ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1390


    ตอนที่ ๑๓๙๐

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมไชยแสงพาเลส จ.สิงห์บุรี

    วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๑


    ท่านอาจารย์ แต่ต้องเป็นความรู้จริงๆ จากขั้นการฟัง ซึ่งจะนำไปสู่สติสัมปชัญญะ ซึ่งเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ แม้สติก็เป็นอนัตตา ไม่มีใครไปตระเตรียมไปที่ไหน ทำอะไรที่จะให้สติเกิดได้ แต่ว่าขณะนี้ความเข้าใจมีพอเมื่อไหร่ ใครก็กั้นสติสัมปชัญญะไม่ให้เกิดไม่ได้ เพราะว่ามีสิ่งที่แต่ก่อนนี้ไม่รู้ แต่เมื่อฟังธรรมเข้าใจขึ้นๆ ก็ไม่ได้รอเวลาที่สติสัมปชัญญะจะเกิด เพราะรู้ว่าเป็นอนัตตา

    อ.อรรณพ สมาธิกับพระพุทธศาสนา ความเข้าใจที่ถูกต้องคืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ พูดคำว่าสมาธิ แล้วก็ทำสมาธิ แต่ไม่รู้ว่าสมาธิคืออะไร คือต่างคนก็ต่างคิดไปเอง แล้วยังมีผู้ที่กล่าวให้ทำสมาธิโดยประการต่างๆ แต่ไม่ได้เข้าใจเลยว่า สมาธิที่แท้จริงแล้วคืออะไร ขณะนี้มีหรือไม่ และเมื่อไหร่จึงจะเป็นสัมมาสมาธิ ซึ่งไม่ใช่มิจฉาสมาธิ ทั้งหมดเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่กล่าวถึงคำว่า สมาธิ หลายแห่งหลายตอน แต่ก็ต้องเข้าใจด้วย

    บางครั้งพระองค์ตรัสถึงศีล สมาธิ ปัญญา รู้จักไหมว่า ศีลคืออะไร สมาธิคืออะไร และปัญญารู้อะไร ก็ได้แต่กล่าวปัญญา ปัญญา แต่ปัญญารู้อะไร ถ้าขณะนี้มีสิ่งที่มีจริงๆ ตั้งแต่เกิดมีจริงทุกขณะ แต่ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีก็ไม่ใช่ปัญญา เพราะฉะนั้นแต่ละคำต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า มีสิ่งที่มีจริงๆ แต่เพราะไม่รู้ก็เรียกชื่อ และเข้าใจผิดต่างๆ เช่น คำว่า สมาธิ คนที่ทำสมาธิจะตอบได้ไหมว่าสมาธิคืออะไร

    ผู้ฟัง สมาธิก็เป็นธรรม เป็นเอกัคคตาเจตสิก

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นที่ทราบว่าสมาธิ ได้แก่ สภาพธรรมหนึ่งซึ่งตั้งมั่นในอารมณ์ แม้แต่คำว่าอารมณ์ ถ้าไม่ศึกษาก็เข้าใจผิด เพราะเราคิดว่าวันนี้อารมณ์ดี วันนี้อารมณ์ไม่ดี กำลังมีใครอารมณ์ไม่ดีบ้างไหม คือเราใช้กันจนเคยชิน แต่ว่าตามความเป็นจริงทุกคำต้องศึกษาให้เข้าใจ และเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เมื่อมีจิต เจตสิกซึ่งเป็นสภาพรู้ ที่เป็นนามธรรม ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้

