ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1408
ตอนที่ ๑๔๐๘
สนทนาธรรม ที่ บ้านนายแพทย์ทวีป และคุณพรทิพย์ ถูกจิตร
วันที่ ๑๐ ธันวาคม พุทธ ศักราช ๒๕๖๑
ท่านอาจารย์ แม้ในขณะนี้นะคะ สำหรับผู้ที่อบรมมาแล้วสติสัมปชัญญะเกิดสลับกับสภาพอื่นได้ตลอดหมดทุกขณะ โดยเลือกไม่ได้ด้วยค่ะ แล้วก็เป็นปกติด้วย เร็วมาก แล้วใครจะรู้ค่ะขณะนี้นะคะ ถ้าโดยนัยของพระอภิธรรมเนี่ย สภาพธรรมเนี่ยเกิดดับประมาณไม่ได้เพราะอะไรคะ ยังไม่ถึงเสี้ยววินาที คนเท่าไหร่ นั่งอยู่ที่นี่ และไม่ได้มีแต่คนนะคะ ดอกไม้อีกกี่ดอก
กว่าจะเป็นอย่างนี้ได้นะคะ จิตต้องเกิดขึ้นทีละหนึ่ง จนกว่าจะปรากฏรวมกันเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้นไม่มีใครไปประมาณการเกิดดับสืบต่อของจิต เร็วสุดที่จะประมาณได้ แต่ให้รู้ว่านะคะ แม้อย่างนั้นสิ่งที่ปรากฏนี่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่านิมิต หมายความว่าเพียงหนึ่งที่เกิดและดับ ไม่มีทางที่จะรู้ได้
แม้การแสดงโดยอภิธรรมนะคะ วิถีจิตก็ไม่มีปัญญาไปเกิดแทรกวิถีจิตแต่ละหนึ่งได้ จะต้องเป็นไปตามวิถีจิตที่จะต้องเป็นไป เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็น จริงๆ นะคะ ว่า ทุกครั้งที่อะไรปรากฏนั้นคือ นิมิต คนไทยก็บอกว่าฝันใช่ไหมคะ นิมิตของสิ่งหนึ่งสิ่งใด และสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิด หมายความว่านิมิตคืออาการที่ปรากฏ อย่างขณะนี้ค่ะ ใครจะไม่เห็นเป็นดอกไม้หนึ่งดอกได้ไหม
อ.วิชัย ไม่ได้ครับ เพราะจิตคิดไปแล้ว
ท่านอาจารย์ ไม่มีทางเลยนะคะ เพราะว่าต้องเป็นนิมิตทุกอย่าง ไม่ว่าอะไรทั้งสิ้น นี่ยังเป็นนิมิตเลยค่ะ เห็นไหมคะ ฉีกเอาไปให้เล็กเท่าไหร่ก็ยังเป็นนิมิต เพราะฉะนั้นให้เข้าใจความหมายของคำว่านิมิตว่า ถ้าไม่มีปรมัตถธรรม สภาพที่เป็นจิต เจตสิก รูป นะคะ ก็จะไม่มีนิมิตของรูป ไม่มีนิมิตของเวทนา ไม่มีนิมิตของสัญญา ไม่มีนิมิตของสังขาร ไม่มีนิมิตของวิญญาณ
ทรงแสดงโดยนัยของขันธ์ ๕ แสดงให้เห็นว่าตลอดเวลาเนี่ยเราอยู่ในโลกของนิมิต ด้วยความไม่รู้ ด้วยความหลงตลอดนะคะ แล้วก็เหมือนกับว่าชาตินี้สำคัญเหลือเกิน พอถึงชาติหน้าไม่รู้จักเลย ชาติก่อนเป็นยังไง ทุกข์ยาก ลำบาก สุขสบาย ยังไงก็ไม่รู้นะคะ และตอนนี้ทำไมสำคัญนักหนา อีกไม่นานก็หมดแล้ว อีกไม่นานก็ถึงชาติหน้าแล้ว อีกไม่นานก็ไม่รู้ว่าชาตินี้เดี๋ยวนี้มีอะไรแล้ว
เพราะฉะนั้นแต่ละอย่าง แต่ละอย่างเนี่ยนะคะ ที่ได้เข้าใจเนี่ยจะค่อยๆ ทำหน้าที่ เช่นปัญญาที่เป็นขั้นฟังเนี่ยจะทำหน้าที่แค่ไหน ก็ทำหน้าที่แค่ไม่เข้าใจผิดนะคะ ฟังแล้วเข้าใจว่าอยู่ในโลกของนิมิตทุกขณะ มีจริงหรือเปล่า มีธรรมที่เกิดดับ แล้วไม่กลับมาอีกต่างหาก ค่อยๆ เข้าใจขึ้นนะคะ เพราะฉะนั้นไม่ว่าเราจะคิดถึงโดยนัยของความงาม
หรือโดยนัยของอะไรก็ตามทั้งหมดนะคะ ก็เป็นการพูดถึงสิ่งที่มีจริง ซึ่งสิ่งที่มีจริงที่เป็นรูปธรรมนี่คะ ที่น่าพอใจก็มี ที่ไม่น่าพอใจก็มี เพราะฉะนั้นสิ่งที่น่าพอใจ ใครจะบอกว่าไม่สวยก็เรื่องของเขา แต่เปลี่ยนลักษณะธรรมนั้นไม่ได้ ใครจะคิด จะยังไงก็ตามแต่นะคะ ธรรมนั้นต้องเป็นธรรมนั้น สิ่งที่ไม่น่าพอใจแต่คนชอบ รสไม่อร่อยเลย ขมมากก็ชอบนะคะ
