ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1764


    ปกิณกธรรม ตอนที่ ๑๗๖๔


    ท่านอาจารย์ ที่สามารถที่จะเห็นความเป็นสิ่งที่เพียงเกิดขึ้นจริง มีจริงชั่วขณะ แล้วก็ดับไป ด้วยเหตุนี้นะคะ จึงมีหลายระดับ ขั้นแรกไม่ใช่อุทยัพพยญาณซึ่งหมายความถึงการประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรมะ แต่ต้องเป็นนามรูปปริจเฉทญาณ ญาณ ปัญญานะคะ ไม่ใช่ความไม่รู้หรือความคิดว่ากำลังระลึกกำลังรู้เฉพาะลักษณะของสภาพธรรมะ

    แต่เป็นความเข้าใจตรงกับที่ได้ฟัง ที่ได้ศึกษา ที่ได้เข้าใจ ที่ค่อยๆ ละความไม่รู้ เพราะฉะนั้นคนที่ไม่รู้อะไรเลย ไม่เข้าใจอะไรเลย แล้วก็จะไปปฏิบัติเพื่อรู้การเกิดดับเนี่ยเป็นไปได้ไหม เพราะว่าการเกิดดับ เกิดดับอยู่แล้ว แต่ปัญญาไม่ได้รู้ตามความเป็นจริงว่าเป็นสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา

    แต่คนที่กำลังพยายามที่จะไปรู้เนี่ยเป็นเราใช่ไหมคะที่พยายาม แม้ว่าจะได้ยินว่า เป็นจิต เป็นเจตสิก เป็นรูป โดยชื่อ แต่ว่าขณะนี้เป็นอะไร ความเข้าใจในสิ่งที่กำลังปรากฏเพิ่มขึ้นหรือเปล่า และความรู้ที่เพิ่มขึ้นมาจากไหน ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็เกิดขึ้นมาได้ใช่ไหมค่ะ แต่ต้องเป็นความเข้าใจถูกที่สามารถที่จะละความต้องการ ละคลายความไม่รู้

    แล้วเห็นความเป็นอนัตตามั่นคงขึ้น แม้แต่สิ่งที่จะเกิดเนี่ยค่ะ เกิดแล้ว แต่ว่าปัญญาสามารถที่จะรู้ในขณะนั้นหรือเปล่าต้องในขณะที่สิ่งนั้นกำลังเกิดดับสืบต่อ เป็นนิมิตตะ ที่ทำให้สามารถที่จะเข้าใจได้ว่าลักษณะนั้นมี แต่ยังไม่ได้ประจักษ์การเกิดดับ เพราะฉะนั้นต้องเป็นปัญญาจริงๆ นะคะ เพื่อละความไม่รู้ค่ะ

    แล้วเป็นไปด้วยการคลายความเป็นตัวตน และเป็นไปด้วยความมั่นคงขึ้นในความไม่ใช่ตัวตน หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใด แม้แต่สิ่งที่เกิดเนี่ยก็เป็นอนัตตา ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้เลยนะคะ ว่า ขณะต่อไปจะเป็นอะไร เพราะฉะนั้นถ้าสภาพธรรมะนั้นไม่เกิด รู้ไม่ได้ แม้สภาพธรรมะนั้นเกิดแล้ว

    ถ้าไม่มีการฟังจนกระทั่งเข้าใจจริงๆ การที่จะสามารถรู้และเข้าใจในสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนั้นก็เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าหนทางนี้นะคะ เป็นหนทางละโดยตลอด ตั้งแต่ขั้นฟัง ละความไม่รู้จึงจะละความติดข้อง ละความต้องการ เพราะเหตุว่าความติดข้องด้วยความต้องการนี่คะ ละเอียดมากจะใช้คำว่าแยบยลนะคะ

