ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1419
ตอนที่ ๑๔๑๙
สนทนาธรรม ที่ ร้านโป๊ดเรสเตอรอง
วันที่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๑
ท่านอาจารย์ ทุกคนเนี่ยได้ยินคำว่าธรรมะ แต่ถามว่าธรรมะคืออะไร ถ้าตอบผิดจะไปเผยแพร่พระพุทธศาสนาได้ไหม เห็นมั้ยคะ เนี่ยค่ะ เป็นความจริงที่เป็นประโยชน์ ที่เราต้องใคร่ครวญไตร่ตรองนะคะ เพราะว่าเกิดมาหนึ่งชาติเนี่ย สิ่งที่มีประโยชน์ที่สุดก็คือว่าได้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง
โดยการศึกษาด้วยความรอบคอบละเอียด และเป็นความรู้จริงๆ เพราะเราไม่หวังให้ใครเข้าใจผิดใช่ไหมคะ ความเป็นมิตรดี ความเป็นผู้ที่หวังดีเพื่อประโยชน์เกื้อกูลให้เขาได้รับสิ่งที่ดีก็คือว่าให้คำที่ถูกต้อง ด้วยเหตุนี้เราไม่ใช่ผู้ประมาทที่คิดว่าเราเพียงแต่จะนำคำไปกล่าวแต่ว่าเขาเข้าใจผิดได้
เพราะฉะนั้นก่อนอื่นนะคะ ต้องเป็นคนที่ละเอียดอย่างยิ่ง ถ้าจะกล่าวธรรมะนี่คะ ไม่ต้องกล่าวเรื่องไกล เรื่องยากในพระไตรปิฏก ในอภิธรรม หรือในพระสูตร หรือในพระวินัยนะคะ เพียงแค่แต่ละคำไม่ว่าจะจากพระสูตร หรือพระวินัย หรือพระอภิธรรมก็ตาม เข้าใจคำนั้นจริงๆ มั่นคงนั้นแหละควรที่จะเผยแพร่
เพราะฉะนั้นถ้ายังไม่มีความเข้าใจที่มั่นคงนะคะ เราพูดตามคนอื่นหรือเปล่า เพราะเหตุว่าขณะนี้ก็มีคนที่พูดคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากมายในที่ต่างๆ แต่ว่าคนที่ไม่ไตร่ตรองนะคะ ก็คิดว่าสิ่งนั้นถูก แต่ถ้าคนที่ไตร่ตรองเนี่ยจะมีความเข้าใจที่ถูกต้อง และก็ช่วยคนอื่นให้ถูกต้องได้
เพราะฉะนั้นการที่เราจะเอามาจากใคร ปิฏกไหน หน้าไหนเนี่ยไม่สำคัญเลยค่ะ สำคัญที่ฟังแล้วเข้าใจถูกหรือเปล่า ถ้าไม่เข้าใจอะไรถูก อะไรผิด ก็สนทนากัน ซึ่งก่อนจะสนทนากันนี่นะคะ ต้องเป็นผู้ที่ตรงและจริงใจเพราะเกิดมาได้ชาติเดียวที่จะเป็นคนนี้ จากชาตินี้ก็ไม่เป็นคนนี้อีกแล้ว จะเป็นใคร เกิดในนรก บนสวรรค์ เป็นนก แมว หนู ปู ปลา ได้หมดเลยใช่ไหมคะ
ประโยชน์สูงสุดคือชาติที่สามารถจะเข้าใจความจริงจากผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ เป็นที่พึ่งที่จะไม่ให้หลงผิดไปในทางอื่น ซึ่งการหลงผิดง่ายมากไม่ยากเลย เพราะเหตุว่าคำของคนที่ไม่ได้เข้าใจธรรมะจริงๆ นะค่ะ เหมือนง่ายใช่ไหมคะ จะไปเผยแพร่พระพุทธศาสนา แต่พระพุทธศาสนาคืออะไร
คำสอน ศาสนาของใคร พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าแค่คำนี้คำเดียว ถ้าสะสมมานะคะ ที่จะเป็นผู้ที่เคารพ นับถือ ยำเกรง ไม่ประมาท ก็คือว่าต้องศึกษาแต่ละคำด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องมั่นคง เพราะฉะนั้นนะคะ จะไปเผยแพร่ธรรมะเป็นภาษาอังกฤษด้วยนะคะ ภาษาก็เป็นเรื่องของความเชี่ยวชาญของแต่ละคน
