ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1768


    ตอนที่ ๑๗๖๘

    สนทนาธรรม ที่ ริเวอร์แคว วิลเลจ จ.กาญจนบุรี

    วันที่ ๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๕


    ท่านอาจารย์ เป็นธรรมดานะคะ ที่ต้องรู้ว่าธรรมะคือเดี๋ยวนี้ แล้วเราก็หลงลืมจริงๆ ค่ะเมื่อวานนี้ก็หลงลืมกันมากเลยนะคะ คงจะมีคนน้อยคนที่ไม่หลงลืม เพราะฉะนั้นก็เห็นความไม่หลงลืมว่าเป็นธรรมะแล้วก็มีมากด้วย เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรประมาทอย่างยิ่ง ในการที่จะรู้ว่าการที่จะมีโอกาสได้ฟังพระธรรมได้เข้าใจพระธรรมนี่คะ

    แม้ว่าอาจมีอกุศลมากมาย แต่กุศลที่ได้สั่งสมมาแล้วนะคะ ก็ยังเป็นปัจจัยที่จะทำให้สามารถระลึกได้ ขณะที่กุศลเกิด ขณะที่ฟังพระธรรม ขณะนั้นก็ไม่มีใครไปบังคับเลย แต่ว่าเพราะมีปัจจัยที่ทำให้ระลึกได้ ว่าอะไรเป็นประโยชน์สูงสุดของการที่ไม่รู้ว่าขณะต่อไปจะเป็นอะไร แล้วก็จะอยู่ที่ไหน เพราะฉะนั้นการที่ได้มีโอกาสได้สะสมความเห็นถูกความเข้าใจถูกนี่นะคะ ก็เป็นลาภที่ประเสริฐยิ่งกว่าลาภอื่นๆ ค่ะ เมื่อวานนี้ได้ลาภ ใช่ไหมคะ ทางไหนค่ะคุณอรรณพ

    อ.อรรณพ ผลของกุศลกรรม ก็ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ครับท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ทางตาเมื่อวานนี้มีลาภไหมคะ

    อ.อรรณพ ก็สีสวยๆ แต่ว่าจริงๆ แล้วก็ไม่ใช่ลาภที่แท้จริง เพราะลาภที่แท้จริงนั้นต้องเป็นทางฝ่ายดีงาม

    ท่านอาจารย์ ค่ะ ลาภที่ได้มาแล้วติดข้อง แต่ขณะที่ฟังธรรมะเข้าใจนี่นะคะ ประเสริฐกว่าเพราะว่าสามารถที่จะละความติดข้องด้วยความเห็นผิดที่เคยยึดถือสภาพธรรมะว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด และก็เป็นเรานะคะ เป็นเหตุการณ์ต่างๆ แต่ว่าตามความจริงเมื่อวานนี้ก็ไม่เหลือเลยสักอย่างเดียวนะคะ

    เพราะฉะนั้นการเข้าใจธรรมะนี่ค่ะ เป็นเรื่องที่สะสมความเห็นถูกเพื่อที่จะเข้าใจถูกจนกระทั่งเป็นปกตินะคะ เหมือนการที่สามารถระลึกได้อย่างที่ทุกคนที่นี่คะ ก็ระลึกได้ว่าเราต้องจากโลกนี้ไป แค่เนี้ยก็เป็นความจริง ซึ่งคนอื่นอาจจะไม่เคยคิดเลยนะคะ เพราะฉะนั้นเพียงเท่านี้ก็สะสมเป็นอุปนิสัยที่จะคลายความติดข้องในทุกสิ่งทุกอย่างที่มีที่กำลังปรากฏ

    แต่ว่าไม่ใช่ว่าทันที แต่ค่อยๆ สะสมความเห็นถูกความเข้าใจถูก เราเรียนเรื่องรูปมาเยอะใช่ไหมคะ มีเท่าไหร่เนี่ยทุกคนตอบได้ แต่ว่ารูปที่เป็นใหญ่เป็นประธานมี ๔ ซึ่งทุกคนก็ตอบได้อีก ได้แก่ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม แล้วกำลังเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาเนี่ยนึกถึงรูปหรือเปล่า

