่มเข้าใจถูกว่าหมายความถึงสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ในขณะนี้ รู้แค่นี้หรือ ๔๕ พรรษาที่ทรงแสดง ไม่พ้นจากเรื่องของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงในชีวิต แม้แต่จะรู้ว่าเป็นธรรมที่มีจริง ลักษณะจริงๆ ของธรรมนั้นใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้ และความละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่งของธรรมที่เพียงเห็น เพียงได้ยิน เพียงได้กลิ่น เพียงลิ้มรสเพียงรู้ที่กระทบสัมผัส และเพียงคิดนึก หลากหลายมากมายแล้วก็ลึกซึ้งด้วย ทรงแสดงถึง ๔๕ พรรษา ไม่ใช่สำหรับให้เราไม่อ่าน ไม่ศึกษา แล้วคิดว่าจะรู้ได้ แต่เพียงฟังแล้วเข้าใจ แล้วฟังต่อไปก็จะรู้ความลึกซึ้งและความละเอียดของธรรม ที่ผู้ที่ไม่รู้ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้จริงๆ ว่ามีความลึกซึ้งและมีความละเอียดอย่างไร เพราะฉะนั้นแม้แต่เพียงคำว่า ธรรม ขณะนี้ แค่นี้เองใช่ไหม แต่ว่าความจริงมากกว่านั้น จึงเป็นอภิธรรม ละเอียดยิ่ง แล้วก็ใช้คำว่า ปรมัตถธรรม ปรมะ คือ อย่างยิ่ง ไม่มีใครสามารถที่จะยิ่งกว่านั้นได้ เพราะฉะนั้นความจริงที่ทรงแสดงลักษณะของธรรมที่มีจริงในขณะนี้ เป็นความจริงถึงที่สุด ไม่ว่านักปราชญ์ใดๆ จะพยายามคิด ไตร่ตรองสักเท่าไหร่ก็ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงถึงที่สุดของธรรมแต่ละหนึ่งที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง

    เพราะฉะนั้น ธรรมก็เป็นปรมัตถธรรม คือเป็นสิ่งที่มีจริงๆ ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ขณะนี้ได้ยินเสียง เปลี่ยนได้ไหม ให้ไม่ได้ยิน เพราะได้ยินเกิดแล้ว เปลี่ยนเสียงให้เป็นกลิ่นได้ไหม ก็ไม่ได้ พอได้ยินเสียงแล้วคิด ไม่ให้คิดได้ไหม ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ธรรมทุกอย่างเป็นปกติ ไม่ผิดปกติเลย เกิดขึ้นเป็นปกติในชีวิตประจำวัน แต่เมื่อไม่รู้ ก็ต้องศึกษาและฟัง จนกระทั่งรู้ว่าเป็นสิ่งที่มีจริง ใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้ และลึกซึ้ง ธรรมเป็นปรมัตถธรรมและเป็นอภิธรรม พอได้ยินคำว่า อภิธรรม คนไม่รู้ก็คิดว่าสำหรับสวดงานศพ เรียกชื่อว่าอภิธรรม แต่ว่าตามความเป็นจริง ธรรมนั่นแหละเป็นอภิธรรม เพราะฉะนั้นอภิธรรมก็คือทรงแสดงความจริงของธรรมอย่างละเอียด มีใครบ้างที่ไม่โกรธ โกรธเกิดเพราะปัจจัยหรือเพราะอยากให้โกรธเกิดขึ้น อภิธรรม ปรมัตถธรรม ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้เลย

    เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจคำว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริง ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร เกิดได้เพราะมีเหตุปัจจัย ก็เริ่มเข้าใจอภิธรรม ว่าจะต้องละเอียดกว่านี้อีกมาก แล้วก็รู้ด้วยว่า เป็นปรมัตถธรรม เพราะว่าเป็นความจริงที่ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ ใครเปลี่ยนแปลงธรรมได้บ้าง โกรธๆ อยู่ ไม่ให้โกรธต่อไปได้ไหม กำลังฟังเรื่องนี้ คิดถึงเรื่องอื่น บังคับไม่ให้คิดถึงเรื่องอื่นได้ไหม พอคิดถึงเรื่องอื่นแล้วกลับมาคิดถึงสิ่งที่กำลังปรากฏ ก็แล้วแต่เหตุปัจจัย ทุกอย่างไม่ว่าจะคิดอย่างไร อะไรก็ตามที่เกิดขึ้น เป็นธรรมที่ละเอียดยิ่งที่สามารถที่จะเข้าใจถูกได้ เป็นอภิธรรมทั้งหมด ไม่มีอะไรซึ่งเป็นธรรมแล้วไม่ใช่อภิธรรม ไม่มีอะไรซึ่งเป็นธรรมแล้วไม่ใช่ปรมัตถธรรม

    อ.กุลวิไล เพราะฉะนั้น ธรรมก็คืออภิธรรม นั่นเอง

    ท่านอาจารย์ แล้วก็คือ ปรมัตถธรรม

    อ.กุลวิไล ถ้าเราศึกษาพระอภิธรรมก็ไม่พ้นขณะนี้เอง เพราะว่าทั้งหมดเป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ ถ้าศึกษาพระอภิธรรมก็ต้องรู้ว่า อภิคืออะไร ธรรมคืออะไร ถ้าไม่รู้จักธรรม จะรู้จักอภิธรรมได้ไหม ไม่ได้เลย เมื่อรู้จักธรรมจึงเข้าใจถูกต้องว่าธรรมนั่นแหละเป็นอภิธรรม มิฉะนั้นพระผู้มีพระภาคก็จะไม่ต้องทรงบำเพ็ญพระบารมีเมื่อเป็นพระโพธิสัตว์ก่อนที่จะได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมนานถึง ๔ อสงไขยแสนกัป เพื่อรู้ความจริงขณะที่กำลังปรากฏในขณะนี้

    อ.กุลวิไล มีท่านผู้ร่วมสนทนาเขียนคำถามมากราบเรียนถามอาจารย์ว่า จากที่ท่านอาจารย์กล่าวลักษณะของทุกข์เป็นสิ่งที่ไม่ควรเพลิดเพลิน ขอความกรุณาขยายความหมายนี้ด้วย กราบขอบพระคุณ

    ท่านอาจารย์ เมื่อวานนี้ มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ยังอยู่หรือเปล่า เมื่อเช้านี้มีอะไรเกิดขึ้น อาหารเช้า อาหารกลางวัน ยังอยู่หรือเปล่า ไม่มีอะไรเหลือเลยสักอย่างเดียว แสดงให้เห็นว่าสิ่งนั้นเกิดตามเหตุตามปัจจัย แล้วดับ คือไม่กลับมาอีกเลย ทุกอย่าง ไม่มีใครสามารถที่จะนำกลับมาได้เลย ควรเพลิดเพลินยินดีในสิ่งที่ปรากฏชั่วคราว ชั่วคราวที่แสนสั้นยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น ขณะนี้ เห็นไหม ชั่วคราวไหม ตาได้ยินหรือเปล่า ไม่ได้ยิน เพียงเห็น และได้ยินด้วย ก็อย่างละชั่วคราว เพราะว่าพอเห็นแล้วก็ได้ยิน แสดงว่าเห็นต้องดับไปแล้วได้ยิน แต่ก็ยังเห็นอยู่อีก เพราะฉะนั้นแต่ละอย่างก็ชั่วคราวมาก แล้วถ้าหมดไปแล้วไม่กลับมาอีก หลง พอใจ ต้องการ ยึดมั่นในสิ่งซึ่งไม่เหลือแล้ว ไม่มีอีกเลย หาอีกก็ไม่ได้ ใช่ไหม เป็นทุกข์ไหมในการที่เพียงเกิดปรากฏให้ติดข้อง แล้วก็หมดไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก

    เพราะฉะนั้นทุกข์จริงๆ ไม่ใช่เพียงแค่ทุกขเวทนา ทางกายป่วยไข้ หรือว่าทางใจที่โทมนัส เพราะเหตุว่าทางกายก็ยังรักษาพอได้ ทางใจถ้าไม่รู้ความจริงก็ยังคงหายไปชั่วคราว แล้วก็กลับมาอีก บางคนเขาก็บอกว่าเขาเห็นคนที่เขาไม่ชอบ วิธีของเขาก็คือว่าหลับตาเสีย คิดว่าหมดแล้ว เป็นไปได้อย่างไร ลืมตาก็เจออีก เพราะฉะนั้นไม่มีทางที่จะพ้นไปได้เลย นอกจากปัญญาที่มีความเข้าใจจริงๆ แล้วคลายความเห็นผิด ที่ยังคงยึดถือว่าสิ่งที่หมดไปแล้วยังมีอยู่ คนนั้นยังมีอยู่ แต่ความจริงคนนั้นคืออะไร มีธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม เมื่อไหร่ ที่ไหน ก็ต้องมีสีคือสิ่งที่สามารถกระทบตา มีกลิ่นที่สามารถกระทบจมูก มีรสที่สามารถกระทบลิ้น แล้วก็มีโอชารูปอีกหนึ่งรูป ซึ่งทำให้ร่างกายนี้ดำรงต่อไปด้วยอาหารที่รับประทานเข้าไป ในอาหารซึ่งเป็นธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม นี้ ก็มีส่วนที่เป็นโอชาที่จะทำให้รูปเกิดขึ้นเพราะโอชานั้น และเป็นไป เพราะฉะนั้นถ้าในขณะนี้จะติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ โดยไม่รู้ความจริงว่าเพียงไม่มีมหาภูตรูป ๔ ไม่มีธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ตรงนี้เลย สีสันวรรณะจะมีที่ไหน ที่จะมากระทบตาแล้วทำให้เกิดความจำในรูปร่างสัณฐานของธาตุดินน้ำไฟลงซึ่งต่างกันไป จึงทำให้ปรากฏเป็นคน เป็นสัตว์ รูปร่างหน้าตาต่างๆ นี่คือ อภิธรรม ปรมัตถธรรม เพราะฉะนั้นถ้าฟังธรรมแล้วจะไม่สงสัยเลยในความหมายของอภิธรรม ธรรมลึกซึ้งจริงๆ แล้วก็ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้เลย

    อ.กุลวิไล ธรรมลึกซึ้งมาก เพราะว่าสิ่งเหล่านี้เกิดแล้วต้องดับไป ไม่ควรจะเพลิดเพลินเลย เพราะว่าสิ่งใดที่เกิดแล้วดับไป ก็หมดไปนั่นเอง แต่ความไม่รู้คืออวิชชานั่นเอง ทำให้เราติดข้องด้วยความไม่รู้ ดูเหมือนเพลิดเพลินกันในสิ่งที่กำลังปรากฏ

