ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1429
ตอนที่ ๑๔๒๙
สนทนาธรรม ที่ เดอะวินเทจ เขาใหญ่
วันที่ ๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๒
ท่านอาจารย์ ก็สามารถที่จะเห็นประโยชน์ของกุศลแม้เพียงเล็กน้อย โดยไม่ประมาทเลยถ้าไม่ทำกุศลนั้นเพียงนิดเดียวอกุศลละ เพิ่มละ ทับถมละ เพราะฉะนั้นการฟังเป็นการฟังเพื่อเข้าใจในคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทุกคำเป็นประโยชน์ที่จะทำให้อกุศลที่มีอยู่ในใจเนี่ย สามารถค่อยๆ ลดน้อยลง และปัญญาก็สามารถจะค่อยๆ รู้ความจริงนะคะ
จนกระทั่งวันหนึ่งนี่คะ สภาพธรรมะปรากฏ ตรงตามที่ได้ฟัง เพราะฉะนั้นเราคิดเองไม่ได้เลยคะ สนทนาธรรมคืออย่างนี้ คือเพิ่มความรู้จากการที่เราได้ฟังมานาน โนน่บ้าง นี่บ้าง เดือนนั้น วันนี้ เป็นความเข้าใจเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย เพราะฉะนั้นจะรู้ว่าที่ฟังมาแล้วเนี่ย บางคนก็สองปี บางคนก็หนึ่งปี บางคนก็ ๓๐ ปี ทั้งหมดเนี่ยไม่ว่ากัน
แต่ว่าการสนทนาธรรมเนี่ย จะทำให้รู้ว่าเราเข้าใจรอบรู้ในคำที่เราได้ฟัง พอหรือยัง แค่ถามว่าเห็นอะไร เท่านั้นนะคะ สามารถที่จะเพิ่มพูนปัญญาความเข้าใจได้ ในหลายแง่หลายมุมนะคะ เพื่อให้รู้ว่าทำไมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมะหลากหลายเพื่อให้เราเข้าใจถูกว่าไม่ใช่เรา และไม่มีเราด้วย
เพราะสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามนะคะ ที่จะเกิดขึ้นได้ ก่อนเกิดไม่มีสิ่งนั้น คิดดูไม่มีนะคะ ตอนที่เราอยู่ที่ในห้อง ก่อนที่จะมาที่นี่ไม่มีตรงนี้เลยไม่มีเราตรงนี้เลย ก่อนเกิดต้องไม่มี แต่เกิดแล้วมี ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี แต่ว่าเกิดแล้วดับไม่กลับมาอีกเลย รู้ได้นะคะ แต่ต้องตามลำดับ เพราะฉะนั้นก็คือว่าไม่ใช่หวังว่าเราจะรู้
แต่ทรงแสดงว่าความเข้าใจหรือปัญญาเนี่ย ตั้งแต่ขั้นฟัง ถ้าไม่มีขั้นฟัง จนรอบรู้ จนมั่นคง จนเป็นสัจจญาณ จะไม่เป็นปัจจัยให้ปัญญาอีกระดับหนึ่งเกิดขึ้นมาได้เลย ซึ่งปัญญานั่นคือปฏิปัตติ เมื่อมีปริยัติมั่นคง เป็นปัจจัยให้เกิดปฏิปัตติ เริ่มเกิดเหมือนเริ่มฟังเลย ปฏิบัติไม่ใช่ว่าจะรวดเร็วชนิดซึ่งพอปฏิบัติแล้ว ๓ วัน ๗ วันก็เกิดผล ไม่ใช่เลยนะคะ
แต่เพิ่งเริ่มมีความเข้าใจของตัวเองถูกต้อง เพราะว่าปัญญาเนี่ยต้องเห็นถูกคะ ปัญญาที่ไม่รู้เนี่ยไม่มีใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นปัญญาเข้าใจระดับไหนปัญญานั้นรู้ แต่ที่จะไม่รู้ต้องไปถาม ต้องไปสอบอารมณ์ ต้องไปอะไรเนี่ย เป็นไปไม่ได้เลยทั้งสิ้น ไม่ถูกต้องใช่ไหมคะ ไม่ใช่ความรู้
เพราะฉะนั้นจากปริยัติเนี่ยจะสู่ปฏิปัตติ แต่ต้องเป็นสัจญาณมั่นคงจริงๆ นะคะ ไม่ไปไหน ก็เดี๋ยวนี้เนี่ยธรรมะเกิดรึเปล่า ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี แต่ไม่มีใครรู้ว่าธรรมะกำลังเกิดดับ แต่เข้าใจว่ามีเรากำลังนั่งอยู่ตรงนี้ แต่ความจริงก็คือว่าที่ฟังมาแล้วก็ไม่ลืมว่าเป็นธรรมะแต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นและดับไปเร็วสุดที่จะประมาณได้
