ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1762
ตอนที่ ๑๗๖๒
สนทนาธรรม ที่ ดอยอินทนนท์ จ.เชียงใหม่
วันที่ ๑๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๕
ท่านอาจารย์ ธาตุที่กำลังเห็นเนี่ยต้องมี เป็นธรรมะอย่างหนึ่ง เกิดขึ้นทำหน้าที่ของตนนะคะ คือเกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไป เพื่อที่จะรู้ว่าความเป็นธาตุแต่ละอย่างเนี่ย ไม่สับสน ไม่ปะปนกัน เป็นแต่ละหนึ่งจริงๆ นะคะ แม้แต่เจตสิกที่เกิดร่วมด้วยก็เป็นแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ซึ่งทรงประมวลสภาพของธรรมะที่เกิดกับจิตที่ชื่อว่าเจตสิกนี่คะ เป็น ๕๒ ประเภท
แต่ว่าสิ่งใดก็ตามที่กำลังปรากฏนะคะ เข้าใจในสิ่งนั้นหรือยัง หรือว่าจะพยายามไปรู้ไปเห็น แม้ว่าสิ่งนั้นก็มีในขณะนั้นแต่เกิดแล้วดับแล้ว และการที่จิตเกิดขึ้นหนึ่งขณะ ทีละหนึ่งขณะ จิตเป็นธาตุรู้แจ้ง เพราะฉะนั้นก็จะเกิดได้เพียงหนึ่งขณะ ที่กำลังรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏ นี่คือธรรมะนะคะ
ซึ่งแม้ว่าจะจากโลกนี้ไป แต่จากการที่เราได้สะสมความเห็นถูกความเข้าใจถูก แม้ว่าเราจำเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ที่กำลังสนุกสนาน และก็เพลิดเพลิน แล้วก็อนุโมทนาในกุศลศรัทธาของผู้ที่ร่วมกันนะคะ ศึกษาธรรมะแต่ก็ต่างอัธยาศัย ซึ่งก็ต่างความประพฤติเป็นไปได้ที่ทำให้มีเหตุการณ์ต่างๆ
ถึงอย่างนั้นนะคะ สิ่งนั้นก็ไม่ได้ติดตามไปเลยเป็นเพียง ณ กาลครั้งหนึ่ง อีกพันปีจะจำได้ไหมคะเนี่ย หรือไม่ต้องถึงพัน พันปีนี้ไม่รู้ว่าใครจะไปอยู่ที่ไหนยังไงนะคะ แต่ว่าพรุ่งนี้มีเรื่องอื่นอีกแล้วค่ะ ลืมเรื่องเมื่อวานนี่ล่ะ เพราะฉะนั้นทุกอย่างแล้วแต่นะคะ ปัจจัยที่จะทำให้ขณะต่อไปอะไรจะเกิดขึ้น
จะคิดถึงเมื่อวานนี้ จะคิดถึงเมื่อปีก่อน หรือว่าจะคิดถึงอีกสองวัน หรือจะคิดถึงอีกหนึ่งปีก็แล้วแต่ ก็เป็นธรรมะซึ่งเป็นอนัตตาคือไม่สามารถที่จะรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น สิ่งที่เกิดแล้ว รู้แล้วเมื่อเกิด แล้วก็หมดไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก จะเหลืออะไร นอกจากต้องเป็นอย่างนี้จนกว่าปัญญาจะสมบูรณ์นะคะ
จึงสามารถที่จะเห็นความจริงว่าประโยชน์อะไรกับการที่ธรรมะแต่ละหนึ่งนี่คะ จะเกิดขึ้นเพียงสั้นแสนสั้นแล้วก็หมดไป หายไป จากไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย ก็ต้องอาศัยการเข้าใจนะคะ ดีกว่าอยู่ไปแล้วก็ไม่เข้าใจอะไรเลย เพราะฉะนั้นที่ฟังธรรมะเมื่อวานนี้กับที่เห็นตอนกลางคืน