    สามารถที่จะทำให้สัตว์โลกเนี่ยติดอยู่ในสังสารวัฏคือเกิดดับสืบต่อไปเรื่อยๆ ไม่สามารถที่จะดับการเกิดขึ้นเป็นไปของสภาพธรรมะได้ เพราะไม่รู้จริงๆ รู้นิดๆ หน่อยๆ แค่ฟังอย่างเนี่ยค่ะไม่มีทางเลยค่ะที่จะไปเห็นการเกิดดับ เพราะเหตุว่าไม่ใช่เห็นด้วยการที่ไปนั่งทำอะไร และเข้าใจว่าสิ่งนั้นเกิดดับนะคะ แต่เป็นปัญญา ปัญญาเป็นธาตุรู้หรือเป็นรูปธรรม

    อ.นภัทร เป็นธาตุรู้ เป็นนามธรรม

    ท่านอาจารย์ สว่างไหมคะธาตุรู้ มีสีสันวรรณะมีแสงมีอะไรหรือเปล่า

    อ.นภัทร ไม่มีครับ

    ท่านอาจารย์ ไม่มีค่ะ เพราะฉะนั้นไม่ใช่สว่างอย่างรูปธรรม ยิ่งกว่านั้นคือสามารถเข้าใจถูก เห็นถูก แม้ในความมืด เพราะฉะนั้นความมืดนะคะ คือสิ่งที่ปรากฏให้เห็นทางตา ถ้าดับไฟหมด ไม่มีแสงสว่างเลย กลางคืนนะคะ จะเห็นอะไรไหม

    อ.นภัทร ไม่เห็นครับ

    ท่านอาจารย์ ไม่เห็น ใช่ไหมคะ ไม่เห็นอะไรคะ

    อ.นภัทร ไม่เห็นสิ่งที่ปรากฏครับ

    ท่านอาจารย์ ไม่เห็นสว่าง แต่เมื่อมีตาต้องเห็นมืด ใช่ไหมคะ นี่ก็คือทุกสิ่งทุกอย่างนี่ค่ะเป็นความจริงที่ปัญญาเท่านั้นที่สามารถที่จะเข้าใจถูก เห็นถูก แม้แต่จะใช้คำว่ามืด หรือจะใช้คำว่าสว่าง ก็ต้องเข้าใจความหมายด้วยนะคะ แม้ข้อความในพระไตรปิฏกที่ใช้คำว่าปัญญาคือแสงสว่าง ไม่ใช่สว่างของรูปธรรมเลย

    ปัญญาจะเป็นรูปไม่ได้ จะมีแสงสว่างออกมาไม่ได้แต่คนที่ไม่ได้ศึกษานะคะ พอสว่างก็โอ้กำลังเห็นความจริง กำลังเป็นปัญญา กำลังรู้อย่างนั้นอย่างนี้ ถูกไหมคะ รู้ความจริงหรือเปล่า ไม่ได้มีความจริงใดๆ เลย เพราะคิดเอง และบางทีก็อาศัยการฟังข้อความบางตอนบางคำนะคะ จากพระไตรปิฏก

    แต่ประมาทในพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คิดว่าเพียงเท่านี้ก็เข้าใจได้ ไม่ต้องศึกษาโดยละเอียด โดยรอบคอบ โดยลึกซึ้งจริงๆ เพราะฉะนั้นก็หลงคิดว่านะคะ เข้าใจได้ก็เลยทำ ที่ใช้คำว่าวิปัสสนา ทำได้ยังไง วิปัสสนาเป็นปัญญาที่รู้จริงนะคะ รู้ชัด ประจักษ์แจ้งในลักษณะของสภาพธรรมะ

    แต่ไม่มีความคิดหรือความเข้าใจในปัญญาเลยคะ ปัญญาเป็นอะไรก็ไม่รู้ แต่ใช้คำว่าประจักษ์ หรือว่าใช้คำว่าวิปัสสนา หรือว่าจะไปทำวิปัสสนา ซึ่งใครก็ทำไม่ได้นะคะ ปัญญาใครจะทำได้ ลองคิดดูค่ะ เห็นยังทำไม่ได้เลย ได้ยินก็ยังทำไม่ได้ แล้วจะไปทำปัญญาเนี่ย ทำยังไง

