ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1763


    ตอนที่ ๑๗๖๓

    สนทนาธรรม ที่ ดอยอินทนนท์ จ.เชียงใหม่

    วันที่ ๑๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๕


    อ.คำปั่น ท่านก็ขอโอกาสที่จะได้ถวายอาคันตุกภัตคือภัตแก่ภิกษุผู้จรมา ซึ่งเมื่อท่านได้รับภัตที่ท่านวิสาขาได้ถวายแล้วนะครับ เมื่อมีความชำนาญในเส้นทางการบิณฑบาตแล้วก็จะเป็นผู้ที่มีชีวิตที่สะดวกสบายขึ้น พรข้อที่สองนะครับ มีความประสงค์ที่จะถวายภัตแก่ภิกษุผู้เตรียมจะเดินทาง ภาษาบาลีก็คือคมิกภัต

    เพราะว่าพระภิกษุที่จะเดินทางนี่นะครับ ถ้าหากว่ามัวมาแสวงหาอาหารก็จะพลาดโอกาสหมู่เกวียนแล้วก็อาจจะถึงที่หมายเป็นเวลาที่ค่ำมืดก็ไม่สะดวกสบาย พรข้อต่อมานะครับ ท่านก็มีความประสงค์ที่จะถวายภัตตาหารแก่ภิกษุผู้อาพาธ เพราะว่าภิกษุผู้อาพาธนี่นะครับ ถ้าหากว่าไม่ได้อาหารที่เป็นที่สบาย ก็จะเป็นผู้ที่มีโรคกำเริบขึ้น ถึงกระทั่งถึงกับมรณภาพได้

    ข้อต่อมานะครับ ประการที่ ๔ ก็คือท่านมีความประสงค์ที่จะถวายอาหารแก่ภิกษุผู้พยาบาลภิกษุไข้ เพราะว่าภิกษุผู้พยาบาลภิกษุไข้นี่นะครับ หน้าที่หลักคือต้องดูแลภิกษุผู้อาพาธผู้ป่วยไข้ ถ้าหากว่าท่านมัวจะแสวงอาหารอยู่ มัวบิณฑบาตอยู่ ก็จะนำอาหารหรือว่าทำการปรนนิบัติดูแลภิกษุผู้ป่วยไข้ไม่ทันเวลา

    อาจจะเกิดความเดือดร้อนแก่ภิกษุผู้อาพาธได้ ในภายหลัง ประการต่อมานะครับ เป็นประการที่ ๕ คือท่านมีความประสงค์ที่จะถวายเภสัชคือถวายยาแก่ภิกษุผู้อาพาธ ประการที่ ๖ ก็คือท่านมีความประสงค์ที่จะถวายยาคู

    อีกสองข้อสุดท้ายนะครับ ท่านมีความประสงค์ที่จะถวายผ้าอาบน้ำฝนสำหรับพระภิกษุ ข้อสุดท้ายก็คือมีความประสงค์ที่จะถวายผ้าอาบน้ำสำหรับพระภิกษุณี ซึ่งก็จะเป็นสัดเป็นส่วนนะครับ ถ้าหากว่าภิกษุณีไปอาบน้ำกับหญิงชาวบ้าน ก็จะถูกชักชวนด้วยเรื่องที่ไม่สมควร นี่นะครับคือพร ๘ ประการซึ่งก็เป็นสิ่งที่มีประโยชน์เพราะเป็นความดีนะครับ

    ท่านอาจารย์ จะเห็นความต่างกันของผู้ที่เข้าใจความละเอียดนะคะ กับความไม่ละเอียดซึ่งชาวบ้านเนี่ยค่ะ เมื่อมีศรัทธาก็คิดว่าจะถวายอะไรกับพระภิกษุเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ว่าถ้าเป็นผู้ที่เคารพในพระบรมศาสดา ในความบริสุทธิ์อย่างยิ่งของพระศาสนา ซึ่งเป็นไปเพื่อการละ แม้แต่การที่พุทธบริษัทนะคะ

    ในครั้งนั้นจะทำอะไร ก็จะต้องรู้ว่าควรที่จะได้กราบทูลให้พระผู้มีพระภาคทรงทราบ เพื่อที่จะได้พิจารณาดูว่าเป็นความเหมาะสมประการใดหรือไม่ ไม่ใช่ว่าใครนึกอยากจะทำอะไรก็ทำนะคะ ทั้งๆ ที่พระผู้มีพระภาค ก็เป็นผู้ที่เหมือนกับเป็นเจ้าของ ของพระธรรม แต่เจ้าของที่นี่ไม่ได้หมายความถึงเป็นเจ้าของในความเป็นอัตตานะคะ

