ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1418
ตอนที่ ๑๔๑๘
สนทนาธรรม ที่ ร้านโป๊ดเรสเตอรอง
วันที่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๑
ท่านอาจารย์ เพราะรู้ว่ากรรมคือเจตนาเจตสิก ซึ่งต้องเกิดกับจิตทุกขณะ ไม่เว้นเลย ทุกคำเปลี่ยนไม่ได้ ขณะที่มีนิพพานเป็นอารมณ์มีจิตไหมค่ะ
ผู้ฟัง มีจิตครับ
ท่านอาจารย์ เพราะนิพพานเป็นอารมณ์รู้โดยจิต รู้แจ้งในนิพพานมีเจตสิกไหม
ผู้ฟัง มีเจตสิก
ท่านอาจารย์ มีเจตนาเจตสิกไหม
ผู้ฟัง มีเจตนาเจตสิก
ท่านอาจารย์ คะ ที่นี้ตอนเกิด ไม่รู้ตัวกันเลยสักคนใช่ไหมคะ โลกนี้ไม่ปรากฏ เพราะไม่เห็น ถ้าเราบอกว่าโลกนี้คือกำลังเห็นเนี่ย มีต้นไม้มีอะไรเนี่ย เนี่ยๆ โลกล่ะ ใช่ไหมคะ ไม่มีการได้ยิน ไม่มีการได้กลิ่น ไม่มีการลิ้มรส ไม่มีการรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่คิดนึกด้วยขณะนั้น เพราะเป็นอนัตตาจะให้ขณะเกิดคิดได้ยังไงใช่ไหมคะ
เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงจิตโดยละเอียดยิ่งนะคะ ตั้งแต่การเกิดขึ้น แม้ขณะนี้ว่าจิตอะไรเกิดก่อน และเมื่อจิตนี้ดับไปแล้ว จิตอะไรเกิดต่อ ต้องเป็นจิตนี้ด้วย ไม่ใช่จิตอื่น ตามเหตุตามปัจจัยที่จะต้องเป็นไปเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้นเราศึกษาเพื่อให้มีความเข้าใจที่มั่นคงขึ้นนะคะ
ทุกคำก็รู้ว่าเป็นธรรมะ พูดถึงโทสะก็เป็นธรรมะ กกจูปมสูตรก็ธรรมะ ถ้าไม่มีธรรมะจะมาพูดได้ยังไง ใช่ไหมคะ ถึงภิกษุถูกเลื่อยแขนขา พวกนี้ค่ะทั้งหมดคือว่าไม่ขาดจากธรรมะเลยแต่ว่าธรรมะหลากหลายมาก เพราะฉะนั้นขณะนี้นะคะ รู้มั้ยว่าจิตเกิดดับประมาณไม่ได้เลย
แต่ไม่ปรากฏเลยว่าเป็นจิต เจตสิก แต่ไม่มีเราก็มีจิตเจตสิกนั้นแหละกำลังเกิดดับเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง คิดบ้าง จำบ้าง สงสัยบ้าง เข้าใจบ้าง จิตเจตสิกทั้งหมดนะคะ และรูปก็เกิดดับตามเหตุตามปัจจัย รูปมีถึง ๒๘ ประเภทนะคะ แต่ชีวิตประจำวันมีรูปปรากฏให้รู้ได้เพียง ๗ รูป แสดงว่าความไม่รู้เนี่ยมากแค่ไหน
ขณะนี้จิตเจตสิกกี่ประเภทก็เกิดดับนับไม่ถ้วน ก็ไม่ปรากฏ แสดงว่าความไม่รู้มากแค่ไหนระหว่างจิตเห็นกับจิตได้ยิน จิตเกิดดับหลายขณะ ไม่ปรากฏเลยว่าจิตอะไรบ้างเกิดดับระหว่างจิตเห็นกับได้ยิน เพราะเหมือน เห็น ได้ยิน พร้อมกัน ความไม่รู้ขนาดไหน เพราะฉะนั้นฟังธรรมะเพื่อรู้ เพื่อเข้าใจ เพื่อเป็นที่พึ่ง
ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์ค่ะ ขณะที่ไม่เข้าใจหรือมีโทสะ หรือมีโลภะ หรือมีอะไรที่ว่าเป็นความหวังดีแบบโลภะหรืออะไรก็ตามเนี่ย วาจาไม่ดี อันนั้นจะถือว่าวาจาที่ไม่ดีคือความหวังดีที่เกิดขึ้นเนี่ย ไม่น่าใช่ ไม่น่าตรง
ท่านอาจารย์ ฟังเพื่อเข้าใจ ไม่ใช่เพื่อถือใช่ไหมคะ
ผู้ฟัง ค่ะ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นให้เข้าใจว่าทั้งหมดที่ฟังมาเนี่ยเป็นเรื่องตัวตนหมด
ผู้ฟัง ค่ะ
ท่านอาจารย์ ใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจธรรมะจริงๆ เวลาโกรธเกิดขึ้นเดือดร้อนไหม
ผู้ฟัง ไม่เดือดร้อน
ท่านอาจารย์ เพราะรู้ว่าเป็นธรรมะ เขาไม่เข้าใจเรา เขาไม่ชอบเรา แต่ขณะนั้นปัญญาเกิดขึ้นรู้ว่าขณะนั้นไม่ใช่เรา เป็นสภาพธรรมะอะไรที่ถูกต้อง ก็คือความรู้ที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นคนเรานี่มีความรักตัวนะคะ ก็หวังที่จะให้เป็นที่รักเป็นที่พอใจ ทำตามคนโน้นบ้าง คนนี้บ้าง คนนู้นอยากให้ทำอย่างนี้ก็ทำ คนนู้นอยากให้ทำก็ทำ
