ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1421
ตอนที่ ๑๔๒๑
สนทนาธรรม ที่ ห้องประชุมสุธรรมอารีย์กุล มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
วันที่ ๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๒
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องไปแสวงหาธรรมะที่ไหนเลย
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ครับ การสวดมนต์เข้าใจความหมายเป็นภาษาไทยนี้ยังไม่ใช่บุญ แต่เหตุอะไรการสวดมนต์เป็นภาษาไทยของบางคนจึงได้บุญครับ ขอบคุณครับ
ท่านอาจารย์ คะ ธรรมะเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งนะคะ และก็ต้องอย่างที่เราได้กล่าวแล้วว่าต้องเข้าใจแต่ละคำจริงๆ ก่อนที่เราจะพูดยาวนะคะ เพราะฉะนั้นศึกษาธรรมะทีละคำ ขอเชิญคุณวิชัยนะคะ สวดมนต์สองคำ
อ.วิชัย ครับ การสวดก็เป็นภาษาไทยนะครับ ซึ่งก็จะมีคำว่าสาธยาย หมายถึงการกล่าวทบทวนตามลำดับ ส่วนมนต์มาจากมันตะก็คือปัญญา ดังนั้นที่เรากล่าวมนต์นะครับ ก็คือกล่าวตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดง ซึ่งพระองค์แสดงจากพระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ประกาศและก็แสดงธรรม
ดังนั้นบุคคลที่ฟังธรรมะในครั้งนู้นนะครับ ท่านได้ฟังพระธรรม ไม่ว่าจากพระโอษฐ์โดยตรงที่พระองค์ตรัส หรือว่าจากสาวกที่ได้มีความรู้ และก็กล่าวตามคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อได้ยินได้ฟังแล้วมีความรู้ความเข้าใจ การที่จะมีการทบทวนพิจารณาในสิ่งที่ได้ยินได้ฟังด้วยความเข้าใจ
นั่นก็คือเป็นการสาธยายหมด ไม่ต้องมากล่าวเป็นคำๆ ก็ได้นะครับ แต่มีการคิดพิจารณาไตร่ตรองด้วยความเข้าใจ เพราะฉะนั้นบุญนะครับ ไม่ได้อยู่ที่คำที่กล่าว แต่ว่าอยู่ที่จิตขณะนั้นว่าประกอบด้วยธรรมะที่ดีงามในขณะนั้นหรือเปล่า และประกอบด้วยปัญญาหรือเปล่าเพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะครับ
แสดงธรรมเพื่อให้สาวกได้รู้ตามพระองค์ไม่ใช่กล่าวตามพระองค์โดยที่ไม่ได้เข้าใจในอรรถในเนื้อความที่พระองค์ตรัสเลย ดังนั้นบุคคลนะครับ แม้จะกล่าวคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากมาย แต่ถ้าไม่ได้เข้าใจ ในเนื้อความ ในอรรถ ในความเป็นจริง ของสภาพธัมมะที่มีในขณะนี้ ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดง ก็กล่าวในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้ใช่ไหมครับ
ก็กล่าวตามๆ กัน ดังนั้นนี่ครับ การที่จะฟังพระธรรมพิจารณาไตร่ตรองหรือการคิดทบทวน ในสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมาด้วยความเข้าใจนั่นคือพุทธประสงค์นะครับ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้แสดงพระธรรมครับท่าสอาจารย์
ท่านอาจารย์ คะ ลองคิดถึงสักบทหนึ่งนะคะ ไม่ทราบเคยสวดรึเปล่านะคะ สัพเพสังขาราอนิจจา เคยสวดไหมคะ เป็นสวดมนต์หรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็นค่ะ