    แต่ว่าเป็นผู้ที่ได้ตรัสรู้ได้ทรงแสดงพระธรรมที่จะทำให้ละอกุศลถึงการดับสิ้นของกิเลสได้ เพราะว่าสำหรับคนธรรมดานี่คะ ก็คิดว่ากิเลสก็เพียงเล็กน้อย ไม่ทำอย่างนั้นแล้วทำอย่างนี้ก็คงจะได้นะคะ เหมาะสมดีในความเห็นของตนเอง แต่ว่าเมื่อมีพระผู้มีพระภาคซึ่งเป็นพระบรมศาสดา พุทธบริษัทซึ่งเข้าถึงพระคุณอย่างยิ่ง ก็จะไม่ทำอะไรตามลำพัง

    โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับคณะสงฆ์ เพราะว่าภิกษุแต่ละหนึ่งเนี่ยไม่ใช่สงฆ์ สงฆ์คือหมู่คณะ เพราะฉะนั้นหมู่คณะต้องเป็นบริษัทที่เป็นภิกษุหรือภิกษุณีนะคะ ฆราวาสจะทำอะไรก็ได้ แต่ถ้าจะทำอะไรที่เกี่ยวกับพระภิกษุก็ควรที่จะได้รับความเห็นชอบ หรือว่าได้กราบทูลให้พระผู้มีพระภาคซึ่งแล้วแต่พระองค์จะทรงบัญญัติสิกขาบทค่ะ

    ผู้ฟัง กราบเรียนถามท่านอาจารย์ วิถีจิตที่เกิดทางตาเนี่ยหนึ่งวาระ แล้วก็มาทางมโนทวารนี่หนึ่งวาระ อันนี้ก็ขอให้ท่านอาจารย์ช่วยอธิบายให้ละเอียด

    ท่านอาจารย์ ค่ะ เดี๋ยวนี้รู้มั้ยคะ

    ผู้ฟัง ไม่รู้แน่นอนค่ะ

    ท่านอาจารย์ แล้วจะเริ่มรู้ได้ยังไง

    ผู้ฟัง เริ่มรู้ได้ยังไงก็ต้องค่อยๆ ฟังให้เข้าใจค่ะ

    ท่านอาจารย์ ให้เข้าใจอะไร

    ผู้ฟัง ก็ต้องเข้าใจ สิ่งที่มีจริงค่ะ

    ท่านอาจารย์ คะ ขณะนี้เห็นต้องบอกไหมค่ะว่าต้องบอกวิถีจิต

    ผู้ฟัง ไม่ต้องบอกเลยค่ะ

    ท่านอาจารย์ คะ ก็รู้แล้วใช่มั้ยคะ แล้วพอเห็นแล้วก็รู้ว่าสิ่งที่เห็นเป็นอะไรจำรูปร่างสัณฐานได้ต้องบอกไหมคะ

    ผู้ฟัง ไม่ต้องบอกคะ ท่านอาจารย์ค่ะ แต่ทีนี้ท่านอาจารย์ก็ถามเสมอว่า เห็นจริงไหม

    ท่านอาจารย์ คะ

    ผู้ฟัง เห็นจริงค่ะ

    ท่านอาจารย์ คะ เห็นจริง เพราะฉะนั้นความเข้าใจถูกต้องไหมคะว่าเห็นมีจริงๆ เมื่อเกิดขึ้น

    ผู้ฟัง แต่จริงตรงนี้ท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ถามตรงอื่น แต่ถามว่านะคะ ขณะที่เห็นทีว่าเห็นมีจริงเนี่ยเพราะเห็นเกิดขึ้นเห็นใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่ค่ะ

    ท่านอาจารย์ ใครทำให้เห็นเกิดขึ้น

    ผู้ฟัง ไม่มีใครทำ

    ท่านอาจารย์ คะ เพราะฉะนั้นจะไปรู้เรื่องอื่นได้ยังไงนอกจากจะเข้าใจความจริงของเห็นค่อยๆ เข้าใจเพิ่มขึ้น ว่าเห็นที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้เนี่ยค่ะ เกิดแล้วเพราะเหตุปัจจัย ควรจะเข้าใจอย่างนี้ หรือควรจะไปคิดถึงชื่อ ซึ่งขณะนี้ไม่มีปรากฏ จะชื่ออะไรก็ตามนะคะเพราะจำ ปัญจทวาราวัชชนะ สัมปฏิฉันนะ สันตีรณะ เดี๋ยวนี้อยู่ที่ไหน ปรากฏหรือเปล่า

