ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1427


    ตอนที่ ๑๔๒๗

    สนทนาธรรม ที่ เดอะวินเทจ เขาใหญ่

    วันที่ ๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๒


    ท่านอาจารย์ คนอื่นยังไม่ได้รู้ และยังไม่ได้ดับกิเลสก็จะต้องเป็นอย่างนี้ไปในสังสารวัฎไม่มีทางออกไปได้เลยนะคะ แต่เมื่อพระองค์พบหนทางที่จะให้รู้ความจริง ปัญญานั้นเองไม่ใช่เราเลยนะคะ แต่ปัญญาที่เกิดจากความเข้าใจค่อยๆ นำไปสู่การรู้ความจริงในขณะนี้

    อ.วิชัย เมื่อสักครู่ ท่านอาจารย์กล่าวถึงเรื่องของการศึกษาซึ่งก็มีข้อความในพระสูตรนะครับ อย่างเช่นในอนุตตริยะสูตรได้กล่าวถึงสิ่งที่ยอดเยี่ยมไว้ ๖ ประการด้วยกัน ตั้งแต่ทัสสนานุตตริยะ สวนานุตตริยะ สิกขานุตตริยะ ลาภานุตตริยะ ปาริจริยานุตตริยะ แล้วก็อนุสสตานุตตริยะ

    ในส่วนของสิกขานุตตริยะข้อความในพระสูตร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสถึงบุคคลที่มีการศึกษาไม่ว่าจะเป็นศิลปะ ไม่ว่าช้าง ม้า หรือว่าดาบ หรือว่าธนูก็ตาม แต่ว่าการศึกษานั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมเลย แต่การศึกษาคือบุคคลที่มีศรัทธาที่ตั้งมั่น

    แล้วก็ศึกษาคือสีลสิกขา จิตตสิกขา แล้วก็ปัญญาสิกขา ในธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศไว้ดีแล้วซึ่งจะเป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์หมดจดของหมู่สัตว์ทั้งหลาย เพราะฉะนั้นการที่ศึกษาความเป็นจริง คือเห็นบ้าง ได้ยินบ้างเนี่ย จะเป็นไปในการศึกษาในไตรสิกขาอย่างไรครับท่านอาจารย์ครับ

    ท่านอาจารย์ สิกขาในภาษาบาลีนะคะ คือศึกษาในภาษาไทย แล้ว ไตร ก็เป็นภาษาบาลีด้วยใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นไตรสิกขาคือ สิกขา ๓ ตามลำดับด้วย จนกว่าจะถึงพร้อมกันทั้ง ๓ เห็นไหมคะ ความละเอียดลึกซึ้งของเพียงคำเดียว ไตรสิกขา ศึกษาอะไร พระพุทธพจน์ทั้งหมด บางคนก็บอกว่าควรฟังตอนนี้ไหม ควรฟังคำนี้ได้ไหม

    ทุกคำที่เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะอะไรคะ ทุกคำกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงโดยนัยประการต่างๆ หลากหลาย สมควรแก่การฟังทั้งสิ้นนะคะ ไม่เหมือนกับทางโลกที่จะต้องตั้งต้นตั้งแต่ชั้นนั้น ประถมนี้แล้วก็ค่อยๆ เลื่อนขึ้นไป แต่พระธรรมเนี่ยคะ สามารถที่จะกล่าวถึงสิ่งที่มีจริง โดยนัยหลากหลาย ฟังเลย ใช่ไหมคะ

    เพราะเหตุว่าได้ยินคำนี้อย่างที่คุณวิชัยกล่าวเมื่อกี้นี้ค่ะ ไตรสิกขา ใครจะนึกถึงบ้าง ค่ะ คำนี้ แต่ได้ยินแล้วเป็นไงคะ ไม่เห็นสนใจอะไรใช่ไหมคะ ไตรสิกขาก็ไตรสิกขา หารู้ไม่ว่าทุกคำควรค่าอย่างยิ่งที่จะต้องเข้าใจให้ถูกต้องไม่เว้น เพราะว่าทั้งหมดที่พระองค์ทรงแสดงนะคะ เป็นปัญญาทั้งหมดค่ะ

