ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1426
ตอนที่ ๑๔๒๖
สนทนาธรรม ที่ เดอะวินเทจ เขาใหญ่
วันที่ ๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๒
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นมีหลายอย่างนะคะ ในโลกเนี่ยที่ไม่ได้ปรากฏเลย ปรากฏเพียงเห็น มีสิ่งที่ถูกเห็น ได้ยินมีเสียง ได้กลิ่น มีรู้กลิ่นนะคะ แล้วก็ลิ้มรส มีรสปรากฏ ในวันหนึ่งๆ ทุกขณะที่รับประทานอาหาร และก็มีการกระทบสัมผัสกาย เป็นเหตุให้เกิดสุขทุกข์ ร้อนเย็นเป็นต้น และก็มีความคิด
คิดเรื่องอะไรคะก็เรื่องที่เห็นนั่นแหละ เรื่องที่ได้ยินนั่นแหละไม่เกินกว่านี้ใช่ไหมคะ ก็คิดแต่สิ่งที่เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง เป็นเรื่องราวต่างๆ สืบต่อรวดเร็วเพราะไม่รู้ความจริงว่าแต่ละหนึ่งเนี่ยนะคะ เป็นธรรมะซึ่งมารวมกัน เห็นกับได้ยิน ลองแยกออกไปสิคะ ก็ไม่ใช่ใครสักคน แต่พอรวมกันแล้วเป็นเราเห็น ตั้งแต่เกิดเป็นเราเกิด
แต่ความจริงธรรมะเกิด แล้วทรงแสดงโดยละเอียดอย่างยิ่งนะคะ ทุกขณะ ทุกสภาพธรรมะ เพื่อให้เริ่มเข้าใจถูกต้องว่าไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นการฟังนิดหน่อย สั้นๆ เล็กน้อย และคิดว่าจะไปละความเป็นเราเนี่ย เป็นไปไม่ได้ โดยเฉพาะถ้าคิดว่าต้องไปปฏิบัติธรรมะเพื่อที่จะรู้ว่าไม่ใช่เรา ผิดแน่นอน
เพราะเหตุว่าที่พุทธศาสนิกชนนะคะ มีโอกาสได้ฟังธรรมะเพื่อประพฤติตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม ไม่ใช่ตามคนอื่น แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำอย่างนั้นหรือ เข้าไปในห้องนั่งนานๆ ขาชาอย่างนั้นหรือ เพราะฉะนั้นการที่จะเข้าใจให้ถูกต้องนะคะ ว่าหนทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่อย่างที่คนที่ไม่เคยศึกษาธรรมะเลย
หรือศึกษาธรรมะโดยบางคำ หยิบมานะคะ และคิดเอง พูดเอง บอกเอง สอนเองหมด ไม่ตรง ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่ละเอียด และก็ใส่ใจในเหตุ และในผล ขณะนี้มีสิ่งที่มีจริงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นทุกคำที่พระองค์ตรัส
กล่าวถึงความจริงให้เข้าใจสิ่งที่มีค่ะ ไม่ใช่สิ่งที่ไม่มีเดี๋ยวนี้ก็มีทุกอย่างที่พระองค์ได้ตรัสไว้แล้วอยู่ตรงนี้ เกิดดับไม่มีใครรู้เลย ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมทุกอย่างจะถูกปกปิดเหมือนในอดีตกี่ชาติที่ผ่านมาแล้วแสนโกฏิกัปป์แต่พระธรรมเนี่ยนะคะ เปิดเผยสิ่งที่ชาวโลกไม่รู้ให้รู้ความจริงจนกระทั่งสามารถที่จะประจักษ์แจ้งความจริงรู้แจ้งอริยสัจธรรม
เมื่อไหร่ขณะไหนก็โดยความเป็นอนัตตา ไม่ใช่โดยความหวังไปที่สำนักหนึ่งสำนักใดไปนั่งทำอย่างนั้นอย่างนี้แล้วก็จะรู้อะไรซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยค่ะ และนั่นก็ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย เพราะฉะนั้นเมื่อมีโอกาสได้ฟังธรรมะนะคะ ก็จะเป็นผู้ที่เข้าใจถูกว่าอะไรถูกอะไรผิด
เพราะฉะนั้นไม่ใช่เรานะคะ ที่จะไม่ไปสำนักปฏิบัติ แต่ปัญญาความเห็นที่ถูกต้องว่าอะไรถูกอะไรผิด ทำให้ไม่ทำสิ่งที่ผิดอีกต่อไป เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่แต่ละหนึ่งคนนะคะ ก็แล้วแต่ว่าเป็นธรรมะทั้งหมดค่ะ สะสมมาในอดีตอนันตชาติเป็นแต่ละหนึ่ง ใครบ้างก็ไม่รู้ทั้งโลกสะสมมาที่จะสนใจธรรมะหรือไม่สนใจธรรมะ