ไม่เป็นความถูกต้อง แต่ว่าถ้ามีความถูกต้องแล้วนะคะ โกรธเกิดขึ้น ใครเก่งกว่าปัญญาหรือโกรธ ถ้าได้อบรมแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าสามารถที่จะมีความเข้าใจที่ถูกต้องมั่นคงอบรมแล้วนะคะ ปัญญาขณะนั้นรู้โกรธ ลักษณะนั้นเลยว่าไม่ใช่เรา เป็นธรรมะ เพราะฉะนั้นประโยชน์คือตรงนี้
ผู้ฟัง ค่ะ ในการที่มีลูกน้องหลายคน คนนี้ไม่ได้เราต้องดุมากๆ ถึงจะรู้เรื่อง พูดดีๆ ไม่รู้เรื่อง
ท่านอาจารย์ คุณกนกวรรณค่ะ ไม่มีแบบแผนของธรรมะ ธรรมะไม่ใช่ยอมทำตามแบบแผนที่ใครวางไว้ แต่ว่าธรรมะเป็นธรรมะที่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้นจะวางแบบแผนสักเท่าไหร่ ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นไปอย่างนั้นเลย เพราะฉะนั้นไม่ต้องเตรียมไม่ต้องหวังนะคะ
แต่ว่าเป็นคนที่เข้าใจ เข้าใจคนอื่น เพราะเข้าใจตัวเอง เราเป็นอย่างไรเขาก็เป็นอย่างนั้น ถ้าเราไม่ชอบคำที่ไม่น่าฟังนะคะ เราเองจะไม่พูดคำนั้น เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่เข้าใจอย่างนี้นะคะ เราก็มีเหตุผลของเราที่ว่าเราจะต้องโกรธ จะต้องดุ จะต้องอะไรต่างๆ ใช่มั้ยค่ะ แต่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสั่งสอนคน ไม่ใช่ด้วยคำดุ หรือเสียงดุใช่ไหมคะ
แต่ด้วยพระมหากรุณาแม้จะกล่าวคำว่าภิกษุมหาโจร ภิกษุอลัทชี ภิกษุหยากเยื่อ ทั้งหมดกล่าวคำจริงด้วยพระมหากรุณา แล้วถ้ามีความเข้าใจถูกต้องว่าขณะนั้นไม่ใช่เรา ก็เห็นธรรมะที่เป็นอกุศลว่าเป็นอกุศล เพราะฉะนั้นปัญญาก็สามารถที่จะละได้ในสิ่งที่ไม่ดี เพราะปัญญารู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด
ผู้ฟัง ความจริงใจที่จะเกิดขึ้นหรือมั่นคงเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำให้ไปในทางที่ถูกคือฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมเพื่อความเข้าใจ ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น
ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะว่าเป็นคุณกนกวรรณชาตินี้ชาติเดียว และที่เป็นคุณกนกวรรณเนี้ย เข้าใจธรรมะแค่ไหน และต่อไปจะไม่เป็นคุณกนกวรรณ แต่จะเป็นคนที่ฟังธรรมะเข้าใจแค่นั้น ตามที่สะสมมาหรือว่าเห็นประโยชน์สูงสุดว่า ไม่ว่าจะเกิดที่ไหนอย่างไรก็ตามนะคะ ก็ต้องจาก ก็ต้องหมด ไม่สามารถที่จะมั่นคงอยู่ตลอดไปได้
ไม่ว่าในสวรรค์ก็ต้องจากสวรรค์ ในมนุษย์ก็ต้องจากมนุษย์ ไม่ว่าที่ไหนก็ตามแต่นะคะ แล้วแต่กรรมตามที่เราได้กล่าวถึงว่า กรรมก็มีตั้งแต่เล็กน้อยจนกระทั่งถึงเป็นกรรมใหญ่ สามารถที่จะให้ผลมากแล้วแต่ว่าเป็นทางฝ่ายกุศล และอกุศล ทั้งหมดนี้ค่ะประมาทไม่ได้เลยเพราะไม่มีเราแต่เป็นธรรมะซึ่งต้องเกิดตามเหตุตามปัจจัย
เพราะฉะนั้นถ้าเห็นโทษของความไม่รู้มีหรือที่เราจะไม่ฟังธรรมะเพื่อเข้าใจ ไม่ใช่ว่าเพื่อประโยชน์ว่าเราจะได้ดีกับพนักงาน หรือเราจะได้ดีกับเพื่อนฝูง หรือเราจะได้คนอื่นมานับถือเรา ไม่ใช่อย่างนั้นเลย แต่เพราะกิเลสไม่รู้นี่คะ มากขึ้นทุกวัน ที่มีอยู่แล้วก็มากนะคะ ยังเพิ่มขึ้นอีก เพราะฉะนั้นจะอยู่ต่อไป มากแค่ไหนถ้าไม่มีการเข้าใจธรรมะเพิ่มขึ้น