ท่านอาจารย์ เป็นนะคะ แปลว่าอะไรนะคะ บางคนสวดแล้วก็ไม่รู้คำแปลเลย แต่คนที่รู้คำแปลในภาษาบาลีนะคะ สัพเพ แปลว่าทั้งหมดทั้งสิ้นทั้งหลายไม่เว้นเลย สัพเพสังขารา สภาพธรรมะที่เกิด เกิดเองตามลำพังไม่ได้ แต่ต้องมีปัจจัยที่ทำให้สภาพนั้นๆ เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นสังขารทั้งหลายเนี่ยก็เกิด
แต่เราไม่รู้เลยว่าอะไรเป็นปัจจัยที่เราเกิดมานะคะ ตั้งแต่เกิดทุกวัน ต้องเป็นอย่างนี้ ต้องเป็นอย่างนั้นแหละ ไม่รู้เลยว่าเพราะอะไร แล้วก็ต้องจากโลกนี้ไปก็ไม่รู้ว่าอะไร เพราะฉะนั้นไม่รู้เลยว่าแท้ที่จริงแล้วสิ่งที่มีขณะนี้มีปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้นนะคะ มากกว่าหนึ่งปัจจัย อย่างตาเกิดจากอะไร ใครจะทำให้ตาเกิดได้ไหม
แต่ตาเนี่ยต้องเกิดเพราะกรรมเป็นปัจจัย เพราะฉะนั้นบางคนนะคะ ไม่มีตาตั้งแต่เกิด ตาบอด หรือว่าเกิดมาแล้วตาก็บอดได้ ธรรมดาตาก็เกิดอยู่ แต่ก็เกิดวันหนึ่งตาบอด เพราะฉะนั้นชีวิตทั้งหมดตั้งแต่เกิดจนตายเนี่ย ไม่มีใครรู้ว่าเพราะอะไร แต่ได้ยินคำว่าสัพเพสังขาราอนิจจา เหมือนรู้ใช่ไหมคะ
แต่พอแปลเป็นภาษาไทยว่าสังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยง อนิจจา ได้ยินบ่อยๆ อนิจจังก็ได้ยิน ไม่เที่ยงใช่ไหมคะ แต่ว่าพูดแล้วท่องแล้วถามว่า สัพเพสังขาราอนิจจาคืออะไรใช่ไหมคะ แม้แต่สังขารก็ไม่รู้ และอนิจจา แล้วยังสัพเพ และยังไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้เป็นสังขาร สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิด
สิ่งนั้นแหละเป็นสังขารธรรม ธรรมะที่อาศัยปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้นทั้งหมดเลยค่ะ ทุกวันทุกอย่างทุกขณะไม่เว้นเลย สัพเพสังขาราอนิจจา เพราะฉะนั้นถ้าแปลจากภาษาบาลีเป็นภาษาไทยเหมือนชาวมคธนะคะ เขาพูดภาษามคธีซึ่งเป็นภาษาที่พระผู้มีพระภาคตรัสแสดงธรรมะเราใช้คำว่าปาละหรือปาลีคือดำรงรักษาคำสอนของสัมมาสัมพุทธเจ้า
แต่ก็คือภาษามคธี เพราะฉะนั้นชาวมคธ แคว้นมคธเนี่ยคะ ได้ฟังธรรมะ สัพเพสังขาราเขาพูดกันแล้วใช่มั้ยคะ เหมือนเราบอกว่าสังขารทั้งหลายไม่เที่ยง แต่เราก็ไม่รู้ว่าสังขารคืออะไร และไม่เที่ยงคืออะไร เราคิดว่าเกิดแล้วก็แก่ แล้วก็เจ็บ แล้วก็ตาย ไม่เที่ยง แต่ว่าความจริงนะคะ เกิดแล้วดับไปไม่เหลือเลย แล้วไม่กลับมาอีกต่างหาก
เพราะฉะนั้นคำแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะคะ ลึกซึ้งกว่าที่เราคิด แต่เราก็นั่งพูดคำที่เราไม่ได้เข้าใจ นั้นไม่ใช่บุญ เพราะฉะนั้นบุญคือสภาพธรรมะที่เข้าใจถูก เห็นถูก ตามความเป็นจริง ธรรมะเป็นเรื่องที่ละเอียดมากนะคะ กำลังเกิดดับสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของแต่ละหนึ่งธรรมะ โดยละเอียดยิ่ง
เช่นรูปธรรมนะคะ ตัวเราทั้งตัวเนี่ยมีอากาศธาตุแทรกอยู่อย่างละเอียดที่สุด พร้อมที่จะแตกทำลายละเอียดยิบ แต่แม้กระนั้นนะคะ ย่อยลงไปให้มองไม่เห็นหรืออย่างไรก็ตาม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่าธรรมะขณะที่เกิด เล็กที่สุดนะคะ ก็คือต้องมีมหาภูตรูป บางคนก็ได้ยินใช่ไหมคะรูปซึ่งเป็นใหญ่ มหาภูตรูป