    แต่สิ่งที่กำลังปรากฏเนี่ย เริ่มค่อยๆ เข้าใจความจริง ที่จะรู้ความจริงว่าเป็นชั่วขณะที่เกิดเห็นเท่านั้นเอง รู้อย่างนี้จะดีไหมคะ คือละความที่เคยยึดถือเห็นว่าเป็นเรา เพราะรู้ว่าเห็นมีจริงก็จริง แต่เพราะเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยแล้วก็หมดไปแล้วด้วย แล้วก็เห็นใหม่ ที่กำลังเห็นขณะนี้เห็นใหม่ล่ะ ได้ยินก็ไม่ใช่ได้ยินเมื่อวานนี้นะคะ

    แต่ว่าเมื่อใดที่เกิดขึ้น แล้วก็มีธาตุที่กำลังได้ยิน เสียงจึงปรากฏได้ ค่อยๆ เข้าใจความจริงในขณะที่ความจริงนั้นปรากฏ แต่เวลาที่ฟังธรรมะเนี่ยค่ะเราไม่ได้คิดถึงตัวจริงของธรรมะของสิ่งที่มีจริง แต่ไปจำเรื่องมาทั้งหมดเลย แล้วก็สงสัย แล้วก็อยากจะเข้าใจคำนั้นคำนี้นะคะ

    แต่ว่าตัวจริงๆ เดี๋ยวนี้เนี่ยยังไม่ได้เริ่มเข้าใจถูก แล้ววันไหนจะเข้าใจว่าเห็นขณะนี้มีจริงๆ เพราะเกิดขึ้นเห็น แล้วใครก็บังคับบัญชาไม่ได้นอกจากเห็นนะคะ ได้ยินก็มีจริงๆ เกิดขึ้นได้ยินแล้วก็หมดไป คิดนึกก็มีจริงๆ ทั้งวันนี่คะ เป็นสิ่งที่มีจริงทั้งหมด

    แต่ลืมเสมอที่จะรู้ว่าความจริงก็ชั่วคราว เพียงแต่ปรากฏแล้วก็หมดไป ถ้าเข้าใจอย่างนี้นะคะ ความติดข้องจะน้อยลงไหมคะ แต่ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้จะมีแต่ความอยากรู้โน่นอยากรู้นี่ โดยที่สิ่งนั้นไม่ปรากฏเลย เพราะฉะนั้นจะรู้ความจริงได้ยังไงในเมื่อไม่ได้ปรากฏให้รู้

    ผู้ฟัง เริ่มต้นไปเรื่อยๆ

    ท่านอาจารย์ ไม่ต้องเริ่มต้นด้วยความเป็นเรานะคะ แต่เข้าใจสิ่งที่กำลังมี จะเข้าใจอะไรเลยค่ะนอกจากสิ่งที่กำลังมีให้เข้าใจได้ จะพูดยังไงสักเท่าไหร่พูดถึงเห็นแต่ถ้าเห็นไม่เกิดขึ้นจะเข้าใจได้ไหมคะ แต่เมื่อเห็นมีแล้วไม่เคยเข้าใจ ก็พูดเรื่องเห็นจนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจเห็นตามความเป็นจริง

    มีเห็น เห็นไม่ใช่สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น เข้าใจขึ้นมานิดหนึ่ง เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเนี่ยนะคะ ไม่ได้รู้เห็น แต่ที่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นจะมีได้ก็ต่อเมื่อมีเห็น เพราะฉะนั้นเห็นมีจริงๆ แค่มีจริงนะค่ะ เป็นเห็นไม่ใช่เป็นอย่างอื่น ค่ะ ไม่เป็นอย่างอื่นหมายความว่าไม่เป็นอะไร

    ผู้ฟัง ไม่เป็นอย่างอื่นก็ต้องเป็นสิ่งที่มีจริงๆ ที่เห็นสิ่งที่ีมีจริง

    ท่านอาจารย์ ไม่เป็นอย่างอื่นคือไม่เป็นได้ยิน ไม่เป็นคิดนึก เป็นเห็นแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ก็เป็นหนึ่งค่ะ ไม่ใช่เห็นไปเป็นได้ยิน หรือจะไปเป็นคิดนึก เห็นเป็นเห็น หมดแล้วค่ะ เป็นเห็น ได้ยินก็เป็นได้ยิน หมดแล้วเป็นได้ยิน คิดนึกก็เป็นคิดนึก ไม่ใช่เห็น ไม่ใช่ได้ยิน

