ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1386
ตอนที่ ๑๓๘๖
สนทนาธรรม ที่ โรงแรมชัยคณาธานี จ.พัทลุง
วันที่ ๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๑
ท่านอาจารย์ วันหนึ่ง จากการเริ่มเข้าใจธรรม ก็สามารถจะประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรมได้ แต่ต้องเข้าใจขึ้นๆ ทีละเล็กทีละน้อย ก่อนฟังธรรม คิดว่าพระพุทธศาสนามีอะไรบ้าง คืออะไรบ้าง ทำอะไรบ้าง
ผู้ฟัง คิดว่า ทำความดีกับความชั่ว ความดีก็มีความชั่วก็มี
ท่านอาจารย์ นี่คือสำหรับทุกคนไม่ว่าจะนับถือศาสนาอะไร เป็นธรรมดา สะสมมาที่จะดีบ้าง ชั่วบ้าง เพราะฉะนั้นก็ไม่ใช่การที่เราจะบอกว่า เราเป็นชาวพุทธแล้วทำดีบ้าง ชั่วบ้าง เป็นใครก็ทำอย่างนี้เหมือนกันหมด แต่ถ้าเราบอกว่าเรานับถือพระพุทธศาสนา แล้วเราทำอะไรบ้างในชีวิตประจำวัน ก่อนฟังธรรมเรานับถือหรือเปล่า ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระองค์เลย แล้วบอกว่านับถือก็เป็นไปไม่ได้ ใช่ไหม แต่เมื่อไม่ได้ฟังธรรมแล้วทำอะไรที่เข้าใจว่า เป็นการนับถือพระพุทธศาสนา จะได้รู้ว่าก่อนฟังธรรมไม่รู้จักพระพุทธศาสนา ก่อนฟังธรรม วันหนึ่งๆ ทำอะไรบ้าง
ผู้ฟัง คิดในสิ่งที่ดีงาม แล้วก็สวดมนต์ไหว้พระ
ท่านอาจารย์ การศึกษาธรรมต้องทีละคำ มีคำว่าสวด มีคำว่ามนต์ มีคำว่าไหว้ แล้วก็พระ จะเริ่มคำไหน
ผู้ฟัง ไหว้พระก่อน
ท่านอาจารย์ ไหว้พระก่อน คนที่จะเข้าใจพระธรรม ไม่จำกัดเลยว่าจะเป็นคฤหัสถ์ หรือจะเป็นภิกษุ หรือบรรพชิต ใครก็ได้ ฟังแล้วก็ไตร่ตรอง และเข้าใจได้ทั้งนั้น ไม่ว่าเขาเป็นใคร เพราะฉะนั้นคนที่เข้าใจธรรม ไม่บวชได้ไหม
ผู้ฟัง ได้
ท่านอาจารย์ ได้ เพราะฉะนั้น คนที่เข้าใจธรรมในครั้งพุทธกาลที่ไม่บวช และรู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระอริยบุคคลมาก เช่น หมอชีวกโกมารภัจจ์เป็นพระโสดาบัน ไม่ได้บวชเลย ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีก็เป็นพระโสดาบันก็ไม่ได้บวช ท่านก็ค้าขายเป็นปกติ วิสาขามิคารมารดาก็ไม่ได้บวช ขุชชุตตราก็ไม่ได้บวช แต่ว่ารับใช้พระนางสามาวดี และเข้าใจธรรม แล้วก็กล่าวธรรมให้คนอื่นได้เข้าใจ ดังนั้นคนที่เข้าใจธรรมที่ไม่บวชก็มี ใช่ไหม แล้วทำไมบวช
ผู้ฟัง เพราะคิดว่าอาจจะดีกับตัวเอง ก็เลยคิดที่จะตัดสิ่งรอบด้าน คือโลภ โกรธหลงต่างๆ เพื่อจะไปปฏิบัติให้ดีกว่าที่ตัวเองเป็นอยู่ เพราะเริ่มที่จะเข้าใจว่าธรรมดีอย่างไร ประมาณนั้น
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก่อนบวชต้องได้ฟังธรรม ต้องเข้าใจธรรมจึงรู้ว่าธรรมดี ใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ เพราะว่าก่อนฟังธรรม เป็นเราใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ เราเป็นคนดี เราสวดมนต์ เราไหว้พระ เป็นเราหมด แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เราต้องสนใจที่จะเข้าใจให้ถูกต้อง ไม่ใช่ฟังเผินๆ เพราะเหตุว่า พระองค์ตรัสรู้สิ่งที่ลึกซึ้ง เพราะฉะนั้น คำของพระองค์เป็นคำเดียวกับที่เราพูด เราก็พูดคำว่าธรรม พระองค์ก็ตรัสว่าธรรม แต่ปัญญาต่างกันระดับไหน ระดับพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า กับระดับที่ยังไม่ได้ฟังธรรม ยังไม่รู้ว่าไม่มีเรา แต่มีธรรม เพราะฉะนั้น ต้องมั่นคงที่จะเข้าใจยิ่งขึ้นจึงจะเป็นผู้ที่เป็นสาวก คือผู้ฟัง เพื่อได้เข้าใจพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนกระทั่งมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ไม่มีคำของคนอื่นเป็นที่พึ่ง แต่ต้องเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้ายังคงมีเราอยู่ เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่ใช่
