ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1389
ตอนที่ ๑๓๘๙
สนทนาธรรม ที่ โรงแรมไชยแสงพาเลส จ.สิงห์บุรี
วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๑
ท่านอาจารย์ ไม่ว่าอะไรทั้งสิ้น สิ่งที่มีจริงทั้งหมดเป็นธรรมะ ซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับไป แล้วไม่กลับมาอีกเลย ถ้าไม่รู้อย่างนี้นะค่ะ ก็หลงโลภ หลงโกรธ หลงไม่รู้ หลงทำทุจริตกรรมต่างๆ ต่อไป แต่ถ้ารู้ว่าแท้ที่จริงแล้วนะคะ ไม่มีอะไรเลย แล้วก็มีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น และสิ่งที่เกิดขึ้นก็ดับไป มีอะไรบ้างที่ไม่ดับไป ไม่หมดไป
พิจารณาด้วยตัวเองลองหาสิคะ เสียงเมื่อกี้นี้หมดแล้ว เห็นเดี๋ยวนี้หมด เพราะเหตุมีคนเข้ามาใหม่ข้างหลัง เห็นใหม่ล่ะ แล้วก็ถ้าใครคนหนึ่งออกจากห้องนี้ไปนะคะ ก็เห็นอีก แต่ว่าไม่มีคนนั้นแล้ว เพราะฉะนั้นมาจากเห็นแล้วก็ความจำต่างๆ นะคะ และความไม่รู้ จึงทำให้ถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แค่คำว่าธรรมะคำเดียว ไตร่ตรองนะคะ เข้าใจแค่ไหน มั่นคงแค่ไหน
ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา อัตตาคือสิ่งหนึ่งสิ่งใดนะคะ แต่อนัตตาคือไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มั่นคงเลย พูดเท่านี้ไม่สามารถที่จะทำให้ใครเห็นจริงได้นะคะ เพราะว่าการยึดมั่นว่าเป็นเราเนี่ยนานแสนนานมาแล้ว เพราะฉะนั้นพระองค์ทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา ด้วยเวลาซึ่ง เช้า สาย บ่าย ค่ำ เย็น ดึก นะคะ ก็ยังทรงแสดงธรรมะกับเทวดาหรือพรหมที่มาเฝ้า
เพราะฉะนั้นเราไม่ได้ยินคำที่พระองค์ได้ตรัสไว้ดีแล้ว ๔๕ พรรษาเลย แม้แต่คำชินหูว่าธรรมะ เราก็ไม่ได้ไตร่ตรองว่าธรรมะคืออะไร เพราะฉะนั้นเมื่อไม่มีความเข้าใจธรรมะ ไม่มีความเข้าใจวินัย บวชได้ไหม บวชเพื่ออะไร เพราะว่าคนที่เห็นกิเลสของตนเองคือความไม่รู้ก็จะฟังพระธรรมเพื่อขัดเกลากิเลส
ในครั้งนั้นผู้ที่ไปฟังพระธรรมก็มีทั้งคฤหัสถ์ชายหญิง ไปเฝ้าฟังธรรม ฟังแล้วต่างกันมากนะคะ บางคนเป็นพระโสดาบัน เพราะสะสมความรู้ทุกคำที่พระองค์ได้ตรัสไว้ เพราะได้ยินบ่อยๆ กี่ภพกี่ชาติจนชิน เพราะฉะนั้นพอได้ยินว่าธรรมะทั้งหลายเขารู้เลยค่ะ ไม่มีอะไรที่ขณะนี้ไม่ใช่ธรรมะ เห็นเป็นดอกไม้ แต่ถ้าไม่มีการเกิดขึ้นของสิ่งที่อ่อน แข็ง สีสันวรรณะต่างๆ จะเรียกได้ไหม ว่าเป็นดอกไม้ ก็ไม่ได้เลย
ด้วยเหตุนี้นะคะ พระธรรมที่ทรงแสดงเนี่ยประมาทไม่ได้ ที่จะต้องมีความเคารพจริงๆ มั่นคงในพระรัตนตรัย คือศึกษาทุกคำให้เข้าใจ ไม่เช่นนั้นก็เป็นอย่างที่ปรากฏนะคะ ในประเทศไทย และทั่วโลก คือไม่ได้มีใครเข้าใจคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส มีแต่คำบอกเล่าของคนอื่น และก็ทำตาม เป็นสิ่งซึ่งไม่ได้เคารพในพระรัตนตรัย
เพราะฉะนั้นต้องละเอียดค่ะ และต้องไม่ประมาท และต้องรู้ว่าความเข้าใจเพียงวันนี้เนี่ยไม่พอเลย เพราะเหตุว่ายังมีอีกมากที่พระองค์ทรงแสดง ๔๕ พรรษา แต่ทุกคำเป็นความจริงนะคะ ทุกขณะด้วย เพราะขณะนี้ก็มีสิ่งที่มีจริงหลากหลายมาก ก็ต้องค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ไม่เช่นนั้นก็หวังว่าจะเป็นพระโสดาบัน หวังว่าจะรู้ธรรมะ ใครบอกให้นั่งก็นั่ง ใครบอกให้เดินก็เดิน แล้วรู้อะไร วิกฤตไหมคะ
เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า ไม่มีเลยค่ะ ทุกคำของพระองค์นะคะ เป็นปาฏิหารย์ที่ทำให้สิ่งซึ่งไม่เคยรู้ ไม่เคยเข้าใจมาก่อน ทั้งๆ ที่ปรากฏทุกวันเป็นความรู้ความเข้าใจเกิดขึ้น รู้จักพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และดำเนินตามรอยพระบาทโดยการเข้าใจธรรมะยิ่งขึ้น คเพื่อละกิเลส เพราะกิเลสทั้งหมดมาจากความไม่รู้ เพราะฉะนั้นใครจะหวังว่า จะเป็นพระโสดาบัน จะละกิเลส โดยการนั่งบ้าง นอนบ้าง ยืนบ้าง เดินบ้าง แต่ไม่เข้าใจธรรมะ เป็นไปได้ไหม ลองคิดดูนะคะ
อ.วิชัย ดังนั้นนะครับ บุคคลที่ฟังธรรมะในครั้งนู้นนะครับ ท่านฟังพระธรรมแล้วก็พิจารณาไตร่ตรองครับ จนเป็นความเข้าใจ และรู้จักอัธยาศัยของตนนะครับ ว่าจะขัดเกลากิเลสในเพศคฤหัสถ์ หรือว่าเพศบรรพชิตครับ
ท่านอาจารย์ ขอถามน่ะค่ะ ได้ฟังเพียงเท่านี้ จะบวชไหม เห็นไหมคะ ต้องเป็นคนที่ตรงเพราะจะบวช หมายความว่าสละชีวิตคฤหัสถ์ทั้งหมดนะคะ เพื่อศึกษาธรรมะ ขัดเกลากิเลสคำนี้ลืมไม่ได้เลยคะ แล้วถ้าไม่ได้ฟังธรรมะ จะเอาอะไรขัดเกลา ขัดเกลากันเองหรือ ใครบอกค่ะ ขัดเกลาได้ยังไง ในเมื่อคนนั้นไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้นก็ต้องเป็นผู้ที่ตรงนะคะ แม้เดี๋ยวนี้ใครจะบวชบ้าง ถ้าไม่เข้าใจธรรมะจะบวชมั้ยคะ ถ้าไม่เข้าใจธรรมะแล้วบวช ถูกหรือผิด เพราะว่าการบวชเป็นการขัดเกลากิเลสยิ่งกว่าเพศคฤหัสถ์ เพราะคฤหัสถ์นี่ค่ะ ฟังพระธรรมเข้าใจ ความเข้าใจต่างหาก ไม่ว่าใครทั้งหมดนะคะ ที่เข้าใจขึ้นจึงละความไม่รู้ และค่อยๆ ละกิเลสตามลำดับแต่ถ้าไม่มีความเข้าใจเลยจะละกิเลสได้อย่างไร การบวชโดยที่ไม่เข้าใจธรรมะ เพื่ออะไร
อ.อรรณพ ก็ตอบได้เยอะครับท่านอาจารย์ คือไม่เข้าใจธรรมะ แต่ว่าบวชตามประเพณีก็มีนะ บวชทดแทนคุณมารดาบิดาก็มีนะครับ
ท่านอาจารย์ แต่ไม่มีเหตุผลนะคะ เพราะว่าการบวชไม่ใช่ให้ทำอย่างอื่นนอกจากศึกษาพระธรรมเพื่อประโยชน์ในการที่จะขัดเกลากิเลส ไม่ใช่เพศของคฤหัสถ์ คฤหัสน์ฟังพระธรรมเข้าใจ ขัดเกลากิเลสเป็นพระโสดาบันได้ เป็นพระสกทาคามี เป็นพระอนาคามี เมื่อไหร่ถึงความเป็นพระอรหันต์ เมื่อนั้นไม่สามารถที่จะมีชีวิตอย่างคฤหัสถ์จึงบวช
เพราะฉะนั้นการบวชเพื่อขัดเกลากิเลสจนถึงความเป็นพระอรหันต์ อันนั้นเป็นสิ่งที่สมควรนะคะ เพราะเหตุว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้คฤหัสถ์เนี่ยบวชได้ เพราะรู้ว่าอัธยาศัยของบางท่านเนี่ยสามารถที่จะบรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์ ทุกโอกาสที่จะเป็นไปได้เมื่อได้มีความเข้าใจธรรมะที่ได้สะสมมาแล้ว
อ.อรรณพ ท่านอาจารย์ถามให้คิดนะครับ ว่าถ้าไม่เข้าใจธรรมะทำไมถึงไปบวช บวชเพื่ออะไร ก็จะมีคำตอบที่อาจจะดูดีหน่อย ก็คือว่าก็เพราะไม่รู้ธรรมะน่ะสิถึงจะไปบวช จะได้บวช ได้เรียน ได้รู้ ได้เข้าใจ
ท่านอาจารย์ ไม่เข้าใจธรรมะ ไม่รู้ธรรมะแล้วบวช คิดได้ยังไงไม่รู้นี่คะว่าธรรมะคืออะไร ไม่เข้าใจธรรมะด้วยว่าธรรมะคืออะไร แล้วจะบวชตรงตัวไหม แต่ถ้าเข้าใจก่อนหรือว่าได้ยินได้ฟังแล้วก็สะสมมานะคะ ที่จะละเพศคฤหัสถ์ นี่หมายความว่าละทั่ว บรรพชาไม่เหลือเลยวงศาคณาญาติ ทรัพย์สมบัติทุกสิ่งทุกอย่างการงานอาชีพนะคะ ทั้งหมด