    เพราะฉะนั้นคนที่ฟังเนี่ยเริ่มสะสมปัญญาเก็บเล็กผสมน้อย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดทั้งสิ้นนะคะ เผื่อเป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่ง ที่จะให้ กิเลสซึ่งมีอยู่มากเนี่ยนะคะ ไม่มีโอกาสที่จะเกิดบ่อยมากเหมือนเดิม เพราะเหตุว่าจิตเกิดขึ้นทีละหนึ่งขณะ ถ้าขณะใดไม่เป็นกุศลขณะนั้นเป็นอกุศลล่ะ

    ถ้าไม่ละเอียดจะไม่รู้เลยค่ะว่าค่าของกุศลหนึ่งขณะเนี่ย ถ้าเพียงขาดขณะนั้นไปก็ยากละ ที่จะนำไปสู่การรู้แจ้งอริยสัจธรรม เป็นผู้ที่ไม่ประมาทเลยนะคะ ในกุศลทุกประเภทไม่เลือก ไม่ต้องบอกใช่ไหมคะ อะไรที่เป็นสิ่งที่ดีงามก็คือว่าถ้าไม่ทำขณะนั้นก็พลาดโอกาส โอกาสนั้นก็เป็นของอกุศลไป ก็สะสมไป

    อ.วิชัย ท่านอาจารย์ครับหมายความว่าการที่ได้ศึกษาพระพุทธพจน์หรือพระธรรมคำสอนเนี่ย ก็เป็นเหตุให้มีความเห็นถูก เข้าใจถูก ในกุศลคุณความดี แล้วก็เห็นตามความเป็นจริงว่า ไม่ว่าจะเป็น ศีล สมาธิ ปัญญา ก็เป็นธรรมะแต่ละอย่างซึ่งไม่ใช่เรา

    ท่านอาจารย์ แต่เห็นไหมคะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราพูดคำว่าศีล ปัญญาเราแค่ไหนกับปัญญาที่พระองค์ตรัสคำว่าสีละ ปัญญาแค่ไหน เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมะต้องเป็นไปด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ในพระปัญญาคุณ ในพระบริสุทธิคุณ ในพระมหากรุณาคุณ มีค่าจริงๆ ค่ะที่ทำให้ความไม่รู้ซึ่งมีมากมายสะสมมาเนี่ย

    สามารถค่อยๆ ลดละลงไปได้ซึ่งไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลยนะคะ ถ้าไม่ได้เข้าใจธรรมะถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นแต่ละคำเนี่ยต้องละเอียดอย่างยิ่ง ศีลเห็นไหมคะ พูดกันทุกวัน ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ถามว่าศีลคืออะไร เห็นไหมคะศึกษาหรือเปล่า เพราะฉะนั้นแต่ละคำเนี่ยไม่ใช่เพียงแค่เราคิดว่าเรารู้ แต่ต้องคืออะไรก่อน

    การฟังธรรมะเนี่ย คือตั้งต้นด้วยคำว่าพอได้ยินคำว่าอะไรเนี่ย คืออะไร อย่างสิกขาเนี่ยเพราะไม่รู้ใช่ไหมคะ แล้วถ้าสามารถจะรู้ได้โดยการไตร่ตรองพิจารณา ตัวเองไม่สามารถที่จะรู้ได้แน่ต้องคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นพอบอกว่าสิกขาไม่ใช่ศึกษาทางโลก

    แต่ต้องสิกขา ศึกษาคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ ไม่ว่าจะเรื่องใดทั้งสิ้น อย่างละเอียดด้วย อย่างไม่ประมาทด้วย เพราะฉะนั้นถ้าไม่ประมาท มีคนถามว่าศีลคืออะไรเนี่ยต้องตอบได้ และศีล ๕ คืออะไรก็ต้องตอบได้ ศีล ๘ คืออะไรก็ต้องตอบได้ ศีล ๒๒๗ ก็คือต้องรู้ใช่ไหมคะ จะมากจะน้อยก็ยังรู้ค่ะว่าคืออะไร