มีใครเคยรับประทาน ลูกเนียง ไหม เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งรสชาติไม่น่าจะเป็นที่น่าพอใจเลยใช่ไหมคะ แต่บางคนก็ชอบ เพราะฉะนั้นก็แล้วแต่การสะสม แต่ละอัธยาศัย ตามที่สะสมมา แต่เปลี่ยนสภาพธรรมไม่ได้ เพราะฉะนั้นให้เข้าใจว่าธรรมต้องเป็นธรรมค่ะ จิตเป็นจิตไม่ใช่เรา เจตสิกเป็นเจตสิกไม่ใช่เรา รูปเป็นรูปไม่ใช่เรา
รูปที่น่าพอใจ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงแสดงไว้ว่ามีอิฏฐารมมณ อิฏฐารมณ์ รูปที่ไม่น่าพอใจก็เป็นอนิฏฐารมณ์นะคะ รูปที่น่าพอใจยิ่ง อติอิฏฐารมณ์ คือไม่ใช่ว่าเป็นคำเปล่าๆ แต่ว่าตามความเป็นจริงของสิ่งนั้น แต่ก็เกิดดับ เพราะฉะนั้นกว่าสภาพธรรมนั้นจะปรากฏนะคะ และปัญญาต้องเพิ่มขึ้นด้วย
เพราะว่าถ้าปรากฏกับคนที่ยังไม่เคยมีการประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมเลย ที่จะถึงการเห็นว่าสิ่งนั้นที่ไม่เที่ยงนะ ไม่งาม ไม่น่าพอใจ อย่างพระอนาคามีก็เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องของปัญญานะคะ ซึ่งต้องตรง แต่ไม่ต้องหวังอะไรคะ เพราะเหตุว่าการฟังธรรมเพื่อไม่หวัง หวังคือเรา เพราะฉะนั้นหวังเมื่อไรก็เพิ่มความเป็นเราขึ้นเมื่อนั้นนะคะ
ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดคะ ฟังเพื่อเข้าใจ ไม่ใช่เรา แต่ความเข้าใจทำหน้าที่ของความเข้าใจตามลำดับ ความเข้าใจภาษาบาลีก็ใช้คำว่าปัญญา แต่ภาษาไทยก็คือว่ามีความเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง ขณะนั้นก็ไม่ใช่เราที่เข้าใจนะคะ เพราะเดี๋ยวก็เข้าใจ เดี๋ยวก็ไม่เข้าใจ เดี๋ยวก็เหมือนเดิม ใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่ตรง
อ.วิชัย ท่านอาจารย์ครับ ถ้ากล่าวถึงพระอนาคามีบุคคล ซึ่งท่านดับความยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ คือดับความยินดีพอใจในกาม ท่านก็ละสัญญาวิปลาส และจิตวิปลาสในสิ่งที่ไม่งามว่างามได้ แสดงว่าอกุศลที่สะสมทับถมกันมายาวนานนี่ครับ กว่าปัญญาที่จะค่อยๆ เจริญขึ้น ที่จะค่อยๆ ละวิปลาสเนี่ยก็ไม่ได้ละคราวเดียวทั้งหมดนะครับ ท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ คะ เพราะว่ากิเลสมากนะคะ จะดับทีเดียวหมดไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงเป็นพระโสดาบันเมื่อรู้แจ้งอริยสัจธรรมครั้งแรก ไม่ใช่พระอรหันต์ที่ดับกิเลสหมด แล้วก็ต้องเป็นไปตามการสะสมของแต่ละหนึ่ง แต่ละพระชาติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระราชาก็มีเป็นคนยากจนเข็ญใจก็มีนะคะ เป็นภิกษุบวชในธรรมวินัยก็มี
เพราะฉะนั้นเห็นกิเลสไหมคะว่าไม่ใช่ว่าจะเสมอกันไปทุกชาติ ว่าเป็นภิกษุทุกชาติ หรือว่าเป็นพระราชาทุกชาติ หรืออะไรนะคะ ธรรมไม่มีใครสามารถที่จะไปดลบันดาลอะไรได้เลยทั้งสิ้นค่ะ พอเข้าใจว่าเป็นธรรมเท่านั้นหมดจบ ไม่มีใครไปทำอะไรได้เลย มีแต่บทบาทของธรรมที่จะเกิดขึ้นเป็นไปในแต่ละชีวิตในแต่ละชาติเท่านั้น