สะสมมาที่จะเห็นผิดเชื่อง่ายตามคำที่ได้ยินได้ฟัง โดยไม่มีโอกาสที่จะได้ฟังคำจริง เพราะบางคนนะคะ ได้ยินคำว่าเป็นเรื่อง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ในชีวิตประจำวันก็เลยไม่สนใจ ธรรมดา ไปสนใจเรื่องอื่น ตื่นเต้นใช่ไหมคะ แต่ตราบใดที่ไม่รู้สิ่งที่มีเป็นปกติ ไม่สามารถที่จะละกิเลสได้ และไม่สามารถที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย
เพราะว่าพระองค์ทรงตรัสรู้สิ่งที่มี ให้คนอื่นเนี่ยได้ฟังโดยประการต่างๆ จนสามารถที่จะเข้าใจอย่างมั่นคงกว่าสภาพธรรมะซึ่งไม่ใช่เรานะคะ ทั้งสติทั้งปัญญาจะสามารถถึงเฉพาะสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ค่ะแต่ด้วยปัญญาอีกระดับหนึ่ง เป็นปกติในชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้นถ้าคำสอนใดไม่เป็นไปตามปกติ คำสอนนั้นผิด
เดี๋ยวนี้กำลังเพียรรึเปล่าคะ ทุกอย่างต้องเดี๋ยวนี้ค่ะ ไม่ใช่เรานะ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่าเพียรเกิดกับจิต เพียรไม่ใช่จิต เพราะฉะนั้นสภาพธรรมะสองอย่าง อย่างหนึ่งนะคะ ไม่รู้อะไรเป็นรูปธรรม แต่เราจะยับยั้งไม่ให้ธาตุรู้เกิดไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นธาตุรู้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่าเป็นนามธรรมนะคะ
แต่นามธรรมมีสองอย่าง คือจิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏเพราะเมื่อรู้ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ และเจตสิกเป็นสภาพธรรมะอีกอย่างหนึ่งนะคะ ซึ่งเกิดกับจิตแต่ไม่ใช่จิต แต่จิตเนี่ยค่ะ เดี๋ยวนี้ที่เห็นเนี่ย คือจิต รู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏ
ดอกกุหลาบกี่สี ดอกตูมหรือดอกบาน ใบไม้มีกี่ใบ เห็นไหมคะรู้แจ้งหมดเลย แต่เจตสิกเกิดพร้อมจิต ดับพร้อมจิตนะคะ เจตสิกหนึ่งก็คือจำ ขณะนี้กำลังจำใช่ไหมคะ จำมีจริงไหม จำเป็นธรรมะหรือเปล่า จำเป็นเรารึเปล่า
ผู้ฟัง จำไม่เป็นเราค่ะ
ท่านอาจารย์ จำเป็นธรรมะค่ะ ต่อไปนี้คือสิ่งที่เคยเข้าใจว่าเป็นเรานั้นเป็นธรรมะทั้งหมด เพราะฉะนั้นตั้งแต่เกิดอยู่ในโลกของความจำ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงละเอียดยิ่งที่จะทำให้เป็นความรู้จริงที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้น
จนสามารถที่จะมีความเข้าใจมั่นคงว่าไม่มีเราแต่เป็นธรรมะ แต่ถึงอย่างนั้นนะคะ ก็ลืมค่ะ เพราะเหตุว่าในสังสารวัฎเป็นเรามานานแสนนาน ฟังเมื่อไหร่ค่อยๆ สะสมเก็บเล็กเก็บน้อย สะสมสมไป การสะสมเป็นเราหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่เป็น
ท่านอาจารย์ ไม่เป็น เป็นธรรมะใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นความเข้าใจในขณะนี้มี สะสมแล้วคะ พรุ่งนี้ฟังต่อเข้าใจขึ้น ถูกต้องไหมคะ เพราะว่าได้สะสมความเข้าใจไปแล้ว เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมะทั้งหมดโดยละเอียดยิ่ง
สงสัยอะไรก็ฟังธรรมะ ค้นคว้าศึกษาพระไตรปิฎกนะคะ ไตร่ตรองสนทนาธรรมกันเพื่อที่จะได้เข้าใจถูกต้อง แต่ทั้งหมดก็คือว่า เมื่อไหร่รู้ว่า ธรรมะคือสิ่งที่มีจริงเป็นปกติในชีวิตประจำวัน เมื่อนั้นก็จะไม่ไปหลงทำอะไรที่ไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ สิ่งที่มีจริง มีลักษณะที่เป็นอย่างนั้นนะคะ เป็นธรรมะแน่นอน
