ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1765
ตอนที่ ๑๗๖๕
สนทนาธรรม ที่ บ้านขนมนันทวัน จ.เพชรบุรี
วันที่ ๑๗ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๕
ท่านอาจารย์ เกิดเมื่อไหร่นะคะ ก็ปรากฏลักษณะที่หลากหลายมาก แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่งซึ่งเพียงเกิดขึ้นปรากฏแล้วก็หายไป ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่มีใครที่จะตามไปให้สภาพธรรมะนั้นเกิดซ้ำอีกได้ เพราะฉะนั้นแต่ละหนึ่งขณะนี่นะคะ ก็เป็นธรรมะที่พระผู้มีพระภาคทรงบำเพ็ญพระบารมี
เพื่อที่จะให้เห็นความจริงว่าธรรมะเป็นธรรมะ ทุกคำที่ตรัสรู้แล้วนี่คะ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ สิ่งที่มีจริงไม่ต้องเรียกชื่อก็ได้ กำลังเห็นนี่คะจริงไหมคะ จริง สิ่งที่ปรากฏให้เห็นจริงไหมคะ ปรากฏให้เห็นว่ามีจริงๆ สามารถกระทบตานะคะ แต่ตาก็ไม่เห็น ต้องมีธาตุรู้ซึ่งเราใช้คำว่าเห็น ซึ่งไม่มีรูปร่างลักษณะใดๆ เลย
แต่เป็นธาตุที่สามารถจะรู้ได้ทุกอย่าง ถ้าไม่มีธาตุชนิดหนึ่ง ธรรมะชนิดหนึ่ง จะใช้คำว่าธาตุหรือธรรมะก็ได้นะคะ ถ้าไม่มีธาตุรู้ อะไรๆ ก็ไม่ปรากฏเลยค่ะ ต้นไม้ใบหญ้า ภูเขาทะเล เกิดเพราะความเย็น ความร้อน อุตุ ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย ไม่ปรากฏด้วย แต่เมื่อใดที่มีธาตุอีกชนิดหนึ่งซึ่งเกิดขึ้น แล้วต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏ เช่นในขณะนี้นะคะ
สิ่งนั้นจึงจะปรากฏได้ว่ามี ขณะนี้มีเสียงไหมคะ เกิดแล้ว ถ้าจิตไม่ได้ยินไม่มีธาตุที่ได้ยินเสียง เสียงปรากฏไม่ได้เลย อย่างคนที่หูหนวกที่เราใช้คำว่าหูหนวกเนี่ยนะคะ คือไม่ได้ยินเสียงค่ะ โลกเงียบสนิท ดีไหมคะ ธรรมะทั้งหมดก่อนจะตอบต้องคิดนะคะ ถ้าไม่มีเสียงจะได้ยินเสียงพระธรรมไหม
เสียงคำที่สามารถที่จะทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ เสียงเป็นของธรรมดา เป็นธรรมะที่มีจริง เป็นธรรมะอย่างหนึ่ง เกิดขึ้นปรากฏแล้วก็หมดไป แต่จะปรากฏต่อเมื่อจิตได้ยิน หรือสภาพที่ได้ยินเสียงเกิดขึ้นเท่านั้น เสียงจึงจะปรากฏได้ เพราะฉะนั้นทุกอย่างก็แสดงให้เห็นแล้วนะคะ
เป็นธรรมะซึ่งเกิดตามเหตุตามปัจจัยแล้วก็หมดไป ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ก่อนอื่นนะคะ มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะ คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเป็นที่พึ่ง ให้บุคคลอื่นเนี่ยสามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่มีตั้งแต่เกิดจนตาย โดยละเอียดยิ่งเพื่อให้เห็นความจริงของสภาพธรรมะนั้น
แล้วก็มีพระสงฆ์สาวกนะคะ ซึ่งเป็นผู้ที่ได้ฟังพระธรรม และก็รู้แจ้งสภาพธรรมะ ตรงความเป็นจริงที่พระผู้มีพระภาคทรงอนุเคราะห์ ด้วยพระมหากรุณาที่จะให้เกิดความเข้าใจ เพราะฉะนั้นเพียงเท่านี้ค่ะ ไม่ทราบว่าชัดเจน แจ่มแจ้ง หรือว่ายังสงสัยนะคะ ที่จะรู้ว่าธรรมะคือสิ่งที่มีจริงเกิดอยู่ตลอดเวลา และก็ดับไปอยู่ตลอดเวลา
ตราบใดที่ยังไม่หายไปจากโลกนี้ แต่ว่าหายไปก็ไปปรากฏที่อื่น เหมือนกับมาสู่โลกนี้นะคะ ก็จากการหายไปจากโลกก่อน แล้วก็มาสู่ที่นี่ แล้วใครจะหายไปเร็ว ใครจะหายไปช้า ใครจะหายไปเมื่อไหร่ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาเลย แต่การได้ฟังสิ่งที่สามารถจะทำให้เมื่อได้ฟังอีกก็สามารถที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมะ
ซึ่งใช้คำว่าสังสารวัฎ เกิดแล้วก็ดับไปไม่สิ้นสุด จนกว่าปัญญาสามารถที่จะรู้ความจริงได้ถ้ามีข้อสงสัยในเรื่องของธรรมะก็ขอเชิญนะคะ สนทนาธรรมค่ะจะได้แจ่มแจ้งค่ะ เข้าใจจนไม่สงสัยเลยในคำที่ได้ยินได้ฟังนะคะ ธรรมะเป็นสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นอะไรมีจริงขณะนี้เป็นธรรมะทั้งหมด
เห็นเป็นธรรมะ สิ่งที่ปรากฏให้เห็นก็เป็นธรรมะ เสียงเป็นธรรมะ ได้ยินเป็นธรรมะ โกรธเป็นธรรมะ เมตตาเป็นธรรมะ ทุกอย่างเป็นธรรมะ ขณะนี้มีใครหรือว่ามีธรรมะค่ะ ฟังแล้วค่ะ ถ้าไม่มีธรรมะจะมีใครไหม คือธรรมนี่ต้องค่อยๆ คิดค่อยๆ ไตร่ตรองนะคะ ธรรมะคือสิ่งที่มีจริง ขณะนี้มีใครหรือเปล่า
ถ้าไม่มีธรรมะก็ไม่มีใครสักคน ไม่มีอะไรสักอย่าง โต๊ะ เก้าอี้ ไฟฟ้า อะไรก็ไม่มีนะคะ แต่เพราะเหตุว่ามีธรรมะที่หลากหลายมาก ประมาณไม่ได้เลยค่ะ เกิดแล้วดับแล้วเป็นของใหม่หมดนะคะ เพราะฉะนั้นการที่สามารถที่จะเข้าใจธรรมะ ซึ่งเมื่อผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ไม่ทรงน้อมพระทัยที่จะแสดง
เห็นความลึกซึ้งไหมคะแต่เพราะเหตุว่านะคะ การที่ทรงบำเพ็ญพระบารมีที่จะถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ทรงรู้ว่ามีผู้ที่ได้เคยฟัง เคยอบรมการเห็นประโยชน์ของการที่จะอยู่ในโลกนี้ด้วยความเข้าใจขึ้น
หรือว่าจะจากโลกนี้ไปโดยเหมือนเดิมคือไม่เข้าใจอะไร และก็ไม่ใช่เพียงเหมือนเดิมนะคะยังเพิ่มความไม่รู้ทุกขณะที่สภาพธรรมะปรากฏด้วย ด้วยเหตุนี้นะคะ ก็ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดจริงๆ ค่ะ เพราะว่าพระธรรมทั้งหมดนะคะ เป็นไปเพื่อละ
แต่ต้องละด้วยความรู้ ไม่มีใครที่สามารถจะละความติดข้อง ความเป็นเรา หรือความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ โดยไม่รู้ความจริงของสิ่งนั้น เพราะฉะนั้นที่จะบอกให้ ละโลภ ละโกรธ ละหลง ยังไม่รู้เลยว่าโลภ โกรธ หลง เมื่อไหร่ เดี๋ยวนี้รึเปล่า แล้วก็จะละได้ยังไง
ด้วยเหตุนี้นะคะ ต้องเป็นผู้ที่ไม่ประมาทในพระธรรมแต่ละคำค่ะแล้วก็จะทำให้เข้าใจในพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเมื่อเข้าใจแล้วนะคะ การที่จะน้อมบูชาเคารพพระองค์เนี่ยย่อมเป็นผู้ที่เห็นว่าไม่มีสิ่งอื่นใด จะเหนือกว่าพระรัตนตรัย
ผู้ฟัง ขอเรียนถามท่านอาจารย์ว่าเรื่องของ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นะ มีแสดงไว้ในส่วนไหนของพระไตรปิฏกค่ะ
ท่านอาจารย์ พระไตรปิฏกทั้งหมดนะคะ ไม่พ้นจากตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ผู้ฟัง แล้วเรื่องของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่จะเกี่ยวกับเรื่องการขัดเกลากิเลสยังไงคะ
ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะไม่รู้ความจริงเลยค่ะ เห็นแล้วชอบ เห็นแล้วโกรธ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ บังคับได้ไหมคะว่าไม่ให้เป็นอย่างนั้น
ผู้ฟัง บังคับไม่ได้นะคะ
ท่านอาจารย์ ค่ะ แล้วรู้จักตาหรือยัง
ผู้ฟัง ตาคือการมองเห็นอะไรที่ปรากฏเข้ามาที่ตา
ท่านอาจารย์ รู้จักหูหรือยัง
ผู้ฟัง หูก็เช่นเดียวกันค่ะ ก็ได้ยินเสียง
ท่านอาจารย์ เป็นของใครคะ