ถ้าไม่มีมหาภูตรูปซึ่งเป็นใหญ่ รูปอื่นเกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นเพียงคำว่ามหาภูตรูปที่เป็นใหญ่ แค่เนี้ยคนฟังนะคะ สามารถที่จะรู้ได้ถ้าเขาเคยฟังมาก่อนนานมากในสังสารวัฏ ว่ามหาภูตรูปเป็นใหญ่ หมายความว่าต้องมีรูปอื่นจึงได้กล่าวว่ามหาภูตรูปเป็นรูปซึ่งเป็นใหญ่ซึ่งรูปอื่นไม่ใช่รูปที่เป็นใหญ่
เพราะฉะนั้นแต่ละคำนะคะ ต้องอาศัยการฟัง และเห็นคุณที่ว่าเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งยากที่จะเข้าใจได้ แต่ถ้าเข้าใจได้นะคะ ไม่ลืมเลยค่ะสะสมอยู่ในจิต เพราะฉะนั้นขณะนี้เราไม่รู้ว่าการฟังธรรมะนะคะแล้วเข้าใจ ความเข้าใจนั้นไม่หายไปไหนเลย แล้วถ้ามีความเข้าใจจริงๆ นะคะ จะสืบต่อไปไม่มีวันที่จะลืม
แต่ว่าจะเพิ่มความเข้าใจละเอียดขึ้นอีกมาก ทุกคำประมาทไม่ได้เลยเช่นแม้แต่คำว่า สัพเพสังขาราอนิจจา ถ้ายังไม่เข้าใจว่าหมายความถึงเดี๋ยวนี้ สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้นี่แหละ มีปัจจัยทำให้เกิดขึ้น สัพเพสังขาราอนิจจา ดับแล้วไม่กลับมาอีก เพื่อที่จะรู้ความจริงว่าไม่มีเรา เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมะคือเพื่อรู้จักธรรมะว่าเป็นธรรมะ
เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นธรรมะแล้วจะเป็นอะไรไม่ได้เลย ต้องเป็นธรรมะแต่เราสวดยาวกว่านี้ใช่ไหมคะ เข้าใจหมดหรือเปล่า เพราะฉะนั้นสวดแล้วไม่เข้าใจ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประสงค์ที่จะบำเพ็ญบารมีเพื่อแสดงธรรมให้คนสวด โดยไม่เข้าใจหรือว่าเพื่อให้เข้าใจความจริง เพราะฉะนั้นเมื่อเข้าใจธรรมะเมื่อไหร่นะคะ
ทุกคำที่เข้าใจถูกมีอยู่ในพระไตรปิฎก ไม่ว่าจะเป็นส่วนของพระวินัยปิฏก พระสุตตันปิฏก หรือพระอภิธรรมปิฏก เพราะฉะนั้นมีคำว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมะ ใช่ไหมคะแล้วก็มีพระสูตร มีพระวินัย มีพระอภิธรรม เหมือนแยกกันแต่ว่าตามความจริงนะคะ แยกตามส่วนที่พระองค์ได้ทรงแสดง
แต่ว่าทั้งหมดเป็นธรรมะ จะไม่เป็นธรรมะได้ไหม พระวินัยไม่เป็นธรรมมะได้ไหม พระสูตรไม่มีธรรมะได้ไหม พระอภิธรรมไม่มีธรรมะได้ไหม เพราะฉะนั้นเมื่อไม่เข้าใจนะคะ ว่าสิ่งที่มีเนี่ยเป็นธรรมะ มีลักษณะเฉพาะของตนของตน ซึ่งใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้คะ สภาพของความติดข้องเกิดขึ้น ต้องติดข้องเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไม่ได้
เพราะว่าสภาพนั้นเกิดขึ้นทำกิจติดข้อง แล้วก็ถ้าเป็นความโกรธซึ่งทุกคนก็มีค่ะ มีตั้งแต่ความขุ่นใจ เล็กๆ น้อยๆ นะคะ ไม่สบายใจก็โกรธ แต่ว่ายังไม่ถึงกับพูด ใช่ไหมคะ แต่พอพูดออกมาเนี่ย เสียงก็มีหลายเสียงจากระดับของความโกรธ ถ้าขุ่นใจนิดหน่อย เสียงก็พอฟังได้นะค่ะ แต่ถ้ามากๆ เสียงน่าฟังไหม ไม่มีใครอยากได้ยินเลยใช่ไหมคะ