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ ใช่ไหม ก็คือ เริ่มรู้จักว่า ศาสนา คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ มาจากพระปัญญาที่ได้ทรงตรัสรู้ ดังนั้นจึงเป็นคำที่ยากที่ใครจะเข้าใจได้ง่ายๆ โดยไม่ไตร่ตรองและมั่นคง เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ไม่มีเรา แต่สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้มีแน่นอน และสิ่งนั้นจะเป็นเราไม่ได้ เพราะเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย แล้วก็ดับไป
เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่มีแยกออกและให้ละเอียดเป็นแต่ละหนึ่ง เเต่ละหนึ่งนั้นมีปัจจัยเฉพาะที่จะเกิดเป็นสิ่งนั้น ไม่เป็นสิ่งอื่น เกิดแล้วก็ดับไป ซึ่งแสดงความไม่ใช่เรา เป็นอนัตตามากขึ้น ไม่ใช่ให้เราไปทอดกฐิน หรือว่าไปทำอะไร ซึ่งไม่ได้เข้าใจธรรม ต้องรู้ทุกคำ แม้แต่กฐินคืออะไร ธรรมคืออะไร เราจึงจะเป็นผู้ที่ฟังพระธรรม และเป็นผู้ที่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
ถ้าตราบใดเรายังไม่เข้าใจ เราไม่ได้มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ต่อเมื่อไหร่เริ่มเข้าใจ เราจึงมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระธรรม และมีผู้ที่เป็นพระอริยบุคคลเป็นที่พึ่ง ไม่ใช่ว่าเพียงฟัง แล้วจะเป็นคนดีจึงบวช ไม่บวชก็เป็นคนดีได้ เข้าใจธรรมแล้วไม่บวช แต่บวชแล้วไม่เข้าใจธรรม อะไรถูกต้อง
ผู้ฟัง ไม่บวชดีกว่า
ท่านอาจารย์ ไม่บวชดีกว่า เพราะฉะนั้นเริ่มเป็นผู้ที่ตรง สัจจะบารมี ข้อความในพระไตรปิฎกมีว่า ถ้าไม่เป็นผู้ที่ตรง ไม่ได้สาระจากพระธรรม เพราะพระธรรมตรง ผิดคือผิด ถูกคือถูก ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีความเห็นผิดๆ มากมาย มีคนเชื่อถือมากมาย มีครูหลายคน แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริง ท่ามกลางความเชื่อของคนที่ไม่เคยฟังคำของพระองค์ จึงเข้าใจผิด ก่อนฟังพระธรรมจะมีผู้ที่เข้าใจถูก เห็นถูกในสิ่งที่มีจริง ได้ไหม
ผู้ฟัง อาจจะได้ แต่คงจะไม่ที่สุด
ท่านอาจารย์ ถ้าอาจจะได้ ก็ไม่ต้องมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ลองคิดดู ถ้าเป็นไปได้ ไม่ต้องมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เพราะเป็นไปไม่ได้ จึงต้องอาศัยคำของผู้ที่ทรงบำเพ็ญพระบารมีที่จะรู้ความจริง
เพราะฉะนั้นทุกคนที่ฟังธรรม เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่นเลย เพื่อรู้ความจริง เพื่อเข้าใจความจริง จะได้ไม่หลงผิด และก็รู้ว่าถ้าฟังคำอื่นที่ไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่ได้เข้าใจถูกเลย ดังนั้นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครพูดก็เป็นความจริงทุกคำ เพราะเป็นคำของพระองค์ ไม่ใช่คำที่คนนั้นคิดขึ้นเอง แต่ต้องไตร่ตรอง พิจารณาจนกระทั่งเข้าใจมั่นคงด้วย เพราะฉะนั้น พระพุทธศาสนาจะดำรงอยู่ต่อไปได้ด้วยอะไร
ผู้ฟัง ด้วยสาธุชน หรือว่าคนในโลกนี้ ต้องเข้าใจลึกซึ้งถึงคำสอนของพระพุทธองค์ และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดถูกต้อง ไม่แปรเปลี่ยนให้ธรรมเป็นอย่างอื่น
ท่านอาจารย์ ถูกต้องอย่างยิ่งเลย แต่ต้องพิจารณาโดยความละเอียดยิ่ง ทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแล้ว เปลี่ยนได้ไหม