แต่ธรรมะมีสองอย่าง สภาพธรรมะที่เกิดไม่รู้อะไรเลยเสียงเนี่ยค่ะ ไม่รู้ กลิ่นก็ไม่รู้ เป็นรูปธรรม แต่ก็มีธรรมะอีกอย่างหนึ่งซึ่งห้ามไม่ให้เกิดไม่ได้เลย เหมือนรูปธรรมใครจะให้แข็งไม่อยู่ตรงนี้ ไม่เกิดตรงนี้ก็ไม่ได้ ใช่ไหมคะ
เพราะฉะนั้นสภาพนามธรรมก็เช่นเดียวกัน ไม่มีใครสามารถจะไปบอกว่าอย่าเกิด ไม่ให้เกิด เพราะทุกอย่างเป็นอนัตตามีปัจจัยก็เกิดนะคะ นามธรรมคือสิ่งที่มีนั่นแหละ เกิดขึ้นรู้ ทางตาเห็น รู้ใช่ไหมคะว่าเดี๋ยวนี้คุณวิชัยนั่งอยู่ตรงนี้นะคะ แล้วก็ขณะที่ได้ยิน มีได้ยินไหมคะ
ผู้ฟัง มีค่ะ
ท่านอาจารย์ เป็นธรรมะหรือป่าว
ผู้ฟัง เป็นค่ะ
ท่านอาจารย์ เป็นเราหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็นค่ะ ก็เราได้ยิน ได้ยินอาจารย์พูดค่ะ
ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะฉะนั้นก่อนฟังธรรมะเป็นเราได้ยิน แน่ๆ เลย ทุกคนเดี๋ยวนี้ก็เป็นแต่ละคนได้ยิน แต่พอฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ว่าทุกอย่างเกิดเมื่อมีปัจจัยแล้วดับไปเร็วสุดที่จะประมาณได้ จนไม่มีการรู้การเกิดดับ เข้าใจว่ายังอยู่ หลงมาในสังสารวัฏ
จนกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเปิดเผยธรรมะตั้งแต่เกิดจนตาย แม้ในขณะนี้ชีวิตประจำวันว่าไม่มีเราแต่มีธรรมมะ แล้วก็ทรงแสดงความเป็นธรรมะแต่ละหนึ่งเนี่ยละเอียดยิ่งโดยประการทั้งปวง จนกระทั่งความเข้าใจว่าไม่ใช่เราเนี่ยค่อยๆ มั่นคงขึ้น แม้ว่าจะเป็นเรามาแสนนานก็ตามนะคะ
แต่ความจริงก็คือว่าหลงเข้าใจผิดว่าเป็นเราต่างหาก แต่ความจริงคือไม่มีเรา แต่มีธรรมะ เพราะฉะนั้นถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา และสิ่งที่มีจริงทั้งหมด ทุกอย่างมีลักษณะของตน ของตน แสดงความเป็นธรรมมะซึ่งต่างกันเป็นรูปธรรมกับนามธรรม
นามธรรมเกิดขึ้นไม่รู้ไม่ได้เลยค่ะ อย่างเห็นเนี่ยใครจะรู้ว่าเป็นสภาพรู้ว่าขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏอย่างนี้เลย เห็นเดี๋ยวเนี่ยแล้วเปลี่ยนสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ให้เป็นอย่างอื่นได้ไหม ไม่ได้ และเปลี่ยนเป็นไม่ให้เห็น เวลาที่สิ่งนี้ปรากฏได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ไม่ได้ แต่ต้องรู้ตามความเป็นจริงว่าเห็นเป็นธรรมะ ซึ่งต่างกับสิ่งที่ปรากฏ สิ่งที่ปรากฏให้เห็นไม่รู้อะไรเลย แต่เห็นกำลังเห็น คือกำลังรู้ว่าขณะนี้ สิ่งที่ปรากฏเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นสภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ สิ่งที่ถูกรู้นะคะ คือจิต แต่ก็มีสภาพนามธรรมอีกอย่างหนึ่ง
ซึ่งเกิดกับจิต เกิดพร้อมกัน อาศัยกันและกันเกิดขึ้นไม่ปราศจากกันเลย สภาพธรรมะที่เกิดกับจิตนะคะ ดับพร้อมจิต รู้สิ่งเดียวกับจิต กลมกลืนสนิท เพราะเหตุเป็นธาตุรู้ ไม่มีรูปร่างที่จะไปจำแนกแจกแจงได้เลย ถ้าจะกล่าวโดยธรรมะก็สหชาตปัจจัย หมายความว่าเกิดร่วมกัน ชาตะคือเกิด สหคือร่วมกัน