อย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์นะคะ สละได้ทุกอย่าง ใครคนใดคนหนึ่งในที่นี้นะคะ จะสละสิ่งที่ชอบได้ไหม ลองคิดดูค่ะ สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดีนะคะ ใครก็ชอบ ตัวเองก็ชอบ สละให้คนอื่นได้มั้ย ยังไม่ได้เลยใช่มั้ยคะ แล้วจะละอะไรคะ สมบัติทั้งหมดไม่ใช่สิ่งเดียวนะคะ ครอบครัววงศาคณาญาติ ทุกอย่างหมด เพื่อจะมีชีวิตที่ไม่มีอะไร นอกจากสิ่งที่จำเป็น คืออาหาร ที่อยู่ เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรคก็เป็นได้
เพราะฉะนั้นต้องมีการสะสมมานะคะ ที่จะเป็นผู้ที่ขัดเกลากิเลสอย่างยิ่ง จึงบวช มีศรัทธาที่จะขัดเกลากิเลส ด้วยการฟังพระธรรม ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย เพราะฉะนั้นใครก็ตามนะคะ ที่จะประพฤติตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต ศึกษาพระวินัยก่อน ประพฤติปฏิบัติตามได้มั้ย ถ้าไม่ได้ก็เป็นคฤหัสถ์ที่ดี พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ให้ใครบวชนะคะ แต่คนบวชต่างหากที่มีอัธยาศัยที่จะสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อการละคลายกิเลสในเพศบรรพชิต
ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขต ที่เครารพยิ่ง ผมได้ฟังจากท่านผู้รู้ที่อื่นนะครับ ท่านจักขุบาลพระอรหันต์นั้น ท่านปฏิบัติธรรมจนกระทั่งตาท่านบอด ในขณะที่ตาท่านบอดท่านก็บรรลุธรรม ก็สงสัยอยู่ว่า เขาบอกว่าเนี่ยปฏิบัติธรรมขั้นอุกฤษฏ์จึงทำให้บรรลุธรรมได้
ท่านอาจารย์ ค่ะ ไม่ว่าใครจะบรรลุธรรมโดยวิธีใดก็ตามนะคะ ไม่ใช่คนนั้นเลยค่ะ แต่เป็นปัญญา สภาพธรรมะที่เข้าใจถูก เพราะว่าทั้งหมดนะคะ ต้องเริ่มตั้งแต่ธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา ต้องเดินทางนี้โดยตลอดน่ะค่ะ จึงจะสามารถละอัตตาได้ เพราะฉะนั้นแต่ละหนึ่งคนนี้ค่ะหลากหลายมาก ที่ปรากฏในพระไตรปิฎกก็แต่ละชีวิตนะคะ และตลอดมาจนถึงทุกวันก็ยิ่งหลากหลายกันไป
เพราะฉะนั้นไม่ว่าใครจะประพฤติอย่างไรก็ตามนะคะ จะนั่งทั้งคืน หรือว่าจะเดิน หรืออย่างไรก็ตาม แต่เข้าใจอะไร เพราะเหตุว่าเป็นปัญญาต่างหาก ที่ใช้คำว่าบรรลุธรรม คือรู้แจ้งอริยสัจธรรม ๔ ใช่ไหมคะ ตามลำดับด้วย เพระเหตุว่าถ้าไม่มีความเข้าใจธรรมะเลยจะปฏิบัติยังไงคะ อุกฤษฏ์ บางคนก็คิดว่าเขาจะไปนั่งที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่ประเทศอินเดียทั้งคืนเลย แล้วได้อะไร ค่ะ ในเมื่อไม่มีความเข้าใจ
แต่เมื่อมีความเข้าใจที่ค่อยๆ สะสมเพื่อละความเป็นตัวตน และความไม่รู้ จนวันหนึ่งนะคะ เป็นปัจจัยที่จะทำให้เข้าใจธรรมะเพิ่มขึ้นแต่ละขั้นแต่ละขั้นตามลำดับ กว่าจะขัดเกลา และดับกิเลสได้เป็นสิ่งที่ไม่ง่ายเลย เพราะฉะนั้นแต่ละคนนะคะ ก็คือว่าต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่าไม่ใช่เราจะไปทำ อย่างที่มองเห็นว่าคนนั้นเดินทั้งคืน หรืออะไรอย่างนั้นน่ะค่ะ แต่ว่าปัญญาต่างหากความเข้าใจถูกธรรมะเท่านั้นซึ่งจะต้องเริ่มจากการฟังจนกระทั่งเข้าใจถูกรอบรู้