ผู้ฟัง เปลี่ยนไม่ได้
ท่านอาจารย์ พระวินัย พระสูตร พระอภิธรรม ต้องสอดคล้องกันทั้งหมด ใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นคำใดที่ไม่สอดคล้องกัน ไม่ใช่คำที่ถูกต้อง เราเข้าใจผิด ต้องเข้าใจให้ถูกต้องด้วยความเป็นผู้ตรง จึงสามารถที่จะดำรงรักษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ถ้าชาวโลกไม่ศึกษาธรรม เข้าใจผิด คิดเองต่างๆ นานา จะเป็นพระพุทธศาสนาได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ก็เป็นโอกาสที่เราจะได้เป็นผู้ที่ตรง ด้วยเหตุนี้ ในเมื่อคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านำมาซึ่งความเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่ว่าใครได้ฟังแล้วพิจารณาไตร่ตรอง ถึงไม่บวชก็เป็นพระอริยบุคคลได้ ถูกต้องไหม
ผู้ฟัง ถูกต้อง
ท่านอาจารย์ แล้วคนที่ไปบวชต้องเข้าใจธรรม ใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ คำว่าบวช ปะวะชะ ในภาษาบาลี ภาษาไทยก็บวชหรือบรรพชา ปัพพะชะ หมายความว่าอะไร เราไม่คิดธรรมเอง ความลึกซึ้งของพระธรรม เราจะได้สาระ และเป็นผู้ที่มีพระธรรมเป็นที่พึ่ง ต่อเมื่อเราคิดไตร่ตรองคำที่พระองค์ได้ตรัสไว้ เพราะฉะนั้น ปะวะชะ บวชก็พูดกันบ่อย ใช่ไหม คนนั้นก็บวช คนนี้ก็บวช แต่บวชคืออะไรในพระพุทธศาสนา ในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บวชคืออะไร
ผู้ฟัง บวช คือการที่จะเข้าไปศึกษาความจริงที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ และปฏิบัติให้จริงตามที่พระองค์สั่งสอน
ท่านอาจารย์ ไม่บวชก็ฟังได้ เพราะฉะนั้นทำไมบวช เพราะไม่เข้าใจคำว่าบวช จึงบวชกันมากมายใช่ไหม แต่ถ้ามีความเข้าใจแล้ว
ผู้ฟัง ไม่ต้องบวชก็ได้
ท่านอาจารย์ และถ้ามีความเข้าใจแล้วจะรู้ว่าบวชได้ หรือบวชไม่ได้ ถ้าไม่เข้าใจธรรม บวชได้ไหม ถ้าบวชจะเป็นบวชไหม ในเมื่อไม่เข้าใจธรรม ในเมื่อไม่เข้าใจคำว่าบวช จะเป็นบวชไหม
ผู้ฟัง ไม่เป็น
ท่านอาจารย์ ไม่เป็น เพราะฉะนั้นคำว่าบวช หมายความว่าสละทั่ว ปะวะชะ สละทั่ว ทั่วคือไม่เว้น สละอะไรบ้าง สละบ้าน วงศาคณาญาติ ครอบครัว ทรัพย์สมบัติ กิจธุระหน้าที่ของคฤหัสถ์ทั้งหมด เพราะเห็นคุณของการที่ชีวิตสั้น และคนนั้นสะสมมา ที่สามารถจะละอาคารบ้านเรือน วงศาคณาญาติ เพื่อที่จะอุทิศชีวิต ศึกษาให้เข้าใจธรรม ประพฤติปฏิบัติตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้ นั่นคือ ปะวะชะ คือบวช แต่ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุนี้จะเป็นบวชหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่ใช่
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ เพราะฉะนั้นที่บวชกันโดยไม่เข้าใจบวช มีไหม ไม่เข้าใจว่าเป็นการสละ ไม่เข้าใจว่าเป็นการละสมบัติ ไม่เข้าใจว่าต้องละกิจของคฤหัสถ์เพื่อศึกษาธรรม
ผู้ฟัง มีมากเลย
ท่านอาจารย์ มีมาก เป็นความถูกต้อง ก็ขออนุโมทนาที่เป็นผู้ตรง ซึ่งจะดำรงพระศาสนาไว้ได้ก็ต่อเมื่อมีความเข้าใจพระธรรม และตรงต่อพระธรรม เพราะฉะนั้นถ้าใครบวช เพียงอยากบวช เป็นบวชหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่ใช่
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ ถ้าบวชแล้วไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ผู้นั้นบวชหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่บวช
ท่านอาจารย์ ถ้าผู้นั้นบวชแล้วไม่ศึกษาธรรม ไม่เข้าใจธรรม บวชหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่บวช