ผู้ฟัง ก็ถ้าอยู่กับเรา ก็เป็นของเรา
ท่านอาจารย์ คะ และความจริงเป็นของเราหรือเปล่า เพียงแค่พูดถึงตาเท่านั้นเองค่ะ ก็ไม่รู้ว่าตาคืออะไร ขณะนี้เห็นก็ไม่ได้คิดถึงตาใช่ไหมคะ
ผู้ฟัง ใช่ค่ะ
ท่านอาจารย์ เห็นสิ่งที่ปรากฏ โดยไม่รู้ด้วยว่าสิ่งที่ปรากฏเป็นอะไร แล้วก็ชอบ ไม่รู้ด้วยว่าชอบคืออะไร คือทั้งหมดเป็นธรรมะแต่ละหนึ่งนะคะ ซึ่งถ้าไม่ฟังก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ ขอพูดเรื่องเฉพาะตาซึ่งทุกคนมี แสดงให้เห็นว่ารู้จักตาจริงๆ หรือเปล่า ตามีจริงค่ะ ใครเห็นตาบ้าง
ผู้ฟัง ไม่มองที่กระจกแล้วก็มองไม่เห็นตาของเราค่ะท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ ขอโทษค่ะ มองกระจกแล้วเห็นตาได้ไหมคะ เห็นไหมคะ ไม่รู้จักตาแต่คิดว่าอยากจะรู้จักตาก็ไปมองกระจกแล้วก็จะเห็นตา ไม่ถูกต้องค่ะ ถ้าเห็น อะไรค่ะในกระจก เห็นเงานะคะ ท่านอื่นจะตอบว่ายังไงค่ะ สิ่งที่ปรากฏทางตา เท่านั้นเองค่ะตอบง่ายๆ ธรรมดานะคะ แต่ว่าถ้าไม่เห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้แล้วจะไปเห็นอะไร
เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วเนี่ยนะคะ สิ่งที่ปรากฎให้เห็นมีเพียงอย่างเดียว คือสิ่งที่กำลังกระทบตาขณะนี้ค่ะ เห็นแข็งได้ไหมคะ เห็นกลิ่นได้ไหม เห็นรสได้ไหม เห็นคนได้ไหม ตอนนี้ลังเลนะคะ แต่ว่าตามความเป็นจริงนะคะ ต้องเห็นก่อนใช่ไหมคะไม่ว่าอะไรทั้งนั้นค่ะ ในห้องมืด ปิดไฟ มีแสงสลัวๆ นะคะ เห็นอะไรไหมคะ ถ้าไม่เห็นต้องตาบอด
แต่ว่าแม้ไฟดับ พอที่จะเห็นอะไรไหมถ้ามีตา ความมืดก็เห็นจึงสามารถที่จะรู้ว่าไม่สว่างแต่ในความมืดนั้นนะคะ เห็นคนไหม นี่คือธรรมะชีวิตประจำวันจริงๆ ทั้งหมดทุกขณะ เป็นธรรมะทั้งหมดไม่มีอะไรที่จะไม่ใช่ธรรมะเลย เพราะฉะนั้นการฟังธรรมะเพื่อให้รู้ความจริงนะคะ ที่ว่าจะละโลภะ มีตา แล้วเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ มีหู และโกรธบ้างไม่โกรธบ้าง
ก็คือต้องเข้าใจความจริงของทุกอย่างอย่างละเอียด ในความมืด เห็นคนไหมค่ะ เห็นแต่ความมืดแล้วคนมีไหมในความมืด ค่ะ นี่คือธรรมะนะคะ กว่าจะเข้าใจจริงๆ ในธรรมะแต่ละอย่าง ซึ่งถ้าเข้าใจแล้วไม่สับสนค่ะ แล้วก็สามารถที่จะสะสมความเข้าใจนี้ไปถึงกาลที่ฟังอีกก็เข้าใจได้เร็ว และเข้าใจได้ถูกต้องด้วย
เหมือนอย่างบุคคลในครั้งอดีตนะคะ พาหุสุตตะเป็นผู้ที่ฟัง แต่ไม่ใช่เพียงฟังค่ะเข้าใจสิ่งที่ฟัง สะสมจนกระทั่งพอได้ยินได้ฟังก็สามารถที่จะเข้าใจได้จนกระทั่งรู้แจ้งสภาพธรรมะ เป็นพระอริยะบุคคลได้ เพราะฉะนั้นประโยชน์ของการฟังมีนะคะ คือฟังสิ่งที่มีจริงจนกระทั่งเป็นความเข้าใจขึ้น
โดยไม่ใช่หวังว่าเราจะไปเป็นพระอริยะบุคคล จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมโดยไม่เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ เป็นไปไม่ได้เลยค่ะ เพราะว่าความไม่รู้มากมายมหาศาลนะคะ แม้แต่เพียงสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่รู้ความจริงว่าอยู่ที่ไหน เติมไปเรื่อยๆ ก็ได้นะค่ะ ความรู้ความเข้าใจธรรมะจากการฟังทีละเล็กทีละน้อยนี่ค่ะ
สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นว่าเห็นจริงๆ มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นจริงๆ ขณะนั้นไม่มีเรานะคะ ไม่มีประเทศไทย ไม่มีวัดวาอาราม ไม่มีโต๊ะเก้าอี้ เพราะอะไรคะ มีเห็นกับสิ่งที่ปรากฏเท่านั้น จิตเกิดขึ้นทีละหนึ่งขณะ ที่ใช้คำว่าจิตเนี่ยเพราะว่าคนไทยคุ้นหูกับคำว่าจิตใจ แต่ก็ยังไม่รู้จักจิต ถ้าถามว่าจิตคืออะไร จะตอบว่าไงค่ะ มีแน่แต่ไม่รู้ว่าอะไร
แต่ความจริงก็เป็นธาตุที่ต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเมื่อเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเสียง เป็นกลิ่น เป็นรส ที่เรามาเรียกว่า โต๊ะ เก้าอี้ อาหารอะไรต่างๆ นะคะ ไม่สามารถจะรู้อะไรเลย แต่ก็เป็นสิ่งที่มีจริง แต่ละหนึ่งๆ ก็เป็นธาตุ แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แต่มีธาตุอีกชนิดหนึ่งค่ะ ในเมื่อเสียงเกิดได้ธาตุชนิดนี้คือธาตุรู้ก็เกิดได้ แต่ก็ต่างกับเสียง
เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้นะคะ ว่าธาตุทั้งหลายนี่คะ ถ้าจะแบ่งออกตามประเภทของธาตุนั้นๆ ใหญ่ๆ ก็คือธาตุชนิดหนึ่งนะคะ เกิดจริงแต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย แข็ง เย็น กลิ่น รส พวกนี้นะคะ มีจริงแต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ แต่ว่าธาตุอีกอย่างหนึ่งก็มีจริงต่างกับสิ่งต่างๆ เหล่านี้นะคะ เพราะไม่มีรูปร่างใดๆ เลยทั้งสิ้น
แต่เกิดแล้วสามารถที่จะรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด จึงใช้คำว่าคนเกิด และสัตว์เกิด หรือว่าสิ่งที่มีชีวิตเกิด ต่างกับสิ่งที่ไม่มีชีวิตหรือว่าไม่สามารถที่จะรู้อะไรได้ เช่น เห็น ได้ยิน เป็นต้น ทั้งหมดนี้คือเดี๋ยวนี้นะคะ แต่ว่าถ้าไม่ฟังพระธรรมเนี่ยก็จะไม่มีโอกาสรู้เลยว่าพระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ความจริง
ทรงแสดงความจริงให้คนอื่นซึ่งไม่สามารถจะรู้ความจริงนี้ได้ด้วยตัวเองนะคะ ได้ฟัง ได้ไตร่ตรอง และพิจารณา เป็นความรู้เพื่อ ละความไม่รู้ ละความติดข้อง ละกิเลสต่างๆ ซึ่งเกิดเพราะความไม่รู้จนถึงความที่ไม่มีกิเลสใดๆ เหลือเลยนะคะ เพราะความรู้ความเข้าใจตามลำดับขั้น
เพราะฉะนั้นทุกอย่างนี่คะ แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่งเนี่ย ศึกษาธรรมะเนี่ยศึกษาให้เข้าใจจริงๆ ในแต่ละคำนะคะ เช่นคำว่าจิต มีแน่ ทุกคนมี ถ้าขณะนี้ที่รูปไม่มีจิต น่าดูไหมคะ เวลานี้เพราะจิตเกิดที่รูป รูปจึงสามารถที่จะเคลื่อนไหว พูดและทำอะไรได้ทุกอย่าง ทั้งมือ ทั้งเท้า แต่เวลาที่จิตไม่เกิดที่รูปนี้อีกต่อไป เราก็รู้กันอยู่ใช่ไหมคะ ตาย ไม่สามารถที่จะเคลื่อนไหวได้
ที่เคยน่าดู เคยผ่องใส เคยสวยงาม นับวันก็แสดงความจริงนะคะ ว่า ลักษณะของรูปนี่คะ ก็ไม่ใช่เป็นที่ที่ใครจะปรารถนาเลยถ้าขณะนั้นไม่มีจิต เพราะฉะนั้นขณะนี้นะคะ มีรูปและมีจิต ที่ใช้คำว่าขันธ์ ๕ ก็คือไม่พ้นจากธรรมะที่เป็นสภาพรู้ และธรรมะที่เกิดและไม่ใช่สภาพรู้ เมื่อไม่รู้ความจริงนะคะ ก็รวมเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นอะไรต่างๆ งูเห็นไหมคะ นก ช้าง
เพราะฉะนั้นเห็นเป็นเห็น ไม่ใช่งู ไม่ใช่ช้าง ไม่ใช่นก พูดเฉพาะเห็น ขณะนั้นไม่ได้คิดถึงรูปร่างใดๆ เลยทั้งสิ้น ใช่ไหมคะ แต่ถ้าเห็นขณะนั้นเป็นรูปคน ก็บอกว่าคนเห็น ถ้าเป็นรูปแมวก็บอกว่าแมวเห็น เป็นรูปนกก็บอกว่านกเห็น แต่ความจริงเห็นเป็นอะไรไม่ได้เลยค่ะ เห็นจะเป็นรูปร่างต่างๆ ไม่ได้