ผู้ฟัง การที่จะเข้าใจถึงความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมในเรื่องของการฟังพระธรรม หรือศึกษาพระธรรมน่ะคะท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ ค่ะ ไม่มีเราก็มีกุศลบ้างอกุศลบ้าง รู้ก็ยังดีใช่ไหมคะ ว่าแม้อกุศลก็ไม่ใช่เรากุศลก็ไม่ใช่เรา แต่ว่าจะบังคับให้เป็นกุศลตลอดเวลา หรือว่าให้ฟังธรรมะให้เข้าใจมากขึ้นก็บังคับไม่ได้ แล้วแต่ปัจจัยที่ได้สะสมมา
ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีความต่าง ไม่มีท่านพระอานนท์ มีท่านพระสารีบุตร ไม่มีท่านพระมหาโมคคัลลานะ เพราะฉะนั้นแต่ละหนึ่งเป็นแต่ละหนึ่ง เราคิดว่าเป็นหนึ่งบุคคลนะคะ แต่ แต่ละหนึ่งขณะ ไม่กลับมาอีก เพราะฉะนั้นหนึ่งขณะนั้นจะเป็นใครได้
ผู้ฟัง ความเข้าใจที่ว่าไม่กลับมาอีก ตัวนี้ก็ยากมากค่ะ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นฟังไม่ใช่รีบร้อนที่จะให้เรารู้อย่างนี้นะคะ แต่ฟังเพื่อเข้าใจว่าความจริงเป็นอย่างนี้ และความเข้าใจโดยไม่หวังว่าจะต้องทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้ เพื่อให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้
ก็มีการที่เวลาได้ฟังแล้วก็เข้าใจขึ้น เดี๋ยวนี้ ขณะนี้เข้าใจกว่าตอนที่เพิ่งมานั่ง ใครทำ เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เพราะไม่ใช่เราไม่ต้องไปคิดทำเลยค่ะ แค่ฟังแล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ก็เป็นหนทางที่จะทำให้ละความไม่รู้
ผู้ฟัง กราบขอบพระคุณค่ะ
ผู้ฟัง กราบสวัสดีอาจารย์ครับ จากการฟัง จากการปฏิบัติ มีการนั่งสมาธิ ปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา เอามาขัดเกลาเพื่อให้รู้ว่าธรรมะนั้นต้องอยู่กับจิตแล้วปกติให้นิ่ง โดยปกติโก๋จะไม่นิ่ง ตอนนี้นิ่ง จะแกว่งไปทางไหนก็กลับมาถูกว่ามันคืออะไร
ท่านอาจารย์ คะ มันคือไม่ใช่ธรรมะที่เป็นอนัตตา
ผู้ฟัง ไม่ใช่ธรรมะที่เป็นอนัตตา
ท่านอาจารย์ อนัตตาเป็นธรรมะนะคะ ไม่ใช่คุณโก๋
ผู้ฟัง ใช่ครับ
ท่านอาจารย์ เป็นคุณโก๋เปลี่ยนแปลง
ผู้ฟัง ใช่คุณโก๋เปลี่ยนแปลง
ท่านอาจารย์ หรือว่าธรรมะที่ได้ฟัง แล้วมีความเข้าใจ
ผู้ฟัง ธรรมะ เข้าใจเพิ่มครับ นิ่งอยู่อย่างนั้นมันเป็นเช่นนั้นเอง
ท่านอาจารย์ ค่ะ จริงๆ แล้วธรรมะมีมากนะคะ แล้วก็เปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ตามเหตุตามปัจจัย แสนสั้นเร็วกว่าที่เราคิดมาก เพราะฉะนั้นขณะนี้นะคะ ถ้าไม่ได้ฟังธรรมะจะไม่รู้เลยคะ ว่า ที่ว่าไม่ใช่เราเพราะเหตุว่าเป็นสิ่งที่เกิดแล้วดับ เร็วสุดที่จะประมาณได้
แล้วไม่กลับมาอีกเลย และสิ่งที่ดับแล้วจะเป็นเราแล้วจะเป็นของเราได้อย่างไร ค่อยๆ ลดความเป็นเรา ก็เป็นธรรมะทุกอย่างเพียงแต่ชื่อที่เราเรียกเท่านั้นเอง แต่เปลี่ยนลักษณะของธรรมะนั้นไม่ได้ คุณโก๋สามารถจะให้จิตเห็นไม่ดับได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นขณะนี้จิตเห็นเกิดหรือเปล่า
ผู้ฟัง จิตเห็นเกิด
ท่านอาจารย์ แล้วดับไหม
ผู้ฟัง เดี๋ยวมันก็ดับ