ท่านอาจารย์ เพียงแต่เข้าใจว่าตัวเองบวช และคิดว่าบวช ชาวพุทธก็เข้าใจว่า บวช คือใครก็ได้บวช แต่ความจริงไม่ใช่ การบวชต้องตามพระธรรมวินัย มิฉะนั้นเป็นโทษกับตนเองเพราะเป็นผู้ไม่ตรง นี่ก็คือชาวพุทธเริ่มเข้าใจพระพุทธศาสนา คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเรื่องขัดเกลาสิ่งที่นำมาซึ่งความเป็นเพศคฤหัสถ์ สู่เพศบรรพชิตต้องสละหมด
ผู้ฟัง ที่อาจารย์พูดว่าไม่จำเป็นต้องบวช คือถูกต้อง เป็นสามัญชนก็ได้ ถ้าเข้าใจความลึกซึ้งของคำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะว่าพระพุทธเจ้าคือวิทยาศาสตร์ เป็นสิ่งที่ถูกต้อง พิเศษแน่เลย แล้วเรื่องพิธีกรรมไสยศาสตร์ทำให้มีปัญหา คำตอบว่าพุทธศาสนาที่ชาวพุทธไม่รู้จักก็คือสาวกของพระพุทธเจ้า
ท่านอาจารย์ ก็ขอให้คิดอีกคำหนึ่ง พระพุทธศาสนาเหนือวิทยาศาสตร์ และศาสตร์ใดๆ ทั้งหมดในสากลจักรวาล เปรียบไม่ได้เลย เพราะว่าผู้ที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ ยังไม่สามารถที่จะรู้ความจริงอย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ เพราะฉะนั้นเวลาที่ศึกษาธรรม วิทยาศาสตร์เป็นเรื่องเล็กมาก ไม่ได้กล่าวถึงธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดง โดยละเอียดอย่างยิ่ง โดยประการทั้งปวง ทั้งนามธรรมและรูปธรรม
ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่มีพระพุทธศาสนาเป็นที่พึ่งอย่างแท้จริง จริงใจ ก็คือ ไม่มีผู้ใดทั้งสิ้นที่จะเหนือกว่าคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยมากยุคนี้จะคิดว่าวิทยาศาสตร์สูงสุด แต่ความจริงไม่ใช่ ยังต้องเปลี่ยน ยังต้องปรับ ยังต้องแก้ ยังต้องค้นพบอะไรอีกมากมาย แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรมทุกประการถึงที่สุด โดยประการทั้งปวง จึงเป็นที่เคารพอย่างยิ่งเหนือสิ่งใดทั้งหมด และการเคารพสูงสุดก็คือ การศึกษาธรรมให้เข้าใจ จะไปกราบไหว้สักเท่าไหร่ก็คือไม่ได้เข้าใจธรรม นั่นไม่ใช่การเคารพ เพราะว่าพระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมี เพื่อที่จะตรัสรู้สิ่งซึ่งคนอื่นไม่สามารถจะรู้ได้ด้วยตัวเอง เมื่อได้ทรงตรัสรู้แล้วก็ได้ทรงแสดงพระธรรม ไม่ใช่ให้ไปจุดธูปกราบไหว้บูชาด้วยดอกไม้ของหอม แต่ว่าต้องเข้าใจธรรม เพราะเหตุว่าถ้าเพียงแต่บูชาด้วยดอกไม้ของหอม แต่ไม่ศึกษาธรรมเลย จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม
ดังนั้นเมื่อเข้าใจพระธรรมแล้ว บูชาด้วยทุกอย่าง ทั้งอามิสบูชา เครื่องหอม ดอกไม้ธูปเทียนก็ตาม แต่ไม่เสมอกับการเข้าใจพระธรรม ซึ่งเป็นธรรมบูชา เพราะฉะนั้นก็ต้องเป็นความละเอียดอย่างยิ่ง ขัดเกลาความไม่รู้ ความเข้าใจผิด จนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจขึ้น นี่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งของการสนทนาธรรมเพราะเป็นมงคล ทำให้มีความเข้าใจ ต่างคนก็ต่างอ่าน ต่างคนก็ต่างคิด ก็มาร่วมกันพิจารณาว่าสิ่งใดถูก รับสิ่งที่ถูก แล้วก็ทิ้งสิ่งที่ผิด
เพราะฉะนั้นถ้าบวชโดยไม่เข้าใจธรรม ไม่ใช่บวช เพราะไม่ได้สละกิเลสใช่ไหม แต่ว่าเมื่อฟังแล้วรู้ว่า มีความไม่รู้อีกมากนำมาซึ่งกิเลสทั้งหลาย และชีวิตก็สั้น และผู้นั้นต้องสะสมปัญญาที่สามารถที่จะสละเพศคฤหัสถ์ และก็ขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต จึงจะเป็นการบวช