    ทั้งๆ ที่มีธาตุที่เป็นใหญ่เป็นประธานมี ๔ แล้วก็ไม่ใช่มีแต่เฉพาะธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ค่ะที่ใดที่มีธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ที่นั่นก็มีสิ่งที่สามารถกระทบจักขุประสาท กระทบตา แล้วก็ปรากฏให้เห็นว่ามีจริงๆ เพียงเท่านี้ความเข้าใจของเราเนี่ยแค่ไหน เห็นไหมคะ พูดถึงมหาภูตรูปในนี้ ในห้องนี้ต้องมีแน่นอน เพราะว่าเป็นรูปที่เป็นใหญ่เป็นประธาน

    แล้วก็นอกจากรูปที่เป็นมหาภูตรูปแล้วนะคะ สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นเนี่ยถ้าไม่มีมหาภูตรูปก็มีไม่ได้ แล้วก็เพียงปรากฏ แต่เวลานี้ค่ะ มีสิ่งที่ปรากฏแล้วหลงลืมว่าเป็นสิ่งที่มีอยู่ที่มหาภูตรูป เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นคนเป็นสัตว์ที่เรายึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดนะคะ ถ้าไม่มีมหาภูตรูปซึ่งเกิดเพราะกรรมบ้าง เพราะจิตบ้าง เพราะอุตุบ้าง เพราะอาหารบ้าง

    ก็จะไม่มีธาตุซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธาน ไม่มีแม้แต่สิ่งที่กระทบ และปรากฏให้เห็นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้นแต่ละคำเนี่ยไม่ใช่ฟังแล้วก็ลืม ฟังแล้วก็ลืมนะคะ แต่ฟังเพื่อที่จะเข้าใจถูกว่าไม่ว่าอะไรทั้งนั้น อาหารที่รับประทานเข้าไป เสื้อผ้า หรือทุกสิ่งทุกอย่างในห้องนี้นะคะ ปราศจากมหาภูตรูปไม่ได้

    แต่ว่ามีสิ่งหนึ่งค่ะ ซึ่งเกิดกับมหาภูตรูปแล้วก็สามารถกระทบกับจักขุปสาท คนไม่มีจักขุปสาท ตาบอดเนี่ยไม่สามารถที่จะเห็นรูปนี้ได้เลย เพราะฉะนั้นแม้ขณะนี้สิ่งที่เกิดแล้วขณะนี้เพราะเหตุปัจจัย ที่เพียงเกิดขึ้นและก็ดับไป และเราก็ลืมนะคะ มหาภูตรูปก็ฟังมา แล้วก็สิ่งที่สามารถกระทบจักขุประสาท ที่กำลังเป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นขณะนี้

    ซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่ารูปารมณ์ ใครคิดถึงความจริงบ้างว่าแท้ที่จริงก็คือเพียงเป็นสิ่งที่ติดอยู่ เกิดที่มหาภูตรูปนั่นเอง แล้วก็ไม่ว่าจะดับก็ดับเพราะมหาภูตรูป เพราะฉะนั้นในขณะนี้นะคะ รูปที่กำลังปรากฏทางตาขณะนี้ก็กำลังเกิดดับ เพราะฉะนั้นการฟังธรรมะนี่ค่ะไม่ใช่ฟังไปไกล นะคะ เรื่องวิมุตติเรื่องโพฌชงค์ หรือเรื่องอะไร

    แต่แม้แต่สิ่งที่กำลังปรากฏนี่ค่ะกว่าจะเข้าใจจริงๆ นะคะ ในความเป็นสิ่งที่มีจริงอย่างหนึ่ง เพียงปรากฏให้เห็นนานมาแล้ว และก็ไม่เคยรู้ว่าดับด้วยพร้อมกับมหาภูตรูปด้วย ไม่ว่ามหาภูตรูปอยู่ตรงไหน รูปนี้ก็อยู่ตรงนั้น เพียงแต่ว่าจะกระทบกับจักขุปสาท กระทบตา แล้วจิตเห็นเกิดขึ้นหรือเปล่า

    ถ้าจิตเห็นไม่เกิด รูปนั้นก็มี แต่ว่าไม่สามารถที่จะปรากฏได้ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ขณะนี้นะคะ ความจริงของสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ก็คือเป็นเพียงสิ่งหนึ่ง ซึ่งปรากฏเมื่อจิตเห็นเกิดขึ้น ไม่ต้องไปไกลมากมายนะคะ

    คือว่าสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวัน ทางตาบ้าง ทางหูบ้าง ทางจมูกบ้าง ทางลิ้นบ้าง ทางกายบ้าง ทางใจบ้างนะคะ สามารถที่จะเริ่มเข้าใจแล้วไม่หลงลืม อย่างที่ฟังยังไงๆ ก็หลงลืมไปอยู่เรื่อยๆ นะคะ ก็จะได้มีสิ่งซึ่งฟังแล้ว เพลินไปแล้ว หลงลืมไปแล้ว แต่เพราะได้เคยฟังมาแล้ว ก็สามารถที่จะระลึกได้