เห็นเป็นเห็น คือธาตุชนิดหนึ่งนะคะ ซึ่งต้องอาศัยตา ที่ใช้คำว่าจักขุปสาท เป็นรูปที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นในขณะนี้เท่านั้นค่ะ กระทบอื่นไม่ได้แต่กระทบกับรูปที่สามารถกระทบสิ่งนั้น เป็นปัจจัยให้ธาตุรู้เกิดขึ้นเห็น นี่คือขณะนี้ค่ะที่จะเข้าใจธรรมะ ไม่ไกลตัวเลยมีอยู่ทุกขณะนะคะ
และสามารถที่จะเข้าใจขึ้นได้ เมื่อได้ฟังพระธรรม และเห็นประโยชน์ว่า ทรัพย์สมบัติใดๆ ในโลกก็ไม่ใช้เครื่องที่จะทำให้ปลื้มใจหรือหมดความทุกข์ได้ มีเงินมากมายมหาศาลเป็นทุกข์ไหมคะ โกรธเนี่ยก็ต้องเป็นทุกข์แหละไม่สบายใจเลย ริษยาก็แย่มากๆ นะคะ
ทุกอย่างที่เป็นสิ่งที่ไม่ดีเนี่ยก็สามารถที่จะเกิดได้ด้วยความไม่รู้ เพราะฉะนั้นถ้ามีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องนะคะ ก็จะเห็นคุณค่าว่าไม่มีอย่างอื่นที่จะทำให้สิ่งที่ไม่ดีต่างๆ เหล่านี้ น้อยลงไปได้ ความจริงเพิ่มขึ้นทุกขณะ น่ากลัวไหมคะ
เพราะฉะนั้นการได้ฟังธรรมะ และเริ่มเข้าใจแต่ละครั้งเท่านั้นค่ะ ที่จะทำให้ค่อยๆ พ้นจากความทุกข์ได้ ในเมื่ออย่างอื่นเนี่ยไม่สามารถที่จะทำให้พ้นไปจากความทุกข์ได้เลย มีอะไรที่น่าสงสัยบ้างไหมคะ ตา นิดเดียวที่พูดถึงนะคะ แต่ยังเพียงพูดถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใด พระธรรมทรงแสดงไว้โดยละเอียดยิ่งทั้ง ๓ ปิฏก
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์คะ พอเห็นเนี่ยนะคะ ก็คิดทันทีมันรวดเร็วมากนี่แบบเราจะรู้ได้จริงๆ ไหมคะ หมายถึงว่าแต่ละขณะเนี่ย
ท่านอาจารย์ คะ เราเป็นใครจะรู้ได้โดยไม่ฟังพระธรรมให้เข้าใจก่อนได้ไหมคะ
ผู้ฟัง ไม่ได้ค่ะ
ท่านอาจารย์ คะ เด็กเกิดมามีตา เพิ่งแรกเกิดนี่นะคะ ลืมตาขึ้นเห็นไหมคะ
ผู้ฟัง เห็นค่ะ
ท่านอาจารย์ เห็น รู้อย่างผู้ใหญ่ไหมคะ ว่านั่นอะไร นี่อะไร
ผู้ฟัง ไม่คะ
ท่านอาจารย์ แสดงให้เห็นว่ากว่าจะสามารถจำ ไม่ลืม แล้วก็คิดถึงรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่ปรากฏก็ต้องอาศัยกาลเวลา แม้แต่เสียง เด็กแรกเกิดมีเสียงไหมค่ะ
ผู้ฟัง มีค่ะ
ท่านอาจารย์ มีนะคะ ร้องไห้นะคะ แต่พูดเป็นคำออกมาเลยเหมือนผู้ใหญ่คุยกันได้ไหมค่ะ
ผู้ฟัง ไม่ได้คะ
ท่านอาจารย์ ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นแม้แต่เสียงซึ่งมีความหมายจากเสียงที่สูงๆ ต่ำๆ นี่นะคะ ก็ต้องอาศัยสภาพจำที่เกิดพร้อมกับจิตที่จำ จิตเห็นอะไร จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งลักษณะของสิ่งนั้น ก็มีสภาพธรรมะที่เกิดกับจิต แต่ไม่ใช่จิตนะคะ เช่นจำ
เพราะถึงแม้มีจิตพยายามจะนึกสักเท่าไหร่ บอกว่าจำไม่ได้ก็มีนะคะ แต่ความจริงธรรมะละเอียดกว่านั้นมากค่ะ เราพูดคร่าวๆ หยาบๆ เพราะว่าไม่ได้รู้ความจริงของสภาพธรรมะ เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้คะเสียงมี เด็กได้ยินไหมคะ ได้ยิน พูดได้หรือยัง
ผู้ฟัง ยังไม่ได้
ท่านอาจารย์ คะ จากการที่ได้ยินบ่อยๆ และค่อยๆ จำเสียงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเด็กชาติไหนก็ได้ยินภาษานั้น จนกว่าสามารถที่จะรู้ความหมายของเสียงนั้นได้ อย่างที่เดี๋ยวนี้นะคะ ไม่ว่าจะพูดคำอะไร คนไทยก็รู้ได้ว่าคำนั้นน่ะหมายความว่าอะไร เพราะฉะนั้นกว่าจะเป็นอย่างนี้นะคะ ก็เป็นการที่สภาพธรรมะนี่คะ ต้องมีการเกิดดับสืบต่อ