แต่อะไรเป็นปัจจัยให้เสียงนั้นเกิดขึ้น เป็นธรรมะทั้งหมดค่ะ ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโดยละเอียดยิ่ง เพราะฉะนั้นธรรมะแต่ละหนึ่งนะคะ ใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้จึงมีคำว่าปรมัตถธรรม มาจากคำว่าปะระมะที่บรม ใหญ่นะคะ บรมนี่ใหญ่มาก ปะระมะ อรรถ ถ้าไม่มีลักษณะของธรรมะแต่ละหนึ่งจะรู้ได้ไหมว่าต่างกัน
หรือถ้ากล่าวว่าธรรมะเป็นสิ่งที่มีจริง ถ้ามีจริงก็ต้องมีลักษณะให้รู้ว่าอะไรใช่ไหมคะ อย่างสีสันวรรณะขณะนี้มีจริงๆ เพราะมีลักษณะที่สามารถปรากฏให้เห็นเมื่อกระทบตา แล้วจิตเห็นเกิดขึ้น จึงรู้ว่าสิ่งนี้มีจริง แต่ถ้าเป็นคนตาบอด ไม่มีทางเลยค่ะ จะไปบอกยังไงว่าสีเหลืองสีเขียว สีแดง ดอกไม้รูปร่างลักษณะต่างๆ เขาไม่สามารถจะรู้ได้
แม้สิ่งนั้นมีจริงนะคะ แต่มีจริงเมื่อมีเห็น เป็นธาตุรู้ซึ่งเกิดขึ้นไม่ทำอย่างอื่นเลยค่ะ นอกจากเกิดขึ้นเห็น เดี๋ยวนี้กำลังเห็น เพราะฉะนั้นธรรมะเริ่มมีการเข้าใจโดยการรู้ว่าขณะนี้เห็นนะคะ เป็นสิ่งที่มีจริงเป็นธรรมะที่เกิด เมื่อมีสิ่งที่กระทบตา และธาตุรู้เกิดขึ้นเห็นแล้วดับไป สัพเพสังขาราอนิจจา
ถ้าเข้าใจอย่างนี้การสวดก็มีประโยชน์ใช่ไหมคะ เช่นเราระลึกได้ว่าธรรมะทุกสิ่งทุกอย่างเกิดแล้วก็ดับ แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลยเป็นอย่างนี้นะคะ จนกระทั่งถึงวันหนึ่ง ถ้ามั่นคงจริงๆ นะคะ ปัญญาเพิ่มขึ้น เจริญขึ้น ถึงระดับที่ประจักษ์แจ้งการเกิดขึ้นและดับไปของสภาพธรรมะ เมื่อนั้นแหละจะเห็นว่าไม่มีค่ะ แล้วก็มีคือเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป แล้วไม่กลับมาอีกเลย
ถ้ารู้เมื่อไหร่ว่าไม่มี ความติดข้องก็ไม่มี การที่จะยึดถือว่าเป็นเราก็ไม่มี แต่ตราบใดที่สภาพนั้นยังไม่ปรากฏนะคะ แม้กำลังเกิดดับก็ไม่มีปัญญาที่สามารถที่จะเข้าถึงประจักษ์แจ้งอย่าง บารมีที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สะสมมาจนตรัสรู้ และทรงแสดงหนทางให้คนอื่นได้รู้ตามด้วย เพราะฉะนั้นขณะนี้ค่ะ
ผู้ใดที่ได้ฟังพระธรรมก็เริ่มรู้หนทางที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของธรรมะที่กำลังมีในขณะนี้ว่า สัพเพสังขาราอนิจจา เพราะฉะนั้นการฟังธรรมะทั้งหมดนะคะ เข้าใจในภาษาของตนของตน นี่คือคำที่มีในพระไตรปิฏก เพราะเหตุว่าเราจะไปเข้าใจภาษาบาลีได้ยังไงคะ แม้จะบอกว่า สัพเพสังขาราอนิจจา พูดไปใครรู้
แล้วถ้าบอกว่าธรรมะทั้งหลายไม่เที่ยง แม้ในภาษาไทยก็ไม่รู้ว่าอะไรเป็นธรรมะ เพราะฉะนั้นชาวมคธแม้ใช้ภาษานั้นก็ยังต้องฟังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริง ของธรรมะคือสิ่งที่มีจริงโดยละเอียด เพราะฉะนั้นธรรมะก็เป็นสิ่งซึ่งเป็นปรมัตถธรรม ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนเห็นให้เป็นได้ยิน เปลี่ยนโกรธให้เป็นชอบ ก็ไม่ได้
แต่ละหนึ่งเกิดเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลยนะคะ เพราะฉะนั้นก็หลากหลายมากเป็นรูปธรรมไม่รู้อะไร กับนามธรรมซึ่งเป็นสภาพรู้ แต่ไม่ว่าจะเป็นรูปธรรมหรือนามธรรม สัพเพสังขาราอนิจจา ธรรมะทั้งหมดค่ะทั้งรูปธรรมและนามธรรมขณะนี้ด้วยนะคะ กำลังเกิดดับ ใครคิดว่าไม่จริง ค่ะ