    เพราะฉะนั้นนี่คือการศึกษาธรรมะจริงๆ ไม่ใช่ว่านะคะ เราศึกษาธรรมะปนกับเรื่องที่เราคิด พอได้ยินคำไหน อ่อ เราคิดว่าวันนั้นเราเดินไปที่นี้ พบไอ้นี่ นี่อย่างนั้นอย่างนี้ เป็นเรื่องเป็นราวไปใหญ่โตนะคะ แต่ขณะนั้นเป็นธรรมะ ต่างกับเรื่องที่คิดด้วยความเป็นเราใช่ไหม เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมะต้องรู้จริงๆ ค่ะ

    ต้องไม่มีอื่นนอกจากสิ่งที่ปรากฏ เป็นจริงที่กำลังฟังให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ นั่นคือศึกษาธรรมะตามระดับขั้นของการเริ่มจากการฟัง ฟังแล้วไตร่ตรองไม่มีเรื่องอื่นมาปนเลยค่ะ เรื่องอื่นคือขณะอื่นไม่ใช่ขณะที่ศึกษาธรรมะ เรื่องกีฬา เรื่องการแข่งขันฟุตบอล เรื่องอะไรต่างๆ ก็ตามแต่นะคะ นั่นเรื่องอื่นไม่ใช่ขณะที่กำลังศึกษาธรรมะ

    เพราะฉะนั้นศึกษาธรรมะ ถ้าเราพูดว่าเมื่อวานนี้เราไปดูฟุตบอล สนุกมาก เป็นอะไร อย่างงั้นหรอค่ะศึกษาธรรมะ เห็นไหมคะ กลายเป็นศึกษาเรื่องราว ไปดูฟุตบอล สนุกมาก เป็นอะไร ศึกษาธรรมะต้องไม่ลืมธรรมะคือเดี๋ยวนี้ กำลังเป็นธรรมะศึกษาธรรมะคือฟังให้เข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้

    เพราะฉะนั้นคนที่บอกว่าเมื่อวานนี้ไปดูฟุตบอลนะคะ สนุกมากเลยเป็นอะไรอย่างเงี้ย แต่ว่าเขาไม่ได้ศึกษาธรรมะ ที่ฟังมาแล้วทั้งหมดโมฆะไหม เพราะไม่เข้าใจว่าศึกษาเนี่ยต้องธรรมะเท่านั้นไม่ใช่เรื่องอื่นนะคะ เรื่องอื่นทั้งหมดเป็นธรรมะจริงแต่ไม่รู้ เพราะฉะนั้น เวลาที่สิ่งนั้นมีจริงแต่ไม่รู้นะคะ ก็เป็นเรื่องเป็นเรา เป็นอัตตา

    แต่พอศึกษาธรรมะเริ่มเข้าใจถูกต้องว่าต้องไม่ใช่เรา ใครจะมาบอกให้เราทำอย่างงั้นทำอย่างนี้แล้วจะเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้เนี่ย ก็คือว่าเขาไม่ได้ให้เราเข้าใจธรรมะ เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจแม้แต่คำว่าศึกษาธรรมะ ก็คือศึกษาธรรมะให้เข้าใจสิ่งที่มี แล้วก็ตั้งต้นด้วยคำว่าธรรมะทั้งหลายทั้งหมดนะคะ

    ไม่ว่าอะไรไม่เลือกเลยเป็นอนัตตาไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ยั่งยืน แต่มีปัจจัยจึงเกิดได้ และต้องอาศัยความเป็นปัจจัยด้วยดีด้วย ปฏิจสมุปปาทต้องด้วยดี ที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นไม่เป็นอย่างอื่น เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้นะคะกำลังเป็นอย่างนี้ ไม่มีใครทำเลย ใครจะคิดก็ไม่มีใครทำ