แต่ละหนึ่งคน ชาติก่อนเป็นใครก็ไม่รู้ ชาติก่อนโน้น โน้นๆ เป็นใครก็ไม่รู้ ชาติหน้าเป็นใครก็ไม่รู้ โน้น โน้นๆ ต่อไปข้างหน้าเป็นใครก็ไม่รู้ สลับเปลี่ยนแปลงไป พอรู้ว่าเป็นธรรมไม่มีสิทธิ์ที่จะไปทำอะไรได้เลย ทำไมบางพระชาติเป็นภิกษุ ทำไมบางพระชาติเป็นพระราชา และจากนั้นไปเป็นนายมาตังคะ นี่คิดดู แต่นายมาตังคะนี่ก็น่าอัศจรรย์นะคะ มีปัญญาระดับที่สามารถที่จะทำอิทธิปาฏิหารย์ได้
เพราะฉะนั้นใครทำนายมาตังคะให้เป็นอย่างนั้น ไม่มีใครเลย แต่ละหนึ่งนี่คะ ไม่มีเราเป็นธรรมทั้งหมด และก็ต้องเป็นอย่างที่แต่ละธรรมทำให้เป็นไปด้วย อย่างขณะนี้ ฟัง เข้าใจว่าสภาพธรรมเนี่ยเกิดดับ แล้วก็หนึ่งอย่างที่ปรากฏนี่สามารถที่จะแตกย่อยออกไปเป็นส่วนละเอียดซึ่งเกิดดับ ฟังอย่างนี้ก็ยังสวยใช่ไหมคะ ก็ยังดี ก็ยังชอบเหมือนเดิม เพราะปัญญาอย่างไม่ได้ประจักษ์แจ้ง
แสดงให้เห็นความต่างของปัญญา เมื่อเป็นปัญญาของพระโสดาบัน ซึ่งประจักษ์แจ้ง สิ่งซึ่งไม่เคยประจักษ์เลย เช่นการเกิดดับจนกระทั่งรู้แจ้งอริยสัจธรรม ปัญญาระดับนั้นดับอะไร ก็ดับการที่เคยไม่รู้เลยว่าเนี่ยเกิดดับ ทุกอย่างเนี่ยที่ปรากฏนี่นะคะ ไม่ใช่ว่าวิปัสสนาญาณจะเกิดตลอดเวลา ขณะใดที่ประจักษ์แจ้งชัด ขณะนั้นเป็นวิปัสสนา แต่ว่าวิถีจิตก็ต้องเกิดไปตามที่ว่าต่อจากนั้นจะเป็นอะไรไม่ใช่ว่ามีวิปัสสนาญาณทั้งวันใช่ไหมคะ
เพราะฉะนั้นการที่ท่านมีปัญญาระดับหนึ่งที่ได้ประจักษ์แจ้งอริยสัจ อริยสัจ ๔ ไม่ได้เปลี่ยนเลยค่ะ เป็นอริยสัจ ๔ ตลอด ไม่ว่าใครจะรู้แจ้งแต่ปัญญาต่างหากที่ต่างกัน เพราะฉะนั้นปัญญาของผู้ที่เริ่มที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรม เช่นวิปัสสนาญาณที่ ๑ ก็ต้องต่างกับที่เคยมีในชีวิตประจำวันว่าไม่เห็นมีอะไรที่แยกขาดจากกันเลย แต่ว่าวิปัสสนานั้นสามารถที่จะสิ่งนั้นปรากฏกับปัญญานะคะ
สิ่งเดิม ไม่ได้แยกเลยนะคะ อย่างนี้เลยแต่ก็ปรากฏกับปัญญาที่เข้าใจในความเป็นหนึ่งลักษณะ ทางตาต้องต่างกับทางหู ใช่ไหมคะ อย่างเวลานี้เราก็ไม่ได้แยกเลย ต่อกันไปเลยตลอดเวลา แต่ปัญญาที่ค่อยๆ เห็นความต่าง ค่อยๆ เห็นความชัดเจนขึ้น ลักษณะที่ไม่ใช่สิ่งที่เคยเป็นสิ่งที่เที่ยง หรือว่าเป็นเราเนี่ยนะคะ ลักษณะที่เป็นธรรมจริงๆ ก็ปรากฏ อย่างเวลาเนี่ยเราบอกว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นธรรมที่มีจริง
ใครละจะไม่เห็น แต่ว่าความรู้แค่ไหนในสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ เห็นไหมคะ ยังไม่เป็นพระโสดาบัน ทั้งๆ ที่ได้ยินทุกวันนะคะ มีสิ่งเดียวที่สามารถปรากฏได้คือสิ่งที่กำลังปรากฏขณะที่กำลังเห็น แต่ว่าลักษณะของสิ่งนี้ไม่ได้ปรากฏในความเป็นสิ่งนั้นที่เป็นธรรม ก็ยังเป็นคนใช่ไหมคะ เห็นทีไร แต่เริ่มเข้าใจนิดหนึ่ง ทีละนิด ทีละนิด ทีละนิด ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้