สอดคล้องกันนะคะ ซึ่งเป็นปริยติซึ่งเป็นสัจญาณ ถ้าไม่มีปริยัติความเข้าใจธรรมะจนมั่นคงเป็นสัจญาณ ว่าเดี๋ยวนี้ไม่ใช่เราเป็นธรรมะ เพราะเห็นก็เป็นธรรมะ ได้ยินก็เป็นธรรมะ ทุกอย่างเป็นธรรมะ ไม่ได้เลือกกาลเวลาขณะไหนใช่ไหมคะ ที่อกุศลจะเกิดหรือกุศลจะเกิด เพราะฉะนั้นปัญญาต้องมั่นคงจนกระทั่งว่า แม้ขณะนั้นเป็นอกุศลอย่างธรรมดา ปัญญาที่ได้อบรมแล้วก็สามารถที่จะรู้ความจริงว่า ขณะนั้นเป็นธรรมะอะไร
ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้โดยละเอียดนะคะ ทั้งพระธรรม และพระวินัย ด้วยเหตุนี้ค่ะ ไม่ใช่ว่าใครก็ตามเห็นอาการกิริยาภายนอก และคิดว่าคนนั้นจะเข้าใจธรรมะ แต่พูดตรงก็คือว่าสนทนากัน ไม่ใช่เราไปเดา นะคะ ถ้าถามผู้ที่กระทำการที่จะไม่นอนหรือว่าเดินก็ตามแต่ ท่านรู้อะไร ท่านเข้าใจอะไร เพราะปัญญาเท่านั้นนะคะ ที่จะทำให้สามารถรู้แจ้งอริสัจธรรม ท่านพระสารีบุตรซึ่งเป็นผู้เลิศในทางปัญญา ที่เป็นอัครสาวก ทำอย่างนั้นหรือเปล่า ไม่ได้ทำ
ผู้ฟัง ครับ ถ้าฉะนั้นทุกสรรพสิ่ง เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย พระอรหันต์ท่านจะบรรลุอรหันต์ก็ด้วยเหตุด้วยปัจจัยของท่าน
ท่านอาจารย์ ค่ะ ปฏิหาริย์ คือฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความเคารพนะคะ เริ่มรู้จัก สิ่งที่กำลังปรากฏนั้นคือความถูกต้องใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่ครับ
ท่านอาจารย์ แต่ว่าถ้าเราประมาทไม่รู้อะไรเลย ทิ้งคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปประพฤติปฏิบัติ มาจากไหน ฟังใคร ใครบอกให้ทำอย่างนั้น แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเองก็ไม่ได้ทรงกระทำอย่างนั้น แล้วทำได้อย่างไร ด้วยความต้องการ ด้วยความเข้าใจผิด ด้วยการหลงว่า เรานะคะ จะสามารถทำปัญญาให้เกิดขึ้นได้ แต่ว่าความเป็นจริงไม่ได้เข้าใจที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช้คำว่าธรรมะ ไม่ได้บอกว่าอะไรเลยนอกจากสิ่งที่มีจริงๆ แต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่งนะคะ
ที่ตัวทั้งหมดที่ว่าเป็นเราเนี่ยแตกย่อยออกละเอียดยิบ จะเป็นเราได้ไหม เป็นแต่รูป แต่ละรูป ธาตุดินแข็ง ธาตุไฟร้อน เป็นต้นนะคะ แม้แต่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส ทั้งหมดนี่คะ ทีละหนึ่ง ทีละหนึ่งแยกออกไปแล้ว ไม่มีใครเลย มีแต่ธรรมะ ซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป นี่ขั้นฟังค่ะ แต่ขั้นฟังนี่แหละนะคะ จะนำไปสู่การที่ปัญญาสามารถที่จะรู้ตรงลักษณะที่กำลังปรากฏหนึ่ง จนกว่าสิ่งนั้นจะปรากฏความเป็นสิ่งนั้น เป็นความรอบรู้ในสิ่งเดียวทีละหนึ่ง ซึ่งก็ต้องเป็นปัญญาตามลำดับขั้นนะคะ จนกว่าจะถึงการที่สามารถดับกิเลสได้ไม่ง่าย
ผู้ฟัง ครับผม กราบขอบพระคุณครับ
ผู้ฟัง สวัสดีครับ ผมจากนครสวรรค์นะครับ ผมก็สงสัยว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าเนี่ย เพียงพอไหม ที่เราจะนำมาศึกษา เราจำเป็นต้องศึกษาอรรถกถาด้วยหรือไม่ ขอความเมตตาครับ