    นี่คือฟังให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีจริงๆ แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ถ้าเป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง เมื่อเป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งนะคะ จะมีเราไหมค่ะ เป็นสิ่งที่มีจริงชั่วคราวเท่านั้นเอง เห็นเป็นเห็น เห็นมีจริงๆ เห็นเกิดขึ้นเห็น แล้วก็หมดไป

    เห็นไม่เป็นอย่างอื่น คือไม่เป็นได้ยิน ไม่เป็นคิดนึก ไม่เป็นจำ เห็นเป็นเห็น สิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่งนี่คะ เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นแล้วก็ดับไป ฟังทีละคำละเอียดขึ้นนะคะ ก็คงจะเข้าใจขึ้น เช่นในขณะนี้มีสิ่งที่มีจริง ที่ควรรู้ยิ่งเพราะอะไร

    อ.คำปั่น เพราะเป็นสิ่งที่มีจริงๆ ครับ

    ท่านอาจารย์ เพราะไม่มีอย่างอื่นแน่นอนที่จะรู้ ในขณะที่กำลังมีสิ่งนี้เท่านั้น แล้วจะไปมีอย่างอื่นมาให้รู้ได้ยังไงล่ะคะ เพราะฉะนั้นแม้แต่คำที่เผินๆ ฟังไปแล้ว ฟังไปอีกนะคะ แต่ถ้าคิดจริงๆ ก็จะรู้ได้ค่ะ ในขณะนี้มีสิ่งที่มีจริงๆ ควรรู้ยิ่งเพราะอย่างอื่นไม่มี เพราะกำลังมีทีละหนึ่ง ใช่ไหมคะ

    ก็ต้องรู้ยิ่งในสิ่งที่มี เพราะสิ่งอื่นยังไม่มี ยังไม่ได้เกิดขึ้น และสิ่งที่มีหนึ่งเนี่ยจะไม่รู้ แล้วจะไปรู้อะไร เพราะว่ามีทีละหนึ่ง ทีละหนึ่ง ทีละหนึ่ง แล้วก็ไม่รู้สิ่งที่มีจริงทีละหนึ่ง ที่มีจริงๆ แล้วจะไปรู้อะไรได้ค่ะ ก็เป็นสิ่งที่ค่อยๆ เข้าใจนะคะ นี่คือความเห็นถูก ความเข้าใจถูกที่เริ่มต้นเห็นประโยชน์ว่าแม้แต่ความจริงก็ทีละหนึ่ง แล้วถ้าไม่รู้ความจริงทีละหนึ่ง จะไปรู้อะไร

    ผู้ฟัง จิตเกิดขึ้นหนึ่งขณะแล้วก็ดับไป ก็จะรู้จักจิตหรือไม่รู้จักจิตก็แล้วแต่ เช่นเห็นก็คือจิตนี่เกิดที่ตรงเห็นแล้ว

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่จิตเกิดที่ตรงเห็นค่ะ จิตเกิดขึ้นเห็น

    ผู้ฟัง จิตเกิดขึ้นเห็น

    ท่านอาจารย์ แล้วก็ดับไป ไม่เป็นอื่น นอกจากชั่วขณะที่เห็นแล้วก็ดับไป

    อ.นภัทร กราบท่านอาจารย์ครับ ถามอาจารย์ว่าธรรมะที่เกิดแต่ละหนึ่งเนี่ยครับ ปรากฏแล้วก็ดับไป การประจักษ์ความเกิดดับ คือเห็นอย่างนี้หรือเปล่าครับ

    ท่านอาจารย์ เห็นแล้วเข้าใจหรือป่าวคะ

    อ.นภัทร เห็นแล้วเข้าใจครับ

    ท่านอาจารย์ คะ อย่างเวลานี้ก็เห็น แล้วเข้าใจอะไร

    อ.นภัทร ก็ คือเข้าใจใน คืออย่างเวลาที่ผม สมมตินั่งอย่างเนี่ย คือรู้แข็ง คือแล้วแต่สติจะระลึกรู้ในทางทวารหนึ่งทวารใด ถ้าระลึกทางตา ก็จะเห็นสิ่งที่เห็น ที่กำลังเห็น ที่กำลังปรากฏ ถ้าระลึกทางหู ก็จะเห็นการดับของทางตาไปแล้ว อย่างนี้เรียกว่าประจักษ์ความเกิดดับหรือเปล่าครับ