เพราะว่าเพียงเห็นนะคะ จะไม่มีใครเลยสักคนเห็นแต่เพียงสิ่งที่กระทบตา และกี่สี กี่สัณฐานที่กระทบตา เห็นไหมคะว่าความลึกซึ้งของแต่ละคำที่จะรอบรู้เป็นสัจจญาณจนเป็นปัจจัยให้สติสัมปชัญญะเกิดขึ้น ถึงเฉพาะหนึ่งที่ปรากฏด้วยความเข้าใจทั้งหมดที่ได้ฟังมาแล้ว
ว่านั่นแหละไม่ใช่เราเป็นธรรมะ แต่ก็ยังไม่ถึงปฏิเวธ เพราะฉะนั้นฟังนะคะ แล้วก็เข้าใจเพื่อละความที่เป็นเรา จนกว่าจะรู้ตามความเป็นจริงว่าเราตั้งแต่เกิด จนตายกี่ชาติ นะคะ ได้ฟังธรรมะแล้วก็ค่อยๆ เข้าใจ และความเข้าใจซึ่งเป็นปัญญานั้นก็จะทำหน้าที่ของปัญญา
อ.วิชัย ที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวเตชะนะครับ เดชก็คือธรรมะที่เผาผลาญธรรมะที่เป็นฝ่ายตรงกันข้าม ข้อความในขุทกนิกายปฏิสัมภิทามรรคก็แสดงเตชะเอาไว้นะครับ ว่าคำว่าเตโช ความว่า เดชมี ๕ คือจรณเดช คุณเดช ปัญญาเดช บุญญเดช และธรรมเดช
บุคคลผู้มีจิตอันกล้าแข็งย่อมยังเดช คือความเป็นผู้ทุศีลให้สิ้นไป ด้วยเดชคือศีลเครื่องดำเนินไป คือจรณเดช ย่อมยังเดชมิใช่คุณให้สิ้นไปด้วยเดช คือคุณ คือคุณเดช ย่อมยังเดชคือความเป็นผู้ไม่มีปัญญาให้สิ้นไป ด้วยเดชคือปัญญาเป็นปัญญาเดช
ย่อมยังเดชมิใช่บุญให้สิ้นไปด้วยเดชคือบุญ บุญญเดช ย่อมยังเดชมิใช่ธรรมให้สิ้นไป ด้วยเดชอันเป็นธรรม ธรรมเดช บทว่าธรรมเตโชคือพุทธวจนเดช อันเป็นหลักแห่งเดชทั้ง ๔ นั้นจะมีเดชทั้ง ๔ ได้จะขาดพุทธวจนอันเป็นธรรมเดชเป็นไปไม่ได้เลยครับ
ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นทีละคำละเอียดขึ้นก็ได้นะคะ เพราะเหตุว่าเราอ่านแล้ว เราก็เข้าใจแล้วก็จำได้ ว่ามีเดชคือเตชะเนี่ย ๕ อย่าง และเตชะก็คือเตโช ซึ่งเป็นสภาพที่เผาธรรมะที่ตรงกันข้าม แต่เห็นไหมคะ ละเอียดแค่ไหน ตั้งแต่จรณเดชเนี่ย ความประพฤติเป็นไปในชีวิตประจำวันที่เป็นอยู่ ถ้าฟังธรรมะก็เป็นอย่างหนึ่ง
ถ้าไม่ได้ฟังธรรมะก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นเดชคือสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงนะคะ ความเป็นไปในชีวิตประจำวันให้จากอกุศลเนี่ยเป็นกุศลที่เพิ่มขึ้นแม้เพียงเล็กน้อย นั้นเพราะธรรมเตชะใช่ไหม ถ้าไม่มีความเข้าใจในประโยชน์อย่างยิ่งนะคะ ของแต่ละขณะซึ่งควรที่จะเป็นกุศล กุศลนั้นก็ไม่เกิดค่ะ
เพราะฉะนั้นจะเห็นได้เลยนะคะ จะมากด้วยกุศลหรือว่าจะน้อยด้วยกุศลก็เพราะเหตุว่ามีความเข้าใจ และขณะนั้นรู้ในความเป็นอนัตตา ถ้าใครก็ตามที่ทำดี อีกคนหนึ่งไม่ทำ แต่คนไม่ทำมีปัญญา ส่วนคนทำไม่มีปัญญาก็ต่างกันอีกเห็นไหมคะ
เพราะฉะนั้นทุกอย่างนี่คะ ก็เป็นธรรมะที่ละเอียดอย่างยิ่งเลย ด้วยเหตุนี้นะคะ จรณเดชก็ต้องมาจากธรรมเดชทั้งหมดนะคะ ธรรมเตชะสามารถที่จะทำให้ชีวิต และความคิดนะคะและปัญญา ต่างจากเดิมได้ จากที่ไม่เคยมีปัญญาก็มีปัญญา จากที่เคยไม่เมตตาก็เมตตา