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่รู้ว่าขณะนี้สภาพธรรมดับแล้ว ก็ติดข้องในสิ่งที่เหมือนไม่ดับ แล้วก็ปรากฏอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นถ้าจะกล่าวถึงว่า ทุกข์ ก็คือสิ่งใดก็ตามที่เกิดแล้วดับไป การเกิดแล้วดับไปไม่เหลือเลยต่างหากที่เป็นทุกข์จริงๆ หมายความถึงสิ่งที่ไม่ควรเพลิดเพลินยินดี เพราะเคยเพลิดเพลินยินดีในสิ่งที่ดับไปแล้วมากมายในสังสารวัฏฏ์ แต่ว่าถ้าประจักษ์แจ้งจริงๆ เมื่อไหร่ว่าชั่วคราว เพียงเกิดแล้วก็หมดไป แล้วจะติดข้อง ได้ประโยชน์อะไร ไม่มีแล้วก็ยังติดข้อง ทั้งๆ ที่ไม่มี หรือเพียงชั่วขณะที่ปรากฏก็ยังติดข้อง แล้วสิ่งนั้นก็จะต้องหมด แล้วก็เร็วด้วยไม่ใช่ว่าไว้ตอนสิ้นชีวิตค่อยหมดไป ไม่ใช่เลย เพียงขณะที่กำลังปรากฏนี้ก็หมดไปแล้ว เพราะฉะนั้นผู้ที่รู้ความจริงอย่างนี้ จึงเป็นผู้ที่รู้ทุกขอริยสัจจะ ด้วยปัญญา ไม่ใช่ด้วยการไปทำอย่างอื่น ไม่ใช่ด้วยความเป็นตัวตนที่อยากจะรู้ พยายามจะรู้ พยายามจะคิด แต่นั่นไม่ใช่ปัญญา ต้องเป็นความเห็นถูก ความเข้าใจถูกยิ่งขึ้นในสิ่งที่มีจริงเท่านั้นที่สามารถที่จะละคลายความติดข้องด้วยความไม่รู้ได้

    อ.กุลวิไล ทุกขอริยสัจจะ ก็คือ ความจริงของผู้ที่เป็นพระอริยะนั่นเอง เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่เป็นทุกข์ขณะนี้ต้องมีสภาพธรรมที่เป็นทุกข์แน่นอน เพราะว่าเกิดแล้วต้องดับไป แต่เราไม่เห็นความเกิดและดับไปของธรรม เห็นเป็นลูกข่างหมุน แต่ไม่รู้ว่านั่นก็คือแค่ลูกข่างลูกเดียวเท่านั้นเอง ซึ่งการไม่เห็นธรรมที่เกิดดับในขณะนี้ก็เพราะว่าอวิชชานั่นเอง ไม่รู้ลักษณะสภาพธรรมที่มีแต่ละอย่างที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เห็นไม่ใช่ได้ยิน เป็นสภาพธรรมต่างกัน ดูเหมือนเห็นและได้ยินพร้อมกัน แต่จริงๆ แล้วขณะที่เห็นต้องไม่ได้ยิน

    ท่านอาจารย์ ได้ฟังแล้ว จริงหรือเปล่า ไม่ใช่ให้เชื่อตาม แต่ว่าพิจารณาว่าเมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสรู้ความจริงนี้ และได้ทรงแสดงพระธรรม อนุเคราะห์ให้ผู้ฟังเริ่มเข้าใจความจริง และเมื่อเป็นความจริงอย่างยิ่ง สมควรที่จะรู้ยิ่งขึ้นไหม เพราะมิฉะนั้นจะไม่ชื่อว่าสาวก ถ้าไม่ฟังพระธรรม ไม่เข้าใจถูกต้อง จะเป็นสาวกได้อย่างไร เพราะเหตุว่าคิดเอง แต่ไม่ได้เข้าใจความลึกซึ้งเลยว่าขณะนี้ธรรมที่ปรากฏต้องเกิดแล้วก็ดับ แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง นั้นไม่ใช่อันเดียวกันเลย ถ้ามีความเข้าใจว่านี่เป็นความจริง นี่เป็นวาจาสัจจะ ปัญญาที่เข้าใจความจริงอย่างนี้จะเปลี่ยนแปลงไหม จะเข้าใจอย่างอื่นไหม จะเข้าใจว่าขณะนี้ไม่เกิดไม่ดับไหม แต่ถ้าฟัง แล้วก็มีการพิจารณาเข้าใจว่า สิ่งนี้เกิดแล้วดับ เมื่อวานนี้ก็ไม่เหลือ เมื่อเช้านี้ก็ไม่เหลือ ฉันใด เดี๋ยวนี้ก็ไม่เหลือ แต่ละขณะต้องค่อยๆ ผ่านไป ฉันนั้น ถ้าเป็นความจริงอย่างนี้ จะเปลี่ยนไหม จะทำอย่างอื่นไหม นอกจากเมื่อรู้ตัวเองว่าเพียงเริ่มฟัง ยังไม่พอที่จะรู้ความจริง แต่เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ตลอดชีวิตไม่ใช่ให้มีความเป็นตัวตนไปทำอะไรให้ประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรมหรือการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม แต่ต้องเป็นการสะสมของปัญญา ที่สามารถจะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏตามที่ได้ยินได้ฟัง ทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งมีความมั่นคงจริงๆ