    ท่านอาจารย์ คะ ระลึกคืออะไร

    อ.นภัทร สภาพรู้ครับ

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้ก็รู้ใช่ไหมคะ แล้วต่างกันตรงไหน

    อ.นภัทร ก็ธรรมะแต่ละอย่างมีลักษณะต่างกันไปอย่างที่ท่านอาจารย์บอก คือเห็นไม่ใช่ได้ยิน

    ท่านอาจารย์ ถูกต้องค่ะ

    อ.นภัทร ไม่ใช่ได้กลิ่น

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นขณะนี้เป็นระลึก หรือว่าเป็นรู้เสียง หรือว่ารู้สิ่งที่ปรากฏ

    อ.นภัทร รู้สิ่งที่ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ คะ เพราะฉะนั้นกำลังรู้เสียงคือได้ยินเป็นธรรมดา

    อ.นภัทร ครับ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นที่ใช้คำว่าระลึกเนี่ยคืออะไร

    อ.นภัทร ระลึกคือสภาพรู้ครับ

    ท่านอาจารย์ รู้ยังไงคะรู้ต่างกับได้ยินรึเปล่า

    อ.นภัทร รู้ต่างกับได้ยินครับ ได้ยินก็คือได้ยิน แต่ยังไม่รู้ครับ

    ท่านอาจารย์ ได้ยินมีเสียงใช่ไหมค่ะ

    อ.นภัทร ครับ

    ท่านอาจารย์ กำลังรู้แจ้งเสียง

    อ.นภัทร เสียงปรากฏ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเสียงนี่คะ ปรากฏกับจิตที่กำลังได้ยินเสียง หรือสภาพที่กำลังได้ยินเสียง ได้ใช่ไหมคะ

    อ.นภัทร ครับ

    ท่านอาจารย์ ค่ะ แล้วก็ยังจำเสียงก็ได้ แล้วก็เข้าใจคือความเห็นถูกในเสียงก็ได้ เพราะฉะนั้นต้องรู้ความต่างกัน อย่างแข็งนี่คะก็ปรากฏ กับธาตุที่กำลังรู้แข็ง แข็งจึงปรากฏ

    อ.นภัทร ครับ

    ท่านอาจารย์ แต่ไม่ใช่ปัญญา ต้องรู้ว่าขณะนั้นเป็นธรรมดาเพราะว่าถ้าไม่มีสภาพที่กำลังรู้แข็ง แข็งจะปรากฏไม่ได้เลย ด้วยเหตุนี้ทุกวันนี้นะคะ แข็งก็ปรากฏ แต่ปรากฏกับสภาพที่กำลังรู้แข็ง ปกติธรรมดา หรือว่าปรากฏกับปัญญา ที่เข้าใจถูกในลักษณะของแข็งที่กำลังปรากฏ นี่คือความต่างกัน

    เพราะฉะนั้นโดยมากเนี่ยนะคะ เราจะติดคำ แต่เรายังไม่เข้าใจคำนั้นจริงๆ เช่นใช้คำว่าระลึกเนี่ยค่ะ เข้าใจว่ายังไง เวลาบอกว่าระลึก เรามักจะคิดถึงอย่างหนึ่งอย่างใดใช่ไหมคะ บางทีไม่บอกว่าคิดถึงอดีต แต่บอกว่าระลึกถึงอดีต เราก็เข้าใจว่าเหมือนกัน ก็คือคิดนั่นเองใช่ไหมคะ

    แต่ว่าเวลาที่ใช้คำว่าระลึก แล้วก็ใช้คำว่ารู้ลักษณะ ต่างกันแล้วใช่ไหมคะ แต่ว่าตามความเป็นจริงขณะนั้นนะคะ เป็นเพราะระลึกหรือว่าเข้าใจลักษณะ นี่ก็ต่างกันอีก เพราะฉะนั้นธรรมะเนี่ยค่ะ เป็นเรื่องที่ละเอียดมากนะคะ ถ้าไม่ใช้คำว่าระลึก แต่กำลังเข้าใจลักษณะที่กำลังปรากฏ ต่างกับที่จะระลึกตรงนั้นระลึกตรงนี้ไหมคะ