ท่านอาจารย์ ค่ะ ในสมัยโน้นนะคะ มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และสาวก เพราะฉะนั้นพระองค์ส่งสาวกไปประกาศพระศาสนาด้วย เพราะฉะนั้นคำใดก็ตามที่ใครกล่าวทั้งหมดเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่บุคคลในครั้งโน้นนะคะ อยู่ใกล้กับพระธรรม และพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็อนุเคราะห์คนรุ่นหลัง ที่ไม่สามารถที่จะเข้าใจความลึกซึ้งของธรรมะได้นะคะ เพราะฉะนั้นพระอรรถกาจารย์ทั้งหลายเนี่ยท่านก็กล่าวคำอธิบายคำสอนนั้น
ซึ่งต่อมาก็ได้มีผู้จารึกเป็นคำอธิบาย เพื่อให้เข้าใจถูกต้องในพระธรรมแต่ละพระสูตร และแต่ละข้อความที่ได้ทรงแสดงไว้ว่าคำนี้หมายความว่าอย่างไร เพราะว่าพระธรรมมากมายค่ะ แล้วก็คำนั้นคำเดียวอยู่ในที่ต่างๆ ไม่สามารถที่จะกล่าวได้ทั้งหมดใน ๔๕ พรรษา ซึ่งมีคำเยอะใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นก็อธิบายคำที่คนอื่นอาจจะเข้าใจผิด เพราะฉะนั้นการศึกษาต้องศึกษาทั้งพระไตรปิฎก และอรรถกถาด้วย
ผู้ฟัง แต่ในปัจจุบันนี้อรรถกถาต่างๆ เกิดขึ้นตามหลังพุทธกาลอีกมากมาย เราจะสมควรที่จะมาสนใจอรรถกถาในช่วงหลังๆ นี้หรือไม่ นะครับ
ท่านอาจารย์ หนังสือในยุคหลังนี่นะคะ ไม่ใช่อรรถกถาในครั้งพุทธกาล เพราะฉะนั้นก็แสดงความคิดความเข้าใจของผู้ที่เขียน ซึ่งก็จะต้องไตร่ตรองว่าถูกต้องไหม บางแห่งนะคะ จะใช้ชื่อเดียวกันเลยกับคัมภีร์เก่า แต่ก็ไม่เป็นการถูกต้อง เพราะจะทำให้หลงเข้าใจผิดคิดว่าเป็นคัมภีร์เก่า เพราะฉะนั้นข้อความนั่นแหล่ะคะ จะแสดงให้รู้ ถ้าไตร่ตรองนะคะ ว่าตรงกับพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้หรือเปล่า
ผู้ฟัง อีกประเด็นหนึ่งก็คือว่า ธรรมมะนี้คือสิ่งที่เป็นจริง ในปัจจุบันเนี่ยในแต่ละขณะ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ท่านอาจารย์ ธรรมะที่เกิดนะคะ ต้องมีการดับไป แล้วก็บังคับบัญชาไม่ได้
ผู้ฟัง ครับ นิพพานนี้อยู่ในกฎของไตรลักษณ์หรือเปล่าครับ
ท่านอาจารย์ ต้องเข้าใจว่าพระธรรมหลากหลายมากนะคะ ทั้งหมดทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรมะ แต่แม้ว่าจะหลากหลายอย่างไรก็ตาม ก็ต่างกันเป็นสองประเภทคือสภาพที่มีจริงแต่ไม่รู้อะไร เช่น แข็ง หวาน เปรี้ยว เค็ม เสียง ร้อน พวกนี้ไม่ใช่สภาพรู้นะคะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงบัญญัติคำว่า รูปะ หรือรูปธรรม
แต่สภาพธรรมะที่เกิดขึ้นรู้ ไม่รู้ไม่ได้เลยค่ะ เช่น ขณะนี้เห็นเนี่ยรู้อะไร ก็รู้ว่าห้องนี้เป็นอย่างนี้ ใช่ไหมคะ เห็นอย่างนี้ว่าเป็นอย่างนี้ นั้นคือสภาพรู้ที่เกิดขึ้นรู้ เสียงนะคะ โต้ะเก้าอี้ไม่รู้เลย ไม่ได้ยินแต่ว่าขณะใดก็ตามที่เสียงปรากฏกับสภาพที่ได้ยินเสียง ไม่ได้ปรากฏกับธรรมะอื่นเลย เพราะฉะนั้นก็เป็นธรรมะที่หลากหลาย
ด้วยเหตุนี้นะคะ ธรรมะจึงแบ่งเป็นสองประเภท ธรรมะที่เกิดขึ้นที่เป็นรูปธรรมไม่รู้อะไร ธรรมะที่เกิดขึ้นต้องรู้ก็มีสองอย่าง คือจิตกับเจตสิก ซึ่งใครไม่สามารถที่จะเปลี่ยนลักษณะนั้นได้เลย ทั้งสิ้นนะคะ จึงแสดงว่าเป็นปรมัตถธรรม คือสิ่งที่มีจริง