    เพราะฉะนั้นถ้าไม่ศึกษาธรรมะ เพื่อละ เพื่อรู้ เพื่อเข้าใจ ให้ตรงตามความเป็นจริงนะคะ ก็หลงทาง นี่เป็นเหตุที่พระศาสนาจะอันตรธาน หมดสิ้นไปจากความรู้ความเข้าใจของพุทธบริษัท เพราะเหตุว่าใช้คำว่าพุทธบริษัท หมายความถึงบริษัทที่มีความเลื่อมใสศรัทธา ในพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะคะ

    แต่ถ้าไม่ศึกษาเลยเนี่ย ใครเลยจะรู้ว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระปัญญารู้อะไร แม้แต่สิ่งที่มีจริงอย่างนี้ เดี๋ยวนี้ ซึ่งคนธรรมดารู้ไม่ได้เนี่ย แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์แจ้งความจริงนั้นโดยตลอด โดยสิ้นเชิง เพราะฉะนั้นเป็นความเข้าใจค่ะ ถ้าทิ้งความเข้าใจ

    หรือไม่สนใจที่จะรู้ว่าเข้าใจคืออะไร ไปติดชื่อว่าปัญญาบ้าง วิปัสสนาบ้าง แต่ไม่รู้เลยว่าแท้ที่จริงเป็นความเห็นถูกในอะไรก็ยังไม่รู้ เพียงฟังเผินๆ ก็คิดว่ารู้แล้ว ประจักษ์แจ้งแล้ว แต่ไม่ได้มีความเข้าใจในสิ่งที่กำลังปรากฏเลย ไม่รู้แม้ความต่างนะคะ ของสิ่งที่กำลังปรากฏเป็นปกติธรรมดากับธาตุรู้ซึ่งเกิดขึ้นเห็น แต่ไม่ใช่ปัญญา

    แต่ว่าในขณะที่เป็นปัญญานะคะ ไม่ได้เห็นอย่างอื่น ไม่เข้าใจอย่างอื่นเลย นอกจากเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏเพิ่มขึ้น จนละความติดข้อง และปัญญาถึงสามารถที่จะประจักษ์แจ้งความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะขณะนี้แม้สภาพธรรมะกำลังเกิดดับ แล้วทำไมไม่รู้ล่ะ ก็ความไม่รู้มีจริงๆ ใช่ไหมคะ จะให้เป็นความรู้ได้ยังไง

    ความไม่รู้เกิดมาก็ไม่รู้แล้ว แล้วอยู่ดีๆ จะไปทำให้เกิดความรู้ขึ้นโดยไม่ได้เข้าใจความจริงทีละเล็กทีละน้อยของสิ่งที่ปรากฏ เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลยค่ะ ด้วยเหตุนี้ความเป็นผู้ตรงนะคะ ที่จะรู้ว่าพระธรรมเป็นเรื่องละ แม้แต่สิ่งที่กำลังปรากฏ ได้ยินคำว่าเห็นมีจริงๆ ก็ยังไม่รู้เลยว่าเห็นที่มีจริงเนี่ย เป็นยังไง รู้ว่ามีแน่ขณะนี้กำลังเห็น

    แต่เห็นเป็นยังไงคะ มีรูปร่างลักษณะหรือเปล่า เป็นรูปชนิดหนึ่งชนิดใดหรือเปล่า ก็ไม่ใช่ เป็นธาตุชนิดหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นเห็นเพราะกำลังเห็น เป็นปัญญาหรือเปล่าคะ เห็นเป็นปัญญาหรือเปล่า ค่ะ คะ ก็ต้องแยกใช่ไหมคะ เห็นไม่ใช่ปัญญา เห็นเป็นเห็น แล้วปัญญาเป็นอะไร ถ้าบอกว่าปัญญาไม่รู้ว่าเห็นเป็นเห็น ขณะนั้นต้องไม่ใช่ปัญญาแน่ ใช่ไหมคะ