เด็กบางคน วันก่อนเห็นบอกว่าเขาเป็นเด็กขายของ ตามถนนเนี่ยนะคะ แต่เขาสามารถพูดได้ ๑๖ ภาษา เพราะฉะนั้นภาษาก็เป็นเรื่องของแต่ละคนที่จะสื่อสารกัน ตามความถนัดว่าจะเข้าใจได้ลึกซึ้งแค่ไหน แต่มีคำในพระไตรปิฏกว่าธรรมะนั้นนะคะ ก็ต้องหรือควรเข้าใจในภาษาของตนของตน
เพราะเหตุว่าถ้าแม้ในภาษาของตนยังไม่เข้าใจ เราจะไปอาศัยคำไหนซึ่งไม่ใช่ภาษาของเรา เพราะว่าไม่มีคำที่มีความหมายตรง ถูกต้อง ครบถ้วนเท่าภาษาบาลี และเฉพาะในภาษาบาลีด้วยอย่างคำว่าจิต นะคะ คนไทยพูดว่าจิตภาษาบาลีใช้คำว่าจิตตะ คืออะไร คนไทยต้องอธิบายตั้งยาวใช่ไหมคะ
แต่ถึงกระนั้นคนที่พูดภาษานี้ ชาวมคธพูดภาษามคธี ฟังคำที่พระสัมมาสัมเจ้าตรัสให้เข้าใจก็ต้องมีคำอธิบายในภาษาของตนของตน เพราะฉะนั้นตอนนี้นะคะ เราต้องมีความเข้าใจว่า เราจะไม่เอาสิ่งที่ผิดไปให้ใคร เพราะฉะนั้นเราก็จะต้องมีความเข้าใจชัดเจน ไม่ต้องมาก แต่ว่าขอให้ทุกคำที่พูดออกไปเนี่ย
เป็นความถูกต้องที่จะทำให้คนอื่นเข้าใจขึ้น และโดยเฉพาะที่สำคัญนะคะ การสนทนาธรรมนี่คะ เป็นมงคลเพราะเห็นว่าคนหนึ่งก็คิดอย่างหนึ่งอีกคนหนึ่งก็คิดอย่างหนึ่ง แต่ความถูกต้องเป็นอย่างเดียวกัน เพราะฉะนั้นถ้าได้สนทนากันก็จะมีความชัดเจนว่าอะไรถูก ก็ทิ้งสิ่งที่ผิด แม้ในครั้งพุทธกาลนะคะ พระภิกษุทั้งหลายท่านก็สนทนาธรรม
โดยตั้งกติกามีข้อแม้ว่า ถ้าสิ่งใดผิดก็ต้องผิด ทิ้งไป สิ่งใดถูกก็ถูก เพื่อดำรงรักษาสิ่งที่ถูกต้อง คือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเราไม่เข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครพูดอะไรเราต้องคิดว่าถูก เพราะเราไม่เข้าใจ แต่พอเราเข้าใจแล้วนะคะ ใครพูดถูกก็รู้ว่าถูก ใครพูดผิดก็รู้ว่าผิด เพราะมีความเข้าใจในคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้นจะไปเผยแพร่ธรรมะ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ต้องรู้จริงๆ ว่าธรรมะคืออะไร ในภาษาไทยเนี่ยค่ะ ภาษาของตนของตน ก่อนที่จะไปเป็นอีกภาษาหนึ่งให้คนอื่นเข้าใจ เพราะถ้าเราไม่เข้าใจนะคะ เราพูดก็พูดด้วยความไม่เข้าใจ และคนฟังจะเข้าใจได้อย่างไรแต่ถ้าเรามีความเข้าใจนะคะ
ถึงไม่ใช่ภาษาของเรา เราไม่ได้ใช้ภาษานั้นตั้งแต่เกิด เราอาจจะพูดไม่ครบถ้วน แต่สามารถเข้าใจได้ อย่างนั้นก็เป็นประโยชน์ โดยไม่คำนึงถึงว่าเราจะจำเป็นต้องใช้ภาษาอย่างชาวเมืองนั้นใช้ เพราะเราไม่มีความสามารถพอนะคะ แต่เราสามารถที่จะให้ความจริงให้ความถูกต้องเท่าที่เราจะทำได้
ผู้ฟัง ค่ะ ขอความเมตตาช่วยอธิบายเพิ่มเติมเรื่องของวัฏฏะกับลูกข่างนะคะ