    อ.วิชัย กราบเรียนท่านอาจารย์ครับ ความเข้าใจจากการได้ยินได้ฟังเรื่องราวต่างๆ จะมีปัจจัยยังไงว่าฟังเรื่องราวแล้วจะเข้าถึงลักษณะของธรรมะครับท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ แม้ว่าพูดถึงเรื่องสิ่งที่ปรากฏทางตาไปแล้วนะคะ ก็ยังไม่เข้าถึงความเป็นธรรมมะอย่างหนึ่งซึ่งกำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นจะต้องฟังอีกนานเท่าไหร่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เราจะกำหนดได้นะคะ เพียงแต่ว่าในขณะที่ฟังเนี่ยเข้าใจอย่างนี้จริงๆ ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้จริงๆ นะคะ

    ก็จะเห็นได้ว่าไม่ใช่แต่เฉพาะสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้น ที่เพียงปรากฏแม้แต่อย่างอื่นทั้งหมดนี่คะ ก็เพียงปรากฏ เมื่อกี้นี้ รส เพียงปรากฏแล้วก็หมดไป เสียง เพียงปรากฏแล้วก็หมดไป คิด เพียงปรากฏแล้วก็หมดไป เพราะฉะนั้นก็ให้รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏว่าชั่วคราวจริงๆ จากการที่เริ่มเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยจนกว่าจะมั่นคงนะคะ

    เพราะจริงๆ แล้วการที่จะรู้แจ้งสภาพธรรมะที่เป็นจริงอย่างนี้ได้เนี่ย ต้องด้วยปัญญาที่อบรมแล้ว อบรมหมายความว่าฟังจนกระทั่งมีความเข้าใจ แล้วความเข้าใจนี่คะ ก็จะค่อยๆ น้อมไปที่จะไม่ลืม แล้วก็คลายนะคะ เดี๋ยวเวลาเนี่ยมองคุณวิชัย หมดแล้วค่ะ เพียงหันหน้าจากคุณวิชัยไปทางอื่นก็ไม่มีมหาภูตรูปซึ่งมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นรูปร่างสัณฐานที่เป็นคุณวิชัย

    เพราะฉะนั้นนี่ก็เพียงชั่วขณะจริงๆ นะคะ แต่ว่าการที่จะอบรมเจริญปัญญาให้เข้าใจเพียงหนึ่งอย่าง หรือสิ่งที่กำลังได้ยินได้ฟังแต่ละอย่างเนี่ยให้มั่นคง และชัดเจน รู้ได้เลยคะฟังเท่าไหร่สะสมการได้ยินได้ฟัง แต่กว่าจะขณะใดที่เห็นนะคะ ไม่ต้องคิดถึงมหาภูตรูป เพราะรู้แล้วว่าต้องมี ถ้าไม่มีมหาภูตรูปตรงนี้จะไม่มีสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นอย่างนี้

    เพราะฉะนั้นในขณะที่เพียงเห็นนี่คะ ก็ละการติดข้องนะคะ ซึ่งจะรู้ได้ว่าถ้าตราบใดที่ยังติดข้องอยู่ อย่างอื่นแม้ปรากฏก็ดับไป โดยไม่รู้ว่าแท้ที่จริงก็เป็นธรรมะแต่ละหนึ่ง ซึ่งหลากหลาย ไม่ใช่ธรรมะที่เพียงปรากฏทางตา อย่างเวลานี้นะคะ ไม่ได้มีแต่เสียง ไม่ได้มีแต่สิ่งที่ปรากฏให้เห็น ยังมีคิดนึกด้วย แล้วก็มีแข็งก็ปรากฏ

    แต่ละอย่างเนี่ยคะ เกิดแล้วดับไปกับความไม่รู้ เพราะฉะนั้นกว่าจะเริ่มรู้ แล้วก็เข้าใจจริงๆ นะคะ โดยไม่ใช่ฝืน โดยไม่ใช่บังคับ โดยไม่ใช่ความเป็นตัวตน ที่ยากที่สุดก็คือว่าทุกอย่างเป็นอนัตตา เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ถ้าสามารถที่จะเข้าใจความจริงอย่างนี้นะคะ ทุกอย่างก็เป็นปกติเพราะเกิดแล้วจริงๆ