    เพราะความรู้ไม่ใช่ความไม่รู้ และความไม่รู้ก็จะเป็นความรู้ไม่ได้ จากความไม่รู้สู่ความรู้ จนกระทั่งประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมะเนี่ย ต้องเป็นความรู้จริงๆ ตามลำดับ ไม่ใช่ฟังแล้วคิด แล้วก็สงสัย แล้วก็เข้าใจว่ารู้แล้ว รู้ว่าไม่รู้เนี่ยดีไหมคะ เป็นรู้รึเปล่าที่รู้ว่าไม่รู้

    อ.นภัทร รู้ว่าไม่รู้

    ท่านอาจารย์ ถูกไหม ถ้าถูกก็เป็นความรู้ถูกว่าไม่รู้ แต่ถ้าไม่รู้ และคิดว่ารู้ถูกไหมค่ะ

    อ.นภัทร ไม่ถูก

    ท่านอาจารย์ ค่ะ

    ผู้ฟัง เรียนอาจารย์นะครับ เมื่อวานนี้เราพูดถึงทุกข์ ทุกข์เป็นสิ่งที่ควรรู้ ผมเลยมาพิจารณาว่าถ้าเป็นสุข สุขเป็นสิ่งที่ควรรู้ไหมครับ เพราะว่าได้ฟังหรือได้อ่านมา ท่านกล่าวไว้ว่าปุถุชนเนี่ย หาแต่สุขเพียงเล็กน้อย แต่ว่าละทิ้งสุขอันไพบูลย์ เพราะว่าเรา เราก็ไม่ ไม่รู้ว่าสุข ที่จริงเนี่ยที่ควรรู้เนี่ยต้องพิจารณาอย่างไรครับ

    ท่านอาจารย์ โดยมากเวลาพูดถึงสุข เราคิดถึงความรู้สึกใช่ไหมคะ ความรู้สึกอย่างหนึ่ง ไม่เดือดร้อนเลยในขณะที่กำลังเป็นสุข ตรงกันข้ามกับความรู้สึกที่เป็นทุกข์ ใช่ไหมคะ หรือว่าพูดถึง สุข ทุกข์ ในความหมายอื่น

    ผู้ฟัง เป็นความรู้สึกนะครับ

    ท่านอาจารย์ คะ ความรู้สึกสุขจากอะไร ถ้าไม่มีสิ่งที่ปรากฏจะสุขได้ไหมคะ

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ คะ สุขจากรูปที่พอใจ ได้รูปที่พอใจ เห็นก็แค่สุข เป็นสุขแล้วนะคะ ยั่งยืนถาวรไหมคะ

    ผู้ฟัง ไม่เลยครับ

    ท่านอาจารย์ คะ เดี๋ยวก็แปรแหละ เปลี่ยนแหละ เป็นความรู้สึกเฉยๆ มีความรู้สึกเป็นทุกข์ เพราะฉะนั้นแสดงถึงความไม่เที่ยง และเล็กน้อยอย่างยิ่ง แล้วก็บังคับบัญชาไม่ได้ อยากจะได้แต่จะได้รึเปล่า และได้มาแล้วก็ชั่วคราวแล้วก็หมดไป

    เพราะฉะนั้นไม่ใช่สุขที่ถาวร มั่นคง ถ้าเป็นสิ่งที่ไม่เกิดเลยจะเดือดร้อนไหมคะ ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่ต้องเป็นสุขเป็นทุกข์ เพราะสุขก็ชั่วคราว เพราะฉะนั้นก็เห็นความต่างกันใช่ไหมคะ ถ้าความสงบคือสงบจากการที่จะต้องเห็น ต้องได้ยิน ต้องติดข้อง

    ถ้าไม่มีซะเลย ไม่ต้องเกิดซะเลยเนี่ย ก็ไม่ต้องลำบากเดือดร้อน เพราะว่าเกิดแล้วก็ต้องตาย ก่อนตายก็สุขนิดหน่อยชั่วคราว ทุกข์ก็เหมือนกันทุกอย่างเป็นของที่ชั่วคราว แล้วก็ไม่สามารถที่จะเป็นของใครอย่างแท้จริงด้วย เพียงเกิดปรากฏแล้วก็หมดไป