จากไม่เคยช่วยเหลือแม้สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ก็เริ่มช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ ทั้งหมดเห็นไหมคะนำไปสู่การที่จะค่อยๆ ละคลายอกุศล แต่ยังเป็นเรา เพราะฉะนั้นกว่าจะละคลายอกุศลจนไม่ใช่เราก็คิดดูนะคะ ด้วยเหตุนี้เตชะที่สองค่ะ
อ.วิชัย เตชะที่สองคือคุณเดช เป็นเดชที่เผาผลาญความฟุ้งซ่านความไม่สงบแห่งจิตครับท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ ค่ะ เหมือนที่กล่าวไว้เลยใช่ไหมคะ เห็นโทษของอกุศลความฟุ้งซ่าน ไม่มีใครรู้หรอกคิดว่าตอนที่ฟุ้งซ่านเยอะๆ นั่นแหละเป็นฟุ้งซ่าน แต่อกุศลเกิดขึ้นหนึ่งขณะนั่นแหละไม่สงบ เพราะฉะนั้นเราจะแปลคำว่าฟุ้งซ่านว่าไม่สงบ โดยต้องเข้าใจว่าสงบคือกุศล เพราะฉะนั้นขณะนั้นไม่สงบเพราะเป็นอกุศล
ด้วยเหตุนี้นะคะ การที่เราจะเห็นโทษของอกุศลรู้ว่าขณะนั้นนะคะ เหมือนไม่ฟุ้งซ่านเหมือนสนุกนะคะ เหมือนเพลิดเพลินเหลือเกิน อาหารก็อร่อย ทุกอย่างก็ดี แต่ว่าถ้ารู้ตามความเป็นจริงขณะนั้นไม่สงบจากอกุศล จึงได้ติดข้องฟุ้งซ่านไปในรสต่างๆ รสนี้ชอบไหม เค็มไปหรือเปล่า อาหารนี้มาจากร้านไหนเป็นต้น ใช่ไหมคะ
ไม่ได้รู้เลยว่าขณะนั้นนะ ฟุ้งซ่านไปมากแค่ไหน แต่ไม่รู้เลย แต่ธรรมเตชะทำให้รู้ได้ว่าอกุศลเนี่ยค่ะมีโทษมากนะคะ และกุศลแม้เพียงเล็กน้อยขณะนั้นไม่มีความฟุ้งซ่าน เพราะฉะนั้นคนที่มีความเข้าใจความต่างของกุศลและอกุศลนี่คะก็เจริญกุศลตามกำลังของปัญญา
เพราะฉะนั้นเราก็จะเห็นได้นะคะ แต่ละคนเนี่ยก็ต่างกัน ขณะใดที่ใครเพลิดเพลินไปในอกุศลมากมาย เขาไม่รู้ว่าเขาฟุ้งซ่าน แต่เขารู้ว่าเขากำลังมีความสุขมากจากการเกิดมาในโลกนี้นะคะ มีชีวิตสะดวกสบายเพลิดเพลิน แต่ขณะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าฟุ้งซ่าน
อ.วิชัย เดชที่ ๓ นะครับ ปัญญาเดชคือเดชที่เผาผลาญอวิชาคือความไม่รู้ครับท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ คะ เดี๋ยวนี้ใช่ไหม เห็นไหมคะไม่ไกลเลยค่ะ ถ้าเราจะมีความเข้าใจธรรมะจากความไม่รู้ ไม่มีเรา เริ่มได้ยินได้ฟัง เริ่มค่อยๆ พิจารณา เริ่มไตร่ตรองว่าเราไม่ได้ทำอะไรสักอย่างหนึ่งแต่สิ่งต่างๆ นั้นเกิดแล้ว เวลานี้ค่ะนั่งเฉยๆ ก็มีเห็น มีได้ยิน ไม่ได้ไปทำเห็น ไม่ได้ไปทำได้ยิน ไม่ได้ไปทำคิด ไม่ได้ไปทำอะไรให้เกิดขึ้นสักอย่าง
แต่มีแล้วโดยปัจจัยซึ่งนะคะ ต้องอาศัยกันด้วยดีจึงสามารถจะเกิดขึ้นเป็นสิ่งนั้นๆ ในขณะนั้นได้ เพราะฉะนั้นขณะนี้เองนะคะ ให้ทราบว่าปัญญาเดช จากที่ไม่เคยรู้เป็นรู้ ทุกคำนี่คะ เราสามารถที่จะเข้าใจความละเอียด และเป็นประโยชน์ที่ค่อยๆ สะสมนะคะ เป็นสังขารขันธ์ เริ่มเข้าใจความหมายต่อไปอีก
เพราะว่าทุกคำเนี่ยต้องสอดคล้องกันหมดที่ว่าไม่มีใครทำอะไร แต่ธรรมะนั่นแหละปรุงแต่งนะคะ คุณดรีมฟังธรรมะแล้วก็ทิ้งไป ใช่ไหมค่ะ แล้วก็ฟังธรรมะอีก เห็นไหมคะ ไม่ได้บังคับบัญชาเลย เพราะฉะนั้นรู้ว่าไม่ใช่เรานี่ถูกต้อง ไม่ใช่เราไป เป็นเราขวนขวายจะรู้ธรรมะซึ่งผิด นี่ก็คือทั้งปัญญา เตชะด้วยที่สามารถที่จะเข้าใจได้ถูกต้อง