    เพราะฉะนั้น สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่กำลังปรากฏในขณะนี้ แต่ละหนึ่ง ไม่ใช่พร้อมกันทันทีทั้งหมด แต่ความรวดเร็วของการเกิดดับสืบต่อ ไม่ปรากฏการเกิดดับของแต่ละหนึ่งเลย มีแต่ปรากฏเป็นคน เป็นวัตถุ เป็นสิ่งต่างๆ ซึ่งเหมือนไม่ได้ดับไปเลย นี่คือความเห็นผิด ความเข้าใจผิด ที่ถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเพราะไม่รู้ความจริงว่า สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้เกิดแล้วดับ เร็วขนาดนั้น สืบต่อจนกระทั่งปรากฏเป็นสิ่งต่างๆ มากมาย นี่แสดงให้เห็นถึงพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ถ้าพระองค์ไม่ทรงตรัสรู้ จะทรงแสดงความจริงอย่างนี้ได้ไหม ซึ่งทุกคนจะรู้ว่าจริงหรือไม่จริง ต่อเมื่อได้ฟังแล้วพิจารณาไตร่ตรอง เห็นต้องไม่ใช่ได้ยินแน่นอน เห็นจะมีเสียงเป็นอารมณ์ คือเป็นสิ่งที่จิตรู้ได้อย่างไร เพราะฉะนั้นคำว่า อารมณ์ หมายความถึงสิ่งซึ่งจิตกำลังรู้ จิตเกิดขึ้นรู้ สิ่งที่ถูกรู้เป็นอารมณ์ของจิต

    ทุกคำ ต้องตั้งต้นใหม่ และให้เข้าใจว่าจิตสามารถจะรู้ได้ทุกอย่าง แล้วแต่ว่าขณะนั้นอะไรเป็นสิ่งที่จิตกำลังรู้ ขณะได้ยินเสียง เฉพาะเสียงที่กำลังได้ยินเป็นอารมณ์ของจิตได้ยิน เสียงอื่นที่ไม่ปรากฏ ไม่ใช่อารมณ์ เพราะว่าจิตไม่รู้สิ่งนั้น

    พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เปลี่ยนไม่ได้เลย เพราะทรงตรัสรู้ความจริงถึงที่สุด และบางคนก็อาจจะคิดว่า ไม่เห็นกล่าวเรื่องของวิกฤตมากมายเลย แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้องจะรู้ได้อย่างไรว่า อะไรวิกฤตเมื่อไหร่ อะไรผิด อะไรถูก เพราะมีความเข้าใจที่ถูกต้องจึงรู้ว่าอะไรผิด จึงสามารถที่จะรู้ได้ว่าวิกฤตของพระพุทธศาสนาคือว่า ไม่มีใครได้ศึกษาเข้าใจคำสอนอย่างถูกต้องมั่นคง นอกจากผู้ที่เห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ละเลยโอกาสที่จะได้ฟังคำของผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ คิดดู อยากจะฟังเรื่องอะไรบ้าง มากมายหลายร้อยหลายพันเรื่อง แต่ฟังเรื่องอะไรก็ไม่ได้ทำให้เข้าใจความจริงซึ่งกำลังมีที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง

    เพราะฉะนั้นทุกครั้งไม่ประมาทเลย แม้แต่แต่ละคำ เช่นคำว่า ธรรม สมาธิ สมาธิก็เป็นสภาพนามธรรมแน่นอน โต้ะเก้าอี้ไม่มีสมาธิเลย มีไม่ได้เพราะไม่ใช่สภาพรู้ แต่เมื่อมีสภาพรู้ สภาพรู้มี ๒ อย่าง สภาพรู้อย่างหนึ่ง เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏ เห็น เห็นอะไร ต้องมีสิ่งที่ถูกเห็น เพราะเหตุว่า ขณะนั้นจะเห็นหลายๆ อย่างพร้อมกันไม่ได้ เพราะมีสภาพธรรมที่เป็นเจตสิกเกิดกับจิต รู้อารมณ์ คือสิ่งเดียวกับที่จิตรู้พร้อมกัน ดับพร้อมกัน ทุกขณะที่จิตเกิดจะปราศจากเจตสิกไม่ได้เลย แต่ก็ไม่มีใครไปแยกบอกว่านี่เป็นจิต และนั่นเป็นเจตสิก แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความเป็นจริงว่า จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ แค่คำว่าเป็นใหญ่เป็นประธานก็ส่องถึงว่า ต้องมีสภาพนามธรรมอื่น สภาพรู้อื่นซึ่งเกิดกับจิต แต่ไม่ได้เป็นใหญ่เป็นประธาน เฉพาะจิตเท่านั้นที่เป็นใหญ่เป็นประธาน ในการรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏ เช่น สีแดง สีชมพู สีเขียว สีฟ้า