ท่านอาจารย์ ค่ะ ก็คงจะรู้บ้างใช่ไหมคะ ในเรื่องของวัฏฏะซึ่งไม่อยู่กับที่ หมายความว่ายังไงคะ สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา แต่ไม่หยุดเกิด เพราะเหตุว่ามีปัจจัยที่จะให้เกิดนะคะ ลูกข่าง หมุนเร็วไหม
ผู้ฟัง หมุนเร็วค่ะ
ท่านอาจารย์ ยังไม่เท่าจิตเกิดดับ เพราะขณะนี้นะคะ เหมือนเห็นกับได้ยินพร้อมกัน จิตเห็นเกิดขึ้นไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากเห็นแล้วดับ จะไปได้ยินไม่ได้ เป็นคนละขณะเกิดเพราะเหตุปัจจัยต่างกัน เพราะฉะนั้นขณะนี้นะคะ ไม่มีใครรู้ว่าระหว่างจิตเห็นกับจิตได้ยินเนี่ย มีจิตเกิดดับเร็วกว่าลูกข่าง ที่กำลังหมุน
ผู้ฟัง ค่ะ
ท่านอาจารย์ เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นความลึกซึ้งนะคะ ของสภาพธรรมะซึ่งเกิดดับ ไม่สิ้นสุด ตราบใดที่ยังหมุนด้วยวัฏฏะ ๓ ไม่ใช่เพียงหนึ่ง
ผู้ฟัง ค่ะ
อ.วิชัย อย่างที่ท่านอาจารย์กล่าวถึงวัฏฏะ ๓ นะครับ ตั้งแต่กิเลสวัฏฏ์ กัมมวัฏฏ์ และก็วิปากวัฏฏ์ ขณะนี้กำลังหมุนเป็นไปอยู่ ฉะนั้นเมื่อมีกิเลสที่ยังไม่ดับนี่ครับ สะสมอยู่บางครั้งเนี่ยกิเลสเกิดอยากจะทำความดีก็มี เพราะมีกิเลสที่เป็นเหตุยังต้องทำกุศล หรือกระทำอกุศลอันนี้ก็แน่นอนนะครับ
เพราะว่ากิเลสมีกำลังแล้วก็เป็นปัจจัยแก่อกุศลไว้หลากหลายปัจจัยด้วยกัน และเมื่อกระทำกรรมสำเร็จ ให้ผลไหมครับ ให้ผล นั้นจะเห็นถึงว่าแต่ละบุคคลที่เกิดมาเนี่ยต่างๆ กัน เกิดที่ดีก็มี ไม่ดีก็มี เป็นมนุษย์ก็มี เป็นสัตว์เดรัจฉานก็มี เพราะอะไรเป็นเหตุให้บุคคลนั้นเกิดในที่ต่างๆ เพราะมีการกระทำกรรมที่ต่างกัน
ฉะนั้นสิ่งเหล่านี้จึงหมุนวนอยู่ตลอดเวลา นะครับ จนกว่าอบรมปัญญาที่จะรู้ความจริง ค่อยๆ คลายจากอกุศล เมื่ออบรมปัญญานะครับ ที่จะถึงที่สุดคือดับอกุศลเป็นสมุฏเฉท ก็ไม่มีกุศลกรรม ไม่มีอกุศลกรรมต่อไป เพราะว่าดับอกุศล ก็ถึงความเป็นพระอรหันต์ ดังนั้นตราบใดก็ตามนะครับ ที่ยังไม่ถึงความเป็นพระอรหันต์ ก็ยังต้องมีการเกิดอีกต่อไป
ผู้ฟัง ค่ะ
อ.วิชัย กราบท่านอาจารย์ครับ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นได้ยินคำว่าวัฏฏะ เดี๋ยวนี้มีวัฏฏะไหม
ผู้ฟัง มีค่ะ
ท่านอาจารย์ อะไร เห็นไหมคะ ตอบว่ามีเฉยๆ นี่ไม่พอค่ะ แต่ถ้ารู้จริงก็ต้องยิ่งกว่านั้นอีกว่าเดี๋ยวนี้อะไรๆ เป็นวัฏฏะ เดี๋ยวนี้มีอีกทั้ง ๓ วัฏฏะ ทีละหนึ่งจะปนกันไม่ได้เลยค่ะ แต่ละหนึ่งเป็นหนึ่งซึ่งเกิดแสนสั้น และก็ดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย
แต่มีสิ่งอื่นเกิดสืบต่อทันทีไม่มีระหว่างคั่น ลวงให้เห็นเหมือนนักเล่นกลที่เล่นเก่งมากเลยนะคะ แต่นี่เก่งยิ่งกว่านักเล่นกล เพราะเป็นสภาพธรรมะซึ่งเกิดดับอย่างรวดเร็วนะคะ ไม่มีใครไปบังคับให้เกิด ไม่มีใครทำให้ดับ ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงความจริงนี้ได้เลย จึงเป็นสัจธรรม
ถ้ารู้ความจริงนี้เมื่อไหร่ เป็นอริยสัจธรรม ที่เราพูดถึงบ่อยๆ ใช่ไหมคะ อริยสัจ และก็มีจำนวนอริยสัจ ๔ แล้วก็นั่งท่องกัน จำได้หมด จะไปสอนเขาก็ได้ แต่ว่าความจริงยังไม่ได้เข้าใจจริงๆ ว่า ทุกขอริยสัจจะคืออะไร เป็นวัฏฏะหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็นวัฏฏะค่ะ
ท่านอาจารย์ อันนี้ก็ดีนะคะ หมายความว่าหรือว่าทุกอย่างที่มีเนี่ยต้องเป็นวัฏฏะละใช่ไหมคะ เอาล่ะ ละเอียดอีกนิดหนึ่งนะคะ เดี๋ยวนี้มีวัฏฏะไหน มี ๓ วัฏฏใช่ไหมคะ มีวัฏฏะอะไร เดี๋ยวนี้
ผู้ฟัง วัฏฏะไหนไม่ทราบ
ท่านอาจารย์ นี่ค่ะ เพราะฉะนั้นยังไม่พอไงคะ ฟังธรรมะเท่าไหร่ก็ยังไม่พอ จนกว่าจะเข้าใจว่าจริงระดับไหน ระดับฟังยังไม่ประจักษ์แจ้ง แต่ถ้าไม่ประจักษ์แจ้งดับความยึดถือว่าเป็นเรา และการเห็นว่าสิ่งนั้นเที่ยง ยั่งยืนไม่ได้เลย จนกว่าจะเห็นชัดๆ เลยด้วยปัญญานะคะ ในสภาพธรรมะเดี๋ยวนี้ ปกติอย่างนี้ที่เกิดและดับ
นั้นจึงสามารถที่จะดับอนุสัยกิเลสได้ เพราะติดอยู่ในจิต ไม่มีอะไรที่จะนำออกไปได้เลยนอกจากความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย เพราะฉะนั้นธรรมะนี่ก็เป็นเรื่องนานนะคะ ในสังสารวัฎที่จะต้องฟังไป เพราะฉะนั้นขณะนี้นะคะ ต้องรู้จักชื่อของ วัฏฏะเสียก่อน ไม่ยากใช่ไหมคะ แค่ ๓ เพิ่มเติมทีละเล็กทีน้อย กิเลสวัฏฏ์
ผู้ฟัง กัมมวัฏฏ์ แล้วก็วิบากวัฏฏ์
ท่านอาจารย์ เคยได้ยินปฏิจจสมุปปาทไหม
ผู้ฟัง เคยได้ยินค่ะ
ท่านอาจารย์ ปฏิจจ อาศัยกันและกัน นะคะ ด้วยดี เกิดขึ้น ถ้าไม่อาศัยกันดีก็ออกมาไม่ดีเกิดไม่ได้ใช่ไหมคะ แต่นี่อาศัยกันด้วยดีทั้งหมด เพราะฉะนั้นเรื่องเดียวกันเลย อวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขาร กิเลสวัฏฏ์คืออวิชาความไม่รู้ ขวนขวายทำทุกอย่างทั้งดีและชั่ว อวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขาร กัมมวัฏฏ์
เพราะฉะนั้นเราสามารถที่จะกล่าวธรรมะเนี่ยนะโดยนัยทุกอย่าง เมื่อมีความเข้าใจจะกล่าวโดยนัยของวัฏฏะ ๓ จะกล่าวโดยนัยของปฏิจจสมุปบาท จะกล่าวโดยนัยของทุกอย่างได้หมด แม้แต่ธรรมะหมวด ๓ กุสลาธัมมา อกุสลาธัมมา อัพพยากตาธัมมา ก็กล่าวได้ในเมื่อมีความเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่เปลี่ยน เปลี่ยนไม่ได้ความจริงเป็นอย่างนั้นนะคะ
แต่หลากหลายและพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรู้อัธยาศัยของสัตว์โลก เพราะฉะนั้นก็แสดงธรรมะหลากหลายตามอัธยาศัยของผู้ฟัง เพราะฉะนั้นถ้าเรามีความเข้าใจวัฏฏะ ๓ นะคะ อวิชชาในปฏิจจสมุปบาทนั่นแหละที่กล่าวถึงเป็นกิเลสวัฏฏ์ เป็นปัจจัยให้เกิดสังขารการกระทำดีชั่วทั้งหลายเป็นกรรมต่างๆ เป็นกัมมวัฏฏ์
อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ วิญญาณก็คือวิปากวัฏฏ์ซึ่งเป็นปฏิสนธิจิต เป็นไปตามกรรมมากมายคะละเอียดกว่านี้อีกมากนะคะ แล้วทำให้เข้าใจแจ่มแจ้งแล้วเราจะไปเผยแพร่พระพุทธศาสนาอย่างเนี่ย
ถ้าเราเข้าใจไม่ครบถ้วนนะคะ ก็พลาด แล้วก็ผิด แล้วก็ไม่เป็นประโยชน์ ที่น่าเสียดายจริงๆ คือเสียดายทั้งเงินทองและเวลา แต่เสียดายยิ่งกว่านั้นคือขณะในสังสารวัฏ ที่ยังมีชีวิตอยู่ ถ้าไม่ได้สิ่งที่ถูกต้องจริงๆ ก็ได้ความเห็นผิดไป อวิชชามีอำนาจไหม
ผู้ฟัง มีอำนาจ
ท่านอาจารย์ มีอำนาจให้ทำอะไร
ผู้ฟัง น่าจะทำให้เราทำอกุศลคะ ท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ นั่นก็รวมกันมากมายนะคะ แต่จริงๆ นะคะ ทำให้แต่ละหนึ่งนี่เกิดขึ้นได้ เป็นเรื่องที่ละเอียดมากนะคะ เป็นเรื่องที่มีประโยชน์อย่างยิ่ง เป็นเรื่องที่เมื่อเข้าใจแล้วจะไม่กลับไปเห็นผิด เพราะรู้ว่าอกุศลมีโทษมาก และโทษที่ร้ายแรงที่สุดคือความไม่รู้จึงเป็นเหตุให้เกิดกิเลสมากมาย ไม่รู้จบสิ้นจนกว่าปัญญาจะค่อยๆ เข้าใจถูกต้องนะคะ
แล้วก็ดับกิเลสหมด จึงไม่เกิดอีก เพราะเหตุว่าถ้าไม่ประจักษ์แจ้งจริงๆ ว่าสิ่งนี้ที่กำลังปรากฏเนี่ยเกิดและดับ ไม่มีทางที่จะละความเป็นตัวตนได้ เพราะฉะนั้นปัญญาก็อีกไกลนะคะ แต่ค่อยๆ เจริญขึ้นเติบโตขึ้น ด้วยความเป็นผู้ตรง ด้วยบารมีทั้ง๑๐ ทั้งมั่นคงในความจริงว่าขณะนี้มีสิ่งที่มี อย่างอื่นไม่มี ขณะเห็นมี อย่างอื่นไม่มี ขณะได้ยินมีได้ยิน อย่างอื่นไม่มี
และถ้าไม่รู้เห็นที่กำลังมี แล้วจะรู้อะไร ในเมื่อเห็นก็ดับไปแล้วกลับมาอีกไม่ได้ ที่ยังไม่เกิดขึ้นก็ไม่สามารถจะรู้ได้ เพราะฉะนั้นปัญญา จึงรู้สิ่งที่มีที่กำลังปรากฏ จึงสามารถที่จะละความเป็นตัวตนได้ เพราะฉะนั้นนะคะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมะเป็นปกติ เพราะเหตุว่าถ้าผิดปกติเราทำให้ผิดปกติ
แต่ถ้าเป็นปกติเราไม่ได้ทำ ไม่ได้ทำอะไรสักอย่างหนึ่ง เห็นก็ไม่ได้ทำ เกิดแล้ว คิดก็ไม่ได้ทำ เกิดแล้ว ชอบก็ไม่ได้ทำ เกิดแล้ว โกรธก็ไม่ได้ทำ เกิดแล้ว ต้องรู้สิ่งที่เกิดแล้วปรากฏแล้ว จึงจะเป็นความถูกต้องในความเข้าใจว่าไม่ใช่เรา และเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นต้องมีความมั่นคงหลายอย่างนะคะ
ที่จะค่อยๆ ปรุงแต่งให้เป็นความเข้าใจว่าปัญญาไม่ใช่อ่อนเปลี้ยเพลียแรง ต้องไปเข้าห้องอยู่ที่หนึ่งที่ใดแล้วถึงจะรู้นะคะ สามารถที่จะมีกำลังรู้ทุกอย่างที่ปรากฏได้ นั่นจึงจะเป็นปัญญาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเพื่อให้ปัญญานั้นค่อยๆ เจริญขึ้นจนสามารถที่จะรู้ความจริง