    อ.วิชัย ท่านอาจารย์ครับ กล่าวถึงว่าทุกอย่างเป็นอนัตตา ดูเหมือนว่าเป็นเพียงฟัง แต่ว่ายังไม่เข้าใจถึงคำนี้จริงๆ เลยครับท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะว่าเราอาจจะเข้าใจความหมายของอัตตาว่าเป็นตัวตน หรือเป็นเราเท่านั้น แต่ความจริงนะคะ สภาพธรรมะแต่ละอย่างเนี่ยจะเป็นอื่นไม่ได้ นอกจากเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมะนั้นจริงๆ เช่น สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นเนี่ย ลองคิดดูนะคะ จะเป็นอื่นไม่ได้ จะเป็นแข็งไม่ได้ จะเป็นเย็นไม่ได้ เป็นเพียงสิ่งที่ให้รู้ว่ามีจริง เมื่อปรากฏแล้วก็หมดไป ทุกอย่างเหมือนกันหมดเลย

    อ.วิชัย ก็เหมือนว่าเป็นเพียงแค่คิดตามเท่านั้นนะครับท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ หมายความว่าสิ่งที่มีจริงเป็นอย่างนี้ใช่ไหมคะ แต่ฟัง แล้วก็คิด แล้วก็จำ แล้วก็ไม่ลืม แล้วก็คิดบ่อยๆ แล้วก็ฟังบ่อยๆ จนกระทั่งเข้าใจบ่อยๆ ความเข้าใจนั้นก็มั่นคง แล้วถึงจะเพียงเห็น ก็เข้าใจในขณะที่เห็นนะคะ ว่าลักษณะของสิ่งที่ปรากฏแค่นี้เองค่ะ เพียง ปรากฏให้เห็นได้

    อ.วิชัย ท่านอาจารย์ครับ หมายความว่าจากการที่สะสมในการที่ ฟัง เข้าใจ พิจารณา มีปัจจัยที่จะให้เข้าใจในขณะนี้ทันทีใช่ไหมครับท่านอาจารย์ครับ หมายถึงว่า

    ท่านอาจารย์ พูดถึงสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ แล้วก็กำลังฟังความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ เห็นสีม่วง รู้ว่าเป็นดอกไม้ แต่ว่าถ้าไม่มีธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม จะมีสิ่งที่ปรากฏได้ไหม เห็นไหมคะ เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมะก็คือว่าเพื่อให้เข้าใจจริงๆ ค่ะว่าแต่ละหนึ่งก็เป็นแต่ละ แม้แต่สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาซึ่งปรากฏทุกวัน แน่นอน

    ก็ยังยาก ฟังเท่าไหร่นะคะ นอกจากจะสะสมค่อยๆ เข้าใจขึ้นว่าความจริงเป็นอย่างนี้แน่นอน ส่วนจะรู้มากกว่านี้ ชินกว่านี้ บ่อยกว่านี้เมื่อไหร่ ก็เป็นเรื่องที่แล้วแต่การฟังแล้วเข้าใจสิ่งที่ได้ฟัง แต่เมื่อเข้าใจแล้วเราจะเปลี่ยนความคิดไหมค่ะ

    เพราะฉะนั้นจะเข้าใจความหมายของคำว่าอัตตา คือเมื่อเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด จากการเห็นบ้าง หรือการได้ยินบ้าง หรือการได้กลิ่น ลิ้มรส ก็จะรู้ว่า เพราะไม่เข้าใจลักษณะที่แท้จริงตามความเป็นจริงของแต่ละหนึ่ง

    พอรวมกันก็เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่พอแยก เป็นแต่ละหนึ่งนะคะ ซึ่งเกิดแล้วก็ดับไปด้วย แล้วก็จะมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งยังเหลือ แต่เพราะรวมกันจริงๆ ก็เลยทำให้ เข้าใจคำว่าอัตตา ไม่ใช่เฉพาะตัวตนหรือเรานะคะ ไม่ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็เป็นความเห็นที่เพราะสิ่งนั้นเกิดขึ้นรวมกัน

    อ.วิชัย กราบท่านอาจารย์ครับ คือมีการประชุมรวมกันของธรรมะหลายอย่าง แต่ไม่เข้าใจในลักษณะของธรรมะทีอย่างจึงสำคัญว่ามีสิ่งหนึ่งสิ่งใดครับท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ คุณวิชัยเห็นสีชมพูไหมค่ะ