    ใครจะเบื่อก็ไม่มีใครทำ ใครจะง่วงก็ไม่มีใครทำ ใครจะชอบก็ไม่มีใครทำ ทั้งหมดอาศัยปัจจัยเกิดขึ้นด้วยดีที่จะเป็นอย่างนี้เท่านั้น เป็นอย่างอื่นไม่ได้ นี่คือฟังธรรมะเพื่อที่จะได้เข้าใจธรรมะ แล้วถ้าเข้าใจอย่างนี้นะค่ะ ฟังต่อไปก็เข้าใจขึ้นๆ ด้วยความเป็นผู้ที่ละเอียดอย่างยิ่ง

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ค่ะก็น่าแปลกใจมากๆ เลยนะคะเราเรียนสิ่งอื่นอะไรอย่างเงี้ย เราจำไม่ลืมยังคิดถึงได้อยู่เสมอ แต่คำว่าทุกอย่างเป็นธรรมะ ไม่เคยคิดนะคะท่านอาจารย์ค่ะเช้ามานี้ก็ยังไม่ได้คิดเลยว่าเนี่ยเป็นธรรมะ

    ท่านอาจารย์ ค่ะ ความไม่รู้กับความรู้นี่อะไรยาก

    ผู้ฟัง ความรู้ยากค่ะท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ความไม่รู้นะไม่ยากเลย ไม่รู้อยู่ตลอดเวลาใช่ไหมคะ แต่ความรู้กว่าจะรู้เนี่ยแล้วได้ยินคำว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โอกาสในแต่ละชาติเนี่ยนะคะ ที่จะได้ฟัง มีมากไหมแต่ละชาติ

    ผู้ฟัง ไม่มากเลยคะท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นชาตินี้ค่ะ จะมีโอกาสได้ฟังอีกนานเท่าไหร่ เห็นคุณค่าที่จะรู้ว่าถ้าไม่มีความเข้าใจอย่างนี้ในเบื้องต้น ไม่มีการที่จะได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ว่าจะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อีกกี่พระองค์ เพราะฉะนั้นนี่คือการเตรียม ที่จะฟังธรรมะให้เข้าใจขึ้น โดยการที่ว่าเริ่มฟังด้วยความละเอียดตั้งแต่ต้น

    แล้วก่อนอื่นต้องไม่ลืม ต้องเป็นผู้ที่เคารพในแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงศึกษาด้วยการรู้ตัวเองว่าเข้าใจหรือยังเข้าใจแค่ไหน เข้าใจกว่านี้อีกได้อย่างไร หรือจะพอใจเพียงแค่ได้ยินคำว่าทุกอย่างเนี่ยเป็นธรรมะ ใช่ไหมคะ อย่างนั้นก็ไม่เห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ไม่ใช่ปัญญาด้วย เพราะเหตุว่าเราต่างหาก ที่เข้าใจธรรมะ

    ฟังทุกวัน ธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา แต่ก็ลืมไม่ได้ผุดขึ้นมาเลย เราไปทำให้ผุดไม่ได้ ไม่มีเรา แต่เมื่อไรมีปัจจัยก็ผุด เหมือนเดี๋ยวเนี่ยใครจะคิดอะไรนะคะ เมื่อ ๒๐ ปีก่อนเนี่ยก็ผุดขึ้นมาคิดเอง โดยอาศัยไม่ใช่เราไปคิดไปเรียกร้องมาว่าให้ไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่ทุกอย่างเนี่ยแสดงความเป็นธรรมะ สำหรับคนที่เข้าใจนะคะ ชัดเจน

    แต่สำหรับคนที่ไม่เข้าใจก็ถูกปิดกั้นไว้ เปิดออกมานิดเดียวแค่ได้ฟัง ต้องฟังอีกเท่าไหร่ กว่าจะเป็นความชัดเจนขึ้น ในความเป็นอนัตตาของธรรมะทุกขณะ ไม่ลืมเลยเมื่อไรก็เมื่อนั้นก็คือว่าไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นกว่าจะหมดจริงๆ จากใจนะคะ ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงกิเลสที่ละเอียดคืออนุสยะ