จะบอกว่าไม่จริงเหรอคะ มีใครว่าไม่จริงบ้าง พูดได้ยังไง กำลังเห็นจะบอกว่าไม่จริงเป็นไปไม่ได้เลยนะ แต่ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ แต่ฟัง รู้ว่าพูดถึงอะไร รู้ว่าพูดถึงสิ่งที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ว่ามีจริงแน่นอนนะคะ แต่ลักษณะความไม่ใช่คน ไม่ใช่โต๊ะ ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเนี่ยไม่ได้ปรากฏ กว่าจะลอกนะคะ สิ่งที่เคยเคลือบไว้ใช่ไหมคะ ในสิ่งที่แข็งเนี่ยว่าเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตาได้เท่านั้น
แต่ว่าตามความเป็นจริงก็คือว่าถ้าไม่ใช่ปัญญาที่มีความเข้าใจนะคะ ไม่มีทางเลยที่จะค่อยๆ อย่าใช้คำว่า ละไปทันทีนะคะ ค่อยๆ คลายจากติดที่เหนียวแน่นนะคะ เหมือนกับสิ่งที่เราจะต้องเปิดออกไป เปิดแสนยาก เพราะมันติดกันนะคะ แล้วก็กว่าจะคลายออกมาได้โดยวิธีไหนคะ วันนี้ฟังแล้ว มีสักขณะหนึ่งไหม ที่เกิดคิดว่าไม่ใช่ใครเลยทั้งสิ้น แค่เป็นสิ่งที่ปรากฏ และไม่ใช่เพียงคำพูดด้วย
ต้องเป็นความเข้าใจในความเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา เห็นมั้ยคะ กว่าจะถึงระดับขั้นที่จะถึงความเป็นพระโสดาบัน ฟังแล้วกี่วัน กี่เดือน กี่ปี เคยคิดตอนไหนบ้าง ลืมหมดเลย ใช่ไหมคะทั้งๆ ที่ฟังเนี่ยก็ผ่านหูแต่ก็ลืม จนกว่าจะมั่นคง เพราะฉะนั้นการที่จะละกิเลสเป็นเรื่องจริง ละได้แต่ไม่ง่าย และไม่เร็ว ต้องเป็นความตรงที่ว่าไม่ใช่เราก่อนนะคะ ถ้ายังเป็นเราจะไปละกิเลสไม่มีทาง ไม่มีทางเป็นไปได้เลยค่ะ
ด้วยเหตุนี้สำนักปฏิบัตินี่ทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่าเป็นตัวตนที่มีความต้องการ และหาวิธีที่จะไป จริงๆ แล้วคือไม่รู้อะไร แต่คนที่ไปเนี่ยคิดว่าจะรู้ จึงไปแต่ความจริงไม่รู้อะไรแน่ๆ ที่ไป ไม่เหมือนกับการที่ได้ฟังพระธรรมแล้วก็มีความเข้าใจ ตามธรรมดาตามปกตินี้เพียงแค่หนึ่งนะคะ
ที่จะกล่าวถึงให้รู้ว่ายากเท่าไหร่ที่จะสภาพธรรมปรากฏโดยความเป็นธรรม แล้วก็แต่ละหนึ่งด้วยเพราะสิ่งที่ปรากฏทางตานี่หนึ่งจริงๆ ค่ะ หลับตาแล้วไม่มี ก็แสดงว่าสิ่งที่มีเนี่ยมี แต่กว่าจะรู้ในความเป็นธรรม เหมือนเสียงใช่ไหมคะ เสียงก็ได้ยินได้ฟังทั้งวัน แต่กว่าจะรู้ในความเป็นเพียงธรรม
จนกระทั่งทุกอย่างก็เหมือนอย่างเนี่ย คือไม่ว่าอะไรก็ตามเหมือนกันหมดค่ะ ค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ ไตร่ตรอง จนกระทั่งกว่าลักษณะของธรรมจะปรากฏกับปัญญา นามรูปปริเฉทญาณ นามธรรมไม่ใช่รูป แล้วก็แยกขาดจากกัน ไม่มีทางที่รูปจะรู้อะไรได้เลย และนามธรรมเกิดขึ้นรู้ ไม่รู้ไม่ได้เลย เป็นสภาพที่เกิดรู้ เห็นไหมคะ เกิดรู้นี่ติดกับเกิดเลย
อ.วิชัย ท่านอาจารย์ครับ ถ้ากล่าวถึงปัญญาในขั้นของการรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรม ที่รู้ลักษณะธรรมทีละลักษณะ ไม่ว่าจะเป็นทางตา หู จมูก ลิ้น กาย หรือแม้ใจเองก็ตาม ซึ่งเป็นเพียงนามธรรม และรูปธรรมเท่านั้น อย่างเช่นเห็นต่างกับสิ่งที่ปรากฏ ก็ต้องเป็นสภาพธรรมที่ต่างกัน
แต่ว่าขณะนี้นะครับ ไม่ได้รู้แม้แต่ลักษณะของธาตุรู้ ซึ่งเป็นเห็นกับรูปซึ่งปรากฏได้ทางตา ดังนั้นนี่ครับ การที่ปัญญารู้ลักษณะทีละหนึ่งทั่วทั้ง ๖ ทวาร จนมีกำลังที่จะรู้ความแยกขาดจากกันเป็นปกติอย่างนี้ ครับท่านอาจารย์ครับ