    อ.วิชัย ก็เห็นครับ แต่เป็นดอกไม้ด้วยครับ

    ท่านอาจารย์ เห็นสีชมพู แม้เพียงแค่เห็นก็มีความจำว่าชมพู ไม่ต้องเรียกชื่อเลยค่ะ แต่มีตั้งหลายสี และแต่ละสีเนี่ยก็ไม่ใช่สีเดียวกัน เพราะจำ ยังไม่ต้องเรียกชื่อเลยนะคะ จะเป็นสีอะไรก็แล้วแต่ แต่ว่ารู้ไหมว่าถ้าไม่มีสิ่งที่เราเรียกว่า ดิน น้ำ ไฟ ลม หรือว่าลักษณะที่แข็งเมื่อกระทบสัมผัส ไม่มีมหาภูตรูป รูปที่เป็นใหญ่เป็นประธาน ๔ รูปเนี่ยค่ะ จะมีสีหนึ่งสีใดปรากฏได้ไหม อากาศอย่างเงี้ยไม่มีธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม จะมีสีอะไรปรากฏได้ไหมคะ

    อ.วิชัย ไม่ได้เลย

    ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะฉะนั้นไม่ว่าเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาเมื่อไหร่ นะคะ จะเป็นแสงสะเก็ดไฟ หรือจะเป็นดาว หรือจะเป็นอะไรก็ตาม สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฎว่าเป็นสิ่งที่กำลังเห็น ขณะนั้นนะคะ ต้องมีธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม แต่เพราะความไม่รู้อะไรสักอย่าง พอเห็นก็ติดแหละ นั่นอะไร นั่นดาว พระจันทร์ นี่ดอกไม้

    ก็คือไม่ได้รู้ความจริงของว่าสิ่งที่มีจริงๆ เนี่ยแท้ที่จริงแล้วเปลี่ยนลักษณะไม่ได้เลย ไม่ใช่แข็ง เพราะแข็งเห็นไม่ได้ ไม่ได้กระทบตา เฉพาะสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ ความจริงก็คือว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่มี ปรากฏว่ามีเมื่อเห็น แต่เวลาที่กระทบสัมผัสสิ่งที่เราเห็นเป็นสีม่วงสีเหลืองเนี่ย เวลากระทบสัมผัสเนี่ย สีม่วงสีเหลืองหรือสีอย่างที่เคยปรากฏเนี่ยจะปรากฏไหม

    อ.วิชัย ไม่ครับ ก็แข็งปรากฏครับ

    ท่านอาจารย์ ปรากฏไม่ได้เลย กลายเป็นแข็ง ทั้งๆ ทีพอลืมตาเนี่ย เป็นสีชมพูเป็นสีเหลืองแต่พอกระทบ แข็ง ไม่มีสีชมพูสีเหลืองเลย แต่ว่าก็อยู่ด้วยกัน ใช่ไหมคะ แต่แยกเป็นแต่ละหนึ่ง คือสิ่งที่ปรากฏให้เห็นไม่ใช่แข็ง ไม่ใช่อ่อน ไม่ใช่เย็น ไม่ใช่ร้อน

    แต่ว่าเวลาที่กระทบสัมผัสด้วยกายนะคะ ก็ไม่มีสีสันวรรณะใดปรากฏเลย แต่จะปรากฏเพียงแข็งหรืออ่อน เย็นหรือร้อน เป็นแต่ละหนึ่งค่ะ ซึ่งรวมกัน เพราะฉะนั้นตราบใดที่ยังไม่แยกออกจากกัน ชื่อว่าเรารู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏหรือเปล่า

    อ.วิชัย ขออนุญาตท่านอาจารย์ครับ ที่ท่านอาจารย์กล่าวคำว่าแยกเนี่ยครับ หมายถึงว่าขณะที่รู้ทีลักษณะคือแยกแล้วหรอครับท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ถูกต้องค่ะ ก็ไม่ใช่ลักษณะเดียวกันนี่ค่ะ แข็งกับสิ่งที่ปรากฏ