เพราะฉะนั้นจิตเป็นสหชาตปัจจัยให้เจตสิกเกิดพร้อมกันกับตน และเจตสิกก็เป็นสหชาตปัจจัยให้จิตเกิดขึ้นพร้อมกัน ไม่มีใครทำ เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมะก็เพื่อให้เข้าใจสิ่งที่มี ทีละเล็กทีละน้อย จนถึงความเป็นปัจจัย ว่าไม่ใช่ปัจจัยเดียวนะ ที่เห็นขณะนี้เกิดขึ้น นี่คือการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ไม่ต้องไปนั่งที่ไหน ไปทำยังไงก็รู้อย่างนี้ไม่ได้ มีหนทางเดียวคือฟังคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้วอย่างละเอียดนะคะ เพราะฉะนั้นที่กล่าวว่าเดี๋ยวนี้เป็นเราที่ได้ยิน เพราะยังไม่รู้ว่าได้ยินเป็นสภาพรู้ ที่เกิดขึ้นได้ยิน เกิดขึ้นเห็นไม่ได้ เกิดขึ้นคิดไม่ได้นะคะ ธาตุรู้ชนิดนี้เกิดโดยอาศัยหู
รูปที่อยู่ที่ตัวเนี่ย มีรูปพิเศษรูปหนึ่งซึ่งสามารถกระทบเสียงได้ เป็นปัจจัยให้ธาตุรู้เกิดขึ้นได้ยินเสียง เฉพาะที่กระทบหู เสียงอื่นไม่ได้ยิน เพราะไม่ได้กระทบหู ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงตรัสรู้ค่ะ ไม่ใช่ไปนั่งคิดไตร่ตรอง แต่ทรงประจักษ์แจ้ง เหนือใครทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นทรงแสดงธรรมะโดยประการละทั้งปวง ๔๕ พรรษา ด้วยพระมหากรุณา
และพระเถระทั้งหลายนะคะ สะสมมาเข้าใจถูก รู้แจ้งอริยสัจธรรมดับกิเลสเป็นพระอรหันต์ก็มี เป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี อนาคามีก็มี สืบทอดมาจนถึงเรา ได้มีโอกาสได้ฟังคำจริง ใครจะบอกว่าไม่จริงบ้างใช่ไหมคะ
ถ้าเขาไม่รู้ เขาก็เข้าใจผิด แต่ว่าเมื่อรู้แล้วนะคะ ไม่ปฏิเสธคำจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และก็รู้ด้วยว่าเป็นคำที่ได้ฟังแต่ยังไม่ได้ประจักษ์แจ้ง เพราะฉะนั้นปัญญาจึงมีหลายขั้นนะคะ ขณะนี้เป็นเพียงขั้นฟัง
ถ้ารอบรู้เมื่อไหร่ สอดคล้องกันทั่วเมื่อไหร่ มั่นคงเมื่อไหร่ เป็นสัจจญาณ เป็นปัจจัยให้สติสัมปชัญญะเกิดพร้อมปัญญาที่จะรู้อย่างที่ได้ฟังในขณะนี้เอง เป็นปฏิปัตติไม่ใช่ไปนั่งปฏิบัติ เพราะฉะนั้นก็ต้องมีความเข้าใจที่ถูกต้องนะคะ ในคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้ฟัง กราบเรียนท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์คะร่างกายเนี่ยก็เป็นรูปธรรมเขาไม่รู้อารมณ์ ไม่รู้อะไร แต่ทำไมเราถึงบอกว่าทุกข์กาย สุขกายละคะท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ ค่ะ ก่อนอื่นนะคะ ก็คือว่าต้องเป็นผู้ที่ละเอียดอย่างยิ่ง กำลังสนใจเรื่องทุกข์กายทุกข์ใจแต่อย่าลืมนะคะ ศึกษาธรรมะ ไม่ใช่ธรรมะเปล่าๆ แต่ศึกษา หมายความว่าต้องพิจารณาด้วยนะคะ ไม่ว่าจะได้ยินคำอะไรก็ตามแต่ สิ่งที่มีจริงเนี่ยมีจริง แต่ไม่เคยรู้มาก่อน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นธรรมะ ไม่รู้จักชื่อธรรมะ
แต่ว่าพูดคำนี้นะคะ แล้วก็คิดว่ารู้แล้ว แต่ถ้าไม่เป็นภาษาบาลีแต่เป็นภาษาไทยเนี่ย คือเดี๋ยวนี้มีสิ่งที่มีจริงทั้งหมดเลย จะบอกว่าไม่จริงไม่ได้ใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นกำลังศึกษาเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้แค่นี้ค่ะ ใตร่ตรองล่ะ จะข้ามไปไหนใช่ไหมคะ ศึกษาคือฟังเรื่องสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้
เพื่อเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ไม่ข้ามไปไหนเลยค่ะ เพราะฉะนั้นฟังแล้วต้องไตร่ตรอง พอไตร่ตรองแล้วรู้ว่าธรรมะไม่ใช่เรา แต่ละคำ แต่ละคำนี่คะ กระโดดไปไหนไม่ได้ข้ามไปไหนไม่ได้เลย เดี๋ยวนี้มีทุกอย่างนะคะ เดิมคือดอกกุหลาบ ต้นไม้ คน โต๊ะ เก้าอี้ ใช่ไหมคะ ก่อนนี้