    อ.กุลวิไล มีผู้ร่วมสนทนาเขียนมาถามว่า หนูไม่เข้าใจว่าความเข้าใจคืออะไร ใช่ความเข้าใจที่ว่าฆ่าสัตว์เป็นบาปหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้เห็น มีจริงๆ หรือเปล่า เข้าใจเห็นหรือเปล่า ยังไม่ต้องไปคิดถึงฆ่าสัตว์ ที่นี่ไม่มีสัตว์ที่จะฆ่า ที่นี่ไม่มีเจตนาที่คิดจะฆ่า แต่กำลังมีเห็น เพราะฉะนั้นเราจะพูดถึงสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ เพื่อจะได้รู้ว่าเห็นกับเข้าใจนั้นต่างกัน เพราะว่าเห็นเป็นธาตุรู้ ภาษาไทยจะใช้คำว่าจิต ซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่า จิตต หมายความถึงธาตุที่เป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้ว่ามีสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะเมื่อมีธาตุรู้ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ ขณะนี้จะกล่าวว่าเห็นโดยไม่มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นไม่ได้ เพราะฉะนั้นไม่ใช่หมายความว่าต้องไปคิดถึงเรื่องฆ่าสัตว์ แต่ว่าใครก่อนนี้บ้าง ที่เข้าใจว่าเห็นเป็นธรรม แม้ว่าเห็นมาแล้วนานมาก เห็นไปก็ไม่รู้เลยว่าเห็นเป็นอะไร เพราะฉะนั้น เข้าใจหมายความว่าอะไร มีเห็นเดี๋ยวนี้ เริ่มรู้ว่าเห็นมีจริงๆ และไม่ใช่เรา เพียงแต่เป็นขณะหนึ่งซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีใครไปบังคับได้ คนที่ตาบอดอยากเห็นก็เห็นไม่ได้ คนที่ตาไม่บอดเมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดกระทบ ถึงกาลที่จะต้องเห็น ต้องเห็น อย่างนอนหลับเด็กๆ ฟ้าแลบ บางคนก็เห็น บางคนก็ไม่เห็น ต่อเมื่อมีปัจจัยที่เห็นจะเกิด ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล แต่มีปัจจัยที่เห็นจะเกิด เห็นก็เกิด นี่เริ่มเข้าใจ “เห็น” ว่าเป็นธรรม

    เพราะฉะนั้นถ้าถามว่าเข้าใจคืออะไร มีสิ่งที่ปรากฏแต่ไม่เคยรู้ตามความเป็นจริงของสิ่งนั้น คือไม่เข้าใจ แต่ว่าเมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏแล้วก็เริ่มรู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร นั่นคือเข้าใจ เพราะฉะนั้นทุกคนเกิดขึ้น แล้วก็ต้องเห็น ต้องได้ยิน แต่ไม่เข้าใจเลย แต่เมื่อฟังธรรมแล้วเริ่มรู้ว่าเห็นคืออะไร นั่นคือเข้าใจ เริ่มเข้าใจ