พุทธบริษัทในครั้งพุทธกาลมี ๔ มี ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา แต่ต้องรู้พระพุทธประสงค์ที่ไม่ประสงค์ให้สตรีบวช แม้ท่านพระอานนท์จะกราบทูลครั้งแรกก็ไม่ทรงอนุญาต เพราะว่าการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม เป็นพระโสดาบันในเพศคฤหัสถ์ได้ เป็นพระอนาคามีสูงขึ้นอีก ดับกิเลสได้มากขึ้นอีกในเพศคฤหัสถ์ก็ได้ เป็นพระอนาคามี ดับการติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส สิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้นกาย ได้ก็จริง ต่อเมื่อไหร่เป็นพระอรหันต์จะเป็นคฤหัสถ์อีกต่อไปไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ ในยุคหลังๆ ต่อมา ไม่มีใครที่สะสมมาที่เป็นผู้หญิงที่จะถึงความเป็นพระอรหันต์ได้ จึงไม่จำเป็นต้องบวช เพราะว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเล็งเห็นโทษของการที่จะให้สตรีบวชในพระพุทธศาสนา เป็นเพศบรรพชิต ซึ่งเป็นเพศที่สูงยิ่ง ต้องอาศัยหลายอย่างที่จะดำรงความเป็นเพศบรรพชิตได้ ซึ่งไม่เหมาะแก่สตรีเพศ แต่ว่าสามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้
เพราะฉะนั้น ไม่บวชก็รู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ ไม่ว่าเพศใดทั้งสิ้น ไม่ว่าหญิงหรือชาย โดยคนที่บวชต้องจริงใจที่จะอุทิศชีวิต เพื่อที่จะดำเนินตามรอยพระบาทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตามที่พระองค์ได้ทรงบัญญัติสิกขาบทไว้ ดังนั้นไม่ได้หมายความว่าเฉพาะภิกษุเท่านั้นที่จะศึกษา และประกาศคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้แต่คฤหัสถ์ซึ่งเป็นเอตทัคคะ เพราะว่าได้ศึกษาแล้ว ก็สามารถที่จะกล่าวความจริง คำจริง ให้คนอื่นเข้าใจได้
ด้วยเหตุนี้พระธรรมวินัยไม่ได้จำกัด ไม่มีว่าจะต้องเป็นบุคคลนั้น บุคคลนี้ หรือแม้เถรสมาคมในครั้งพุทธกาลไม่มี เพราะว่าการเป็นเถระ ไม่ใช่โดยการแต่งตั้ง แต่เถระคือความมั่นคงในความเข้าใจ ในความเห็นถูก สมัยนั้นท่านพระอานนท์เถระ ท่านพระกัสสปเถระ ท่านพระอนุรุทธเถระ ท่านพระมหาโมคคัลลานเถระ เถระ ต้องเป็นผู้ที่มั่นคงถึงความเป็นพระอรหันต์
เพราะฉะนั้น พระธรรมวินัยเป็นศาสดาแทนพระองค์ ไม่ได้ทรงแต่งตั้งใครเลยทั้งสิ้นให้เป็นศาสดาแทนพระองค์ แต่พระธรรมวินัยทั้งหมดเป็นศาสดาแทนพระองค์ ด้วยเหตุนี้คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้จำกัดเฉพาะบริษัทที่เป็นภิกษุ แต่พุทธบริษัททั้งหมดควรที่จะศึกษาเข้าใจ เมื่อพุทธบริษัทพร้อมเพรียงกัน มีความเข้าใจธรรมถูกต้อง พระองค์จึงปรินิพพาน
แสดงให้เห็นว่า ทั้งภิกษุ และคฤหัสถ์สามารถที่จะดำรงพระศาสนาได้ ไม่ใช่มอบพระศาสนาไว้ให้บริษัทหนึ่งบริษัทใด ด้วยเหตุนี้ แม้คฤหัสถ์ก็ควรที่จะเข้าใจพระวินัยของพระภิกษุตามสมควร เพราะเหตุว่าพระวินัยละเอียดมาก เหมือนกับธรรมทั้งหลายที่ละเอียด เพราะว่าพระวินัยก็เป็นธรรม เพราะฉะนั้นจึงมีพระวินัยธร
แม้ในครั้งพุทธกาล ท่านพระอุบาลีเป็นเอตทัคคะในพระวินัย ก็แสดงให้เห็นความลึกซึ้งของพระวินัยว่า ไม่ใช่ว่าเราจะขาดความเคารพ ไม่ศึกษาและคิดว่าเราสามารถที่จะดำรงพระศาสนาได้ แต่พระวินัยก็คือธรรม และก็เป็นการขัดเกลากิเลสด้วย
ด้วยเหตุนี้ ชาวบ้านพุทธบริษัทในครั้งนั้นรู้พระธรรมวินัย ภิกษุทำผิด เป็นหน้าที่ของคฤหัสถ์ที่จะเพ่งโทษให้รู้ว่าเป็นโทษ สิ่งนี้ทำไม่ได้ ติเตียน ทำไม่ได้ ไม่เหมาะควรแก่การที่จะเป็นภิกษุในธรรมวินัย และโพนทะนา หมายความว่าประกาศให้รู้ทั่วกันว่า มีการประพฤติที่ผิดตามพระธรรมวินัยอย่างนี้ อย่างนี้ พุทธบริษัททั้งหมดก็พร้อมกันที่จะศึกษาธรรมและอนุเคราะห์พระศาสนาด้วยการที่เมื่อบริษัทใดทำไม่ถูกต้อง ก็กล่าวสิ่งที่เป็นประโยชน์ เพื่ออนุเคราะห์ให้เขาได้เข้าใจถูกต้องและทำสิ่งที่ถูกต้อง