ท่านอาจารย์ ทันทีที่เห็นแล้ว ดับเลย เพราะเกิดขึ้นเพื่อทำกิจหน้าที่เดียวคือเห็น เพราะฉะนั้นถ้าเราสามารถที่จะเข้าใจอะไรได้นะคะ ก็คือสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ เพื่อยืนยันว่าอะไรถูก อย่างเห็นเนี่ยถ้าไม่ดับจะมีได้ยินไหม แต่เสมือนมาพร้อมกัน และระหว่างจิตเห็นกับจิตได้ยิน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงวาระของจิตที่เกิดตามลำดับมีมากกว่าแค่เห็น และได้ยินซึ่งเป็นสองขณะ ขณะเห็นหนึ่งขณะ ขณะได้ยินหนึ่งขณะ แต่จิตที่เกิดก่อนและจิตที่เกิดระหว่างจิตสองจิตนี่ก็เยอะ เพราะฉะนั้นทางที่ดีที่สุดนะคะ คือรู้ว่าเราไม่สามารถที่จะมีปัญญา มีความเห็นที่ถูกต้องด้วยตนเอง
เพราะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ก็ต้องพึ่งโดยฟังคำของพระองค์ ไตร่ตรองจนกระทั่งเป็นปัญญาซึ่งก็ไม่ใช่คุณโก๋ เข้าใจเมื่อไหร่เป็นธรรมะ ดีเมื่อไหร่เป็นธรรมะ ไม่ดีเมื่อไหร่ก็เป็นธรรมะ จนกว่าทุกอย่างเป็นธรรมะ จึงสามารถที่จะประจักษ์ความจริงได้ว่ามีสภาพธรรมะอีกอย่างหนึ่ง นอกจากจิต เจตสิก รูป ก็คือนิพพาน
แต่ถ้ายังอยู่ในโลกของความไม่รู้นะคะ ยังเป็นเราเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งดูเหมือนไม่ได้ดับไปเลยสักอย่างเดียว นั่งอยู่ตรงนี้ทุกอย่างก็เหมือนเดิม นั่นคือไม่เข้าใจความจริงของธรรมะ ซึ่งต้องเกิดจากการฟัง และไตร่ตรองก่อนว่าเห็นไม่ใช่ได้ยิน เพราะฉะนั้นจะเกิดพร้อมกันไม่ได้เพราะเห็นต้องอาศัยตา นะคะ
รูปซึ่งเกิดเพราะกรรมอยู่กลางตามองไม่เห็นเลยค่ะ แต่รูปนี้กำลังกระทบกับสิ่งที่ปรากฏ ถ้าไม่กระทบเมื่อไหร่ สิ่งนี้ปรากฏไม่ได้ จิตเห็นเกิดไม่ได้ นี่คือความละเอียดของทุกขณะซึ่งไม่ใช่ใครเลยทั้งสิ้นนะคะ แต่สิ่งที่มีจริงทั้งหมดเนี่ยก็เป็นธรรมะ คือสิ่งที่มีจริงจนกว่าจะรู้ว่าไม่ใช่เรา
ผู้ฟัง เวลาเรามองเราเห็น พอเราหลับตามันดับ โก๋เข้าใจว่ามันใกล้ชิดกันแล้วเกิดจากในขณะที่ใกล้มาก
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเข้าใจอย่างนี้ไม่พอ นี่ขั้นฟัง ต้องมีขั้นประจักษ์แจ้งจึงจะมั่นคง เพราะเราพูดได้นี่คะว่าเห็นไม่ใช่ได้ยิน เพราะฉะนั้นเห็นต้องอาศัยสิ่งที่มากระทบตา ได้ยินต้องอาศัยเสียงกระทบหู ไม่มีสีสันเลยเราพูดได้หมด แต่ว่าความเข้าใจของเราเนี่ยตามคำที่พูดแค่ไหน
อย่างบอกทุกอย่างที่มีจริงเนี่ย มีจริงเป็นธรรมะ ไม่ต้องใช้คำว่าธรรมะก็ได้ มีจริงๆ ไม่ปฏิเสธ แต่ก็ไม่สามารถที่จะรู้ยิ่งกว่านั้นว่าแล้วสิ่งที่มีจริงนะเป็นอะไร เพื่อที่จะรู้ว่าไม่มีเราเลยค่ะ มีแต่สิ่งที่มีจริงที่เกิดดับ ตามความเป็นจริงนั้นๆ ว่าต้องเป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น
ผู้ฟัง อยากจะเรียนถามท่านอาจารย์ว่า มีหน้าที่อย่างไรบ้างครับ เรื่องของกิจของปัญญา
ท่านอาจารย์ เริ่มตั้งแต่เข้าใจ จนกระทั่งความเข้าใจนั้นมั่นคงขึ้นนะคะ จนกระทั่งเป็นความรู้จริงแต่ละขั้น เพราะว่าทั้งหมดเป็นเรื่องจริงค่ะ เป็นธรรมะที่มีจริงนะคะ เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่ตรงต่อความจริงว่า เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ เช่นไม่มีเรา เห็นไหมคะ ต้องพิจารณาไตร่ตรองว่าจริงไหม
ไม่มีเราแน่นอน แต่เพราะความไม่รู้จึงยึดถือสิ่งที่มีว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งทั้งหมดเนี่ยคะ เป็นสิ่งที่มีจริงซึ่งถ้าไม่มีปัจจัยอาศัยกันและกันก็ไม่สามารถจะเกิดขึ้นมาได้ตามลำพัง ไม่มีอะไรที่สามารถจะเกิดขึ้นมาได้เลย นอกจากสิ่งที่มีอาศัยกันและกันเกิดขึ้นด้วยดี