    ผู้ฟัง แต่เราก็ยังแสวงหาความสุขอันเล็กน้อย

    ท่านอาจารย์ ไม่รู้ไงคะ เพราะไม่รู้ว่าเล็กน้อยแสนสั้น ไม่รู้เลยค่ะว่าสั้นเพียงแค่สุขนั้นจากเห็น หรือสุขนั้นจากได้ยิน ทั้งสองทางนี้ก็ไกลกันมากห่างไกลกัน เพราะฉะนั้นความสุขก็คือช่วงขณะจิตที่เกิดและก็ดับ


    สนทนาธรรมที่บ้านขนมนันทวัน จังหวัดเพชรบุรี

    วันที่ ๑๗ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๕


    ท่านอาจารย์ ก่อนอื่นนะคะ ก็เป็นโอกาสดี ที่มีโอกาสได้เข้าใจพระธรรมโดยการสนทนาธรรม เพราะเหตุว่าส่วนใหญ่ของชาวพุทธเนี่ยค่ะ เราขาดความเข้าใจพระธรรมเพียงแต่ได้ยินนะคะ แล้วก็มีศรัทธาเลื่อมใส แต่ว่าแต่ละคำที่พระผู้มีพระภาคตรัส มาจากการทรงบำเพ็ญพระบารมีถึง ๔ อสงไขยแสนกัปป์

    หลังจากที่ได้รับคำพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่าทีปังกร เพราะฉะนั้นแต่ละคำนี่คะ มีค่ามหาศาล เมื่อเข้าใจแล้วก็จะรู้จริงๆ นะคะ ทรัพย์สินเงินทองใดๆ ก็ซื้อความเข้าใจธรรมะไม่ได้ แต่ว่าสามารถที่จะฟัง ไตร่ตรอง และก็เป็นผู้ตรงต่อธรรมะ เพราะเหตุว่า แม้แต่คำๆ เดียวที่เราได้ยินตั้งแต่เด็กนะคะ

    ทุกคนก็ได้ยินคำว่าพระธรรมหรือธรรมะ ได้ยินคำว่าพระรัตนตรัย ซึ่งก็ต้องเป็นรัตนะอย่างสูงสุดคือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพุทธรัตนะ พระธรรมเป็นรัตนะ และพระอริยสงฆ์สาวกเป็นรัตนะ รัตนะนี้มีค่าเหนือสิ่งอื่นใดนะคะ เพราะเหตุว่าทำให้เกิดความปิติปลาบปลื้มพ้นจากทุกข์ทั้งปวง

    เพราะฉะนั้นสำหรับการที่จะได้มีโอกาสเข้าใจพระธรรม หรือเข้าใจธรรมะที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงนะคะ ก็เป็นโอกาสที่ประเสริฐยิ่งในสังสารวัฎ เพราะว่ากาลที่จะมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงพระธรรมนี่คะ ยาก หายาก และอีกไม่นานนะคะ พระธรรมก็จะอันตรธาน

    เพราะฉะนั้นการที่มีโอกาสจะได้เข้าใจธรรมะนี่คะ ก็ต้องทราบว่าธรรมะเป็นสิ่งที่มีจริง ละเอียดยิ่งนัก เพราะเหตุว่าถ้าไม่ละเอียดไม่ลึกซึ้ง ก็ไม่ต้องอาศัยพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะทรงบำเพ็ญพระบารมีที่จะได้เกื้อกูลอนุเคราะห์สัตว์โลก เพราะเหตุว่าถ้าพระองค์จะบรรลุอริยสัจจะธรรมรู้แจ้งความจริงเพียงพระองค์เดียวนะคะ

    แต่ว่าคนอื่นอีกมากมายมหาศาลไม่มีโอกาสที่จะบำเพ็ญบารมีถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือพระปัจเจกพุทธเจ้า เราก็ไม่มีโอกาสที่จะได้ยินได้ฟังแม้คำว่าธรรมะ เพราะฉะนั้นเมื่อธรรมะเป็นสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่งนะคะ ก็ต้องเป็นผู้ที่ตรง ที่จะเข้าใจ เริ่มเข้าใจ และก็รู้ว่าปัญญาคือความเห็นที่ถูกต้อง ต้องอาศัยการฟัง และก็ไตร่ตรอง