    ถ้าจิตไม่รู้แจ้งเฉพาะสิ่งที่ปรากฏ จะรู้ความหลากหลายต่างกันไหม แม้แต่ชมพูอ่อน ชมพูแก่ รู้แจ้งในสภาพธรรมนั้น จึงสามารถที่จะบอกได้ว่าต่างกัน ไม่เหมือนกัน แต่เจตสิกที่เกิดกับจิต ดับพร้อมจิต รู้สิ่งเดียวกัน ชอบดอกกุหลาบไหม จิตเห็น แต่สภาพที่ชอบไม่ใช่จิต แต่ชอบในสิ่งที่ปรากฏกับจิต เพราะจิตเป็นสภาพที่รู้แจ้ง เป็นปัจจัยให้ความติดข้องเกิดขึ้น หรือถ้าเป็นสิ่งที่ไม่ชอบ ทันทีที่เห็นก็ไม่ชอบแล้ว

    เพราะฉะนั้นความชอบ ความไม่ชอบ เป็นเจตสิก กล่าวได้เลยว่าสิ่งที่ปรากฏทั้งวัน จิตเป็นสภาพที่รู้แจ้ง แต่ขณะที่ปรากฏ เดี๋ยวรัก ชัง สุข ทุกข์ ดีใจ เสียใจ ทั้งหมดไม่ใช่จิตแต่เป็นเจตสิก โดยจิตเกิดขึ้นหนึ่ง ต้องรู้เพียงหนึ่ง เพราะเป็นสภาพรู้ โดยมีเจตสิกหนึ่งซึ่งตั้งมั่นในอารมณ์นั้นอารมณ์เดียว

    เจตสิกนั้นภาษาบาลีใช้คำว่า เอกัคคตาเจตสิก สภาพที่ตั้งมั่นในอารมณ์ เพราะฉะนั้น จิตจึงรู้แจ้งสิ่งที่เอกัคคตาเจตสิกตั้งมั่นทีละหนึ่งขณะ ขณะนี้เป็นอย่างนั้นแต่ไม่มีใครบอกว่าเป็นสมาธิ ต่อเมื่อใดจิตตั้งมั่นอยู่ที่อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งนานพอสมควร มากกว่าอารมณ์อื่นก็แสดงว่า กำลังมีสมาธิ คือความตั้งมั่นในอารมณ์นั้นนาน

    แต่เพราะความไม่รู้ก็เป็นเราทำสมาธิ เรามีสมาธิ แต่ความจริงไม่ใช่เลย ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่ต้องมีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคนก็รู้หมด แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริงว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใครทั้งสิ้น แต่เป็นลักษณะของสิ่งนั้น ซึ่งเมื่อเกิดต้องเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างอื่นไม่ได้ เพราะฉะนั้นจิตเป็นสภาพที่รู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ

    เจตสิกทั้งหมด โดยประเภทมี ๕๒ แต่ว่าหลากหลายมาก แม้แต่ความยินดีพอใจนิดเดียวก็เป็นความติดข้อง ถ้ามาก คนนั้นเขารู้สึกปลาบปลื้ม เพลิดเพลิน ดีใจ สนุกสนาน ก็เป็นลักษณะของเจตสิกนั้นที่เพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น แม้แต่คำว่าสมาธิก็ได้แก่ เจตสิกซึ่งเป็นเอกัคคตาเจตสิก แต่ตั้งมั่นอยู่ที่อารมณ์นานก็ปรากฏลักษณะอย่างที่เราบอกว่า อย่ากวน กำลังอ่านหนังสือ กำลังคิดเรื่องนี้ แสดงว่ามีสมาธิอยู่ที่ตรงนั้น ไม่เช่นนั้นเราก็จะไม่มีคำว่าเสียสมาธิ หรืออะไร