    อ.กุลวิไล เพราะฉะนั้น เข้าใจ ในที่นี้ก็คือ เข้าใจในสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ผู้ถามยกตัวอย่างอีกอันหนึ่งนอกจากฆ่าสัตว์เป็นบาปหรือเปล่า ผู้ถามยกว่า หรือหนึ่งบวกหนึ่งเป็นสองใช่ความเข้าใจหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ ตั้งแต่เกิดจนตาย พูดคำที่ไม่รู้จักทั้งนั้น พูดว่าหนึ่งนั้น หนึ่งคืออะไร เหมือนรู้ ว่าหนึ่งไม่ใช่สองใช่ไหม แต่หนึ่งนั้น “คิด” หรือเปล่า ถ้าไม่คิดจะมีคำว่าหนึ่งแล้วจะมีความเข้าใจว่าหนึ่งคือหนึ่ง หรือเปล่า เพราะฉะนั้นแม้แต่คิดคำว่าหนึ่ง ก็ไม่รู้ แม้แต่ความจำว่าหนึ่งไม่ใช่สอง หนึ่งคือหนึ่งก็ไม่รู้ ว่าเป็นธรรมซึ่งไม่ใช่เรา มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แล้วก็จำ ก็เป็นเรื่องราวของธรรมทั้งหมด เคยจำว่าหนึ่ง แล้วก็รู้ว่าหนึ่งหมายความว่าอะไร เคยจำว่าหนึ่งบวกหนึ่งเป็นสอง ก็เท่านี้เอง แต่ไม่ได้รู้ความจริงเลยว่าขณะนั้น ”จำ” หนึ่งหรือเปล่า และขณะนั้นคิดถึงหนึ่งหรือเปล่า ถ้าไม่คิดถึง ขณะนั้นไม่มีหนึ่งบวกหนึ่งเป็นสอง เพราะฉะนั้นจะพูดคำที่ไม่รู้จักตลอดชีวิต ไม่ว่าทำอะไรทั้งนั้น หนึ่งก็ไม่รู้ว่าอะไร บวกหนึ่งเป็นสองก็ไม่รู้อะไร ก็เป็นเพียงแค่คิด แล้วก็จำด้วย ถ้าไม่จำหนึ่งบวกหนึ่งเป็นอะไร หรือแม้แต่หนึ่งเป็นอะไร ก็ลืมแล้วใช่ไหม ถ้าไม่จำ เพราะฉะนั้น สภาพจำก็เป็นธรรมที่มีจริง ไม่ใช่เรา เป็นธรรมที่มีจริงก็เป็นปรมัตถธรรม แล้วก็เป็นอภิธรรมด้วย

    อ.กุลวิไล ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีจิตเจตสิก หนึ่งบวกหนึ่งเป็นสองไม่มีแน่นอน เพราะว่าต้องมีการเห็น แล้วก็มีการจำ แล้วก็มีการคิด

    ท่านอาจารย์ ไม่เห็นก็ได้ใช่ไหม แค่ได้ยินเสียงว่าหนึ่งก็รู้แล้วว่าอะไร ไม่ใช่สอง แล้วก็บวกก็จำได้อีก ไม่ใช่ลบ ใช่ไหม นี่ก็คือการจำที่มีอยู่ เพราะมีจิตที่คิด ถ้าจิตไม่คิดก็จะไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้นที่เป็นสิ่งที่เป็นหนึ่งบวกหนึ่งเป็นสอง บางคนอาจจะสนใจวิชาการต่างๆ ตามยุคตามสมัย เช่นแต่ก่อนนี้ก็ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีรถยนต์ ไม่มีเครื่องบิน ไม่มีคอมพิวเตอร์ ไม่มีวิชาการทางแพทย์ใดๆ แต่มีเพราะคิด ถ้าไม่คิดจะมีอะไร วิชาการทั้งหลายนั้นมีได้ไหม ถ้าไม่คิด

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 198
    4 พ.ย. 2568