    และก็เป็นความเข้าใจของเราเองค่ะ เมื่อมีความเข้าใจแล้วนะคะ ก็คงไม่ต้องถามใคร ว่านี่ถูกไหม นี่ใช่ไหม นี่จริงไหม เพราะฉะนั้นสำหรับเวลาที่มีไม่มากนะคะ ก็คงจะได้ให้ทุกคนไตร่ตรองว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แน่นอนนะคะ แต่ว่าทรงตรัสรู้อะไรขอให้คุณคำปั่นช่วยอธิบายความหมายของคำว่าตรัสรู้ด้วยค่ะ

    อ.คำปั่น จริงๆ แล้วนะครับ คำว่าตรัสรู้ ผู้ที่เป็นชาวพุทธก็คงจะได้ยินคำนี้อยู่เสมอนะครับ อย่างเช่นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ แต่ก็ต้องรู้ใช่ไหมครับว่า ตรัสรู้นั้นคืออะไร ซึ่งตรัสรู้นี่นะครับ หมายถึงการรู้อย่างแจ่มแจ้ง

    ซึ่งก็เป็นการรู้สภาพธรรมะตามความเป็นจริงนะครับ จากที่ไม่เคยรู้ก็ค่อยๆ รู้ขึ้น เข้าใจขึ้น จนประจักษ์แจ้งสภาพธรรมะที่มีจริงตามความเป็นจริงนะครับ ถ้าเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็นบุคคลผู้เลิศผู้ประเสริฐที่สุดในโลกนั้นนะครับ ก็ใช้คำว่า ทรงตรัสรู้ ครับท่านอาจารย์ครับ

    ท่านอาจารย์ คะ ตรัสรู้คือการรู้ความจริง สิ่งที่ไม่จริงไม่มีประโยชน์เลยนะคะ แต่ว่าการตรัสรู้ความจริงถึงที่สุด ซึ่งไม่มีความจริงอื่นจะยิ่งไปกว่านี้ หรือจะเปลี่ยนความจริงของสิ่งที่มีจริงถึงที่สุดนั้นไม่ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งนะคะ ซึ่งเราอาจจะไม่เคยคิดเลย ถ้าไม่มีการศึกษาพระธรรม

    คือไม่เคยคิดค่ะ ว่าเราเกิดมาเนี่ยเราก็พูดมากมายหลายคำ วันหนึ่งๆ ก็นับไม่ถ้วนนะคะ แต่ว่าไม่รู้จักคำที่พูดเลย ก็แปลกนะคะ ฟังดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้เลย แต่เป็นไปแล้วค่ะอย่างพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ยินชื่อกราบไหว้นมัสการ แต่รู้จักพระองค์หรือยัง จะรู้จักพระองค์ได้นะคะ ไม่ใช่จากการเห็นรูปแทนพระองค์

    แต่ต้องเมื่อใดที่มีการเข้าใจธรรมะที่พระองค์ทรงแสดงจากการทรงตรัสรู้ เมื่อนั้นจึงเริ่มที่จะค่อยๆ รู้จักพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นจะมีใครไหมค่ะที่จะรู้จักพระพุทธเจ้า โดยไม่ศึกษาธรรมะ ไม่ฟังธรรมะ ที่พระองค์ทรงแสดง ๔๕ พรรษาอย่างละเอียดยิ่งนะคะ ทุกกาล

    ไม่ว่าจะประทับที่ริมฝั่งแม่น้ำคงคา เป็นกาลที่จะทรงแสดงพระธรรมกับพระภิกษุให้เห็นความจริงซึ่งบุคคลในครั้งนั้นนะคะ ส่วนใหญ่ก็ใช้ภาษามคธหรือมคธี ซึ่งรักษาพระศาสนาไว้คือปาละหรือปาลีเป็นศาสนาที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงด้วยพระองค์เองนะคะ ถึงสภาพธรรมะที่มีจริงๆ ที่พระองค์ทรงตรัสรู้