    แต่เราใช้คำอย่างนี้เผินๆ เพราะเป็นเราที่รวมกัน ยึดถือสภาพธรรมแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดร่วมกันว่า เป็นเรา แต่ไม่รู้เลยว่าแต่ละหนึ่งนั้นต้องเกิด ถ้าไม่เกิด ไม่มีแน่นอน เกิดแล้วก็ต้องดับด้วย ดับแล้วก็มีสภาพธรรมที่สืบต่อ เพราะจิต สภาพรู้ ธาตุรู้ ทันทีที่รู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ดับแล้ว การดับไปของจิตนั่นเองเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อ

    ด้วยเหตุนี้จึงมีจิตทีละหนึ่งขณะ แต่ละคนไม่ได้มีจิตพร้อมกัน ๒ ขณะเลย เพราะถ้าจิตขณะนี้ยังไม่ดับไป จิตอื่นเกิดไม่ได้ และทันทีที่จิตนั้นดับไป ทันทีเลย เป็นปัจจัย มีอำนาจ สัตติ ที่จะทำให้จิตขณะต่อไปเกิดได้ แต่ต้องเป็นไปตามปัจจัย ไม่ใช่ว่าจิตไหนจะเกิดก็ได้

    ด้วยเหตุนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมซึ่งเป็น ปรมัตถธรรม มาจากคำว่า ปะระมะ บรม กับ อรรถ คือความหมาย ถ้าไม่มีลักษณะของตนจะกล่าวถึงสิ่งนั้นได้อย่างไร เพราะฉะนั้นความรู้สึกเป็นอย่างหนึ่ง ความจำเป็นอย่างหนึ่ง นอกจากจิตซึ่งรู้แจ้งแล้ว ทั้งหมดเป็นเจตสิก ด้วยเหตุนี้ความจำก็เป็นเจตสิก เดี๋ยวนี้จำได้ใช่ไหม เราจำหรือเปล่า ถ้าเจตสิกที่จำไม่เกิดขึ้นทำหน้าที่จำ จะไม่มีการจำอะไรได้เลย แต่เพราะเจตสิกนี้เกิดกับจิตทุกขณะไม่เว้นเลย

    ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปลี่ยนไม่ได้ ขณะนี้มีทั้งจิต และเจตสิก และขณะที่กำลังจำก็คือเจตสิกหนึ่ง ซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่า สัญญาเจตสิก คนไทยเราสัญญากันบ่อยใช่ไหม เพื่ออะไร เพื่อไม่ลืม บางทีก็ต้องทำสัญญาด้วย เขียนเป็นลายลักษณ์อักษร ลงลายมือชื่อกำกับ เพื่อไม่ให้ลืมว่าได้กระทำสิ่งนี้แล้ว แต่ทั้งหมดก็คือ สภาพเจตสิกซึ่งเกิดขึ้นพร้อมจิต ดับพร้อมจิต ขณะนี้เห็นทุกอย่างจำได้หมดเลยเพราะเจตสิกจำ แต่จิตรู้แจ้ง

    เพราะฉะนั้นเอกัคคตาเจตสิก คือสภาพที่ตั้งมั่นในอารมณ์หนึ่ง จิตหนึ่งรู้อารมณ์หนึ่ง ทีละหนึ่ง แต่ถ้ามีมากขึ้น ลักษณะของความตั้งมั่นก็ปรากฏ ที่เราใช้คำว่าสมาธิ โดยที่สมาธิ หรือเอกัคคตาเจตสิก เกิดกับสภาพธรรมอื่นๆ เกิดกับสภาพธรรมที่ดีงาม เป็นกุศลก็ได้ เกิดกับสภาพธรรมที่ไม่ดีงาม เป็นอกุศลก็ได้ จึงมีทั้งอกุศลสมาธิ และกุศลสมาธิ รู้หรือเปล่า ทำสมาธิแต่ไม่รู้จักสมาธิ ก็คิดว่าจะไปทำสมาธิ