สาระอยู่ที่ไหน เหมือนกันใช่ไหมคะ ทุกอย่างเกิดแล้วก็หมดไป เกิดแล้วก็หมดไป จำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่ว่าความเข้าใจพระธรรมหรือความเข้าใจธรรมะที่ได้ฟังนะคะ ไม่ได้หายไปไหนนะคะ สะสมอยู่ในจิตเช่นเดียวกับความติดข้องในสิ่งที่ปรากฏที่เห็นที่ได้ยินนี่คะ แม้ไม่ติดข้องในสิ่งเมื่อวานนี้ซึ่งดับหมดแล้วจะเหลืออะไรให้ติดข้อง
เมื่อวานนี้ค่ะกลับมาอีกไม่ได้เลย แต่ความติดข้องสะสมสืบต่อที่จะติดข้องในสิ่งต่อไปที่จะเห็นอีก ไม่มีวันจบ ใช่ไหมคะ แล้วก็ไม่เห็นโทษด้วยของอกุศลทั้งหลาย ว่าถ้าไม่มีความติดข้องนะคะ ลองคิดดูนะคะ สบายกว่าเยอะไหมคะ เวลาติดข้องเนี่ยเหมือนอยากได้ เหมือนพอใจ เหมือนเพลิดเพลิน เหมือนกับเป็นสุขที่ได้
แต่ว่าลองคิดให้ละเอียด และลึกซึ้งจริงๆ นะคะ ถ้าไม่ติดข้องซะเลยจะไม่ยิ่งเป็นสุขหรือเลือกยังไง ค่ะ เพียงแค่คิดยังคิดไม่ออกหรือยังไงคะ ว่าจะเลือกอย่างไหน ค่ะ จะเลือกที่จะไม่ติดข้องโดยไม่ต้องเห็นเลยถึงจะไม่ติดข้องได้หรือว่าก็ติดข้องต่อไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่มีวันจบเลย
มีสองทางค่ะ ทางหนึ่งนะคะ คือทางไม่รู้ความจริง อีกทางหนึ่งก็คือว่ารู้และเข้าใจสิ่งที่มีจริง เมื่อสิ่งที่มีจริงเป็นอย่างนี้ ไม่เป็นอย่างอื่นแน่นอนค่ะ ไม่มีใครจะทำให้สิ่งที่เกิดแล้วไม่ดับไป ไม่มีใครสามารถที่จะทำได้หรือว่าสิ่งที่ยังไม่เกิดแล้วอยากให้เกิด พยายามทุกอย่างที่จะให้เกิดแต่ถ้าไม่มีปัจจัยที่สิ่งนั้นจะเกิดสิ่งนั้นก็เกิดไม่ได้
เพราะฉะนั้นไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาสักอย่างเดียวนะคะ ต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยทั้งหมด นะคะ แล้วคิดได้หรือยัง ที่ว่าจะให้คงมีอกุศลต่อๆ ไปอีกนะคะ แล้วก็ไม่ใช่เพียงแค่เล็กน้อยค่ะต่อไปก็ต้องเพิ่มอีกนะคะ แต่ละหนึ่งขณะจิตเนี่ยจะมากสักแค่ไหนที่ผ่านมาแล้วก็มากมายแล้วก็ยังจะสะสมต่อไปอีกนะคะ
ไม่มีจักรวาลที่จะเก็บ ถ้าเป็นรูปธรรม มากมายอย่างนั้นค่ะกับทางที่นะคะ เห็นจริงๆ ว่าระหว่างความไม่ติดข้อง ไม่เดือดร้อนเลย แล้วไม่เหลือความติดข้องเลย แล้วก็สิ่งที่เคยไม่รู้ทั้งหมดนะคะ ก็รู้ชัดในความเป็นจริงของสิ่งนั้น ซึ่งก็คือเดี๋ยวนี้เอง อะไรก็ตามที่กำลังปรากฏนี่คะ ลักษณะที่แท้จริงของสิ่งนั้นมีหลากหลายมากมายแต่ไม่เคยรู้นะคะ
ก็จำไว้ในสิ่งที่ปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ ยึดมั่นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง แต่ว่าถ้าได้ฟังพระธรรมนะคะ ก็จะรู้ว่ามีผู้ที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีที่จะตรัสรู้ความจริงที่คนอื่นไม่สามารถจะรู้ได้ และทรงพระมหากรุณาที่เห็นความไม่รู้ของสัตว์โลก สัตวะคือผู้ข้อง หรือสัตตะ ใช่ไหมคะ ในภาษาบาลี