ผู้ฟัง ใช่ค่ะ
ท่านอาจารย์ แต่พอศึกษาธรรมะต้องรู้ว่าธรรมะพูดถึงสิ่งที่มีจริง ไม่ได้พูดถึงสิ่งที่ไม่มีค่ะ แล้วเดี๋ยวนี้ก็กำลังมีด้วย
ผู้ฟัง ใช่ค่ะ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นการศึกษาไม่ใช่เราไปคิดเรื่องอื่นทั้งหมด แต่ แต่ละคำ แต่ละคำ นี่นะคะ ฟัง ไตร่ตรอง พิจารณาว่าเดี๋ยวนี้ กำลังพูดถึงสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ เพื่อศึกษาคือฟัง แล้วก็ไตร่ตรองให้เข้าใจความจริงแท้ของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ซึ่งก่อนนี้ก็มีอย่างนี้ตั้งแต่เกิดแต่ไม่เคยรู้เลยใช่ไหมคะ ก็ผ่านไปหมด
ผู้ฟัง ใช่ค่ะ
ท่านอาจารย์ แต่ตอนนี้ได้ยินคำว่าศึกษาธรรมะ แล้วรู้ว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรมะ ทุกอย่างที่มีจริงๆ เพราะฉะนั้นก่อนอื่นนะคะ ต้องรู้ว่าเดิมเราเข้าใจแค่ไหน และฟังแล้วเข้าใจแค่ไหน เดิมไม่รู้เลย คิดว่าเข้าใจธรรมะ ใครก็พูดธรรมะแล้วก็ไปฟังใช่ไหมคะ เหมือนเข้าใจแต่ความจริงเราไม่ได้เข้าใจสิ่งที่กำลังมี
เพราะฉะนั้น สิ่งที่กำลังมีขณะนี้ค่ะเป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และเวลาที่มีใครไปเฝ้านะคะ พระองค์ก็ตรัสเรื่องสิ่งที่กำลังมีในขณะนั้น ตามการสะสมของความเข้าใจของคนที่ไปเฝ้าว่า เขาสามารถที่จะเข้าใจระดับไหน นะคะ เพราะฉะนั้นสำหรับเรายุคนี้สมัยนี้ เราสะสมอะไรมา
สะสมมาที่จะฟังธรรมะเผินๆ หรือว่าไม่ใช่ธรรมะก็ฟัง แล้วก็เข้าใจว่าเป็นธรรมะ แล้วก็เชื่อเราก็ทำตามด้วย เพราะฉะนั้นห่างไกลกันมากนะคะ กับคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำไมเราพูดอย่างนี้นะคะ
เพื่อเตือนให้รู้ว่าที่เราฟังมาแล้วเนี่ย เผินหรือเปล่า เข้าใจแค่ไหนเนี่ย ต้องเป็นคนที่ตรงที่สุดนะคะ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้นี่คะ ถ้าคนที่ไม่เคยมาสนทนาธรรมกันเลยเนี่ยถามว่าเดี๋ยวนี้มีอะไร เขาจะตอบถูกไหม
ผู้ฟัง ไม่ถูก
ท่านอาจารย์ ไม่ถูกเลยใช่ไหมคะ เขาก็ตอบว่าดอกกุหลาบ โต้ะ ตอบไปเรื่อยๆ เลยนะคะ ตามที่เคยคิดเคยเข้าใจ แต่ไม่ใช่ธรรมะ เพราะเหตุว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่รวมกัน แต่ว่าธรรมะจริงๆ เนี่ยนะคะ เป็นแต่ละหนึ่งที่แยกออกจากกัน รวมกันไม่ได้ เป็นแต่ละหนึ่งใช่ไหมคะ อย่างหวานกับเสียงเนี่ย ปนกันได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้ค่ะ
ท่านอาจารย์ ไม่ได้ ต้องเป็นแต่ละหนึ่งใช่ไหมคะ หวานก็คือหวาน หนึ่งละ และเสียงก็คือเสียง เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่มีในชีวิตทั้งหมดนี้ค่ะ ถ้าฟังธรรมะก็มีความเข้าใจว่าสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งเนี่ย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร เดี๋ยวนี้ใครทำให้เกิดอะไรบ้างคะไม่มี ไม่ได้ทำ
นั่งอยู่ตรงนี้ ทุกอย่างมี และเห็นก็มี ไม่ได้ไปทำเห็นให้เกิดขึ้น แต่ก็มีเห็น ซึ่งไม่เคยสนใจมาก่อนเลยที่จะเข้าใจว่าแท้ที่จริงเนี่ย ธรรมะไม่ใช่สิ่งที่ยังไม่มาถึง ไม่ใช่สิ่งที่ล่วงไปแล้วเพราะหมดแล้ว แต่สิ่งนี้เดี๋ยวนี้ที่กำลังมีเนี่ยเป็นสิ่งที่มีจริงที่สามารถจะทำให้เข้าใจสิ่งที่ล่วงไปแล้ว และสิ่งที่ยังไม่มาถึงได้