อ.วิชัย ประการที่ ๔ นะครับ ก็คือบุญญเดช ได้แก่อริยมรรคที่เป็นเดชเผาผลาญกิเลสอกุศลธรรมทั้งหลายครับท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ได้ฟังอย่างนี้คิดเองรู้ไหม ไม่มีทางเลยค่ะ พูดบ่อยๆ ว่าบุญ มาจากคำว่าปุญญะ ภาษาไทยนี่ก็เขียนว่าบุญเดชใช่ไหมคะแต่ก็คือปุญญเดช ขัดเกลากิเลส จนถึงการดับกิเลส เพราะว่าอริยมรรคนะคะ คือขณะจิตซึ่งปัญญา ถึงขณะที่สามารถที่จะดับกิเลสอนุสัยที่ติดแน่นอยู่ในจิต นะคะ
มากมายมหาศาลมองไม่เห็นเลยค่ะแต่ว่าไม่มีอะไรจะเอากิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในจิตนะคะ แล้วก็เป็นปัจจัยที่อนุสัยเองไม่ได้เกิดเลย แต่อยู่ในจิตเป็นปัจจัยให้ทันทีที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดกระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กิเลสก็เกิดได้ทันที ๓ ขณะที่จิตต่อจากเห็น คิดดูแค่นี้ก็แล้วกัน ถ้าไม่ลืมนะคะ ว่าเร็วแค่ไหน
เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้จริงๆ นะคะ ว่าไม่มีอะไรสามารถจะนำกิเลสออกจากจิตของใครได้เลยทั้งสิ้น นอกจากธรรมเตชะ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละคำเนี่ยคะ ทำให้เกิดปัญญาเดช ซึ่งเป็นบุญญเดชที่จะขัดเกลากิเลสให้ออกจากจิตนะคะ จนกระทั่งประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมะตรงตามที่ได้ฟังนะคะ ด้วยตนเอง
ขณะนั้นใช้คำว่าตนแต่ก็คือขณะที่มรรคจิตเกิด ปัญญาขณะนั้นนะกว่าจะถึงระดับนั้นนะ รู้แจ้งสภาพธรรมะตามที่ได้ฟังตามขั้นของความเข้าใจ เช่นคำแรกบอกว่า ไม่มีเราแต่มีธรรมะ ยังไม่ได้ประจักษ์แจ้ง ยังไม่ได้ถึงการที่จะเป็นมรรคจิตที่จะดับใช่ไหมคะ แต่ว่าคำนี้จริงไหมเดี๋ยวนี้มีสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่ใช่เรา
แม้แต่คำว่าธาตุรู้ก็ยังไม่ได้ปรากฏ ฟังจนชินหูนะคะ แต่เดี๋ยวนี้สิ่งที่ปรากฏกับธาตุรู้เนี่ยแยกกันตรงไหน ก็มานั่งคิดว่าธาตุรู้มีแน่ๆ ใช่ไหมคะจึงมีการรู้ว่าขณะนี้มีสิ่งอย่างนี้ปรากฏ แต่นั่นก็คือเราคิดใช่ไหม เพราะว่าเป็นปริยัติ ยังไม่ถึงปฏิปัติ และเมื่อปฏิปัตติเกิดก็ใช่ว่าจะรู้อย่างนั้นได้ทันที
เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้คะว่าอาศัยพระธรรมที่จะทำให้เราเนี่ยรู้ว่านะคะ ไม่มีที่พึ่งอื่นนอกจากพระรัตนตรัย ที่เรากราบไหว้และก็ถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งเนี่ย แล้วเราพึ่งยังไง ถ้าเราเป็นคนตรงสัจจบารมีนะคะ พึ่งธรรมะเพื่อเข้าใจธรรมะ ใช่ไหม หรือพึ่งไว้ขอ ขอเยอะเลยนะคะ ขอนู่นขอนี่ ขอทุกวัน
อาศัยบุญบารมีที่ธรรมะด้วยอะไรก็แล้วแต่ ขอ ก็แล้วแต่จะคิด แล้วแต่จะเป็นไป แต่ละหนึ่งในนะคะที่เกิดและดับไปไม่กลับมาอีกเลยค่ะ จะเป็นสิ่งนั้นอีกไม่ได้เป็นสิ่งใหม่ตลอด และก็ดับไปตลอด เพราะฉะนั้นถ้าจะละคลายนะคะ ก็รู้ว่าไม่มี สิ่งที่มีเนี่ยว่างเปล่าจากความเป็นเรา ไม่มีความเป็นเรา ไม่มีความเป็นตัวตนในสิ่งนั้นเลย