ผู้ข้องอยู่ในโลก ออกจากโลกไม่ได้เลยค่ะ เพราะโลกรูปที่ปรากฏทางตา โลกเสียง โลกกลิ่น โลกรส โลกสิ่งที่กระทบสัมผัส โลกที่คิดนึก แค่ ๖ โลก ความไม่รู้เนี่ยค่ะ ยังหาทางออกจากโลกเหล่านี้ไม่ได้เลย ยังคงติดแน่นมากขึ้นๆ นะคะ เพราะฉะนั้นการกระทำของแต่ละชีวิตที่เกิดมาเป็นมนุษย์เนี่ย ก็จะเห็นความหลากหลายว่าบางคนนะคะ
ก็อัธยาศัยที่จะติดข้องอย่างมาก บางคนก็มีอุปนิสัยที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ก็ต่างกันไปเป็นแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่งจริงๆ นะคะ หนึ่งคนเนี่ยก็มีจิตที่เกิดขึ้นทีละหนึ่งขณะ และหนึ่งขณะก็หลากหลายไปตามการสะสม แล้วก็เมื่อวานนี้นะคะ ผ่านไปแล้วสะสมไว้แล้ว วันนี้ก็หลากหลายไปอีก ต่อไปก็หลากหลายไปอีก
เพราะฉะนั้นถ้าสะสมการที่จะเห็นถูกเข้าใจถูกในสิ่งที่มีจริงย่อมดีกว่าหลงอยู่นั่นแล้วนะคะ ไม่ได้รู้สักทีหนึ่งว่าความจริงที่กำลังปรากฏที่จริงที่สุดนี่คืออะไร เพราะฉะนั้นก็เป็นโอกาสของผู้ที่ได้สะสมความเห็นถูกนะคะ ซึ่งรู้ว่า ไม่มีความไม่รู้ดีกว่ายังคงมีความไม่รู้ต่อไป และก็ถ้าไม่ติดข้องอะไรนะคะ ย่อมดีกว่าการติดข้อง แต่ยาก ยากค่ะ
เพราะเหตุว่าสิ่งที่สะสมมาแล้วมาเนี่ยจะให้ออกไปทันทีได้อย่างไร เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลยนะคะ แต่เป็นได้เมื่อมีความอดทนที่จะสะสมความดีค่ะ เพราะว่าความไม่ดีเนี่ยไม่สามารถที่จะทำให้สิ่งที่ดีเป็นผลเกิดขึ้นได้เลย สิ่งที่ดีทั้งหมดที่ทุกคนอาจจะได้รับนะคะ วันหนึ่งวันใดหรือมากกว่าคนอื่น ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
ติดข้องเพลิดเพลินในสิ่งที่ได้หรือสามารถเข้าใจได้ ว่าต้องมีเหตุที่จะทำให้สิ่งนั้นปรากฏแล้วก็มีจิตที่เห็นนะคะ ไม่เห็นก็ไม่ได้ต้องเห็นแต่หลังจากเห็นสิ่งที่น่าพอใจที่ได้มาแล้วเนี่ย เข้าใจมั้ยว่าความจริงคืออะไร หรือว่ายังคงหลงเพลิดเพลินต่อไป ความจริงก็คือสิ่งนั้นต้องเกิดขึ้นเพราะเหตุ คือความดีที่ได้กระทำไว้แล้วในอดีตนะคะ
แต่ว่าถ้าเป็นสิ่งที่ไม่ดีใครไม่ได้ทำให้เลยค่ะ ต้องเป็นความไม่ดี ที่เป็นเหตุที่ได้กระทำแล้ว เพราะจิตเกิดดับทีละหนึ่งขณะ จะให้เหตุกับผลเนี่ยมาปรากฏหรือเกิดขึ้นพร้อมกันไม่ได้ เหตุต้องหมดไปก่อนน่ะค่ะจึงจะเป็นปัจจัยให้ผลเกิดขึ้น ตามกาลเวลา เพราะเหตุว่าเหตุมีมากเหลือเกินค่ะที่ทรงแสดงไว้นะคะ
ธรรมะที่เป็นเหตุเนี่ยไม่ใช่จิต โดยเหตุปัจจัย แต่เป็นเจตสิกนี่แสดงความละเอียดอย่างยิ่งค่ะ แม้แต่จะพูดถึงธรรมะหนึ่งไม่ได้กล่าวโดยที่ไม่ได้ให้คนเข้าใจให้ถูกต้องถึงความละเอียดนะคะ เพราะเหตุว่าคนไทยเราหรือใครก็ตามที่ศึกษาเผินๆ เนี่ยก็จะพูดเหมือนกันหมดคือเหตุปัจจัยพูดรวมกันไปเลยนะคะ