    เพราะว่าระลึกตรงนั้นตรงนี้เนี่ย กำลังเข้าใจลักษณะที่เป็นจริงของสิ่งนั้นหรือเปล่า และความเข้าใจต้องตามลำดับค่ะ ไม่ใช่ว่าพอเข้าใจแล้วก็จะเห็นการเกิดดับของสภาพธรรมะ ทั้งๆ ที่ได้ฟังก็เข้าใจถูกนะคะ ว่าเห็นไม่ใช่ได้ยิน และขณะที่เห็นเนี่ยเสียงจะไม่ปรากฏเลย ในขณะที่กำลังเห็น เสียงไม่ปรากฏเลย

    ในขณะที่กำลังได้ยิน กลิ่น รส และสภาพธรรมะอื่นก็ไม่ปรากฏเลย นี่คือความเข้าใจจากการฟัง แต่ปัญญาความเห็นถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏจริงๆ ขณะนั้นนะคะ ต้องต่างกับขณะที่เพียงเห็นหรือว่าเพียงได้ยิน และความเข้าใจนั้นมาจากไหน เพียงขั้นฟังว่าเห็นเป็นธรรมะอย่างหนึ่ง นะคะ กำลังเห็น มีจริงๆ แล้วก็ได้ยินก็ไม่ใช่เห็น

    นี่เป็นความเข้าใจขั้นฟังแต่ว่าปัญญาที่กำลังรู้ลักษณะ ของสิ่งที่มีจริงว่าเป็นสิ่งที่มีจริงเท่านั้น ชั่วคราวเท่านั้นเองเนี่ย เริ่มมาจากไหนที่จะไปรู้การเกิดดับของสภาพธรรมะนั้นได้ เพราะฉะนั้นทั้งหมดนี่คะ เป็นการเจริญขึ้นของความเห็นถูกความเข้าใจถูกตามลำดับขั้น ถ้าไม่มีความเข้าใจที่เป็นปริยัติ นะคะ

    ซึ่งหมายความถึงความรอบรู้โดยการฟัง เพราะว่าการฟังนี่คะ ไม่ได้หมายความว่าเราเข้าใจสิ่งที่เราได้ยินได้ฟังทุกคำทุกเรื่องโดยละเอียด แต่อาจจะเพียงบางคำไม่ใช่ทุกคำ ใช่ไหมคะ เพราะว่าถ้าถามกลับเนี่ย เราอาจจะคิดว่าสิ่งที่เราเข้าใจแล้วเนี่ย เราเข้าใจจริงๆ หรือเปล่า

    อย่างขณะนี้เนี่ยนะคะ มีสิ่งที่กำลังปรากฏ กำลังมีจิตเห็น กำลังเห็นมีสิ่งหนึ่งที่กำลังปรากฏ เข้าใจอย่างนี้เป็นความเข้าใจที่สมบูรณ์ที่จะเข้าใจความต่างของสิ่งที่ปรากฏกับเห็นที่กำลังเห็นหรือเปล่า เนี่ยค่ะเพียงเท่านี้ เราได้ยินว่าไม่ใช่อย่างเดียวกัน สิ่งที่ปรากฏไม่รู้อะไรเลย

    กำลังปรากฏให้เห็น และเห็นก็คือว่ากำลังรู้แจ้งในสิ่งที่กำลังปรากฏว่ามีจริงๆ ไม่ใช่ฝันไม่ใช่คิด แต่มีธรรมะหรือสิ่งที่มีจริงอย่างหนึ่งที่กำลังปรากฏว่ามีจริงๆ ซึ่งคนตาบอดเนี่ยไม่สามารถที่จะรู้ได้เลยว่าสิ่งที่มีจริงเนี่ยคืออะไร เพราะไม่เคยเห็น สำหรับเสียงมีจริงนะคะ แต่คนที่หูหนวกก็ไม่สามารถที่จะรู้ว่าเสียงเนี่ยมีลักษณะยังไง

    เพราะว่าความจริงสิ่งที่มีจริงนี่คะ ก็มีลักษณะเฉพาะของสิ่งนั้นๆ ไม่ปะปนกัน ด้วยเหตุนี้การที่จะถึงการประจักษ์แจ้งว่าสิ่งนั้นเกิดขึ้นและดับไป มาจากความเข้าใจอย่างไร ตั้งแต่ต้นหรือเปล่า เจริญขึ้นตามลำดับหรือเปล่า ค่อยๆ ละคลายความไม่รู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะเข้าใจขึ้นเฉพาะสิ่ง เฉพาะสิ่งจริงๆ หรือเปล่า