    หรืออนุสัยกิเลส ติดอยู่ในจิตเลยนอนเนื่องไม่เกิด แต่เป็นปัจจัยให้พอกระทบแล้วกิเลสเกิดขึ้น อกุศลเกิดขึ้นเพราะมีอยู่เพียบ เต็มที่ค่ะ เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาก็พอใจ ได้ยินเสียงก็พอใจ ได้กลิ่นก็พอใจ ลิ้มรสก็พอใจ กระทบสัมผัสก็พอใจ คิดนึกก็พอใจ แล้วจะให้หมดจากความพอใจได้อย่างไง

    เพราะฉะนั้นต้องรู้นะคะ ว่าเป็นเรื่องยาก ไม่ใช่เป็นเรื่องที่จะไปทำให้หมดกิเลสเหมือนผู้ที่ได้สะสมมาแล้วในครั้งอดีตเนี่ย มีปัจจัยที่จะได้เฝ้าได้ฟังพระธรรมจากพระโอษฐ์แม้องคุลิมาลนะคะ สะสมมาหรือเปล่า

    ถ้าไม่สะสมมาจะสามารถถึงความเป็นพระอรหันต์หรือทั้งหมดเนี่ยต้องตามเหตุตามปัจจัยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นวันหนึ่งชีวิตของแต่ละคนเนี่ยจะเป็นอะไรไปนะคะ เกิดขึ้นดับไปยังไงก็ตามแต่ก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร เพราะเป็นธรรมะทั้งหมด

    แต่ตราบใดที่ยังไม่เห็นว่าเป็นธรรมะ ตัวตนทั้งหมดทุกชาติ แต่เอาความเป็นตัวตนออกนะคะ ธรรมะทั้งหมดเลยที่จะต้องเป็นไปอย่างงั้นทุกขณะ แล้วก็ไม่เดือดร้อนด้วย เพราะไม่ใช่เรา แต่ความเป็นไปของธรรมะซึ่งเป็นธรรมดาที่จะต้องเป็นอย่างนั้น ตามเหตุตามปัจจัยจนกว่าจะถึงปรินิพพาน

    ผู้ฟัง ถ้ากล่าวถึงองคุลิมาลเนี่ยถ้าได้ยินชื่อปุ๊บเนี่ยทุกคนก็จะคิดว่าเป็นคนที่โหดร้ายมากนะคะ ยังได้ฟังคำจากพระพุทธองค์แล้วสามารถที่จะบรรลุธรรมได้

    อ.วิชัย คือชีวิตของแต่ละคนก็ต่างกันใช่ไหมครับ เราจะเห็นถึงอุปนิสัยของแต่ละบุคคลจากการที่เราได้ศึกษาชีวิตความเป็นไปที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดง เรื่องของชาดกเอาไว้ แล้วจะเห็นถึงว่าแต่ละท่านเนี่ยก็ได้สะสมความดีไว้ในกาลก่อนๆ

    แต่ในเมื่ออกุศลที่ยังไม่ดับนะครับ ก็ยังมีปัจจัยให้อกุศลเกิดขึ้น และมีการกระทำในการที่จะประทุษร้ายเบียดเบียนบุคคลอื่น อย่างท่านพระองคุลีมาลเนี่ยครับ ก่อนนั้นที่ท่านเป็นโจร ใช่ไหมครับ แล้วก็มีเหตุที่จะให้ท่านเนี่ยได้ไปฆ่าเบียดเบียนบุคคลอื่น

    แต่ว่าเมื่อมีโอกาสได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ฟังพระธรรมเห็นคุณของพระธรรมนะครับ แล้วก็ได้ละจากความประพฤติที่ไม่ดีนั้นได้แล้วก็บวชเป็นบรรพชิต ดังนั้นก็เห็นถึงชีวิตที่ต่างกันนะครับ เมื่อเทียบกับแต่ละบุคคลว่าก่อนฟังธรรมะเนี่ยอกุศลมากหรือเปล่า