    เวลาที่คนอื่นได้ฟังพระธรรมไม่ว่าจะในภาษาไหนคะ ธรรมะที่มีจริงนะคะ ซึ่งแต่ละบุคคลที่ใช้ภาษาต่างๆ เนี่ย สามารถที่จะพิสูจน์ได้เข้าใจได้ว่ามีจริง แต่ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดด้วยนะคะ อย่างคำว่าธรรมะ ได้ยินบ่อยมาก แต่ถ้าไม่มีธรรมะ พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้อะไร จะตรัสรู้อะไรไม่ได้เลยนะคะ

    แต่ว่าทรงตรัสรู้ธรรมะคือสิ่งที่มีจริงๆ ทุกกาลสมัย แม้แต่ในขณะนี้ค่ะก็มีสิ่งที่มีจริงๆ ชาวมคธใช้คำว่าธรรมะ แต่คนไทยภาษาไทยพูดตั้งแต่เกิดก็ใช้คำว่า สิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นพระธรรมที่ทรงแสดงนะคะ ทรงแสดงสิ่งที่มีจริงไม่ว่าในภาษาไหน แม้แต่จะไม่ใช้คำว่าธรรมะแต่พูดถึงสิ่งที่มีจริงควรพูดไหมค่ะ กำลังมีด้วย และก็เป็นจริงด้วย

    แต่ว่าถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจแม้คำเดียว และคำแรกที่ได้ยินคือธรรมะ ฟังธรรมะแต่ยังไม่รู้จักว่าธรรมะคืออะไร แต่เมื่อฟังธรรมะแล้วรู้ว่าธรรมะคืออะไรก็จะรู้ได้นะคะ ว่ารู้อย่างนี้เพราะผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ธรรมะ และทรงแสดงธรรมะที่กำลังมีในขณะนี้เอง ธรรมะเป็นเรื่องที่แต่ละคนฟังแล้วนะคะ ก็ไตร่ตรอง และก็เข้าใจ และก็ไม่รีบร้อน

    เพราะว่าการฟังธรรมะหรือฟังอะไรก็ตาม ถ้าเราไม่เข้าใจคำแรก ต่อๆ ไปเราจะเข้าใจเรื่องของคำนั้นได้ยังไง เพราะฉะนั้นความรู้ต้องตามลำดับนะคะ เช่นขอกล่าวถึงคำว่าธรรมะหมายความถึงสิ่งที่มีจริง เริ่มคิดแล้วนะคะ สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ มีหรือเปล่า ถ้าไม่มีก็ไร้ประโยชน์อีกที่จะกล่าวถึงสิ่งที่ไม่มีในขณะนี้

    เพราะฉะนั้นให้ทราบว่าไม่ต้องไปแสวงหาธรรมะที่ไหนเลยค่ะ อะไรเกิด ธรรมะเกิด ตลอดชีวิตนะคะ เห็น ได้ยิน จริงทั้งนั้นค่ะเป็นธรรมะทั้งนั้น เป็นสิ่งที่เกิดตลอดเวลา แต่ไม่มีใครมาบอกให้รู้ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่กำลังปรากฏ สิ่งนั้นต้องเกิด ถ้าไม่เกิดจะปรากฎได้ยังไง แต่ว่าเราไม่สามารถที่จะเข้าใจว่าอะไรทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้น

    และสิ่งที่เกิดแล้วเนี่ยค่ะทันทีที่เกิด ดับไป เพียงปรากฏให้รู้ว่ามีเท่านั้นเองนะคะ แล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่าสังขารทั้งหลายไม่เที่ยง สังขารหมายความถึงสภาพธรรมะที่เกิดเพราะมีปัจจัย ใครจะบังคับบัญชาไม่ได้เลยค่ะ เพราะฉะนั้นทรงใช้คำว่าธรรมะ ไม่ได้กล่าวถึงชื่อของใครเลยนะคะ