อำนาจหนึ่งคือปัจจัยที่สามารถทำให้มีใช่ไหมคะ จากไม่มีเนี่ยใครไปทำได้ให้มีขึ้น แต่สิ่งที่มี ที่มีกำลัง มีอำนาจ เป็นปัจจัยที่จะให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นมีอยู่ ก็เป็นอย่างนี่ค่ะ คือว่าเราไม่สามารถที่จะไปดลบันดาลอะไรได้เลย เดี๋ยวนี้ใครจะบันดาลอะไรบ้างคะ ลองบันดาลให้ไฟดับสิ ไม่มีทาง บันดาลให้ตาบอดสิ ก็ไม่ได้ค่ะ ทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่างเดียว
แสดงว่าสิ่งนี้มีแล้ว ถ้าไม่มีจะรู้ได้ยังไง ไม่มีเลยเนี่ยก็ไม่รู้ แม้ความรู้ก็ไม่มี ถ้าไม่มีอะไรเลยก็ไม่มีอะไรที่จะรู้ แต่เมื่อมีสิ่งที่มีจริงๆ นะคะ คือสิ่งที่เกิดเป็นอย่างนั้นอาศัยปัจจัยแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แต่ละอย่างรวมกัน ทำให้มีสิ่งนั้นเกิดขึ้น เป็นแล้วเดี๋ยวนี้ก็คือว่าถ้าเราไม่ฟังคำที่กล่าวถึงความจริงของสิ่งที่มีนะคะ
เราก็ยังคงยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่ง แต่ความจริงแตกย่อยไม่รวมกันแล้วก็เป็นแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป จริงไหม ถ้าจริงก็คือเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง เปลี่ยนไหมก็เปลี่ยนไม่ได้ ในเมื่อความจริงเป็นอย่างนี้นะคะ ก็ต้องมีความเข้าใจที่มั่นคงขึ้น เพราะฉะนั้นความเข้าใจที่มั่นคงขึ้นไม่เปลี่ยนแปลง
ก็จะค่อยๆ ละความไม่รู้ และการยึดถือว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ทั้งหมดตัวนี้เป็นของเราใช่ไหมคะ ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า จากโลกนี้ไปแล้วไหนของเรา ไม่มีเราที่จะเป็นเจ้าของอีกต่อไป และสิ่งนั้นทั้งๆ ที่มีสภาพธรรมะคือธาตุรู้ ซึ่งเข้าใจว่าเป็นเรา แต่ถึงอย่างนั้นนะคะ ก็ไม่สามารถที่จะบังคับบัญชาได้
ทุกอย่างนี่คะ มีปัจจัยเกิดขึ้นเป็นธรรมดามีความเข้าใจขึ้นว่าไม่ใช่เรา ถูกต้องหรือผิด แค่นี้ค่ะ เพราะฉะนั้นก็รู้ว่า เราเห็นผิดมาตลอด เราเข้าใจผิดมาตลอด เรามีความยึดถือว่าเป็นเรามาตลอดนานแสนนานค่ะ เพราะฉะนั้นกว่าจะค่อยๆ เข้าใจนะคะ โดยไม่ใช่เราไปพยายาม เครื่องล่อให้หลงเนี่ยมีมากนะคะ
เพราะฉะนั้นเมื่อมีความไม่รู้เกิดขึ้น ก็มีความติดข้องต้องการ ทำให้มีการขวนขวายทำในสิ่งที่ผิด ไม่ใช่เป็นความเห็นถูกตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นก็ต้องรู้ว่าอวิชานี่คะ ไม่สามารถที่จะเข้าใจ เดี๋ยวนี้เรามีอวิชากันมากเลยทุกคน บอกว่าขณะนี้จิตเห็นเกิดและดับก็ไม่ปรากฏอย่างนั่น
เพราะอวิชาที่มั่นคงนี่คะ ปิดบังไว้ มีกำลังกั้นไม่ให้สิ่งนี้ปรากฏ เพราะสิ่งนี้จะปรากฏกับปัญญาที่อบรมแล้วเจริญขึ้นจนสามารถที่จะค่อยๆ ละคลายความเป็นเราตามลำดับขั้น แม้ในขั้นการฟังนะคะ ก็มั่นคง ถ้าในขั้นการฟังมั่นคงว่าไม่ใช่เรา วันนี้ทั้งวันนี่คะ ความปรากฏความไม่ใช่เราย่อมมีได้
เพราะไม่ใช่เราจริงๆ เห็นไหมคะ มีได้เพราะไม่ใช่เราจริงๆ ฟังแล้วเข้าใจ แต่เป็นเราอีกแล้ว เป็นเราอยู่นั่นแหละ ยังไงๆ ก็เป็นเราจนกว่านะคะ ปัญญามีปัจจัยที่จะเกิดขึ้น ตามกำลังของปัญญาว่าปัญญาขั้นฟังนี่นะคะ ฟังแล้วลืมใช่ไหมคะ พอจากที่นี่ไปก็คิดถึงเรื่องอื่นทันที ก่อนก้าวเข้ามาในห้องนี้ก็ เห็นดอกไม้ เห็นต้นไม้ เห็นความร่มรื่นต่างๆ