แต่ก็มีความหมายได้สองอย่าง คือปัจจัยหมายความสิ่งที่อุปการะเกื้อกูลสนับสนุนนะคะ ให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นเป็นไป ถ้าไม่มีปัจจัยอะไรก็เกิดไม่ได้เพราะไม่ใช่ปัจจัยคือเงินอย่างที่เราบอกว่าถวายปัจจัยหรืออะไรอย่างนั้นนะคะ ไม่ใช่ค่ะ แต่หมายความถึงธรรมะใดก็ตาม ที่เป็นปัจจัยทำให้สิ่งอื่นสามารถจะเกิดขึ้นได้
โดยนัยต่างๆ เช่น โลภะ โทสะ โมหะ เป็นปัจจัย ถ้ามิฉะนั้นจิตจะเกิดขึ้น และก็เป็นอย่างที่เราบอกว่าจิตโลภ หรือว่าคนนั้นโลภมาก หรือคนนั้นขี้โกรธก็ไม่ได้ใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นก็ต้องเป็นปัจจัยแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ที่สะสมมา ด้วยเหตุนี้ค่ะ สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามขณะนี้นะคะ ได้แล้วหรือยังที่จะเห็นเดี๋ยวนี้ตามกรรมที่ได้กระทำแล้ว
แม้หนึ่งขณะจิตที่เห็นนะคะ ก็ต้องรู้ว่าผลของกรรม ถ้าจะกล่าวถึงกรรมและผลของกรรมนะคะโดยไม่ลึก บอกว่าถูกรถชนเป็นผลของกรรมไม่ดีใช่ไหมคะ แต่ว่าขณะนั้นนะคะ ลืมเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส ทีละหนึ่งขณะ กว่าจะรวมกันเป็นเรื่องราวต่างๆ ด้วยเหตุนี้นะคะ จะรู้ว่าเป็นธรรมะจริงๆ
ต้องเป็นผู้ที่ละเอียด และศึกษาจนกระทั่งสามารถที่จะเข้าใจได้จนกระทั่งค่อยๆ เห็นจริงนะคะ ว่าสิ่งที่ควรเข้าใจอย่างยิ่ง ซึ่งพระผู้มีพระภาคเป็นผู้ที่ตรัสด้วยพระโอษฐ์ ในโลกนี้จะมีอะไรที่ควรอย่างยิ่งที่จะควรรู้ เท่ากับสิ่งที่กำลังปรากฏ ทุกคำจริงนะคะ
ลองหาดูถ้าใครคิดว่าไม่ใช่ ไม่ใช่ได้ยังไงคะ ในเมื่อสิ่งที่เขาคิดว่าสำคัญยังไม่ได้ปรากฏ ถูกไหมคะ แต่สิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ปรากฏแล้ว จะไม่ใช่สิ่งที่ควรรู้ยิ่งได้อย่างไร นี่คือความละเอียดของธรรมะค่ะไม่ว่าใครจะตอบยังไงก็ตาม สัจธรรม หรือความจริงต้องเป็นความจริง
เพราะฉะนั้นก็ขออนุโมทนานะคะ ในกุศลจิตที่ได้สะสมมาแล้วแต่ปางก่อน แล้วก็สะสมต่อไปอีกด้วยความมั่นคง เพราะเหตุว่าไม่มีอะไรเหลือ จากโลกนี้ที่จะนำติดตัวไปได้นอกจากการสะสมของกุศลและอกุศลคะ ธรรมะเป็นเรื่องที่ละเอียดนะคะ ไม่อยากที่จะให้ผ่านทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกับว่าเข้าใจแล้ว ยังเข้าใจไม่หมด ยังเข้าใจไม่พอนะคะ
เพราะฉะนั้นก็แต่ละหนึ่งคำที่ได้ยินเนี่ย ถ้าศึกษาธรรมะทีละคำให้เข้าใจจริงๆ นี่นะคะ ก็จะทำให้เราเนี่ยไม่สับสนและก็เริ่มที่จะเข้าใจความจริงยิ่งขึ้นได้ ถ้ามีอะไรสงสัยที่ควรแก่การสนทนานะคะ ก็เป็นกาลที่ควรจะได้เข้าใจขึ้นคะ
ผู้ฟัง กราบเรียนถามเรื่องสิ่งที่ปรากฏทางตาว่าเป็นธรรมะยังไงค่ะ
ท่านอาจารย์ คะ ดูเจาะจงเหลือเกินนะคะ ที่จะรู้สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา แต่ถ้าถามว่าเห็นจริงๆ หรือเปล่า
ผู้ฟัง ขณะนี้ก็มีเห็นครับ แต่ก็เหมือนกับเห็นยัง..