ต่อเมื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ เพราะฉะนั้นธรรมะเป็นเรื่องที่ละเอียดมากนะคะ ผิวเผินไม่ได้เลย แต่ฟังแล้วเพื่อเข้าใจไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นเราไปนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ฟังโทรทัศน์อะไรแล้วก็คิดธรรมะ ก็คือไม่ได้เข้าใจธรรมะใช่ไหมคะ แต่ว่าเมื่อไรก็ตามที่มีการระลึกได้ สิ่งที่มีขณะนั้นนะเป็นอะไร แต่ละหนึ่งนั่นคือเป็นธรรมะที่เรากำลังฟัง
เพราะฉะนั้นจะเห็นได้นะครับ ว่ากว่าเราจะถึงระดับขั้นต่างๆ ของปัญญาเนี่ยต้องอาศัยความละเอียดอย่างยิ่งแม้แต่การเริ่มต้นก็ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดว่าเราฟังเพื่อเข้าใจธรรมะ ไม่ใช่เพื่ออะไรทั้งหมดเลยนะคะ เพราะว่าธรรมะมีแต่ไม่เข้าใจเพราะฉะนั้นฟังทำไมละ ไม่ว่าเราจะฟังอะไร เราก็ฟังเพื่อเข้าใจทั้งนั้น
เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้นี่คะ คนที่สะสมมาก็รู้ว่าไม่มีโอกาสจะได้ยินคำนี้เลย ถ้าไม่เคยสะสมบุญไว้แต่ปางก่อน เพราะว่ามันเป็นธรรมดาทุกหนทุกแห่งทั้งโลกนี้โลกไหนก็ไม่มีใครรู้ตามความเป็นจริง หรือว่าถ้าไม่คือแต่ละหนึ่ง ใช่ไหมคะ ที่มีและก็มีลักษณะเฉพาะของตน ของตน ซึ่งไม่ได้รวมกันเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดอย่างที่ชาวโลกยึดถือ
เพราะเหตุว่าไม่รู้ความจริงว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีทั้งหมดแต่ละหนึ่งโดยละเอียดอย่างยิ่ง โดยประการทั้งปวงนะคะ จึงตรัสว่าธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา ถ้าคนที่ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเนี่ยจะกล่าวว่าธรรมะทั้งหลายได้ไหมคะ รู้แค่นิดเดียว แต่นี่ตรัสว่าธรรมะทั้งหลาย
หมายความว่าพระองค์ตรัสรู้หมดไม่มีอะไรเหลือเลย จึงตรัสธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นแต่ละคำนี่คะ เป็นเรื่องที่ต้องฟังเพื่อที่จะสะสมไว้ในใจจนกว่าธรรมะที่ปรากฏนี้แหละจะปรากฏเป็นธรรมะซึ่งไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดอย่างที่เคยคิด เคยจำไว้นะคะ นานแสนนาน แต่เริ่มเข้าใจทีละน้อย
เพราะฉะนั้นการที่จะเห็นพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้จักว่าพระองค์ทรงเป็นพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ก็ต่อเมื่อได้ฟังธรรมะแล้วเข้าใจ เพราะฉะนั้นยากไหมคะ เพราะส่วนใหญ่เนี่ยจะไม่ฟังธรรมะ ฟังเขาว่า ฟังเขาพูด ฟังเขาอ้างคำในเพื่อไตรปิฏกแต่ไม่ได้ให้เกิดปัญญาของผู้ฟังที่จะรู้ว่าขณะนี้ไม่ใช่เรา
ถ้าใครก็ตามนะคะ ให้ทำอะไรทั้งหมดแต่ไม่ให้รู้ว่าไม่ใช่เรา นั่นก็คือไม่ถูกต้อง ไม่ใช่ธรรมะเพราะธรรมะต้องเป็นสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้นะคะ แล้วก็กว่าจะรู้ว่าไม่ใช่เราก็ต้องฟังไปเรื่อยๆ สาวกคือผู้ฟัง ไม่ใช่ผู้รีบร้อนจะไปรู้อย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้โดยผิดหนทาง ไปสำนักปฏิบัติเข้าห้อง
ผู้ฟังธรรมะจะอบรมเจริญปัญญาตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ไม่ใช่หรือ และการไปอย่างนั้นนะลองคิดดูพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไปไหน ไปเดินช้าๆ ไปอย่างงั้นหรือ ไม่สามารถที่จะเป็นสิ่งที่เป็นไปได้เลยนะคะ แต่คนที่ไม่เคยฟังธรรมะก็ไม่มีหนทางที่จะคิดเป็นอย่างอื่น นอกจากฟังใคร ฟังเขาใช่ไหมคะ