เพราะฉะนั้นทางหูที่เสียงปรากฏยังต้องเป็นอย่างนี้ ฉันใด ทางตาก็ฉันนั้น กว่าจะรู้ว่าสิ่งที่ปรากฏเนี่ยเป็นอะไร เป็นพ่อ หรือเป็นแม่ หรือว่าเป็นคนที่เลี้ยงดู หรือว่าจะเป็นอะไรก็ตามแต่ก็ต้องอาศัยการค่อยๆ จำรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่ปรากฏ แต่รูปนั้นก็เกิดดับนะคะ ซ้ำจนกระทั่งปรากฏให้สามารถที่จะจำได้ว่าเป็นอะไร
ทั้งหมดเนี่ยค่ะ เป็นธรรมะแต่ละหนึ่งขณะซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นจากคำถามที่ว่าใช่ไหมคะเห็นแล้วก็เป็นคน แต่กว่าจะเป็นคนได้เนี่ยก็ต้องจากเด็กมานะคะ จนกระทั่งเห็นแล้วก็จำได้ จนกระทั่งรู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร เพราะฉะนั้นทุกอย่างนี่คะ ก็จะต้องอาศัยการรู้ลักษณะของสภาพธรรมะแต่ละหนึ่ง เช่นเห็นไม่ได้เห็นคนค่ะ เห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้
ไม่ว่าจะเป็นมืดหรือสว่างก็เป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เมื่อกระทบกับจักขุปสาท แม้แต่เสียงนะคะ ถ้าไม่รู้ภาษานั้นเลย อีกคนหนึ่งใช้ภาษานั้นเป็นประจำ พอได้ยินก็รู้ได้ อย่างคนที่จะพูดภาษาญี่ปุ่น ภาษาอาหรับ หรือว่าภาษาฝรั่งเศส หรืออะไรก็ตามแต่ คนอื่นที่ไม่รู้ภาษานั้นก็แค่ได้ยิน แต่ไม่รู้หมายความว่าอะไร
แต่คนที่คุ้นหูใช้อยู่ทุกวันนะคะ พอได้ยินก็จำได้ นี่คือความต่างกันของจิต แต่ละหนึ่งขณะซึ่งเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วสุดที่จะประมาณได้ นับไม่ได้ค่ะ ยังไงๆ ก็นับไม่ได้ แต่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงการเกิดดับของจิตตามลำดับทีละหนึ่งขณะอย่างละเอียด
เพื่อให้ฟังแล้วก็เข้าใจถูกนะคะ ว่าความไม่รู้ของผู้ที่ไม่ได้ฟังพระธรรม กับผู้ที่บำเพ็ญพระบารมีถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเนี่ยต่างกันยิ่งกว่าฟ้ากับดิน ไกลกันมากทีเดียวนะคะ แต่ผู้ใดก็ตามที่มีโอกาสได้ฟังก็เริ่มเข้าใจบ้าง แล้วก็สามารถที่จะฟังต่อไปอีกให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น
ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นความจำก็เป็นลักษณะของสภาพธรรมะอีกอย่างหนึ่งด้วยไช่ไหมคะ
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวก่อนนะคะ ไม่ลืมนะคะ ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรมะหลากหลายมากแต่ละหนึ่ง
ผู้ฟัง กราบเรียนท่านอาจารย์ค่ะ ที่ว่า ว่าจะตัดโลภ โกรธ หลง อะไรเงี้ยคะ ทีนี้ก็คืออยากจะเรียนถามว่าการที่เราไม่ได้ศึกษาแล้วเราอยากจะแบบปฏิบัติดีให้ได้เงี้ยคะ เราจะต้องทำยังไง
ท่านอาจารย์ ธรรมะเป็นอนัตตาหรือเป็นอัตตา บังคับบัญชาได้ไหมคะ
ผู้ฟัง เป็นอนัตตา
ท่านอาจารย์ ค่ะ ไม่รู้อะไรเลยแล้วจะไม่ให้มี โลภะ โทสะ โมหะ ไม่มีกิเลสใดๆ เลยด้วยความไม่รู้ได้ไหมคะ
ผู้ฟัง ไม่ได้ค่ะ
ท่านอาจารย์ คะ แล้วเมื่อฟังแล้วใครรู้ ต้องเป็นคนที่ฟัง แล้วไตร่ตรองค่ะ แล้วก็จากปุถุชนถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเนี่ยนานเท่าไหร่ ถึงไม่ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะคะ จากการไม่รู้สิ่งที่มีจริงๆ ทั้งหมด ทั้งวัน ทุกวันเนี้ย แล้วจะให้ไม่เป็นอย่างนั้น