ท่านอาจารย์ ไม่เหมือน ยังไม่เหมือนอะไรทั้งนั้นนะคะ ต้องไปทีละเล็กละน้อยค่ะ ขณะนี้มีเห็นจริงๆ ใช่ไหมคะ กำลังเห็น แค่รู้ว่ามีจริงเนี่ย มั่นคงว่าจริงแน่ๆ แต่ไม่เข้าใจ และไม่รู้ว่าเห็นเป็นยังไงใช่ไหมคะ เป็นความจริงยังไง เป็นธรรมะยังไง เนี่ยไม่เข้าใจ ถูกต้องไหมคะ ความไม่เข้าใจมีจริงๆ หรือเปล่าคะ
ผู้ฟัง มีจริงๆ ครับ
ท่านอาจารย์ คะ ยังไม่เรียกอะไรเลยก็มีจริงๆ เพราะฉะนั้นทั้งวันเนี่ยมีจริงเมื่อไหร่ ก็คือให้เริ่มเข้าใจว่าแม้มีจริงก็ไม่รู้ค่ะ ไม่ใช่ว่ามีจริงแล้วรู้ แต่ต้องเริ่มจากสิ่งที่มีจริงทั้งหมดเนี่ยไม่รู้ ความไม่รู้มีจริงๆ ไหมคะ
ผู้ฟัง มีครับ
ท่านอาจารย์ เป็นเราหรือเปล่า หรือว่าเป็นความไม่รู้ ความไม่รู้เป็นเราหรือว่าเป็นความไม่รู้ค่ะ
ผู้ฟัง เป็นความไม่รู้
ท่านอาจารย์ คะ เป็นความไม่รู้ และเห็นเป็นความไม่รู้หรือเปล่า หรือว่าเห็นเป็นเห็น ไม่ใช่ความไม่รู้
ผู้ฟัง เห็นก็เป็นสภาพธรรมชนิดหนึ่ง
ท่านอาจารย์ คะ ไม่ต้องบอกสภาพธรรมก็ได้ เดี๋ยวจะไปงงนะค่ะ แต่ภาษาไทยธรรมดาที่จะเข้าถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ค่ะ เพื่อที่จะรู้ว่าเห็นมีจริงๆ ความไม่รู้ก็มีจริงๆ ได้ยินมีจริงไหมค่ะ
ผู้ฟัง ได้ยินมีจริงๆ ครับ
ท่านอาจารย์ คะ แล้วก็ไม่รู้ ว่าได้ยินเป็นยังไง มีจริงๆ ไหมคะ
ผู้ฟัง มีครับ
ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะฉะนั้นก็เป็นสิ่งที่มีจริงที่ถ้าฟังแล้วก็จะค่อยๆ เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง จะใช้คำว่าธรรมะหรืออะไรก็ได้นะคะ แต่ว่าไม่ใช่ไปติดอยู่ที่ธรรมะหรือที่คำว่าธรรมะ เพราะเป็นอีกภาษาหนึ่ง แต่ถ้าจะพูดกับคนที่เขารู้ และใช้คำว่าธรรมะทุกวัน
เขาเข้าใจกันได้ แต่เมื่อเราไม่ได้ใช้คำนี้ทุกวัน ก็ดูเหมือนเป็นสิ่งหนึ่งซึ่งแปลกนะ และก็ติดข้อง และอยากจะเข้าใจ แต่ถ้าบอกว่าขณะนี้คะ เห็นมี ได้ยินมี คิดมี แต่ยังไม่รู้ความจริงของเห็น ได้ยิน และคิดนึก อย่างนี้จะถูกต้องไหมคะ
ผู้ฟัง ครับ
ท่านอาจารย์ ค่ะ แล้วถ้าเริ่มฟังทีละเล็กทีละน้อยค่อยๆ เข้าใจขึ้น จะเข้าใจเห็นได้ไหมในขั้นการฟัง ว่าเห็นที่มีจริงนี่คะเกิดขึ้นมาได้ยังไง
ผู้ฟัง ขณะที่ปรากฏไม่รู้เลยครับ
ท่านอาจารย์ คะ ขณะที่ปรากฏมีเห็นจริงๆ แต่ไม่รู้ ใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นเริ่มรู้ด้วยการรู้ว่าเห็นเกิดแล้วเมื่อมีปัจจัย ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยที่จะทำให้เห็นเกิด เห็นเกิดไม่ได้เลย แค่นี้ค่ะไม่ใช่หมายความว่ามีตัวเราที่อยากจะไปรู้ และก็เมื่อไหร่จะรู้ เมื่อไหร่จะเข้าใจ
แต่เริ่มเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีในขณะนี้เพื่อที่จะได้รู้ว่าไม่ใช่เราเห็น แต่เห็นมีจริงๆ และความจริงของเห็นก็คือว่าไม่ใช่ตา และไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็น นี่คือหนทางที่จะทำให้เริ่มเข้าใจเห็นที่กำลังเห็น เพราะค่อยๆ ฟังจนกระทั่งแม้ลักษณะที่เป็นธาตุรู้ซึ่งไม่มีรูปร่างเลยนี่นะคะ ไม่ได้ปรากฏเหมือนสิ่งที่ปรากฏทางตา
แต่กำลังทำหน้าที่เห็น เพราะฉะนั้นสิ่งนั้นที่เกิดขึ้นเห็นต้องมีจริงๆ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็น เพราะฉะนั้นความรู้ที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้นจะทำให้ละความไม่รู้ในทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ใช่แต่เฉพาะเห็นอย่างเดียวนะคะ เมื่อความเข้าใจเพิ่มขึ้นการติดข้องลดน้อยลง