    อ.วิชัย หมายถึงว่าเห็นความต่าง ด้วยความรู้ความเข้าใจในทีละลักษณะ

    ท่านอาจารย์ ค่ะ เราเคยคิดว่าดอกกุหลาบสีชมพูเดี๋ยวเนี่ย เป็นดอกกุหลาบสีชมพูจริงๆ ใช่ไหมคะ โต๊ะก็เป็นโต๊ะจริงๆ เพราะว่าเราไม่รู้ความจริง ว่าเป็นแต่เพียงสิ่งที่สามารถปรากฏให้เห็น เสมอกันหมด ไม่ว่าเราจะยังไม่เรียกว่าโต๊ะ เก้าอี้ ดอกไม้ ใบไม้ ไมโครโฟน หรืออะไรก็ตามแต่ ทั้งหมดปรากฏให้เห็น

    เพราะฉะนั้นต้องเป็นสิ่งหนึ่ง ที่สามารถกระทบตา แล้วก็ปรากฏให้เห็น หนึ่งนะคะ แต่พอกระทบสัมผัสแข็ง สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาขณะนี้ เป็นเหลือง เป็นขาว เป็นแดง ไม่มีเลย ขณะที่กำลังกระทบสัมผัสก็มีแต่แข็ง เพราะฉะนั้นแข็งก็เป็นหนึ่ง ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นทางตา ถ้ายังรวมกันก็เป็นดอกกุหลาบ เป็นคน เป็นโต๊ะ เป็นวัตถุสิ่งต่างๆ

    เพราะฉะนั้นการฟังธรรมะต้องไม่ลืมนะคะ ฟังเพื่อเข้าใจความจริง ซึ่งเราไม่สามารถที่จะคิดเองได้ ใครๆ ก็คิดเองไม่ได้เลยค่ะ ใครจะมารู้ว่านี่หรอดอกกุหลาบ แค่เพียงปรากฏให้เห็น แล้วเพียงกระทบสัมผัสก็อ่อนหรือแข็งไม่มีดอกกุหลาบ ก็แสดงให้เห็นว่านะคะ ปัญญาเนี่ยมีหลายระดับ

    เทียบพระปัญญาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ต้องพูดถึงเลย ห่างไกล ที่เป็นพระคุณนามต่างๆ นะคะ ไม่ว่าจะเป็นอรหันต์ สัมมา สัมพุทโธต่างๆ เหล่านี้ค่ะก็เป็นผู้ที่ห่างไกลจากความไม่รู้ความจริง โดยสิ้นเชิงต่างกับคนที่ไม่รู้เนี่ย จะไปเทียบได้ยังไงกับความรู้ เพราะฉะนั้นถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมเลยนะคะ

    จะไม่เข้าใจเลยค่ะว่าความไม่รู้เนี่ย ไม่รู้ถึงที่สุดเลย คือไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น ไม่รู้เรื่องเสียง ไม่รู้เรื่องการเกิด ไม่รู้ทุกอย่างตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นหนทางเดียวนะคะ ที่รู้ว่าเมื่อไม่รู้ จะรู้ได้เมื่อไร ด้วยอะไร ก็ด้วยการฟังพระธรรม เป็นผู้ที่ละเอียดแล้วก็ไม่เผิน ถ้าสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาเป็นปกติยังไม่เคยไม่ลืม ประทับใจ นะคะ

    ก็จะต่างกับเวลาที่ฟังเผิน แล้วก็ประทับใจอย่างอื่น ซึ่งไม่ใช่ความจริงที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นโลกสองโลกที่ต่างกันมากนะคะ โลกของความไม่รู้ความจริงกับโลกของการที่ได้รู้ว่าความจริงคืออย่างไร เหมือนแสงสว่างนะคะ น้อยก็เห็นน้อยใช่ไหมคะ แต่ก็ยังดีกว่าไม่มี ยังดีกว่าจะอยู่ในโลกของความไม่รู้

    ซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่รู้เลยนะคะ แม้กำลังอยู่ในโลกของความไม่รู้ ก็ไม่รู้ค่ะ ว่าไม่รู้แค่ไหน พอฟังพระธรรมแล้วถึงจะได้เข้าใจว่าความไม่รู้เนี่ยมากมายจริงๆ เพราะฉะนั้นกว่าความรู้จะค่อยๆ เกิดขึ้นนะคะ ก็ต้องเป็นผู้ที่เคยสะสมบุญมาแล้วแต่ปางก่อน

    และขณะนี้ก็กำลังเป็นปางก่อนที่กำลังสะสมความเข้าใจ จะมากน้อยอย่างไรนะคะ ก็รู้ได้เวลาที่มีการได้ฟังพระธรรมแต่ละครั้ง ก็รู้ว่าสามารถที่จะเข้าถึงสิ่งที่ได้ฟังว่าเป็นความจริง ที่ไม่มีอย่างอื่นจะจริงกว่านี้ได้ เป็นที่สุดของความจริง