ค่อยๆ ไตร่ตรอง และจะรู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ยิ่งกว่านี้มากใน ๔๕ พรรษาที่ตรัสรู้ ทรงแสดงพระธรรม เพราะฉะนั้นแต่ละคำนับประมาณไม่ได้เลยนะคะ แล้วแต่ละคำ เนี่ยเป็นอีกภาษาหนึ่ง ซึ่งไม่ว่าใครจะเกิดมาก็ใช้ภาษานั้นนะคะ ก็ต้องเข้าใจความจริงจากคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในภาษามคธี
ซึ่งดำรงคำสอนไว้เป็นปาละหรือบาลี เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมะนะคะ ก็คือว่าให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงในภาษาของตนของตน แต่สืบเนื่องมาจากคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ เพราะฉะนั้นสัพเพ คนไทยนะคะ ไม่ใช่ท่องเฉยๆ ทั้งหมดทั้งหลายไม่เว้นเลย สังขารา ทุกอย่างที่กำลังเกิดปรากฏในขณะนี้ ต้องเกิดเพราะเหตุปัจจัย
แต่ว่าอนิจจา เกิดแล้วดับ แล้วไม่กลับมาอีกเลย นี่คือผู้ที่จะมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งเพราะเหตุว่าคิดเองไม่ได้ ฟังคำของคนอื่นนะคะ แต่สามารถที่จะรู้ว่าเขากล่าวคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า หรือว่าแม้เขาใช้คำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ แต่ความจริงความถูกต้องของคำนั้น ตรงกับคำที่ได้ฟังหรือเปล่า
ก็เป็นเรื่องที่ละเอียดนะคะ ตอนนี้ก็มีธรรมะซึ่งเป็นปรมัตถธรรม ใครเปลี่ยนไม่ได้ และเป็นอภิธรรมด้วยเพราะเหตุว่าลึกซึ้งอย่างยิ่ง แค่ประโยคเดียวใช่ไหมค่ะ สัพเพสังขาราอนิจจา ก็ต้องมีการที่เข้าใจจริงๆ เพราะฉะนั้นมีธรรมะที่ต่างกันเป็นสองประเภทนะคะ คือนามธรรม และรูปธรรม สำหรับนามธรรมนี่ค่ะมีสองอย่างคือ จิตกับเจตสิก
ถ้าเป็นวิชาการอื่นทางจิตวิทยา ปรัชญา หรืออะไรก็แล้วแต่นะคะ จะไม่มีคำว่าเจตสิกเพราะเขาไม่รู้ เพราะฉะนั้นพระปัญญาคุณที่ทรงแสดงธรรมะโดยละเอียดอย่างยิ่งนะคะ ก็สามารถที่จะรู้ได้ว่าแม้คำว่าธาตุรู้ ต้องรู้ เกิดขึ้นรู้ ก็ยังมีสองอย่างคือ จิตและเจตสิก แต่คนไทยส่วนใหญ่นะคะ จะชินกับคำว่าจิตแต่ไม่รู้จักเจตสิกเลย
เพราะฉะนั้นทั้งหมดนี้ค่ะก็คืออย่างที่คุณทวีศักดิ์ต้องการที่จะให้มีความเข้าใจนะคะ ว่าธรรมะมีเป็นรูปธรรม และนามธรรม และนามธรรมก็มีจิตและเจตสิก เพราะฉะนั้นแต่ละคำที่พูดต่อไปนะคะ จะไม่พ้นจากคำว่า จิต เจตสิก รูป เพราะฉะนั้นขอเชิญคุณอรรณพกล่าวถึงนะคะ ความต่างของจิตและเจตสิกค่ะ
อ.อรรณพ สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงแล้วก็ต้องมีจริงในขณะนี้นะครับ ถ้าเราจะกล่าวถึงว่าทุกคนมีความรู้สึกนึกคิด ก็ต้องมีตัวจริงของธรรมะที่เป็นความรู้สึก เพราะฉะนั้นความรู้สึกเนี่ยเป็นเจตสิกอย่างหนึ่ง ที่เรามีความยึดถือมากขอให้สุขกาย สุขใจ ไม่ชอบเลยทุกข์กาย ทุกข์ใจ ถ้าจะทุกข์กายทุกข์ใจนะครับขอเฉยๆ ยังดีซะกว่า