    รู้อย่างนี้แล้วใครทำอะไรได้ไหม ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้ก็ไม่ใช่คนที่ฟังคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฟังแล้วต้องมั่นคง เปลี่ยนไม่ได้ ไม่มีเราแต่มีธรรม ถูกไหม ถ้าไม่มีธรรมสักอย่างหนึ่งจะมีเราไหม แต่เมื่อมีธรรมแล้วไม่รู้การเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วมาก จึงปรากฏเป็นรูปร่างนิมิตสัณฐาน เรื่องราวต่างๆ ก็เข้าใจว่าเป็นเราเกิด เราเห็น เราได้ยิน ตั้งแต่เกิดจนตาย

    ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นเราที่เกิด แต่ขณะเกิดขณะแรกจะเป็นเราได้อย่างไร ยังไม่มีชื่อเลย ยังไม่เห็นด้วย เห็นทันทีที่เกิดไม่ได้เลย ต้องเมื่อถึงเวลาที่จักขุปสาทรูป รูปพิเศษที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏตา ถึงวาระที่จะเกิดจึงเกิด และเมื่อมีสิ่งใดกระทบจึงเห็น ทั้งหมดเป็นธรรมซึ่งเป็นอนัตตา มิฉะนั้นจะมีอะไรไปละอัตตา

    ความเป็นเรานานแสนนานเกินแสนโกฏิกัปป์ และขณะนี้ก็ยังเป็นอย่างนี้ ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนอยู่ในความมืดสนิท แต่แสงสว่างคือพระธรรม เริ่มตั้งแต่จุดเล็กๆ จนกว่าสามารถที่จะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตตามความเป็นจริงว่า ไม่ใช่เรา ซึ่งไม่ใช่แต่ละคนจะมีความสามารถรู้ธรรมอย่างนี้ได้เอง แต่ต้องฟัง ฟังแล้วต้องไตร่ตรอง ไม่ใช่เชื่อ

    เพราะฉะนั้นได้ยินคำอะไร ใครจะพูดไม่สำคัญเลย สำคัญที่คำนั้นจริงหรือเปล่า และถ้าได้ยินคำที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อนเลย และเป็นความจริงด้วย ก็รู้ว่าผู้นั้นต้องรู้อย่างนั้น จึงสามารถที่จะกล่าวอย่างนั้นได้ และผู้นั้นก็คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราไปเชื่อใครที่กล่าวคำอะไรก็ไม่รู้ ไม่มีเหตุผล และก็ไม่ทำให้เกิดความเข้าใจใดๆ เลยทั้งสิ้น เหมือนถูกสะกดไหม ให้ทำสมาธิ ใครให้ทำ รู้หรือเปล่าว่าสมาธิเป็นอะไร สมาธิไม่ได้เป็นใครเลยทั้งสิ้น แต่เป็นธรรมอย่างหนึ่งซึ่งเกิดกับจิตทุกขณะ ตั้งมั่นในอารมณ์แต่ละอารมณ์ที่ปรากฏ จนกว่าจะมีการเห็นโทษของสิ่งที่ปรากฏ ถ้าไม่มีสิ่งใดปรากฏเลย จะพอใจในสิ่งนั้นไหม โลกไม่มี อะไรก็ไม่มี ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย

    แต่เมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น สภาพรู้ ธาตุรู้ รู้สิ่งนั้น แต่ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นเกิดแล้วดับด้วย เพราะว่ามีสิ่งอื่นทั้งหมดขณะนี้ซึ่งเกิดดับสืบต่อไม่มีระหว่างคั่น ต่อกันสนิทจนเหมือนกับเรื่องราว เช่น เมื่อครู่นี้เราไปรับประทานอาหาร เป็นเรา หรือว่าเป็นธรรม ไม่มีจิต ไม่มีเจตสิก ไม่มีรูป ไปได้ไหม หรือจะอยู่ตรงนี้ได้ไหม เพราะฉะนั้นที่อยู่ตรงนี้ก็ไม่ใช่เรา แต่ต้องเป็นธรรมจริงๆ ไตร่ตรองว่าสภาพที่เกิดและดับจะเป็นเราได้อย่างไร

    ถ้ามีความพอใจในสิ่งหนึ่งสิ่งใด ทันทีนั้นเลยสิ่งนั้นดับก็ไม่รู้ ก็เข้าใจว่ายังอยู่ ยังเป็นที่ตั้งของความพอใจ เพราะฉะนั้นความไม่รู้มีมากมายระดับไหน ด้วยเหตุนี้ สัตว์โลกเกิดมาต่างอัธยาศัย ต่างการสะสม ก่อนพุทธกาลมีผู้ที่ต้องการที่จะรู้ความจริง หรือว่าต้องการที่จะละสิ่งที่ไม่ดี แต่ว่าอย่างมากที่สุดที่คนเหล่านั้นจะกระทำได้ก็คือ การเห็นโทษของการที่เกิดมา เห็น ได้ยิน ทุกอย่างทุกขณะแล้วก็พอใจจนกระทั่ง อกุศลจิตเกิดขึ้นมากมายตามปัจจัยมากขึ้นๆ แล้วจะมีประโยชน์อะไร

    เพราะฉะนั้น เห็นโทษของความติดข้องในสิ่งที่ปรากฏว่าเป็นโทษอย่างยิ่ง เพราะนำมาซึ่งความติดข้องเพิ่มขึ้น ทำให้เดือดร้อนไหม ถ้ายังไม่รู้สึกว่าเดือดร้อนก็ไม่ต้องไปแสวงหาอะไร แต่ผู้มีปัญญารู้ว่าทุกวันนี้สาระอยู่ตรงไหน ทุกสิ่งมีจริง ไม่ใช่ไม่มี แต่หมดแล้วทุกวัน ไม่เหลืออะไรเลยทั้งวัน เมื่อถึงเวลาหลับ เหลืออะไรบ้าง มีอะไรที่เป็นเรา หรือเป็นของเราบ้าง ขณะที่หลับสนิท

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเรื่องจิตโดยประเภทต่างๆ ให้มีความเข้าใจขึ้นๆ ๔๕ พรรษา เพื่อที่จะให้ปัญญาค่อยๆ รู้ความจริงจนกระทั่งสามารถรู้ได้ว่า แม้แต่สภาพที่ตั้งมั่นก็ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่ทำสมาธิด้วยความพอใจ ถูกไหม ดีไหม ให้มีมากๆ ด้วย แต่เปลี่ยนอารมณ์ ถ้าไม่ได้ทำสมาธิ ความชอบก็กระเจิดกระเจิงไปทั้งวัน ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แต่เวลาเห็นโทษ หรือว่าอยากที่จะมีสมาธิ มีคน ๒ ประเภท คนหนึ่งเห็นโทษของโลภะความติดข้อง เดือดร้อนทั้งวัน ติดนั่นติดนี่ แสวงหาอย่างนั้นอย่างนี้ แค่อาหารแต่ละมื้อก็ยากไหม ต้องเปลี่ยนไปเรื่อยๆ รสนี้ไม่พอใจ ทำรสใหม่ขึ้นมาอีก มีแต่การปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลา หารู้ไม่ว่านั่นเป็นความติดข้อง โดยที่วันหนึ่งก็จะจากโลกนี้ไป เดี๋ยวนี้ก็ได้ และทั้งหมดที่มี ทุกคนที่ติดข้อง ความติดข้องติดตามสะสมอยู่ในจิต แต่สิ่งที่มีไม่ได้ติดตามไปเลย แม้แต่ร่างกายที่ขณะนี้กำลังอยู่ตรงนี้ ทันทีที่จิตไม่เกิดที่ร่างกาย เหมือนท่อนไม้เลย พูดไม่ได้ เดินไม่ได้ ไม่เห็น ไม่ได้ยิน จริงมั้ย