ไม่ให้โลภ ไม่ให้โกรธ ไม่ให้หลง เนี่ยเป็นไปได้ยังไงคะ ต้องเป็นผู้ตรง เหตุกับผลต้องตรงกันค่ะเพียงแต่ว่า ไม่อยากโกรธ ไม่อยากโลภ ไม่อยากมีความไม่ดี แต่คิดไหมว่า ควรที่จะเข้าใจสิ่งนั้นๆ คิดแต่ว่าจะไม่มีแต่ไม่ได้เข้าใจค่ะ ระหว่างอยากให้ไม่มีกับควรจะเข้าใจ อย่างไหนจะถูกต้อง
ผู้ฟัง ต้องควรจะเข้าใจก่อน
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็เลิกอยากไม่โกรธ อยากไม่โลภ อยากไม่หลงแล้วใช่ไหมคะ เพราะว่าเป็นไปไม่ได้ค่ะ
ผู้ฟัง คือว่าเราอาจจะยังมีความเป็นผู้ปุถุชน ก็คือมีความโกรธได้ มีโลภได้
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่อนุญาต มีเหตุที่จะให้โกรธ โกรธจึงเกิด มีเหตุที่จะให้ติดข้อง ติดข้องก็ต้องเกิดค่ะ เห็นของเน่าๆ เหม็นๆ เนี่ยชอบไหมคะ
ผู้ฟัง ไม่ชอบ
ท่านอาจารย์ เพราะอะไร
ผู้ฟัง เพราะมันเหม็นค่ะ
ท่านอาจารย์ คะ ไม่ใช่สิ่งที่น่าพอใจ เพราะฉะนั้นทุกอย่างเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยค่ะต้องเป็นผู้ที่ตรงจริงๆ คิดที่จะหมดกิเลสโดยไม่รู้เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ถ้าอย่างงั้นทุกคนก็หมดกิเลสได้ ด้วยความไม่รู้ ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยค่ะ
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ค่ะ กรุณาอธิบายว่าหนึ่งขณะที่ท่านอาจารย์พูดถึงเนี่ยมันประมาณไหน ฟังดูคือแบบว่าที่ธรรมะหนึ่งขณะที่เกิดขึ้นและดับไป มันจะประมาณไหนท่านอาจารย์ค่ะ
ท่านอาจารย์ เร็วมากจนประมาณไม่ได้นะคะ ขณะนี้เห็นพร้อมกับได้ยินหรือเปล่าคะ
ผู้ฟัง ใช่ค่ะ
ท่านอาจารย์ เหมือนเห็นด้วย ได้ยินด้วย
ผู้ฟัง เหมือนค่ะ ใช่ค่ะ
ท่านอาจารย์ แต่เห็นไม่ใช่ได้ยิน เหตุให้เห็นเกิดก็ไม่ใช่เหตุที่ให้ได้ยินเกิด แล้วจะพร้อมกันได้ยังไงค่ะ เมื่อสภาพธรรมะแต่ละหนึ่งเป็นหนึ่งปนกันไม่ได้ จิตเป็นจิตนะคะ แล้วจิตคือธาตุรู้นี่คะ เกิดขึ้นทีละหนึ่งขณะ จะไปปะปนกันได้ยังไง จิตเห็นจะไปเป็นจิตได้ยินได้ยังไง ในเมื่อจิตเห็นเกิดเพราะมีจักขุปสาท
แล้วก็มีสิ่งที่สามารถกระทบตาได้ ถ้าไม่มีสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้เลยนะคะ ทั้งๆ ที่มีตาเห็นก็เกิดไม่ได้ เพราะต้องเห็นสิ่งที่ถูกเห็น กำลังปรากฏให้เห็นในขณะนี้ เพราะฉะนั้นการฟังธรรมะคือเป็นผู้ที่ตรง ไม่ใช่เป็นเราเข้าใจด้วย แม้แต่ความเข้าใจก็เป็นธรรมะชนิดหนึ่ง ไม่เข้าใจก็เป็นธรรมะอีกหนึ่ง
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1741
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1742
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1743
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1744
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1745
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1746
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1747
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1748
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1749
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1750
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1751
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1752
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1753
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1754
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1755
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1756
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1757
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1758
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1759
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1760
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1761
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1762
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1763
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1764
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1765
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1766
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1767
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1768
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1769
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1770
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1771
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1772
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1773
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1774
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1775
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1776
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1777
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1778
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1779
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1780
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1781
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1782
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1783
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1784
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1785
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1786
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1787
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1788
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1789
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1790
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1791
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1792
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1793
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1794
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1795
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1796
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1797
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1798
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1799
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1800