เพราะฉะนั้นนี่นะไม่ใช่จิต แต่เป็นสภาพของความรู้สึกที่เกิดกับจิต ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงใช้คำว่า เวทนาเจตสิก เพราะเจตสิกก็คือธาตุรู้ที่เกิดประกอบกับจิต เจตสิกะก็คือธาตุรู้ที่เกิดกับจิต เกิดในจิต แต่ไม่ใช่จิตนี่คือความมหัศจรรย์นะครับ ของธรรมะที่มีขณะนี้
อ.วิชัย พระนามหนึ่งของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็คือ ภะคะวา นะครับ คำว่า ภะคะวา นี่หมายถึงคำกล่าวเรียกบุคคลอันเป็นที่น่าเคารพ หรือว่ากล่าวถึงบุคคลผู้ประเสริฐ เพราะดำเนินไปด้วยกับคุณอันประเสริฐ
ดังนั้นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านะครับ เป็นผู้ที่ ทรงคุณอันประเสริฐนะครับ ไม่ว่าจะเป็น ศีลคุณ สมาธิคุณ หรือว่าปัญญาธิคุณ มีความหมายหนึ่งก็คือเป็นผู้จำแนกธรรมะ มีสภาพธรรมะก็คือนามธรรม รูปธรรม แต่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงจำแนกความเป็นธรรมมะที่หลากหลายตามความเป็นจริงด้วยพระปัญญาธิคุณ
แล้วก็มีการแสดงพระธรรมด้วยพระมหากรุณาธิคุณ อย่างที่ไปงานสวดพระอภิธรรมนะครับ อภิก็คือละเอียด หรือว่ายิ่ง ธรรมะคือสิ่งที่มีจริง ดังนั้นพระธรรมที่เป็นอภิธรรมะก็คือเป็นพระธรรมที่แสดงความเป็นจริงของสภาพธรรมะที่ละเอียดอย่างยิ่ง
ท่านอาจารย์ กำลังฟังพระอภิธรรมหรือเปล่าคะ ต้องรู้นะคะ ว่าอภิธรรมะก็กล่าวถึงธรรมะที่มีเนี่ยว่าลึกซึ้งอย่างยิ่ง จึงใช้คำว่า อภิ เพราะฉะนั้นธรรมะสิ่งที่มีจริงนะคะ ตัวจริงๆ ของธรรมะเนี่ยต้องมี และก็ใช้คำเรียกสิ่งที่มีจริงทั้งหมดเลยนะคะ ว่าเป็นธรรมะ แต่ธรรมะก็หลากหลาย นะคะ
ธรรมะที่เกิดแต่ไม่รู้อะไรเป็นรูปธรรม ส่วนนามธรรมเนี่ยคิดดูนะคะ ต้องเป็นสภาพรู้ที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ เช่น เห็น ได้ยิน ต้นไม้ไม่เห็นนะคะ ดอกไม้ไม่ได้ยิน สภาพที่ไม่ใช่นามธรรม และไม่รู้ แต่เดี๋ยวนี้มีเห็น ซึ่งต่างกับสภาพที่ไม่รู้ เพราะฉะนั้นสภาพธรรมะทั้งหมดเนี่ยก็จำแนกเป็นสองประเภทใหญ่ๆ คือรูปธรรมไม่รู้ และนามธรรมเป็นสภาพที่รู้
คนสัตว์ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น นก แมว ปู ปลา สภาพรู้ก็เป็นธรรมะซึ่งเป็นสภาพรู้ ถ้าไม่มีรูปนะคะ เห็นเนี่ยเป็นอะไรคะ ถ้ามีรูป แมวเห็น นกเห็น งูเห็น คนเห็น แต่ถ้าเอารูปออกหมด เห็นเป็นเห็น เปลี่ยนไม่ได้เลยค่ะ ไม่ว่ารูปจะเป็นอะไรก็ตาม เปลี่ยนเห็นไม่ได้ เพราะฉะนั้นปลาในน้ำก็เห็น นกบินไปในอากาศก็เห็น เทวดาก็เห็น
เพราะฉะนั้นสภาพเห็นมีจริงๆ นะคะ แต่ว่าไม่มีรูปใดๆ เลยค่ะ ไม่แข็ง ไม่อ่อน แข็งต้องเป็นแข็งเป็นเห็นไม่ได้ อ่อนก็เป็นเห็นไม่ได้ เพราะฉะนั้นสภาพธรรมะแต่ละหนึ่งเป็นหนึ่ง ซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้น สัพเพสังขาราอนิจจา ต่อไปนะคะ สัพเพสังขารานั่นแหละทุกขา เคยสวดไหมคะ หรือไม่เคยสวดบทนี้เลย ค่ะ
แต่เข้าใจไหมว่าสิ่งที่เกิดนะคะ สัพเพสังขาราอนิจจาไม่เที่ยง ความไม่เที่ยงนั่นแหละเป็นทุกข์ ใครว่าสุข เกิดมาทำไม เกิดมาแล้วก็ดับไป แล้วไม่เหลือเลย นั่นหรือค่ะสุข ถ้าไม่รู้อย่างนี้นะค่ะไม่มีทางที่จะรู้ความจริงของธรรมะเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นธรรมะเดี๋ยวนี้นะคะ ลึกซึ้งเป็นอภิธรรมะ