ท่านอัญญาโกณฑัญญะ โกณฑัญญะเป็นชื่อ แต่อัญญาคือรู้แล้ว เมื่อท่านอัญญาโกณฑัญญะเป็นพระโสดาบันนะคะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าอัญญาโกณฑัญญะ ธรรมะที่พระองค์ได้บำเพ็ญมาแล้วก็ตรัสรู้ และให้คนอื่นได้เข้าใจตามความเป็นจริง สามารถทำให้คนอื่นได้รู้จริงๆ
เป็นพยานว่าการสามารถประจักษ์แจ้งความจริงของสภาพธรรมะ ตรงตามที่พระองค์ได้ตรัสไว้แล้วนั้นเป็นไปได้ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้นะคะ ก็เป็นทางเดิน ถ้าไม่หลงทาง ก็ค่อยๆ ไป ค่อยๆ เข้าใจขึ้นในความไม่ใช่เรา และเป็นธรรมมะ ต้องคือสิ่งที่มีแล้วเดี๋ยวนี้ เพราะเดี๋ยวนี้เกิดแล้ว
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ค่ะ เมื่อเช้าที่มีการกล่าวว่าชีวิตที่เกิดมา เจอสิ่งนั้นสิ่งนี้เรื่องราวต่างๆ มากมาย สุดท้ายก็ตายไปแล้วไม่รู้อะไรเลย เมื่อทราบความจริงอย่างนี้นะคะ จะอาจหาญร่าเริงยังไงค่ะ ฟังแล้วรู้สึกมันไม่มีสาระอะไรเลยในชีวิตนี้
ท่านอาจารย์ ฟังทีไรก็อยากจะหาวิธีให้เราได้เป็นสุข ให้เราพ้นจากทุกข์ ให้เราไม่เป็นอย่างนั้น ให้เราเป็นอย่างนี้ แต่ไม่ได้พูดถึงเรื่องความเข้าใจธรรมะว่าไม่มีเรา เพราะฉะนั้นกว่าจะเข้าใจว่าไม่มีเราจริงๆ เนี่ย ก็ต้องอีกนาน
แต่ถ้าคนที่ฟังด้วยความรู้ว่าธรรมะไม่ใช่เราก็จะเร็วกว่านี้ใช่ไหมคะ ไม่ต้องมานั่งห่วงใยว่าพอเราเข้าใจอย่างนี้แล้ว เราจะไปทำยังไง เริ่มคิดจะทำก็คือไม่ใช่ธรรมะ เพราะฉะนั้นก็คือว่าให้รู้ว่าไม่รู้ และที่ควรรู้อย่างยิ่งก่อนอย่างอื่นนะคะ ดีหรือชั่วก็เป็นธรรมะ
ผู้ฟัง อันนี้ก็คืออาจหาญร่าเริงใช่ไหมคะท่านอาจารย์ เป็นอย่างนี้
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เป็นเรื่องสงสัย ไม่ใช่เป็นเรื่องจะถาม ไม่ใช่เป็นเรื่องจะทำ ไม่ใช่เป็นเรื่องแนวทาง แนะให้คิด ไม่ใช่อย่างนั้นเลยค่ะ แต่เป็นการพูดคำจริงให้ไตร่ตรองว่าเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า ถ้าเข้าใจถูกต้องนั้นเป็นที่เกิดขึ้นของปัญญาแหละ ปัญญามีที่เกิดแหละ จากการที่ได้ยินได้ฟังคำที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ตามความเป็นจริงค่อยๆ เพิ่มขึ้น
ไม่ใช่เพื่ออะไรนะคะ ไม่ใช่เพื่อต่อไปเราจะไปเป็นอย่างนั้น ไปเป็นอย่างนี้ กับคนโน้นคนนี้ หรืออะไรต่างๆ แต่เพื่อไม่มีเรา ไม่ใช่เรา เป็นธรรมะที่มีจริง บังคับบัญชาไม่ได้
ผู้ฟัง คะ สิ่งที่ท่านอาจารย์กล่าวเตือนบ่อยๆ ว่าสิ่งที่ควรรู้ยิ่งคือ ณ ขณะนี้ควรรู้อย่างยิ่งค่ะ แต่ว่าทั้งวันถ้าเคยคิดจะรู้..