ท่านอาจารย์ เราไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
อ.วิชัย ครับ แน่นอนครับท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นกำลังฟังเนี่ยก็มีธรรมปรากฏ
อ.วิชัย มีครับ
ท่านอาจารย์ แต่ไม่รู้
อ.วิชัย ยังไม่รู้ครับ
ท่านอาจารย์ ฟังเรื่องเพื่อกำลังเข้าใจ
อ.วิชัย ครับ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นความเข้าใจเป็นปัญญาระดับหนึ่ง ถ้าไม่มีความเข้าใจมากขึ้นมากขึ้นนะคะ คิดไหมค่ะ อยู่ที่ไหนก็ได้ กำลังอ่านหนังสือพิมพ์ หรือกำลังเดินอยู่ตามสวนในถนนก็ตาม เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เท่านั้นเอง เคยมีบ้างไหม ใช่ไหม ทันทีทันใด ขณะนั้นต้องมีการละ นิดหนึ่ง เพราะเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ เห็นไหมแค่นี้ค่ะ
เพียงแค่ความเข้าใจตรงนี้เนี่ย ก็จะนำมาสู่การเริ่มที่จะละแล้ว เพียงแค่ปรากฏ ใช่ไหมคะ ละอะไร ละการเห็นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นนิมิตใช่มั้ยคะ ปรากฏแต่เพียงว่าเป็นสิ่งที่มีจริงที่ปรากฏให้เห็นได้ เพราะว่าอะไรคะ การละกิเลสต้องละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด อัตตานุทิฏฐิ ใช่ไหมคะ ไม่เกิดดับจึงเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด สักกายทิฏฐิ อัตตานุทิฏฐินั่นแหละ แต่ที่ตรงนี้เป็นเรา เป็นเราจึงเป็นสักกายะ
เพราะฉะนั้นก็คืออัตตาแต่ว่าเป็นเรา แต่อัตตานี้ไม่ใช่เรา อัตตาอื่นไม่ใช่เรา ใช่ไหมคะ แล้วที่นั่งอยู่นี่อัตตาหมดเลย จนกว่าจะละความเป็นอัตตา เพราะเป็นเพียงสิ่งที่เห็นได้ แค่ปรากฏแล้วก็หมด เห็นมั้ยคะการฟังทั้งหมดนี่จะมาประกอบกัน แม้แต่ที่จะเกิดความเข้าใจที่เกิดโดยที่ไม่รู้ว่าวันไหนจะเกิดความคิด แม้เพียงความคิด ก็เป็นความคิดที่ประกอบด้วยปัญญาที่เข้าใจถูก และเริ่มละ
เพราะฉะนั้นเราเรียนด้วยความต้องการนี่อย่างหนึ่งค่ะ ผิดละ อลคัททูละใช่ไหมคะ จิตมีเท่าไร เจตสิกมีเท่าไหร่ แล้วไปสอบ แล้วอยากรู้นั้น อยากรู้นี่ แต่ว่าการฟังด้วยความเข้าใจว่าไม่ใช่เราจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น เมื่อเป็นการที่ฟังธรรมโดยตั้งจิตไว้ชอบ ไม่ใช่เราตั้งนะคะ แต่ปัญญาที่สะสมมาก็รู้ว่าฟังทำไม ฟังเพื่อรู้ เพราะความรู้จะละความไม่รู้ ต้องรู้ว่าละความไม่รู้
เพราะฉะนั้นแม้แต่ที่ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ คำนี้ แค่เนี่ยเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ จะมีความต่างระดับไหม ว่าพูดเฉยๆ ก็มี ใช่ไหมคะ นึกขึ้นมา แต่ว่าขณะที่มีกำลังขึ้นเนี่ย แม้เพียงกำไลมือกระทบกัน ยังเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าได้ คิดดูใช่ไหมคะ เพราะการสะสมที่สะสมมา ที่ไม่มีใครรู้ว่าจะเป็นอะไร มีอะไรจะเกิดขึ้น แต่เป็นผู้ตรง
เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ละอะไรบ้างหรือเปล่า ถ้ายังนะคะ ก็คือ ต่อไปอีก มั่นคงต่อไปอีก ฟังไปนะคะ จนกว่าจะปรุงแต่งเป็นความละ แม้เพียงนิดหนึ่งก็จะนำไปสู่การละอย่างอื่นด้วย นี่เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา แล้ววันหนึ่งวันหนึ่งเนี่ยเห็นเท่าไหร่ เห็นทั้งวัน สิ่งอื่นปรากฏยังไม่เท่ากับทางตาใช่ไหมคะ แล้วทางตาไม่เคยคิดว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ แล้วเมื่อไหร่จะไม่ใช่ใครสักคนหนึ่ง เป็นแต่เพียงธรรมที่ปรากฏให้เห็นได้เท่านั้นจริงๆ
อ.วิชัย ท่านอาจารย์ครับ ฟังแล้วเหมือนกับเป็นยอดของความอดทนนะครับ ท่านอาจารย์กว่าที่จะเก็บเล็กผสมน้อยในการฟังแต่ละครั้ง เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง รู้บ้างไม่รู้บ้าง หลงลืมทั้งวัน มากกว่าปัญญาจะค่อยๆ เจริญขึ้นนะครับ
ท่านอาจารย์ ขันติบารมีไงคะ ไม่มีทางที่จะถึงฝั่งของความรู้ ถ้าไม่มีความอดทนอย่างยอดยิ่ง แล้วก็ต้องเป็นคนตรงนะคะ เพราะเหตุว่าแม้จะกล่าวคำเดียวกันต้องไม่ลืมปัญญาต่างกัน เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ แต่มีความละบ้างไหม ในขณะที่พูด แค่เป็นสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้ มีการละการติดข้องในความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดบ้างไหม ยังไม่ต้องไปละความยินดี ที่มีความติดข้องขั้นพระอนาคามี
อ.อรรณพ ท่านอาจารย์หมายถึงละระดับไหน
ท่านอาจารย์ ละการที่ยังคงเป็นคนนี้อยู่ไง ที่นั่งกันอยู่เนี่ยคนทั้งนั้นนี่ ความจริงเป็นรึเปล่า ไม่เป็น เป็นธรรมเห็นไหมคะ กว่าจะรู้ว่าเป็นธรรมหนึ่งนะคะ คือกระทบตาได้ และก็ทำให้จิตเห็นเกิดขึ้นเห็นได้ แล้วก็ดับ เพราะฉะนั้นแต่ละคนสะสมมานะคะ ได้ฟังธรรมแล้วก็จะสะสมต่อไป แต่ต้องเป็นคนที่ละเอียดนะคะ และก็เป็นคนที่ตรง
แค่ขั้นคิดนี่เห็นมั้ยคะ คำถามให้คิดว่าแค่เพียงจะเกิดคิดว่าเพียงเห็น เพียงปรากฏให้เห็นได้ แค่ขั้นคิด ละอะไรบ้างไหม นิดหนึ่งมีรึยัง ถ้ายังไม่มี ก็ไม่มี ก็พูดตามได้ใช่ไหมคะ แต่ถ้ามีก็รู้ว่ามี แต่มีเนี่ยอีกนานเท่าไหร่ กว่าจะมากขึ้น มากขึ้น เพียงเห็นก็เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ จึงสามารถที่จะละคลายความติดข้องนะคะ
ซึ่งปิดกั้น ทำให้ไม่สามารถรู้ความต่างกันของแต่ละหนึ่ง ที่จะประจักษ์การเกิดดับได้ ต้องสืบเนื่องกันไปค่ะ ทีละเล็กทีละน้อย แล้ววันหนึ่ง วันหนึ่งนะคะ ความเป็นเราเนี่ยมีมาก เป็นเหตุให้แม้กุศลเพียงเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่ทำ เห็นไหมคะ ความเป็นเราจะทำทำไมละ ลำบาก สบายๆ ดีกว่า บางคนคิดอย่างนี้ใช่ไหมคะ ทำไมจะต้องไปลำบากทำความดี
แต่ว่าความดีนะคะ โอกาสไหนเกิดได้หมดเลย แม้แต่การเห็นกันก็ยังดีได้ เป็นมิตร เป็นเพื่อน พร้อมที่จะช่วยเหลือเกื้อกูล ปัญญาเห็นประโยชน์ของขณะที่ไม่มีความติดข้อง ในความเป็นเรา และในความไม่รู้นะคะ แล้วรู้ว่ากว่าจะถึงการที่จะค่อยๆ ให้พวกเนี้ยน้อยลง เพราะว่าพอได้ยินได้ฟังธรรมก็อยากจะรู้ แค่นี้ก็กั้นละ และอย่างอื่นไม่มากยิ่งกว่านี้หรือ