แต่สิ่งนั้นเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยทั้งหมด ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เวลาไหน เป็นอะไรก็ตามแต่ จะเป็นรูปธรรมหรือนามธรรมก็เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย เห็นดอกไม้ข้างรั้วใช่ไหมคะ เมื่อไหร่จะบานสักที ไปทำให้บานได้ไหมเห็นไหมคะ แล้วแต่เหตุปัจจัยทั้งหมดไม่ว่าอะไรทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นกว่าจะเริ่มเข้าใจจริงๆ นะคะ
ก็รู้ว่าถ้าไม่มีปริยัติที่มั่นคงเนี่ยไม่มีทางที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ตรัสว่าผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ตอนนี้รู้จักขั้นฟัง แต่พระปัญญาคุณที่ตรัสรู้ยังไม่ได้ปรากฏว่าทรงตรัสรู้อย่างไรทรงแสดงอย่างนั้น เพราะฉะนั้นปัญญาที่ค่อยๆ อบรมไปนะคะ ถ้าไม่รู้อย่างนั้นก็ดับกิเลสไม่ได้ ไม่มีทางเลยที่จะดับกิเลสโดยไม่รู้อย่างนั้น
เพียงแค่ปริยัติเนี่ยไม่มีทางเลย หรือจะไปเป็นตัวตนปฏิบัตินั้นผิดหลงทางไปเลย ทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยความเข้าใจผิด พูดผิด ทำผิด ไม่ตรงตามที่พระองค์ได้ทรงแสดงไว้ เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ละเอียดมากนะคะ ถึง เดชที่ ๕
อ.วิชัย สุดท้ายก็เป็นธรรมเตชะซึ่งท่านอาจารย์ก็ได้กล่าวเมื่อสักครู่นะครับ นั้นจะเห็นถึงคุณความดีธรรมะฝ่ายกุศลธรรมที่เป็นเตชะ ก็คือเผาผลาญธรรมะที่เป็นฝ่ายตรงข้ามก็คืออกุศลธรรมตั้งแต่จรณเดช คุณความดีที่จะเป็นเครื่องเผาผลาญความทุจริต
ความเป็นผู้ทุศีล ด้วยกุศลที่เกิดขึ้นเพราะอาศัยธรรมเตชะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รวมถึงคุณเดชคือธรรมะที่เผาผลาญธรรมะที่ไม่สงบของจิต ก็คืออกุศลธรรมที่เป็นเหตุให้จิตไม่สงบ รวมถึงปัญญาเดชนะครับหมายถึงปัญญาที่เกิดจากการได้ฟังธรรมเตชะ
ที่เป็นเหตุให้เผาผลาญอวิชาคือความไม่รู้ จนถึงบุญญเดชก็คืออริยมรรคที่ประหารกิเลสอกุศลธรรมทั้งหลายโดยสมุทเฉทด้วยบุญญเดช แต่เดชทั้ง ๔ ทั้งหมดนะครับ ก็มาจากธรรมเตชะประการที่ ๕ นะครับ ซึ่งเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ท่านอาจารย์ อีกนัยหนึ่งถึงแม้ว่าจะกล่าวถึงเตชะ ๕ นะคะ ก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา จนถึงโลกุตรธรรม เพราะฉะนั้นความเข้าใจเท่านั้นค่ะ ที่สามารถที่จะรู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสคำนี้ลึกซึ้ง และหมายความว่ากระไร ไม่งั้นไปคิดเองพูดเองก็ผิดใช่มั้ยคะ แต่ว่าถ้ามีความเข้าใจจริงๆ ทุกอย่างสอดคล้องกันทั้งหมดจึงเป็นสัจจญาน
ผู้ฟัง คือผมเพิ่งได้สนทนากับท่านอาจารย์ใกล้ๆ แล้วก็รู้สึกว่าเป็นปิติรู้สึกมีความสุขเนี่ยครับท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ เห็นไหมคะ ว่าสภาพธรรมะเกิดดับสลับกันเร็ว แต่เร็วกว่าที่คิด ระหว่างเห็นกับได้ยินนี่นะคะ มีจิตที่ไม่ปรากฏหลายขณะ เพราะว่าเปรียบดูเหมือนกับว่าเห็นกับได้ยินเนี่ยพร้อมกัน แล้วจิตระหว่างนั้นอยู่ไหน เห็นไหมคะ แสดงว่าสภาพธรรมะที่เกิดดับเนี่ยมากมายมหาศาล แต่เพียงปรากฏบางสิ่งบางอย่างในชีวิตประจำวัน ก่อนจิตเห็น มีจิตไหมคะ
ผู้ฟัง มีครับ
ท่านอาจารย์ ไม่ปรากฏเลยใช่ไหมคะ จิตเห็นดับ แล้วมีจิตไหมคะ