ท่านอาจารย์ จะถามก่อนนะคะ ว่าเดี๋ยวนี้มีอะไร
ผู้ฟัง เดี๋ยวนี้ก็มีเห็น
ท่านอาจารย์ นั่นแหละควรรู้ยิ่ง เพราะเห็นมีจริงๆ
ผู้ฟัง ยิ่งแค่ไหนคะท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ เห็นเกิดหรือเปล่า
ผู้ฟัง เห็นเกิดค่ะ
ท่านอาจารย์ เห็นดับหรือเปล่า
ผู้ฟัง เห็นดับค่ะ
ท่านอาจารย์ เป็นเราหรือเปล่า
ผู้ฟัง ก็ไม่ใช่เรา
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจึงควรรู้ยิ่งว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ไปรู้อื่น รู้เห็นที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้แหละว่าไม่ใช่เรา
ผู้ฟัง ไม่ใช่เรายังไง จะจรดกระดูกขึ้นเนี่ยไม่ใช่เรา
ท่านอาจารย์ ยังไงคะจากคำถามก็รู้แล้วว่ายังหวังที่จะให้เป็นอย่างนั้น ทำไมไม่คิดว่ายังไม่รู้ก็เป็นอย่างนี้แหละ เอาค่อยๆ รู้ขึ้นก็จะต่างจากนี้ คือไม่ต้องไปกระวนกระวายหาทางอะไรอีกแล้ว แต่ว่าฟังธรรมะแล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ครับ พอมานั่งเริ่มศึกษาเนี่ย การตาย โป๊ดคิดว่ามันเริ่มไม่น่ากลัวแล้วครับ เราไม่ทราบว่าเราจะตายเมื่อไหร่ แต่เมื่อไหร่ที่เรายังมีชีวิตอยู่ และได้ทำกุศล ได้สร้างสิ่งที่ดีที่ทำให้เราได้ไปในภพภูมิที่ดีมากกว่า ครับท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ ค่ะจริงๆ แล้วเนี่ยนะคะ ความตายที่คุณโป๊ดเคยบอกไม่น่ากลัวเนี่ย ถ้ารู้จริงๆ เนี่ยไม่น่ากลัวเลยยิ่งกว่านั้นอีก เพราะอะไร เพราะจิตหนึ่งขณะ แค่หนึ่งขณะ คิดดูแค่ไหน เล็กน้อยสั้นแค่ไหน เกิดนะคะ ทำหน้าที่พ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ หนึ่งขณะคุณโป๊ดรู้ไหม
มีทางจะรู้จิตหนึ่งขณะไหม เห็นเนี่ยกี่ขณะแล้วที่กำลังเห็นเนี่ย ตั้งหลายคนเนี่ย เหมือนขณะเดียวใช่ไหมค่ะ แต่นับไม่ถ้วนขณะ กว่าจะเป็นดอกไม้แต่ละดอก เพราะฉะนั้นเพียงหนึ่งขณะเนี่ยใครจะรู้ ไม่มีทางที่ใครจะรู้หนึ่งขณะนะคะ เพราะฉะนั้นหนึ่งขณะเกิดขึ้นทำกิจพ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ ไม่รู้ตัวด้วย
เพราะเหตุว่าเหมือนกับภวังคจิต อารมณ์ของโลกนี้ไม่ปรากฏเลย และทันทีที่จิตหนึ่งขณะสั้นที่สุดนะคะ ประมาณไม่ได้เลย ดับไปเป็นปัจจัยให้ขณะต่อไปเกิดนะคะ โดยกรรมหนึ่งพร้อมจะให้ผลทำให้ จิต เจตสิก รูป ซึ่งเป็นผลของกรรมนั้นเกิดขึ้น หนึ่งขณะอีกเหมือนกัน เพราะฉะนั้นสองขณะไม่มีทางรู้ ไม่ต้องไปกลัวอะไรเลย
เพราะรู้ไม่ได้ใช่ไหมคะ ขณะที่กลัวนะกี่ขณะล่ะกับขณะตายจริงๆ นี่หนึ่งขณะ และทั้งปฏิสนธิจิต และจุติจิต จิตที่เราใช้คำว่าจุตินะคะ หมายความว่าเกิดขึ้นทำกิจจุติพ้นสภาพความเป็นบุคคลนั้นทันทีที่จิตนั้นดับ เหมือนภวังคจิตคือหลับสนิท ประเภทเดียวกันเลย เพราะฉะนั้นจิตประเภทเดียวกันที่เป็นผลของกรรมนะคะ
ก็คือขณะแรกที่เกิดขึ้นในโลกนี้จิตนั้นจะประกอบด้วยปัญญา หรือไม่ประกอบด้วยปัญญาประกอบด้วยการสะสมมาของโลภะ โทสะ ไม่มีใครสามารถรู้ได้เพราะยาวนานมาแล้ว ในสังสารวัฏนะคะ สะสมทั้งกุศล และอกุศล ยากที่จะรู้ ชาตินั้นอาจจะไม่ปรากฏ แต่ความจริงยังอยู่ เพราะฉะนั้นแต่ละชาติเนี่ยก็เปลี่ยนแปลงไปนะคะ
ด้วยเหตุนี้จิตที่ไม่รู้เลยไม่ปรากฏอารมณ์ใดๆ เลยนะคะ ก็คือขณะแรกของชาตินี้ทำกิจสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อน คือตายแล้วเกิดทันทีไม่มีอะไรขั้นเลย เพราะฉะนั้นชาติก่อนเป็นใครอยู่ที่ไหนไม่รู้จุติจิตดับ เป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตเกิดสืบต่อนะคะ เปลี่ยนกรรมเพราะเหตุว่าจุติเป็นการสิ้นสุดกรรมที่ทำให้เป็นคนนั้น จะเป็นคนนั้นต่อไปอีกไม่ได้เลย
แต่ทันทีที่ดับไปนะคะ กรรมใหม่กรรมอื่นไม่ใช่กรรมที่ทำให้เกิดเป็นคนนี้ ถึงเวลาที่จะทำให้ปฏิสนธิเป็นอย่างนั้นเกิดได้ งู นก ปลา มด อะไรก็แล้วแต่นะคะ แต่รูปร่างอะไรก็ยังไม่ปรากฏเพราะเล็กมากขนาดนั้น แต่ว่าเกิดแล้วเพราะกรรมเป็นปัจจัยตั้งแต่บัดนั้น นะคะ อุตุคือความเย็น ความร้อน ซึ่งเป็นรูปซึ่งเกิดจากกรรมเป็นปัจจัย
เกิดดับสืบต่อทำให้รูปต่างๆ เกิดขึ้นจะเป็นนก เป็นคน เป็นอะไรก็แล้วแต่ แม้เป็นคนนะคะ กรรมที่ได้ทำอย่างวิจิตรละเอียดยากที่จะรู้ได้ที่สะสมมาก็เป็นปัจจัยปรุงแต่งให้เป็นแต่ละหนึ่งในชาตินี้ ซึ่งจะสิ้นสุดลงก็ต่อเมื่อกรรมที่ทำให้เป็นคนนี้สิ้นสุดนะคะ แล้วกรรมอื่นก็ให้ผลสืบต่อ ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น เหมือนขณะที่หลับสนิท แล้วกลัวอะไร
ผู้ฟัง นี่ก็ตายสบายดีสิท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ มากเลยคะ เพราะฉะนั้นทุกคนเนี่ยนะคะ รู้มั้ยว่าชอบอะไร ชอบหลับ พอไม่หลับ เดือดร้อนใช่ไหมคะ แหมตั้งนานแล้วไม่หลับ พรุ่งนี้จะหลับไหมเนี่ย คิดไปถึงอย่างโน่นก็ได้ใช่ไหมคะ หมายความว่าเห็นก็แล้ว ได้ยินก็แล้ว สนุกก็แล้ว อร่อยก็แล้ว ก็พอแหละเมื่อไหร่จะหลับใช่ไหมคะ
ทุกคนที่ต้องการเนี่ยต้องการหลับ หมายความไม่ต้องการ เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เพราะฉะนั้นเราต้องศึกษาธรรมะโดยละเอียดค่ะ ยิ่งเห็นว่าเป็นธรรมะ ก็ยิ่งไม่เดือดร้อน แล้วจะกลัวอะไร เพราะฉะนั้นเรากลัวเนี่ย กลัวกรรม ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดผลสิคะ และกรรมนั้นก็มาจากกิเลสก็ต้องเห็นโทษของกิเลส