ในวันหนึ่ง วันหนึ่ง ไม่ประมาทในอกุศลนะคะ ซึ่งเกิดตลอดและบ่อย และไม่ประมาทในกุศลแม้เพียงเล็กน้อย หนึ่งขณะก็ขาดไม่ได้ เพราะขาดไปหนึ่งขณะ หนึ่งขณะ จะเหลือเท่าไหร่ก็ไม่มีใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นแม้เพียงนิดหนึ่งเนี่ยก็ช่วยเสริมให้กุศลเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นปัญญาก็จะทำให้เป็นคนที่เปลี่ยนแปลงจากการที่เห็นแก่ตัว
เราไม่รู้หรอกว่าจริงๆ แล้วเนี่ย ไม่พูดนะแต่เราเห็นแก่ตัว ใช่ไหมคะ ถ้าพูดจะยิ่งแค่ไหนใช่ไหมคะ ปรากฏชัดเจนแต่ทั้งๆ ที่เหมือนไม่ปรากฏ แต่ยังมีความเป็นเรา ก็แสดงว่ายังมีความรักตัว เพราะฉะนั้นที่จะหมดความเป็นตัวตนได้ ก็ต้องอาศัยกุศลทุกอย่าง ความเป็นผู้ละเอียดเป็นผู้ที่เห็นว่านะคะ แทนที่จะโกรธก็อภัยหรืออะไรอย่างนั้น สงสาร หรืออะไร กุศลทั้งหลายนะคะ
ที่เป็นบารมีเนี่ย ก็จะมาร่วมกัน ประกอบกัน ค่อยๆ เกิดขึ้นจากการที่เห็นโทษของอกุศล และรู้ว่ากุศลเท่านั้นไม่พอค่ะ ต้องเป็นปัญญาด้วย จึงมีการฟังธรรม ไตร่ตรองมั่นคงในความที่ว่าไม่ใช่เรา จนกว่าจะถืออภิสมัย คือขณะที่รู้ความจริงคืออริยสัจจธรรม ถึงได้นะคะ ไม่ใช่วันนี้ แต่ แต่ละหนึ่งขณะ หนึ่งขณะนี่ค่ะ เป็นประโยชน์มาก เพราะฉะนั้นปริยัตินะคะ รอบรู้ในพระพุทธพจน์ก็รู้ว่า ธรรมมีหลายระดับขั้น ไม่ว่าจะเป็นศรัทธา หรือสติ ปัญญา
เพราะฉะนั้นเวลานี้เราพูดถึงสติสัมปชัญญะ เพราะเป็นสติปัฎฐาน เราได้ยินคำว่าสติปัฎฐานนะคะ ปัฏฐานะที่ตั้งของสติที่กำลังรู้สิ่งนั้น เวลานี้เราพูดเรื่องเห็นกับสิ่งที่ปรากฏทางตานะคะ สติสัมปชัญญะเกิดหรือไม่เกิดจะรู้ได้ใช่ไหมค่ะ ถ้าพูดถึงเรื่องสติสัมปชัญญะ และก็ฟังไป ฟังไป ไม่ใช่สติสัมปชัญญะแต่เป็นสติที่เข้าใจขั้นนั้นนี่เป็นความต่างกันนะคะ เพราะฉะนั้นจึงต้องรู้ว่าสติสัมปชัญญะที่เป็นขั้นปฏิปัตติไม่ใช่ขั้นปริยัติเนี่ยคืออย่างไร
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1381
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1382
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1383
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1384
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1385
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1386
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1387
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1388
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1389
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1390
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1391
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1392
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1393
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1394
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1395
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1396
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1397
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1398
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1399
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1400
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1401
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1402
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1403
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1404
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1405
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1406
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1407
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1408
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1409
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1410
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1411
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1412
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1413
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1414
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1415
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1416
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1417
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1418
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1419
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1420
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1421
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1422
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1423
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1424
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1425
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1426
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1427
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1428
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1429
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1430
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1431
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1432
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1433
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1434
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1435
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1436
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1437
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1438
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1439
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1440