    แต่เมื่อได้ฟังธรรมะเริ่มที่จะรู้จักหรือว่าเข้าใจความเป็นอกุศลไหม ซึ่งความเป็นจริงแล้วไม่ใช่ใครเลยคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นสภาพธรรมะที่เมื่อมีเหตุ ได้สะสมมาอกุศลนั้นก็เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ของอกุศลธรรม เมื่อเข้าใจอย่างนี้นะครับ แต่ละบุคคลก็รู้ว่าอกุศลมีมาก

    ดังนั้นก็มีหนทางเดียวนะครับ ก็คือการอบรม ปัญญาที่จะค่อยๆ เกิดขึ้นที่จะเข้าใจความเป็นจริงของสภาพธรรมะ เมื่อเข้าใจความเป็นอกุศลจริงๆ เห็นโทษของอกุศลจริงๆ เนี่ยครับ มีหรือที่จะไม่ละอกุศล และความเป็นจริงก็ไม่ใช่เราละด้วยใช่ไหมครับ แต่ว่าเป็นสภาพธรรมะฝ่ายดีงามที่มีปัจจัย ค่อยๆ เกิดขึ้นจากการที่ได้เข้าใจพระธรรม

    ท่านอาจารย์ ฟังเรื่องท่านพระองคุลีมาลแล้วเนี่ยประมาทกิเลสไหมคะว่า ขนาดฆ่าคนยังรู้แจ้งได้ เราก็ทำอกุศลต่างๆ ก็ไม่เห็นเป็นไรเนี่ย สักวันหนึ่งเราก็รู้แจ้งได้ นั้นคือประมาท ประมาทปัญญา คิดว่าไม่ต้องมีปัญญา ไปฆ่าคนเยอะๆ ก็จะได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอรหันต์อย่างท่านพระองคุลิมาล

    เพราะฉะนั้นคิดหลากหลายมาก แต่ที่ตรงจริงๆ ก็คือว่าธรรมะมีสองอย่าง ถ้าเราจะกล่าวโดยนัยสองนะคะ ฝ่ายกุศลธรรม และอกุศลธรรม ถ้าไม่ได้ฟังธรรมะนี้ค่ะความประมาทเนี่ยมากมายจนกระทั่งคิดได้สารพัดอย่างแม้แต่ว่าท่านพระองคุลิมาลยังฆ่าคนได้ตั้งอย่างนั้น และยังรู้แจ้งได้นะคะ

    แต่เขารู้ไหมว่าท่านพระองคุลิมาลเนี่ย ถ้าไม่มีปัญญาอย่างเราอย่างเนี้ย ฆ่าไปสินะคะ ยิ่งกว่าพันอีก แล้วจะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ไหม เห็นไหมคะ เพราะฉะนั้นธรรมะต้องไตร่ตรองนะคะ ว่าแสดงให้เห็นปัญญาว่าระดับไหน แต่ต้องสะสมให้ถึงระดับนั้น ไม่ใช่ไม่มีปัญญาแล้วค่อยจะไปเอาตัวอย่างท่านพระองคุลีมาลมาเพลิดเพลินนะคะ

    เป็นกิเลสมากมายทั้งกุศล และอกุศล คิดว่าก็ท่านพระองคุลิมาลยังเป็นอย่างนี้ได้ หรือท่านวิสาขามิคารมารดาท่านอนาถบิณฑิกะ ท่านไม่ได้บวชท่านก็มีชีวิตธรรมดา แต่ท่านเข้าใจธรรมะ ระดับไหน ระดับที่ว่าท่านฟังมานานเท่าไหร่แล้ว อย่างของเราขณะนี้นะคะ ถ้าจะแสดงความละเอียดของการสะสมอกุศลเนี่ยคิดไม่ถึง

    และก็ประมาทมากเพราะว่าทันทีที่จิตเห็นขณะนี้ดับ เห็นเนี่ยหนึ่งขณะจิตนะคะ ไม่ใช่มากมายอย่างที่ปรากฏ เป็นคน เป็นดอกไม้ เป็นอะไรเลย แค่เกิดขึ้นเห็นสิ่งที่ปรากฏและดับหนึ่งขณะจะไม่เป็นอะไรเลยทั้งสิ้น หลังจากนั้นอีก ๓ ขณะจิตที่เกิดดับ อกุศลเกิดแล้ว ไม่รู้ตัว ประเภทอาสวะ พร้อมที่จะไหลออกไปทันที ไหนใครจะยับยั้ง