พอเข้ามาในนี้ก็เปลี่ยนแหละ เป็นดอกกุหลาบ เป็นคน เป็นอะไร ใช่ไหมคะ ก็เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดอยู่ตลอด นี่แสดงให้เห็นว่ากว่าเราจะรู้ความจริงนะคะ ว่าความจริงไม่เป็นอย่างอื่นต้องเป็นอย่างนี้ คือแต่ละหนึ่งแยกละเอียดยิบ ปนกันไม่ได้เลยค่ะ อย่างที่ดอกไม้ที่เราคิดว่าเป็นดอกไม้นี่คะ
สิ่งที่ปรากฏทางตา สีต่างๆ ใครไปทำให้เกิดขึ้น แล้วก็แม้หลับตานะคะ ดมกลิ่น กลิ่นก็ปรากฏที่นั่นแหละ แต่เวลาลืมตาเห็นสีสันวรรณะ แต่ไม่ได้มีกลิ่นปรากฏ ขณะใดที่กลิ่นปรากฏนะคะ ขณะนั้นก็คือว่าแม้หลับตากลิ่นก็ปรากฏได้ แต่พอลืมตาก็มีทั้งเห็นและมีทั้งกลิ่น
นี่แสดงความรวดเร็วนะคะ ที่แยกออกไปเป็นแต่ละหนึ่งว่าที่เราเข้าใจว่าเป็นดอกไม้ดอกหนึ่งเนี่ย ความจริงมีอะไรซึ่งกำลังเกิดดับ แต่พออันหนึ่งดับ อีกอันเกิดแทน จะปรากฏความดับได้ยังไง เพราะฉะนั้นเสาทั้งเสา บ้านทั้งหลัง นาฬิกาทั้งเรือนเนี่ย ไม่ได้ปรากฏการดับเพียงแต่ว่า มี
ซึ่งความจริงถ้าไม่เกิดไม่มี แต่มีมากมายเพราะว่าดับมากมาย แล้วก็มีอีกต่อไปมากมาย ก็รวมกันทุกชาติ ให้ปรากฏเป็น ภาษาบาลีจะใช้คำว่านิมิตตะ นะคะ คนไทยเราก็บอกว่านิมิตเป็นเครื่องหมาย เป็นรูปร่าง เป็นสัณฐาน ที่จะทำให้รู้ว่าเป็นสิ่งนั้น ไม่ใช่สิ่งนี้ เช่นดอกไม้ไม่ใช่โต๊ะ ใช่ไหมคะ
สีสันวรรณะต่างกัน ปรากฏขอบเขต กว้าง ยาว สูง ต่ำ ลึก พวกนี้ค่ะก็ทำให้ความจำซึ่งมีนะคะ ทุกอย่างที่มีในชีวิตทั้งหมดเนี่ยไม่ใช่ว่าไม่มี มีแต่ไม่ใช่เราสักอย่างเดียว บังคับบัญชาอะไรก็ไม่ได้ สภาพที่จำก็มีจริงแต่ไม่ใช่ความเห็นถูกต้อง แค่จำ เพราะฉะนั้นสภาพที่เข้าใจนะคะ ไม่ได้จำแต่สามารถเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงของสิ่งที่มี
ด้วยเหตุนี้ค่ะสภาพธรรมะคือจิตและเจตสิต และรูปนะคะ หลากหลายต่างกันมาก แล้วแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดและดับไม่กลับมาอีกเลย ถ้ารู้อย่างนี้ไม่มีเราแน่ แต่ถ้าฟังอย่างนี้ ยังไม่ได้รู้อย่างนี้นะคะ ก็แสดงว่ายังมีความเป็นเราเหลืออยู่มาก
เพราะเหตุว่าแค่เข้าใจว่าเห็นเกิดดับแต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่อย่างนั้น ก็แสดงว่าถูกปกปิดแล้วด้วยความไม่รู้ เพราะต้องเป็นปัญญาระดับไหนที่สามารถที่จะประจักษ์ความจริงของสภาพธรรมะ ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโดยละเอียดนะคะ สัมมามรรค มิจฉามรรค
ถ้าไม่ทรงแสดงมิจฉามรรค คนก็คิดว่ามีแต่สัมมามรรค อะไรๆ ก็ถูก ทำอย่างนั้นก็ได้ อย่างนี้ก็ได้ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่าสัมมามรรคคืออย่างนี้นะค่ะ มิจฉามรรคคืออย่างนั้น เพราะฉะนั้นก็ให้รู้ได้ว่าถ้าไม่ใช่สัมมามรรคก็คือมิจฉามรรค
อ.วิชัย ดังนั้นอย่างที่ท่านอาจารย์ กล่าวในช่วงแรกนะครับ ข้อความในอิสระสูตรนะครับ ก็มีเทวดามาทูลถามพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าอะไรหนอเป็นใหญ่ในโลก ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสตอบเทวดานั้นว่าอำนาจเป็นใหญ่ในโลกนะครับ
ถ้าเราคิดอย่างคนทั่วๆ ไปก็คิดเหมือนกับว่าคนที่มีอำนาจหน้าที่ ก็คือมีอำนาจในการที่จะกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ แต่ความเป็นจริงแล้วลึกที่สุดคือไม่มีใครสักคน แต่ว่าสิ่งต่างๆ ที่เกิดแล้ว เพราะมีอำนาจคือปัจจัยที่จะให้สิ่งต่างๆ เกิดขึ้น ซึ่งความเป็นจริงไม่มีใครใช่ไหมครับ