    เพราะฉะนั้นก็เป็นสิ่งที่มีค่านะคะ ที่จะทำให้รู้ว่าที่เคยไม่รู้ด้วยความมืดสนิทนะคะ แท้ที่จริงแสงสว่างจะทำให้รู้ว่าที่นั่นมีอะไรบ้าง ซึ่งแต่ก่อนนี้ไม่เคยรู้ว่าเป็นแต่เพียงสิ่งที่เพียงปรากฏ ขณะนี้ก็เพียงปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นเสียงก็เพียงปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นคิดก็เพียงคิด ไม่ว่าจะเป็นเห็นก็เพียงเห็น และเพียงปรากฏเท่านั้นเองค่ะ ตลอดกี่ภพกี่ชาติก็เป็น

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ค่ะ ในการศึกษาพระธรรมเนี่ย ศึกษาอย่างไรไม่ให้เพลินไปกับเรื่องราว แล้วไม่สนใจลักษณะสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏ ทั้งๆ ที่สัจจะวาจาที่กล่าวมาเนี่ยก็ไม่ได้กล่าวอย่างอื่น คือทุกคำเนี่ยก็ส่องถึงลักษณะสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏ แต่ในพวกเราที่ศึกษาก็ยังไม่ละเอียด และลึกซึ้งในตรงนี้ค่ะท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ หวังอะไรรึเปล่าคะ

    ผู้ฟัง คำถามนี้ตอบได้ว่าไม่ใช่หวัง แต่ว่ากลัวว่าถ้าเข้าใจผิด เช่น ศึกษาติดชื่อติดเรื่อง โดยไม่ใส่ใจลักษณะสภาพธรรมที่กำลังปรากฏขณะเนี่ย ก็จะทำให้ปัญญานี่ไม่สามารถเจริญรู้ตรงลักษณะสภาพธรรมะ

    ท่านอาจารย์ ค่ะ ถ้าไม่หวังแล้วจะกลัวไหม

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ค่ะ ถ้าเชื่อท่านอาจารย์ว่าฟังเพื่อให้เข้าใจในสิ่งที่กำลังฟัง

    ท่านอาจารย์ ค่ะ ก่อนพัก คุณอรวรรณเข้าใจสิ่งที่ฟังหรือเปล่าค่ะ

    ผู้ฟัง เข้าใจค่ะ

    ท่านอาจารย์ เข้าใจ เวลากำลังพัก เข้าใจสิ่งที่ได้ฟังหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ก็เพลิดเพลินไปกับอย่างอื่น

    ท่านอาจารย์ ค่ะก็เพลิดเพลินไปนะคะ หมดแล้วยังคะความเพลิดเพลิน

    ผู้ฟัง หมดแล้วค่ะ

    ท่านอาจารย์ ค่ะ และขณะนี้กำลังฟังอีก และเข้าใจสิ่งที่กำลังฟังหรือเปล่า ก็เท่านี้เองค่ะ จะไปวิธีไหน ยังไง เมื่อไหร่ ได้ยังไงคะ นั่นก็คือมีความหวังมีความเป็นเรา เพื่อเรา ออกมาในรูปแบบต่างๆ แต่ถ้าเรารู้ว่าขณะนี้ที่ฟังเนี่ยก็คือขณะที่กำลังได้ยินได้ฟัง

    แล้วก็กำลังเข้าใจสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง แล้วขณะอื่นจะเป็นอย่างเดี๋ยวนี้ได้ยังไง ใช่ไหมคะ ก็ต้องเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ออกไปรับประทานน้ำขนมอะไรต่างๆ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่เวลาฟังก็เข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง ก็เป็นอย่างนี้ จะให้เป็นยังไง

    ผู้ฟัง ก็เห็นแล้วก็คิด ได้ยินแล้วก็คิด

    ท่านอาจารย์ ค่ะ แล้วเมื่อไหร่จะเกิดคิดถึงที่ได้ฟัง ก็เกิดแล้ว คิดแล้ว หมดแล้ว เท่านั้นเองจะไปทำอะไร นี่คือการค่อยๆ ละความติดข้อง โดยที่ว่าถ้าเป็นตัวตนนะคะ คิดจะละอย่างอื่นคิดจะละด้วย ทำยังไง วิธีไหน ใช่ไหมคะ แต่ไม่รู้เลยว่าละ ก็คือว่ารู้ในขณะที่ฟังว่าเป็นธรรมะจริงๆ