ถ้าใครบอกว่าจะฟังธรรมะ จะเรียนธรรมะ แต่ไม่เรียนอภิธรรมหมายความว่าเขาไม่เข้าใจธรรมะ เพราะธรรมะนั่นแหละนะคะ เป็นอภิธรรมะ ธรรมะจะไม่เป็นอภิธรรมได้ยังไง ในเมื่อเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นการฟังนะคะ ฟังเพื่อเข้าใจ แม้ไม่มาก แต่ความเข้าใจวันนี้เนี่ย ลึกไปถึงว่าทุกอย่างที่มีเดี๋ยวนี้และขณะไหนก็ตาม
เกิดแล้วปรากฏเป็นธรรมะทั้งหมดซึ่งเป็นสังขารธรรม เพราะฉะนั้นแม้แต่การที่สวดว่าสัพเพสังขาราอนิจจา สัพเพสังขาราทุกขา หมายความว่าคนนั้นรู้ว่าธรรมะเกิดดับใช่ไหมคะ ถ้าสวดแล้วไม่รู้ว่า สัพเพสังขาราอนิจจา ไม่รู้ว่าธรรมะเกิดดับ แต่สวดว่าสัพเพสังขาราอนิจจา หมายความว่าอะไร
ถ้าไม่รู้ว่าอนิจจาคืออะไรใช่ไหมคะ แต่ถ้ารู้ สัพเพสังขาราอนิจจา สัพเพสังขาราทุกขา เมื่อจะเกิดแล้วดับจะเป็นสุขหรือ หาอีกไม่ได้เลยในสังสารวัฎ กำลังชอบสิ่งหนึ่งสิ่งใดนะคะ ถ้าประจักษ์ความจริงสิ่งนั้นเกิดดับ ชอบสิ่งที่ไม่มีแล้ว เพราะสิ่งที่กำลังชอบดับหมดแล้วไม่กลับมาอีกเลย
โล่งใจไหม หรือว่าเป็นทุกข์ที่ไม่ได้สิ่งนั้นที่เข้าใจว่าเที่ยง แต่ความจริงไม่เที่ยง เนี่ยค่ะก็แสดงว่ากว่าเราจะสามารถเข้าใจความจริงนะคะ ซึ่งจะทำให้พ้นจากความติดข้อง เพราะไม่มีเรา แต่จะเป็นการเกิดดับสืบต่อของธรรมะซึ่งยับยั้งไม่ได้
ไม่มีใครที่จะหยุดสังสารวัฎได้เลย หยุดเดี๋ยวนี้ไม่ให้เห็น ไม่ให้ได้ยิน ได้ไหม ไม่มีทางเป็นไปได้เลยนะคะ เพราะธรรมะคือธรรมดา หมายความว่าที่เราพูดว่าธรรมดาธรรมดาเนี่ยนะคะ มาจากคำว่าธรรมะกับคำว่าตา ตาคือปกติ ความเป็นไปของธรรมะซึ่งเป็นอย่างนี้หมายความว่าต้องเกิดและดับยับยั้งไม่ได้เลย ขณะต่อไปต้องเกิดแน่แต่ไม่รู้ว่าอะไร
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1381
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1382
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1383
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1384
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1385
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1386
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1387
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1388
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1389
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1390
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1391
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1392
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1393
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1394
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1395
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1396
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1397
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1398
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1399
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1400
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1401
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1402
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1403
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1404
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1405
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1406
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1407
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1408
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1409
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1410
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1411
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1412
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1413
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1414
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1415
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1416
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1417
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1418
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1419
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1420
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1421
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1422
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1423
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1424
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1425
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1426
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1427
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1428
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1429
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1430
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1431
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1432
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1433
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1434
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1435
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1436
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1437
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1438
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1439
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1440