    ที่ใช้คำว่าปฏิปัตตินะคะ มาจากคำว่า ปฏิ เฉพาะ หนึ่ง ปัตติแปลว่า ถึง เวลานี้ค่ะ ใครระลึก กำลังระลึกหรือว่ากำลังรู้ลักษณะตรงลักษณะที่ปรากฏ แม้ว่าสิ่งนั้นจะเกิดดับสืบต่อนะคะ ไม่สามารถที่จะรู้เพียงชั่วขณะแสนสั้น และแสนเล็กน้อยของสิ่งนั้น ต่อเมื่อใดที่สภาพธรรมะนั้นปรากฏเป็นนิมิตตะให้รู้ว่าเป็นอย่างนั้น อย่างเช่น ความรู้สึกเสียใจนะคะ นานไหมคะ

    อ.นภัทร ก็ไม่นานครับ แต่เกิดสืบต่อ

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวก่อนคะ ไม่นานแค่ไหน ค่ะ บางคนเสียใจนานใช่ไหมคะ บางคนก็ไม่นาน ลักษณะเดียวกันไหมคะความเสียใจ ไม่ใช่ความดีใจ

    อ.นภัทร ลักษณะเดียวกัน

    ท่านอาจารย์ ค่ะ แต่ว่าที่ว่านานเนี่ย หมายความว่าเกิดและก็ดับ เกิดแล้วก็ดับ ปรากฏให้รู้ลักษณะที่เป็นนิมิตตะการสืบต่อของสิ่งที่เกิดดับ ไม่ใช่ตัวหนึ่งซึ่งเกิดและดับไป ไม่รวดเร็วอย่างนั้นนะคะ เพราะฉะนั้นทุกอย่างในโลกนี้นะคะ ที่ปรากฏว่ามีการรู้ตรงลักษณะก็คือรู้ความจริงนะคะ

    คือนิมิตตะ เฉพาะสิ่งนั้นซึ่งเกิดดับ แล้วยังไม่หายไปเลย ยังคงมีลักษณะที่ปรากฏ แต่ว่าการเกิดดับไม่ได้ปรากฏ แต่ปรากฏการสืบต่อเหมือนไม่ดับเลย เพราะฉะนั้นก็เป็นนิมิตตะของความรู้สึกนั้น ไม่ว่าจะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดนะคะ ดับเร็วมากไม่มีใครสามารถที่จะไปรู้ในสิ่งนั้นได้ เพราะเหตุว่าต้องเป็นปัญญา ระดับไหน

    เพราะเหตุว่าปัญญานี่คะ มีหลายระดับมาก ปัญญาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ากับปัญญาของพระอัครสาวกต่างกันไหมคะ ต่างกัน และปัญญาของอัครสาวกกับมหาสาวกก็ต่างกัน และปัญญาของปกติสาวกกับมหาสาวกก็ต่างกัน นี่คือความหลากหลายของความเป็นจริงนะคะ

    เพราะฉะนั้นที่จะกล่าวว่ากำลังรู้ลักษณะของสภาพธรรมะที่กำลังเกิดดับ หรือว่าระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมะที่กำลังเกิดดับเนี่ย เราชินในคำที่ใช้ เช่นคิดหรือระลึก แต่ว่าตามความเป็นจริงนะคะ ต้องมีความเข้าใจไม่ใช่เพียงแต่ว่าระลึก เพราะเหตุว่าถ้าจะใช้คำว่าระลึกนะคะ โดยทั่วไปเนี่ยหมายความถึงคิดรึเปล่าคะ

    อ.นภัทร นึกถึง

    ท่านอาจารย์ นึกถึงนะคะ เพราะฉะนั้นนึกถึงสิ่งที่ไม่มีได้ไหมคะ เช่นเมื่อวานนี้

    อ.นภัทร ได้ครับ

    ท่านอาจารย์ เพราะมีความจำ ระลึกถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ได้ไหม เพราะกำลังมี แต่แค่ระลึก ความเข้าใจอยู่ที่ไหน เพราะฉะนั้นที่สำคัญที่สุดนะคะ ที่ทุกคนลืมเพราะว่าหวังที่จะประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรมะ แต่ไม่คำนึงเลยค่ะว่ามีความเข้าใจในสิ่งที่กำลังเกิดดับขณะนี้นะคะ มากน้อยแค่ไหน