แต่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ว่า มีธรรมะอีกหนึ่ง คือนิพพานมีจริงๆ เป็นปรมัตถธรรม แต่ไม่ใช่จิต ไม่ใช่เจตสิก ไม่ใช่รูป เพราะเป็นภาวะที่ดับกิเลส ไม่เกิด จึงไม่เป็นที่ติดข้องของกิเลส ขณะนี้อะไรก็ตามนะคะ ที่เกิดขึ้นเป็นที่พอใจหรือติดข้องทั้งหมด เช่น ถ้าไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้นเกิดขึ้น จะมีโลกไหม
ผู้ฟัง ไม่มีครับ
ท่านอาจารย์ ไม่มีนะคะ แต่เมื่อมีเพียงสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น นั่นแหละโลก เพราะมีการเกิดขึ้นปรากฏ แต่ขณะนี้เราไม่สามารถจะรู้ความจริงได้เลย ว่าทุกอย่างที่ปรากฏเนี้ยะเกิดหมดเลยเกิดทั้งนั้น ไม่เกิดไม่มีไม่ปรากฏหลากหลายมาก แสดงความรวดเร็วของสภาพธรรมะที่เกิดดับว่าสืบต่อกันนะคะ จนปรากฏเป็นนิมิตรูปร่างสัณฐาน เป็นโต้ะ เก้าอี้ เป็นคน เป็นดอกไม้เป็นอะไรก็แล้วแต่นะคะ แต่ถ้าไม่มีธรรมะ ไม่มีอะไรเลย
เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่มีนี่คะ เป็นธรรมะแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่งนะคะ ซึ่งมีการเกิดขึ้นปรากฏตั้งแต่เกิดจนตาย นิพพานยังไม่ได้ปรากฏ นิพพานเป็นอริยสัจจะหนึ่ง ในอริยสัจจะ ๔ ใช่ไหมค่ะ เพราะฉะนั้นนิพพานก็ต่างกับสภาพธรรมะอื่นซึ่งเกิดแล้วก็ดับ
ผู้ฟัง ถ้าธรรมะในคำจำกัดความว่าเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป นิพพานก็ไม่น่าจะเข้าอยู่ในธรรมะนะตรงนี้
ท่านอาจารย์ จึงมีคำว่าสัพเพสังขาราอนิจจา สัพเพสังขาราทุกขา สัพเพธัมมาอนัตตาทั้งหมดแม้นิพพานก็เป็นอนัตตาคือ ไม่ใช่ใครทั้งสิ้น
ผู้ฟัง ครับ เราจะวางจิตอย่างไรนะครับ เมื่อได้รับฟังเสียงเพลง คือดนตรีนี่เพราะมากนะครับ คนร้องก็เพราะนะครับ
ท่านอาจารย์ ค่ะ ถ้าคิดจะวางจิตนะคะ ก็คือว่าเราเริ่มไม่เข้าใจธรรมะแล้ว เพราะว่าธรรมะมีปัจจัยจึงเกิดขึ้นได้
ผู้ฟัง ครับ
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีปัจจัยเกิดไม่ได้เลย แม้ปัญญาก็เกิดไม่ได้ ถ้าไม่มีการฟัง การไตร่ตรอง การเข้าใจตามลำดับ ปัญญาก็ไม่สามารถที่จะเจริญขึ้นได้ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามปัจจัย จึงกล่าวได้ว่าไม่มีใคร ทั้งหมดเป็นอนัตตา นะคะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงปริยัติ ปฏิปัตติ ปฏิเวธ ปริยัติคือการเข้าใจความจริงที่พระองค์ได้ตรัสไว้ดีแล้ว จนกระทั่งมั่นคงเป็นสัจญาณ ว่าขณะนี้เห็นมีจริงไหม
ผู้ฟัง มีจริง ณ ปัจจุบันนี้ แล้วก็ดับไป
ท่านอาจารย์ เห็นเกิดดับ
ผู้ฟัง ครับ
ท่านอาจารย์ ปัญญาสามารถรู้ได้ไหม
ผู้ฟัง รู้ได้
ท่านอาจารย์ โดยหนทางใด
ผู้ฟัง ก็โดยพิจารณาเห็นความไม่เที่ยง
ท่านอาจารย์ เราพิจารณาหรืออะไรคะ
ผู้ฟัง ตอนแรกก็ต้องใช้เราก่อน
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ต้องใช้ค่ะ เรามีมานานในแสนโกฏิกัปป์ มีอยู่แล้ว แต่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อค่อยๆ ละความเข้าใจผิดที่ไปยึดว่าเป็นเรา แต่นานมากไหมคะกว่าจะละได้หมด
ผู้ฟัง ก็นานมาก
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็ไม่ใช่เราทำใช่ไหมคะ แต่ต้องเป็นปัญญาความเข้าใจ ความเข้าใจเท่านั้นที่จะค่อยๆ ละความไม่รู้ทีละเล็กทีละน้อย เพราะฉะนั้นพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ทั้งหมดนะคะ เพื่อให้ความเข้าใจมั่นคงว่าไม่มีเรา