ผูฟัง มีต่อไปครับ
ท่านอาจารย์ หากไม่ปรากฏเลย ใช่ไหมคะ แต่เหมือนกับว่าเห็นและก็ได้ยินขณะนี้สลับกันไปมา แต่ความจริงจิตเกิดดับมากกว่านั้นมาก นี่แสดงให้รู้ว่าอาศัยพระธรรมเป็นที่พึ่งจริงๆ นะคะ ที่ทำให้เราเนี่ยไม่หลงผิด ไม่เข้าใจผิด คิดเอง แต่ว่าฟังแล้วก็รู้ว่าเป็นสิ่งซึ่งเกิดจากเหตุปัจจัย
ต้องเข้าใจอย่างมั่นคงนะคะ ธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา นี่แหละค่ะเป็นที่พึ่ง ที่จะไม่ไปสู่ความหลงผิด ไปสำนักปฏิบัติ ไปทำอะไรทั้งหมดนะคะ หรือไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นถ้าสามารถจะเข้าใจว่านะคะ สิ่งนั้นเกิดแล้วไม่มีใครไปบังคับ ไม่ให้เกิดขึ้น
บังคับไม่ได้ เกิดแล้วจะเป็นธรรมะฝ่ายดีฝ่ายชั่วก็ตามแต่นะคะ เกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัย จะเดือดร้อนอย่างที่ไม่รู้ไหม ถ้าเรารู้ว่าเกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา อย่างรถเสีย เครื่องบินจะออก ใช่ไหมคะ ขณะนั้นนะเกิดแล้วใช่ไหม
ผู้ฟีง ใช่ครับ
ท่านอาจารย์ แล้วไง ตื่นเต้นแน่ๆ ตกใจแน่ๆ อะไรแน่ๆ ก็ตามแต่นะคะ ทั้งหมดก็เกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัย สามารถที่จะไปขึ้นเครื่องบินได้ แก้รถได้ หรืออะไรก็ตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้นความเข้าใจธรรมะจะทำให้ค่อยๆ สงบจากความฟุ้งซ่าน คือขณะนั้นไม่สงบเพราะอกุศล ทุกอย่างที่เกิดค่ะ เพื่อน พ่อแม่ พี่น้อง ความจริงเป็นอะไรคะ
ผู้ฟัง เป็นรูปธรรม นามธรรม
ท่านอาจารย์ ถูกต้องค่ะ เป็นธรรมะทั้งหมดเลยนะคะ แล้วก็ชาติก่อนมีไหมค่ะเพื่อน พ่อแม่ พี่น้อง
ผู้ฟัง มีครับ
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้อยู่ไหน
ผู้ฟัง เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้วครับ ดับไปแล้วครับ
ท่านอาจารย์ คะ ดับไปแล้ว แล้วก็ไม่รู้จัก จะรู้จักอีกไม่ได้ เพราะไม่มีคนนั้นที่จะรู้จักอีกต่อไป แต่ว่าอยู่ในความจำ เพราะฉะนั้นเรากำลังอยู่ในโลกของความจำใช่ไหม แม้แต่สภาพธรรมะอย่างเดียวนะคะ ถ้ามีความเข้าใจก็ค่อยๆ ละคลายความเป็นเรา สภาพที่จำมีจริงใช่ไหมค่ะ
ผู้ฟัง มีจริงครับ
ท่านอาจารย์ เป็นธรรมะอะไร
ผู้ฟัง เป็นเจตสิกครับ
ท่านอาจารย์ เก่งแล้วใช่ไหมคะเนี่ย เพราะเหตุว่าได้ฟังมา สามารถที่จะรู้ได้ แต่นี่คือความเข้าใจเป็นเบื้องต้น แต่เวลาที่ คิด รู้ไหมว่าเพราะจำ คิดในเรื่องที่จำ กำลังคิดก็จำ ใช่ไหมคะถ้าไม่จำจะคิดหรือ เดี๋ยวนี้เอง แสดงว่าธรรมะเนี่ยคะละเอียดมากนะคะ แล้วก็ถูกปกปิดไว้จนกว่าปัญญาจะค่อยๆ รู้ ค่อยๆ เปิดเผย ค่อยๆ เข้าใจในความไม่ใช่เรา
เพราะฉะนั้นจุดประสงค์นะคะ ที่ถูกต้องคือความเห็นที่ถูกต้อง ไม่ใช่เห็นผิดเหมือนเดิม คือรู้ความจริงว่าไม่มีเรา ไม่ใช่เป็นเรื่องแค่ปลอบใจ แต่เป็นเรื่อง ตรง จริง เปลี่ยนไม่ได้ และความจริงเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นปัญญาเท่านั้นค่ะที่จะรับความจริงได้ แต่ถ้าไม่ใช่ปัญญาก็บางคนก็บอกฟังธรรมะแล้วก็เสียดาย ไม่มีเรา ใช่ไหมคะ