    จะไปทำอะไรล่ะคะ กลับบ้านก็กลับบ้าน ปลูกต้นไม้ ทำดอกไม้ ทำกับข้าว ทำอะไรก็ตามแต่ ขณะนั้นก็ไม่ใช่การคิดถึงธรรมะ แต่ว่าคิดถึงธรรมะเกิดขึ้นบ้างไหม ไม่ใช่เพราะเราจะวางแผน ให้คิดถึงธรรมะตอนนั้นตอนนี้ กลับไปบ้านนะคะ อาบน้ำเสร็จแล้ว ทำอะไรเสร็จแล้วก็จะคิดถึงธรรมะไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ

    นั่นคือความเป็นตัวตน นั่นไม่ใช่การละ นั่นไม่ใช่ความรู้จริงๆ แต่เป็นการถูกหลอกด้วยความต้องการในความเป็นตัวตน เพราะฉะนั้นเรื่องละนี่เป็นเรื่องที่ละเอียดนะคะ เป็นเรื่องของปัญญาที่เห็นความละเอียดขึ้น และรู้ว่าละเนี่ยคือไม่ได้มีการหวัง

    แม้แต่จะรู้สิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ ขณะนั้นก็หวังแล้วค่ะ ถ้าใครคิดจะรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ แต่ว่าจากความเข้าใจเนี่ยก็รู้นะคะ ว่าเป็นไปเพื่อละทั้งหมด ละความไม่รู้เพราะกำลังฟังเข้าใจ และถ้าเกิดจะระลึกถึง คิดถึงคำที่เคยได้ฟังแล้ว ก็ขณะนั้นก็เป็นธรรมะที่ไม่ใช่เรา

    เพราะฉะนั้นที่จะว่าเป็นธรรมะไม่ใช่เราเนี่ยต้องทั่วทั้งหมดเลย ไม่ใช่บางขณะ หรือบางกาล บางสถานที่นะคะ แต่เป็นความเข้าใจทีละน้อยจริงๆ ค่ะ ละเอียดยิ่งที่จะค่อยๆ น้อมไปสู่การที่จะระลึกได้ว่าขณะนี้เป็นธรรมะ ไม่หลงลืม

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์คะ จริงๆ นั่นหมายความว่า ฟังให้เข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง แล้วสิ่งที่กำลังฟังก็คือ ลักษณะสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏขณะนี้ เช่น ได้ยินเสียงที่ทำให้เข้าใจพระธรรมขณะนี้

    ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะแม้แต่จะฟังว่าไม่มีเรา เป็นเรื่องของธรรมะที่ได้ยินได้ฟัง แต่กำลังเห็นนี่ เห็นไหมคะ สักหนึ่งก็ไม่ได้ปรากฏว่าไม่ใช่เราเพราะอะไร แข็งปรากฏใช่ไหมคะ ถ้าไม่มีความเข้าใจจากการฟังจนกระทั่งเข้าใจถูกต้องว่าขณะนั้นคือหนึ่งสิ่งที่มีจริงในสังสารวัฎที่ปรากฏแล้วหมดไป

    ถ้ายังไม่ถึงอย่างนี้นะคะ ก็อาจจะมีความขวนขวาย ตั้งใจ จดจ้อง หรือหวังที่จะรู้สิ่งนั้น ในขณะนั้น ซึ่งก็ไม่ถูกต้องค่ะ เพราะฉะนั้นกว่าจะเป็นปกติ เป็นความเข้าใจที่ละความเป็นเรา ก็จะต้องรู้ว่าเป็นเราเมื่อไร ในอะไรที่กำลังปรากฏหรือเปล่า

    เพราะฉะนั้นฟังเพื่อเข้าใจนะคะ เพื่อไม่ได้มีแผนการ วางแผนอะไรที่จะไปทำอะไร เพราะนั่นก็คือคิด แต่ความเข้าใจแค่นั้น ก็ยังเป็นแค่นั้นอยู่ จนกว่าการที่จะมีการไม่ลืมนะคะ จากสิ่งที่เคยฟัง และก็ตรึกตรอง ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้นความคิดแต่ละคนเนี่ยก็ต้องตามเหตุตามปัจจัยแต่จะรู้ได้เลยนะคะ ว่าอะไรที่ประทับใจจริงๆ ถ้าไม่ใช่ธรรมะที่ได้ฟัง

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 198
    18 ธ.ค. 2568