ไม่ได้บอกว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรมะที่กำลังมีจริงๆ นะคะ และทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงแสดงความจริงของธรรมะที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ให้เริ่มเข้าใจถูกต้อง ว่าเดี๋ยวนี้ค่ะ ไม่มีเรา ไม่ใช่เรา เพราะอะไร เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครนะคะ แต่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยแล้วดับไป
ปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสว่าธรรมะทั้งหลายไม่ใช่เรา เพราะสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ ไม่มีใครรู้ว่าเกิดดับ รู้แต่ว่ามี ใช่ไหมค่ะ และยังไปยึดถือว่าเป็นเราอีก เพราะฉะนั้นความไม่รู้เนี่ยจะมากมาย เพิ่มขึ้น ทับถมขึ้น ทุกชาติที่ไม่ได้ฟังพระธรรมโดยการไตร่ตรอง
เพราะฉะนั้นบางคนนะคะ ก็ฟังมาตั้ง ๑๐ ปีบ้าง อะไรบ้าง แต่ก็ไม่ได้ฟังด้วยการที่จะรู้ว่ากำลังศึกษาธรรมะไม่ใช่เรื่องอื่นนะคะ แต่สิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นถ้าไม่อธิบายให้มีพื้นฐานที่มั่นคงตั้งแต่ต้นนะคะ ต่อไปก็สับสน และไม่มีทางที่จะละการเข้าใจธรรมะซึ่งกำลังปรากฏ คิดว่าเป็นตัวตน คิดว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด และการที่จะรู้อย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้เนี่ยจะง่ายไหม
ผู้ฟัง ไม่ง่ายค่ะ
ท่านอาจารย์ คะ เพราะทุกคำเนี่ยจริง ขณะนี้สิ่งที่มีต้องเกิด เกิดและดับเลย เห็นไหมคะ นี่แหละที่จะต้องเข้าใจว่าเปลี่ยนไม่ได้เลยคะ ทรงแสดงความจริงยิ่งขึ้นๆ จนให้รู้ว่าเปลี่ยนไม่ได้เป็นอย่างนี้จริงๆ เพราะฉะนั้นก็อยู่ที่การฟังของแต่ละคนนะคะ ว่าเห็นประโยชน์ของการที่จะค่อยๆ เข้าใจความจริง
ซึ่งความเข้าใจนี่คะ จะเป็นหนทางเดียว ที่จะนำไปสู่การรู้ความจริงของสิ่งที่มี สามารถที่จะดับกิเลสตรงตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระมหากรุณาพระองค์ตรัสรู้ธรรมะดับกิเลสแล้วนะคะ คนอื่นยังไม่ได้รู้ และยังไม่ได้ดับกิเลสก็จะต้องเป็นอย่างนี้ไปในสังสารวัฎไม่มีทางออกไปได้เลยนะคะ
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1381
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1382
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1383
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1384
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1385
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1386
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1387
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1388
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1389
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1390
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1391
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1392
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1393
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1394
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1395
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1396
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1397
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1398
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1399
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1400
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1401
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1402
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1403
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1404
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1405
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1406
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1407
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1408
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1409
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1410
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1411
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1412
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1413
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1414
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1415
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1416
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1417
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1418
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1419
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1420
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1421
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1422
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1423
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1424
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1425
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1426
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1427
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1428
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1429
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1430
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1431
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1432
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1433
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1434
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1435
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1436
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1437
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1438
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1439
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1440