    พอที่จะรู้ลักษณะนั้นเพียงหนึ่งลักษณะ ไม่มีลักษณะอื่นปะปนเลย เพราะฉะนั้นจะเห็นได้นะคะ ว่าความลึกซึ้งของธรรมะเนี่ยต้องมากมายมหาศาล ขณะที่แม้ถึงการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังไม่น้อมพระทัยที่จะแสดงพระธรรม แสดงถึงความลึกซึ้งอย่างยิ่ง แต่ว่าผู้ที่ได้ฟังจนกระทั่งมีความเข้าใจ ก็สามารถที่จะเข้าใจได้

    แต่ว่าผู้ที่ยังไม่ได้สะสมความเข้าใจมาพอนะคะ เพียงคิดว่าวันนี้พูดเรื่องเห็นเนี่ย แล้วเห็นเป็นยังไงเนี่ย อยากจะเข้าใจเห็นเดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็น เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ไหม เป็นไปไม่ได้เลยนะคะ เพราะฉะนั้นแม้แต่คำว่าประจักษ์หรือแม้แต่คำว่าเกิดดับของสภาพธรรมะเวลานี้ เสียงหนึ่งนะคะ เกิดและดับไป เหมือนกับการเกิดดับของสภาพธรรมะหรือเปล่า

    เห็นไหมคะ ปัญญาความรู้ ความเข้าใจในสิ่งนั้นมีบ้างหรือเปล่า ถ้ายังไม่มีเลย ใครก็รู้ค่ะเสียงเกิดแล้วดับแล้ว ไม่สงสัยในการเกิดดับของเสียง ฉันใด ก็น้อมมาคิดว่าแม้สภาพธรรมะอื่นหรือสิ่งที่มีจริงหรือก็อย่างนี้แหละ คือปรากฏทีละหนึ่งแล้วก็หมดไป แต่การที่จะรู้ถึงขั้นประจักษ์แจ้งนะคะ ไม่ใช่เราค่ะ

    แต่เป็นความเข้าใจจากการฟังนะคะ โดยความเข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น จึงจะเป็นปริยัติ คือการที่รอบรู้ในสิ่งที่ได้ฟัง ไม่สงสัยในสิ่งที่ได้ฟัง เข้าใจในสิ่งที่ได้ฟังนะคะ จึงไม่หวัง ที่จะประจักษ์แจ้งการเกิดดับ และก็ไม่ใช่ไประลึกด้วย แต่สามารถที่จะรู้ความต่างกันว่าขณะใด กำลังรู้ลักษณะหนึ่ง มีลักษณะจริงๆ ปรากฏ พร้อมกับความเข้าใจนะคะ

    ซึ่งไม่เคยมี เพราะว่าทุกคนรู้แข็งได้ทุกคนค่ะ แต่ความเข้าใจลักษณะนั้นมีหรือเปล่า ที่จะรู้ว่าขณะนั้น ไม่มีอย่างอื่นเลยนะคะ ที่เป็นคำว่าโลกหรือโลกะเนี่ย ไม่ใช่หมายความถึงโลกรวมกันหมดเลย ต้นไม้ ใบหญ้า ผู้คน ทั้งหมดรวมเป็นโลก ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ

    แต่โลกะหรือโลกในพระธรรมวินัยในอริยะวินัย หมายความว่าสิ่งนั้นเกิดปรากฏแล้วก็ดับ เป็นความน่าอัศจรรย์ไหมคะ ที่จะเข้าถึงสิ่งที่มีจริงตามธรรมดาปกติอย่างนี้ค่ะ แต่ว่าเข้าใจถึงความที่สิ่งนั้นเกิดขึ้นมาได้ยังไง เพราะฉะนั้นก่อนที่จะไปประจักษ์การเกิดดับนะคะ ความรู้ต้องสมบูรณ์ขึ้น

    จากการฟังที่ละคลายความเป็นตัวตนหรือความต้องการนะคะ แล้วก็สามารถที่จะรู้ว่าขณะนั้นนะปัญญาระดับไหน ถ้าไม่มีความรู้เลยทั้งสิ้น แล้วจะไปประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรมะ เป็นไปไม่ได้เลย เพราะสภาพธรรมะเกิดดับจริง รู้จริง เสียงหมดแล้ว แต่ไม่ใช่ปัญญาที่สามารถที่จะเห็นความเป็นสิ่งที่เพียงเกิดขึ้นจริง มีจริง ชั่วขณะ แล้วก็ดับไป

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 198
    19 พ.ย. 2568