    พอถึงเป็นพระอรหันต์นะคะ อีกคำหนึ่งก็คือว่า ผู้ที่ดับกิเลสแล้ว ผู้ที่สิ้นอาสวะแล้ว ขีณาสพหมายความว่า ขีณะ เนี่ยดับอาสวะ เพราะฉะนั้นพระอรหันต์เห็นนะคะ จะต่างกับเราเห็นมากเลยค่ะ อย่างเราเห็น จิตเห็นดับไป ๓ ขณะอกุศลเกิดแล้ว พระอรหันต์ไม่มีอกุศลใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเหตุว่าที่อยู่ในจิตทั้งหมดนะคะ ได้ถูกดับหมด ด้วยกำลังของปัญญา

    เพราะฉะนั้นไม่ใช่ผู้ประมาทนะคะ แต่ต้องเป็นผู้ที่เห็นโทษจริงๆ ว่าอกุศลอย่างนี้ค่ะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระมหากรุณาแสดงให้เราไม่ประมาท ก็คือว่ามากเหลือเกินในวันหนึ่งๆ และเกิดมากี่วันละ และก็ต่อไปจะเป็นอีกกี่ชาติ เพราะฉะนั้นถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมด้วยความเคารพที่จะเข้าใจที่เป็นปัญญานะคะไม่ใช่เราเนี่ย

    ไม่มีทางที่จะรู้ความจริงจนกระทั่งสามารถที่จะดับกิเลสซึ่งนอนนิ่ง เป็นเชื้ออนุสัยที่จะทำให้กิเลสอื่นเกิดได้ ด้วยเหตุนี้นะคะ ฟังพระธรรมเพื่อเข้าใจ คำนี้ค่ะไม่ใช่เพื่อต่อไปเราจะเป็นอย่างนั้น เราจะเป็นอย่างนี้ เราจะไม่เป็นอย่างโน้นอย่างนี้นะคะ ไม่ใช่อย่างนั้นเลยค่ะเพื่อเข้าใจ และเข้าใจก็ไม่ใช่เราด้วย

    เพราะฉะนั้นหนทางนี้ยากเกินที่จะประมาณได้เพราะอะไรคะ กำลังฟังขณะนี้ก็ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นขณะที่กำลังเข้าใจปัญญาเกิดตามลำดับขั้น ก็ต้องไม่ใช่เราที่ไปทำให้เกิด เพราะฉะนั้นพอได้ยินคำว่าเพียร ใช่ไหมคะเมื่อวานนี้ ความแยบคาย การพิจารณาไตร่ตรองความลึกซึ้ง ก็คือว่าไม่ใช่เราหรือใครจะเพียร ถ้าเราเพียรผิดทันที ใช่ไหมคะ

    เพราะเป็นเรา แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่าจิตกี่ประเภท มีวิริยเจตสิกเกิดร่วมด้วย ยกมือขึ้นสิคะ มีวิริยเจตสิกเกิดร่วมด้วยแค่นี้ ลืมตาสิ มีวิริยเจตสิกเกิดร่วมด้วย แล้วยังไงคะเนี้ยความไม่รู้ของเราเนี่ยมากมายมหาศาล อย่าหวังอะไรที่จะไปรู้แจ้งอะไรเลยนะคะ ตราบใดที่เป็นเรา

    ยังไม่เป็นธรรมะแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ที่ฟังแล้วนะคะ มีความเข้าใจขึ้น แล้วความเข้าใจนั่นไม่ใช่เราเลยค่ะ เป็นปัญญาระดับฟัง ลองคิดดูค่ะแค่ขั้นฟังเนี่ยรอบรู้ในพระไตรปิฎกนะคะ สอดคล้องกันทั้งหมด ไม่ใช่เราเลย แต่ยังไม่ถึงขั้นปฏิปัตติยังไม่ถึงขั้นปฏิเวธค่ะ แล้วคิดดูไม่ต้องไปหวังอะไรทั้งสิ้นนะคะ