เพราะฉะนั้น ไม่ได้มอบพระพุทธศาสนาให้แก่บริษัทหนึ่ง บริษัทใดเลย คฤหัสถ์ก็สามารถที่จะรู้ธรรม ภิกษุที่บวชแล้วที่ไม่รู้แจ้งธรรมก็มี ไม่ได้จำกัดว่าเพศไหนที่จะเป็นผู้ที่จะดำรงรักษาพระศาสนา แต่ที่พระภิกษุเป็นประมุข เป็นหัวหน้า ก็เพราะเหตุว่าท่านสละชีวิตเพื่อที่จะศึกษา และขัดเกลากิเลส ในขณะที่คฤหัสถ์ก็ยังมีกิจหน้าที่ของคฤหัสถ์ ซึ่งสามารถจะเข้าใจธรรมได้
ผู้ฟัง เราในฐานะเป็นคฤหัสถ์ เราจะช่วยส่งเสริมพระวินัย ให้ภิกษุได้รักษาพระธรรมวินัยได้อย่างไร เช่น ภิกษุที่รับเงินรับทองไปแล้ว
อ.ธีระพันธ์ จริงๆ แล้วก็ต้องเริ่มจากตัวเราก่อนเลยที่จะฟังธรรม ศึกษาธรรม ศึกษาพระวินัยโดยถูกต้อง เพราะฉะนั้นการที่เราศึกษาธรรมวินัยก็เป็นการดำรงคำสอน แต่ว่าต้องเป็นความเข้าใจจริงๆ จะไม่ถวายเงิน เเต่ถวายสิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่สมควรแก่เพศบรรพชิตเท่านั้น เงินทองไม่สมควรแก่สมณะเชื้อสายพระศากยบุตร
ท่านอาจารย์ จริงๆ ถ้าพุทธบริษัทศึกษาพระธรรมวินัย จะไม่ให้เงินพระภิกษุเลย ถูกต้องไหม เริ่มต้นตั้งแต่ทันทีที่เข้าใจ เพื่อที่จะดำรงพระศาสนาไว้ เพราะฉะนั้นก็ต้องมีความเข้าใจถูกต้องว่า ทำไมเราไม่ให้ เพราะเหตุว่าผู้ที่เป็นภิกษุต้องไม่มีทรัพย์สมบัติ ถ้ามีทรัพย์สมบัติอย่างคฤหัสถ์ก็ต้องยินดีจึงมี เพราะว่าเงินทองมีไว้ทำไม ถ้าไม่ไปซื้อสิ่งที่เราต้องการ เป็นรูป เสียง กลิ่น รส สิ่งที่เราได้มาจากการสัมผัส ชีวิตดำเนินอยู่ทุกวัน เงินทองจะมีประโยชน์อะไรถ้าไม่สามารถที่จะไปซื้อ นำมาซึ่งสิ่งที่เราต้องการ แสดงว่าผู้ที่มีเงิน ใช้เงินเพื่อได้สิ่งที่ต้องการ ยังติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เพราะฉะนั้นผู้ที่ยังยินดีติดข้องไม่ใช่บรรพชิต ไม่ใช่ภิกษุ ไม่ใช่ผู้สละ ไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัย
ถ้าเข้าใจอย่างนี้เราจะไม่ทำลายพระศาสนา และไม่ทำลายภิกษุรูปนั้น เพราะเหตุว่าภิกษุใดก็ตามที่ประพฤติผิดพระวินัย ใช้คำว่าอาบัติ เป็นโทษ ถ้าตราบใดที่ยังไม่สำนึก ยังไม่เห็นโทษ ยังไม่ปลงอาบัติ คือกระทำคืน โดยการที่แสดงอาบัติ ประกาศว่าตนได้กระทำผิดอย่างไร เพื่อให้สงฆ์รับรู้ และก็สามารถที่จะกลับเป็นภิกษุนั้นได้อีก เมื่อไปปลงกับสงฆ์
การที่จะพ้นผิดมีหลายวิธี ตั้งแต่อาบัติเล็กน้อย จนกระทั่งอาบัติมาก จนถึงอาบัติที่ปลงไม่ได้คือ ปาราชิก ใครจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม ทันทีที่ผิดจะเป็นภิกษุต่อไปไม่ได้ หรือผู้นั้นลาสิกขาไปแล้วก็อยากจะมาบวชใหม่ เป็นไปไม่ได้เลย หมายความว่าเหมือนคนหัวขาด ทันทีที่ได้อาบัติปาราชิก จะบวชเป็นพระภิกษุในพระธรรมวินัยอีกไม่ได้ตลอดชีวิต
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1381
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1382
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1383
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1384
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1385
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1386
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1387
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1388
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1389
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1390
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1391
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1392
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1393
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1394
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1395
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1396
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1397
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1398
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1399
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1400
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1401
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1402
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1403
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1404
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1405
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1406
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1407
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1408
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1409
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1410
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1411
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1412
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1413
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1414
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1415
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1416
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1417
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1418
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1419
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1420
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1421
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1422
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1423
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1424
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1425
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1426
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1427
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1428
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1429
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1430
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1431
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1432
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1433
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1434
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1435
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1436
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1437
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1438
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1439
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1440