    แต่กล่าวคำนี้เพื่อแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่มีจริงทั้งหมด แต่ละอย่าง แต่ละอย่าง ก็เป็นธรรมะแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง เช่นขณะนี้นะคะ ใครจะคิดบ้างว่าเห็นขณะนี้เป็นธรรมะ เป็นสิ่งที่มีจริง เกิดเห็น ถ้าเห็นไม่เกิด จะไม่เห็นอะไรเลยทั้งสิ้น และสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ก็มีจริงๆ นะคะ เกิดแล้ว ปรากฏให้เห็นว่ามีจริง เมื่อมีจิตเห็น

    ถ้าจิตเห็นไม่เกิด สิ่งที่ปรากฏว่ามีจริงในขณะนี้จะปรากฏไม่ได้เลยค่ะ นี่คือธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่เป็นของใคร และก็ไม่ใช่ใคร แต่เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละอย่างซึ่งเกิดและก็ดับ หายไปเลยแล้วก็ไม่กลับมาอีก จิตขณะแรกที่เกิดหายไปเลย แล้วก็ไม่กลับมาอีก เมื่อคืนนี้หลับสนิทนะคะ ก็หายไปเลย และก็ไม่กลับมาอีก

    ได้ยินเมื่อเช้านี้ก็หายไปเลย แล้วก็ไม่กลับมาอีกนี่คือความเป็นจริงของสภาพธรรมะนะคะ ซึ่งเกิดดับสืบต่อ เพราะอะไรจึงไม่ปรากฏ เพราะการเกิดดับสืบต่อของสภาพธรรมะเนี่ยค่ะ เร็วสุดที่จะประมาณได้ ต้องเป็นปัญญาที่ได้อบรมแล้วนะคะ

    จึงสามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจว่าสิ่งที่มีนี่คะ ชั่วคราวเพียงเกิดมานะคะ แล้วก็สุขบ้าง ทุกข์บ้าง ทำโน่นบ้างทำนี่บ้าง ไปโน่นบ้างไปนี่บ้าง คิดโน้นบ้างคิดนี่บ้าง แล้วก็หายไป ทุกคนต้องหายไปแน่นอนค่ะ จากโลกนี้แต่ก่อนที่จะหายไปเนี่ยทำอะไร ดีหรือชั่วนะคะ ซึ่งจะติดตามไป

    เพราะฉะนั้นแต่ละคนเนี่ยจะรู้ได้นะคะ จากโลกก่อนซึ่งเกิดแล้วค่ะ เป็นใครก็ไม่รู้ ทำอะไรก็ไม่รู้ แล้วก็หายไปจากโลกนั้นและก็มาปรากฏในโลกนี้ แล้วก็จะหายไปจากโลกนี้นะคะ แล้วก็จะไปปรากฏที่ไหนไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ แต่ทรงแสดงเรื่องเหตุกับผล ความเป็นผู้ตรงนะคะ

    สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามจะเกิดขึ้นเองตามลำพังไม่ได้ แต่ต้องตามเหตุที่สมควร ทุกคนนี่คะ เคยโกรธบางครั้งก็มาก บางครั้งก็น้อยมากแค่ขุ่นใจนิดๆ หน่อยๆ นะคะ ทำไมขณะที่ขุ่นใจนิดหน่อยไม่มากอย่างที่เคยโกรธแรงๆ ก็ต้องตามเหตุตามปัจจัย

    แสดงให้เห็นว่าทุกอย่างเนี่ยไม่ได้อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา หรือว่าไม่อยู่ในความต้องการของใครที่จะทำอะไรให้เกิดขึ้นเลยนะคะ ต้องเป็นผู้ที่มั่นคงในการเข้าใจว่าธรรมะมีจริง เกิดเมื่อไหร่นะคะ ก็ปรากฏลักษณะที่หลากหลายมาก แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ซึ่งเพียงเกิดขึ้นปรากฏแล้วก็หายไป


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 198
    24 พ.ย. 2568