ติดข้องในความไม่รู้และในการเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเรา ลดน้อยลงไปจากการฟังเข้าใจขึ้นนะคะ เมื่อไหร่ก็จะเริ่มรู้และเข้าใจลักษณะที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ ตรงตามที่ได้เข้าใจ แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจเลยค่ะ ก็ไม่มีทางที่เราจะทำยังไงหรือว่าเมื่อไหร่จะเข้าใจ หรือรู้จักเห็นที่กำลังเห็นในขณะนี้ ต้องเป็นความรู้ที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น
ผู้ฟัง ซึ่งเป็นปกติใช่ไหมครับว่าถ้าขณะนี้คือเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวก่อนนะคะ เห็นจริงหรือเปล่า
ผู้ฟัง เห็นก็มีจริงๆ ครับ
ท่านอาจารย์ สิ่งที่ปรากฏให้เห็นจริงหรือเปล่า มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้จริงๆ เดี๋ยวนี้ที่กำลังปรากฏ จริงๆ หรือเปล่า ต้องเป็นผู้ตรงตั้งแต่ขั้นต้นค่ะ
ผู้ฟัง มีสิ่งที่ปรากฏครับ
ท่านอาจารย์ คะ เพราะฉะนั้นกว่าจะไปรู้ลักษณะที่ไม่ใช่เราเป็นแต่เพียงเห็น และเป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เนี่ย คิดว่าฟังเพียงแค่นี้สามารถที่จะเข้าใจได้หรือว่าฟังอีกบ่อยๆ ค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละน้อย
ผู้ฟัง ก็เพิ่มขึ้นครับ
ท่านอาจารย์ ค่ะ ฟังอีกต่อไปจะเข้าใจขึ้นไหมคะ
ผู้ฟัง ก็ต้องเข้าใจครับ
ท่านอาจารย์ คะ หนทางเดียวค่ะที่จะทำให้ ค่ะ
ผู้ฟัง อาจารย์ครับ คือถามว่าทุกครั้งถ้าเราเห็น เราก็มีการคิดนึกว่า อันนี้มันเป็นอนัตตา หรือเป็นธรรมะยังไง อย่างนี้เป็นการเริ่มต้นของผู้ใหม่หรือว่าความเข้าใจที่ค่อยๆ ที่จะเริ่มมีขึ้นใช่ไหมครับ
ท่านอาจารย์ คะ เราติดคำว่าธรรมะ แต่ถ้าถามว่าเห็นมีจริงๆ หรือเปล่า ตอบได้แล้วใช่ไหมคะ
ผู้ฟัง ครับ
ท่านอาจารย์ ไม่ต้องใช้คำว่าธรรมะก็ตอบได้ เห็นมีจริงๆ
ผู้ฟัง คือก็ทราบด้วยว่าเห็นก็เป็นธรรมะครับ เพียงแต่ว่า
ท่านอาจารย์ ยังจะต้องไปคิดเรื่องธรรมะละคะ เป็นอีกภาษาหนึ่งกั้นแล้วค่ะ
ผู้ฟัง พูดว่าความจริงใช่ไหมครับ
ท่านอาจารย์ ถูกต้องค่ะ เพราะฉะนั้นเห็นมีจริงๆ เราจะไม่พูดถึงสิ่งที่ไม่มีจริง ไม่มีประโยชน์ใช่ไหมคะ แต่เมื่อเห็นมีจริง ภาษามคธี ภาษาบาลีเนี่ยไม่มีคำว่ามีจริง แต่มีคำว่าธรรมะ เพราะฉะนั้นเท่ากับพูดถึงสิ่งเดียวกันแต่คนละภาษา แต่ความหมายก็คือหมายความถึงสิ่งที่มีจริง
เพราะฉะนั้นเวลาที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงพระธรรมก็คือกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงในภาษาที่คนยุคนั้น เขตนั้น กลุ่มนั้น จะสามารถเข้าใจได้แต่เวลาที่เราพูดถึงธรรมะหรือสิ่งที่มีจริงเนี่ยนะคะ ในภาษาไทยเพราะเราเป็นคนไทยหรือจะใช้ภาษาอะไรก็ได้ ก็ใช้ภาษานั้น
เพื่อที่จะให้เข้าใจสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปติดที่ภาษาบาลีนะคะ หรือภาษาอื่นค่ะ เพราะว่าเราชอบใช้คำที่เราไม่เข้าใจ ตั้งแต่เกิดจนตายจริงหรือเปล่าคะ มีคำไหนบ้างที่ตั้งแต่เกิดจนตายแล้วรู้ความจริงของคำนั้น แม้แต่เห็น ใช้คำว่าเห็น แต่รู้จักเห็นหรือเปล่า
ผู้ฟัง ถ้าแต่ก่อนก็คงไม่รู้อะไรเลยครับ
ท่านอาจารย์ คะ เพราะฉะนั้นความไม่รู้มีค่ะ เป็นธรรมะสิ่งที่มีจริงอย่างหนึ่ง ถ้าเปลี่ยนคำว่าธรรมะเป็นสิ่งที่มีจริง สามารถที่จะเข้าใจขณะนี้ได้ใช่ไหมคะ
ผู้ฟัง ครับ ด้วยการฟังครับ
อ.คำปั่น กราบเรียนท่านอาจารย์สำหรับผู้ที่มีความเข้าใจในเหตุในผลแล้ว ถ้ามีใครมาขอพรจากท่าน แล้วท่านจะให้อะไรครับ