ผู้ฟัง ครับ
ท่านอาจารย์ แล้วก็ถึงเวลา ที่ใครก็ห้ามไม่ได้ เมื่อปัจจัยพร้อม สติสัมปชัญญะก็เกิดเหมือนเดี๋ยวนี้ค่ะ ใครห้ามไม่ให้เห็นก็ไม่ได้ ใครห้ามไม่ให้ได้ยินก็ไม่ได้ เมื่อมีปัจจัยที่จะเกิดจึงเกิด แต่ถ้าไม่มีปัจจัยนะคะ อยากสักเท่าไหร่ ทำอะไรก็ตามแต่ แต่ไม่ใช่ปัจจัยที่จะทำให้ สิ่งนั้นเกิด สิ่งนั้นก็เกิดไม่ได้ฉันใด ปัญญาก็เช่นเดียวกัน ไม่มีใครสามารถจะไปทำวิธีอื่นได้เลย
ด้วยเหตุนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา ทุกคำนี่ค่ะ เพื่อค่อยๆ น้อมไป ที่จะเห็นถูกต้องเป็นปาฏิหาริย์จากความไม่รู้ และ รู้ตรง รู้ถูก ว่าไม่มีใครที่จะทำอะไร แต่ว่าสามารถฟังพระธรรมที่ทรงแสดงโดยนัยประการต่างๆ จนค่อยๆ รู้นะคะ ในขั้นการฟังว่าไม่ใช่เรา แต่ยังไม่ถึงปฏิปัตติ ซึ่งจะต้องเป็นสติสัมปชัญญะ ซึ่งปัจจัยที่จะให้เกิดมีประการเดียว คือปริยัติ ความรอบรู้ความเข้าใจถูกต้องในพระธรรม
ผู้ฟัง ที่เราเห็นทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวตนเราเนี่ยเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย การศึกษาปฏิจสมุปบาทจะช่วยตรงนี้ไหมครับ
ท่านอาจารย์ ค่ะ ได้ยินคำว่าปฏิจสมุปบาทใช่ไหมคะ
ผู้ฟัง ครับ
ท่านอาจารย์ หมายความว่าอะไรคะ
ผู้ฟัง สิ่งต่างๆ ก็เกิดขึ้นเป็นเหตุเป็นปัจจัยต่อเนื่องกันไป
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นโลภะมีจริงไหมคะ ความโลภ ความติดข้อง ความต้องการ
ผู้ฟัง มีครับ
ท่านอาจารย์ เกิดจากอะไร
ผู้ฟัง ก็เกิดจากกิเลสที่อยาก
ท่านอาจารย์ อวิชชา
ผู้ฟัง อวิชชา
ท่านอาจารย์ ถ้ากล่าวถึงปฏิจสมุปบาท อวิชาก็เป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร คือสภาพธรรมะที่เป็นกุศล และอกุศล ซึ่งไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นการฟังธรรมะต้องทุกคำนะคะ ต้องมั่นคงว่าเป็นธรรมะ ซึ่งเกิดดับเท่านั้นนะคะ ที่จะสามารถทำให้ละความยึดมั่นว่าเป็นตัวตนได้ ถึงที่สุดคือดับไม่เกิดอีกเลย แต่ต้องเป็นความรู้จริงๆ จากขั้นการฟัง ซึ่งจะนำไปสู่สติสัมปชัญญะซึ่ง เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1381
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1382
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1383
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1384
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1385
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1386
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1387
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1388
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1389
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1390
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1391
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1392
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1393
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1394
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1395
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1396
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1397
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1398
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1399
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1400
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1401
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1402
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1403
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1404
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1405
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1406
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1407
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1408
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1409
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1410
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1411
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1412
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1413
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1414
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1415
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1416
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1417
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1418
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1419
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1420
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1421
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1422
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1423
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1424
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1425
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1426
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1427
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1428
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1429
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1430
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1431
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1432
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1433
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1434
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1435
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1436
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1437
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1438
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1439
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1440