เพราะฉะนั้นถ้าตราบใดที่ยังไม่เห็นโทษของกิเลสนะคะ จะพ้นสิ่งที่ไม่น่าพอใจไม่ได้ ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรมแต่ถ้าเป็นผลของกุศลกรรมนะคะ ชั่วคราวค่ะ หมดแล้วอยู่ไหน พอถึงหลับ ก็ไม่มีอะไรเลย แม้แต่ชื่อก็ไม่รู้ อยู่ที่ไหนบ้านช่องยังไงก็ไม่รู้ ไม่รู้อะไร
ไม่มีอะไรปรากฏเลยนะค่ะ หลับสนิทแต่พอตื่นก็มีทุกสิ่งทุกอย่างแล้วก็หลับ เพราะฉะนั้นชีวิตก็คือตื่นแล้วหลับ จนกว่าจะจากโลกนี้ไป ลืมหมดเลย ตื่นหลับมาทำไมเห็นไหมคะจนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจความจริงว่าชีวิตไม่มีอะไรค่ะ มีแต่สิ่งที่ทำให้เกิดเป็นไปแล้วก็หมดไป
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1381
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1382
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1383
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1384
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1385
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1386
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1387
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1388
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1389
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1390
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1391
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1392
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1393
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1394
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1395
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1396
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1397
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1398
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1399
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1400
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1401
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1402
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1403
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1404
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1405
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1406
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1407
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1408
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1409
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1410
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1411
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1412
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1413
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1414
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1415
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1416
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1417
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1418
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1419
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1420
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1421
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1422
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1423
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1424
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1425
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1426
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1427
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1428
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1429
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1430
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1431
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1432
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1433
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1434
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1435
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1436
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1437
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1438
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1439
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1440