แม้บุคคลนั้นจะคิดหรือว่ากระทำอะไรก็ต้องเป็นไปตามอำนาจ คือเหตุปัจจัยที่จะให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความดีหรือความชั่วก็ตาม คนทั่วไปก็คิดว่าความชั่วเนี่ยเป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่ขณะที่ความชั่วเกิดขึ้นขณะนั้นไม่รู้ว่าความชั่วไม่ดี เพราะความชั่วเกิดในขณะนั้น แต่ถ้าเป็นปัญญาเนี่ยต่างกัน
เพราะว่าปัญญาเมื่อเกิดขึ้นเห็นหรือว่ารู้ตามความเป็นจริงว่า กุศลเป็นกุศล อกุศลเป็นอกุศล ดังนั้นปัญญาพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าบรรดาสังขารธรรมทั้งหลายนะครับ ปัญญาประเสริฐที่สุด เพราะว่าเข้าใจ แล้วก็รู้ถูกตามความเป็นจริง
ต่างกับอวิชชาซึ่งห่อหุ้มไว้ ใช่ไหมครับ ปกปิดเอาไว้ ไม่ให้หมู่สัตว์ทั้งหลายเนี่ยได้รู้ความเป็นจริง แต่ว่าเมื่อผู้มีปัญญาคือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวว่าบุคคลผู้มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญาประเสริฐที่สุด
ผู้ฟัง ก็คือว่าเกี๊ยวเองค่ะ ได้รับโอกาสที่จะมีโครงการนะคะ ในการที่จะออกแบบหลักสูตรค่ะ เพื่อให้พระ ๒๐ รูป แล้วก็ฆราวาสประมาณ ๒๐ คนนะคะ เพื่อที่จะสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ แล้วก็มีความตั้งใจในการที่จะเผยแผ่พระพุทธศาสนาค่ะ
เกี๊ยวเองก็คือสันทัดภาษาอังกฤษ แต่ยังไม่เคยที่จะใช้ภาษาอังกฤษกับทางธรรมะ วันนี้เลยขอคำแนะนำจากท่านอาจารย์นะคะ ว่าการที่จะเผยแผ่ธรรมะโดยที่จากตัวเราเองก่อนนะคะ เราพึงต้องปฏิบัติอย่างไรบ้างคะ
ท่านอาจารย์ คะ ที่จริงนะคะ มีความปรารถนาดีที่จะให้คนอื่นเนี่ยได้รู้จักพระพุทธศาสนาได้เข้าใจพระพุทธศาสนานะคะ แต่ว่าผู้ที่จะกล่าวคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องเป็นผู้ที่เข้าใจคำนั้นจริงๆ มิเช่นนั้นแล้วนะคะ เราคิดว่าเราจะส่งเสริมพระพุทธศาสนา แต่ความจริงเมื่อเราไม่ได้เข้าใจก็ เรากำลังทำลายพระพุทธศาสนา นี่เป็นสิ่งซึ่งตรงนะคะ
แล้วก็ด้วยความถูกต้อง ก็จำเป็นที่จะต้องกล่าวชัดเจนใช่ไหมคะ ไม่อย่างงั้นแล้วเนี่ยเราคิดว่าเรากำลังทำสิ่งที่มีประโยชน์มาก ทุกคนที่ทำอะไรเนี่ย เขาคิดว่าเป็นประโยชน์ทั้งนั้น แต่ว่าเขาไม่รู้นะค่ะคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ถูกต้อง เพราะเหตุว่าทุกคนเนี่ยได้ยินคำว่าธรรมะ แต่ถามว่าธรรมะคืออะไร ถ้าตอบผิดจะไปเผยแพร่พระพุทธศาสนาได้ไหม
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1381
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1382
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1383
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1384
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1385
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1386
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1387
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1388
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1389
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1390
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1391
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1392
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1393
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1394
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1395
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1396
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1397
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1398
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1399
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1400
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1401
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1402
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1403
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1404
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1405
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1406
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1407
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1408
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1409
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1410
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1411
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1412
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1413
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1414
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1415
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1416
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1417
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1418
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1419
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1420
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1421
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1422
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1423
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1424
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1425
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1426
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1427
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1428
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1429
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1430
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1431
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1432
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1433
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1434
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1435
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1436
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1437
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1438
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1439
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1440