    เพียงแต่ว่าเข้าใจเมื่อไหร่ขณะนั้นไม่ใช่เรา และเป็นบุญอย่างยิ่งสูงสุด เพราะเหตุว่าบุญอื่นไม่สามารถที่จะนำปัญญามาให้ได้เลย แต่ว่าการฟังนี่แหละนะคะ เข้าใจเมื่อไหร่ เมื่อนั้นก็คือปัญญา เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่ละเอียดค่ะไม่รีบร้อนเลย แต่ว่าพื้นฐานต้องมั่นคงอย่างยิ่งฟังเพื่อเข้าใจถูกต้องเพื่อละความไม่รู้

    ผู้ฟั ดิฉันชื่นจิต เด่นวรรัก นะคะ พอดีมีเพื่อนเขาป่วยมากนะคะ คือนอนแบบไม่รู้สึกตัวเลยคะ แล้วก็มีคนเคยแนะนำว่าให้ไปทำสังฆทานอย่างเนี้ย แล้วผู้ป่วยก็จะได้ไปสวรรค์อย่างนี้คะ ไม่ทราบว่ามันเป็นคำแนะนำที่ดีไหมคะ

    อ.วิชัย ต้องเป็นผู้ที่มีความเข้าใจใช่ไหมครับ โดยมากคนก็จะแนะนำโดยคิดว่าสิ่งนั้นนะครับ เป็นประโยชน์หรือเป็นคุณแก่คนนั้น โดยที่อาจจะยังไม่เข้าใจนะครับ ว่าคำที่กล่าวอย่างเช่นสังฆทานเนี่ยคืออะไร ถ้าไม่เข้าใจธรรมะเลยนะครับ ไม่มีทางจะเข้าใจได้ ดังนั้นเนี้ยครับทานะคือการให้

    ขณะที่มีจิตใจที่ดีงามที่คิดจะให้ของแก่บุคคลอื่น ก็เป็นกุศลเป็นคุณความดี แต่ว่าขณะนั้นถ้าบุคคลนั้นไม่ได้เข้าใจธรรมะก็ไม่รู้จักเลยนะครับ ว่านั่นเป็นธรรมะที่ดีงามที่เขาเกิดขึ้นต่างหาก แต่ว่าสังฆะก็หมายถึงหมู่สงฆ์ สูงสุดก็คือเป็นอริยสงฆ์

    เพราะเห็นคุณของหมู่ผู้ประเสริฐ ก็คือการที่จะให้ปัจจัย ๔ ที่เป็นประโยชน์แก่หมู่สงฆ์ภิกษุทั้งหมดโดยไม่เจาะจง นี้เป็นเบื้องต้นนะครับ ถ้าคิดถึงว่าประโยชน์สูงสุดของบุคคลทุกๆ คน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าอย่างไร

    พระองค์ตรัสว่าในบรรดาสังขารธรรมทั้งหมดนี่ครับ สิ่งที่มีค่าประเสริฐที่สุดก็คือปัญญา ดังนั้นควรที่จะให้เขาเข้าใจความเป็นจริงให้ถูกต้อง จะประเสริฐกว่าหรือเปล่า เพราะว่าจะให้เขาทำ เขาก็ทำแต่ว่าเขาไม่มีความเข้าใจว่าสิ่งนั้นคืออะไร สิ่งที่มีค่าที่สุดก็คือได้เข้าใจความเป็นจริง แต่ถ้าไม่ได้ฟังธรรมะก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจความเป็นจริงของธรรมะได้เลย

    ท่านอาจารย์ คุณชื่นจิต ฟังคุณวิชัยแล้วนะคะ จะเอาสังฆทานไปถวายกับการเข้าใจเนี่ยอันไหนมีประโยชน์กว่า

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 190
    20 ต.ค. 2568