แต่ความจริงเนี่ยจะเสียดายทำไม ก็ไม่มีอยู่แล้ว ใช่ไหมคะ ไม่ใช่ว่ามีเมื่อไหร่ล่ะ ความจริงนะไม่มี ให้รู้ความจริงซะให้ถูกต้องไม่มีแม้แต่เราก็ไม่มี เกิดมาก็ไม่ใช่เรา จะจากโลกนี้คือตายไปวันไหนก็ไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรมะ เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจจนกระทั่งดับ การยึดถือสภาพธรรมะว่าเป็นตัวตนนะคะ
จึงรู้ว่าเป็นธรรมะทั้งหมดที่ต้องเป็นไปอย่างนั้น และใช้คำว่าธรรมดามาจากคำภาษาบาลี ว่าธรรมตา คือความเป็นไปที่ธรรมะจะต้องเป็นอย่างนั้น ทุกอย่าง เพราะฉะนั้นก็ทำให้ธรรมเตชะเนี่ย ไม่โศกเศร้า ไม่เสียดายด้วย ไม่เดือดร้อน อย่างที่เคยนะคะ แต่ห้ามไม่ได้
เพราะฉะนั้นถ้าใครคิดว่าจะไปไม่พูด จะไปไม่อ่านหนังสือ จะไปไม่ฟัง จะไปไม่โกรธ จะไปไม่อะไรหมด ถูกหรือผิด เห็นไหมคะ ถ้าไม่อาศัยพระธรรมเป็นที่พึ่งจะรู้ไหมว่าผิด ไม่มีทางเลย เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่ตรงอย่างยิ่งค่ะ
เพราะเหตุว่าถ้าเรามีความเข้าใจที่ถูกต้องนะคะ ควรที่จะให้คนอื่นเขาได้เข้าใจด้วยไหม ถ้าสามารถจะทำได้ ไม่ใช่ปล่อยให้หลงผิดไป เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่ตรงนะคะ สำนักปฏิบัติทำลายพระพุทธศาสนา ตกใจไหมคะ
ผู้ฟัง ผมก็คิดว่าถ้าเป็นคำสอนที่ไม่ตรงกับที่พระพุทธองค์ทรงสอนก็จะไม่ถูกแน่ๆ ครับ
ท่านอาจารย์ ทำลายพระพุทธศาสนาเหมือนกัน
ผู้ฟัง ก็ทำลายคำสอน ที่จริงครับ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นคำไม่จริงทำลายคำจริง และคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำนะคะ เป็นสัจจะ เป็นความจริง วาจาสัจจะทุกคำ สงสัยมีจริงไหมคะ
ผู้ฟัง มีจริงครับ
ท่านอาจารย์ เห็นไหมคะ จนกว่าจะหมดสงสัย เพราะฉะนั้นกว่าจะหมดสงสัยปัญญาระดับไหน
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1381
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1382
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1383
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1384
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1385
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1386
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1387
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1388
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1389
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1390
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1391
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1392
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1393
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1394
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1395
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1396
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1397
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1398
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1399
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1400
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1401
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1402
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1403
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1404
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1405
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1406
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1407
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1408
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1409
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1410
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1411
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1412
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1413
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1414
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1415
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1416
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1417
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1418
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1419
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1420
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1421
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1422
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1423
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1424
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1425
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1426
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1427
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1428
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1429
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1430
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1431
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1432
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1433
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1434
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1435
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1436
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1437
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1438
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1439
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1440