ท่านอาจารย์ ให้พรทุกคนทุกวันหรือป่าวคะเนี่ย ให้อยู่แล้วยังต้องขออะไรอีกหรือเปล่า ค่ะ ให้ทุกวันมากด้วย เช้าสาย บ่ายค่ำ เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดนะคะ แต่ถ้าจะมาขอพรอีกเนี่ยขออะไร ในพระไตรปิฏกนะคะ สิ่งที่ประเสริฐคือความดี เพราะฉะนั้นถ้าจะขอพรจากใครก็คือขอได้กระทำความดี
ขอโอกาสที่จะทำความดีซึ่งเป็นสิ่งที่ประเสริฐ ให้เขาเนี่ยมีพรหรือเปล่า คนให้เนี่ย ใครมาขอพรนะคะ คนให้มีพรที่จะให้หรือเปล่า เห็นไหมคะ พูดคำที่ไม่รู้จักตลอดชีวิต ถ้าไม่ได้ศึกษาพระธรรม ว่าพรคือสิ่งที่ประเสริฐ เพราะฉะนั้นถ้าสิ่งใดก็ตามที่ประเสริฐหรือสิ่งใด และได้รับคือได้รับพรแล้วค่ะจากใครก็ตาม
พรที่ประเสริฐที่สุดพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ให้พุทธบริษัทคือสาวกผู้ฟัง ไม่มีคำเท็จ ไม่มีคำไม่จริงเลยนะคะ ทุกคำเป็นวาจาสัจจะ เป็นคำจริงที่จะนำไปสู่ญาณสัจจะ คือปัญญาที่สามารถที่จะเข้าใจถูก เห็นถูกในความจริง ที่ได้ฟังนะคะ ไตร่ตรองจนกระทั่งเป็นความเข้าใจ
แล้วจะไปไหนกันล่ะคะ ก็สู่มรรคสัจจะไปสู่ทางที่จะรู้ความจริงตามที่ได้เข้าใจแล้ว เพราะฉะนั้นทุกอย่างต้องมีเหตุค่ะ ไม่ใช่ไม่มีเหตุ ในครั้งพุทธกาลนะคะ ผู้ที่เข้าใจเรื่องความดีหรือว่าพรสิ่งที่ประเสริฐนี่คะ ถ้าจะขอพรจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเช่นวิสาขามิคารมารดาเป็นต้นนะคะ
ท่านขอโอกาสที่ท่านจะได้กระทำพรคือสิ่งที่ประเสริฐที่จะนำความสุขด้วยความรอดพ้นจากทุกข์ ปลอดจากทุกข์ พ้นจากทุกข์มานะคะ โดยขออนุญาตพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากระทำสิ่งที่เหมาะสมควรที่ท่านจะกระทำได้
เพราะฉะนั้นพรที่คนอื่นขอเนี่ย ไม่ได้ขอที่จะทำความดีด้วยนะคะ แต่ขอที่จะได้ แล้วจะได้มายังไง ใครจะเอาความดีมาให้ ถ้าไม่ได้ทำเอง คุณคำปั่น คงจะมีหลายเรื่องที่จะทำให้ได้เข้าใจตัวอย่างในครั้งพุทธกาลนะคะ ที่ท่านเหล่านั้นได้ขอโอกาสที่จะทำความดีค่ะ
อ.คำปั่น กราบท่านอาจารย์ครับ ก็ขอยกตัวอย่างนางวิสาขามิคารมารดาซึ่งจริงๆ แล้วนะครับ ท่านก็เป็นพระอริยะบุคคลตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ เป็นผู้ที่มีศรัทธามั่นคงในพระพุทธศาสนานะครับ แล้วก็เป็นผู้ที่มีอัธยาศัยในการที่จะให้ทานอยู่เป็นประจำนะครับ ซึ่งนางวิสาขาเนี่ยนะครับ ก็เข้าไปกราบทูลขอโอกาสที่จะได้เจริญกุศล ขอพรทั้ง ๘ ประการ
ประการแรกก็คือท่านมีความประสงค์ที่จะถวาย อาคัณตุกภัต อาคันตุกะนี่ครับ หมายถึงผู้จรมา ตามความเป็นจริงแล้วนะครับ ผู้ที่จะไปสู่ที่อื่นๆ นี่นะครับ การแสวงหาอาหารสำหรับพระภิกษุที่ไม่ชำนาญในหนทาง ไม่ชำนาญในเส้นทางการบิณฑบาต ก็จะเป็นผู้มีชีวิตที่ลำบาก ท่านก็ขอโอกาสที่จะได้ถวายอาคันตุกภัต คือภัตแก่ภิกษุผู้จรมา
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1741
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1742
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1743
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1744
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1745
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1746
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1747
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1748
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1749
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1750
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1751
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1752
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1753
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1754
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1755
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1756
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1757
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1758
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1759
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1760
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1761
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1762
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1763
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1764
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1765
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1766
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1767
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1768
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1769
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1770
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1771
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1772
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1773
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1774
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1775
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1776
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1777
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1778
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1779
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1780
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1781
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1782
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1783
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1784
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1785
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1786
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1787
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1788
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1789
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1790
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1791
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1792
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1793
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1794
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1795
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1796
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1797
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1798
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1799
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1800