    เพราะฉะนั้น ทุกอย่างในขณะนี้เป็นไปตามอำนาจของจิต ซึ่งเป็นสภาพที่รู้แจ้งในอารมณ์ เฉพาะในสิ่งที่เป็นอารมณ์ จิตจะรู้เกินกว่านั้นไม่ได้เพราะจิตไม่ใช่ปัญญา จิตเป็นเพียงธาตุที่มี ใครห้ามไม่ให้จิตเกิดก็ไม่ได้ เหมือนห้ามแข็งไม่ให้เกิดไม่ได้ ห้ามเย็นห้ามร้อนไม่ให้เกิดไม่ได้ เป็นสิ่งที่เกิดมีขึ้นตามเหตุตามปัจจัย ทั้งนามธรรมและรูปธรรม เพราะฉะนั้นก็ต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า ไม่ว่าจะกล่าวถึงอะไร ถ้าไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและนำไปผิด เช่น ทำสมาธิ ไม่ต้องทำ มีสมาธิแล้ว แต่ว่าเป็นอกุศลหรือกุศล อย่างนี้ไม่รู้ใช่ไหมก็เลยทำ แต่ถ้าเป็นกุศลต้องเป็นไปเพื่อการละ ไม่ใช่เป็นไปเพื่อการติดข้อง

    เพราะฉะนั้นหนทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือทุกคำที่ได้ตรัสไว้เพื่อละความเห็นผิด ความเข้าใจผิด ที่หลงเข้าใจผิดมานานแสนนานในสังสารวัฏฏ์ว่า เป็นเรา มีเราขณะนี้ ก็เริ่มเข้าใจถูกต้อง เพื่อที่จะได้ไม่ติดข้อง ไม่เป็นอกุศลอีกมากมายมีทั้งความสำคัญตน มีทั้งความริษยา มีทั้งความตระหนี่ ทั้งหมดเพราะความไม่รู้

    ด้วยเหตุนี้ คนที่ไม่รู้จักสมาธิไปทำสมาธิ ไม่อย่างนั้นก็ตอบได้ใช่ไหมว่า สมาธิคืออะไร แต่ขณะใดก็ตามที่มีความเข้าใจธรรม ขณะนั้นจิตรู้แจ้งเสียงที่กำลังปรากฏ และสภาพธรรมอื่นก็พิจารณาไตร่ตรอง ไม่ใช่เราเลย และก็ทำงานอย่างเงียบที่สุด ไม่ปรากฏจิตเลย ปรากฏแต่สิ่งที่จิตรู้ทั้งวัน แต่หารู้ไม่ว่าเพราะจิตเจตสิกเกิด สิ่งนั้นจึงปรากฏให้รู้ได้ว่ามี แต่ว่าไม่ได้เข้าใจเลยว่า ไม่มีเรา ไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรม

    เพราะฉะนั้นขณะใดก็ตามที่อยากทำสมาธิ แล้วจะได้อะไร คิดว่าสงบ แต่อยากได้สมาธิแทนที่จะอยากได้สิ่งอื่นเหมือนเคย ไม่ใช่อยากได้ดินสอ ปากกา ต้นไม้ ดอกไม้ แต่อยากได้สมาธิ ความอยากเป็นความอยาก เปลี่ยนไม่ได้ แล้วแต่ว่าจะอยากอะไร ความอยากเป็นอกุศลธรรม เป็นเจตสิก ซึ่งเกิดกับจิตหลังจากที่เห็นแล้ว ได้ยินแล้ว ก็แล้วแต่ว่าเจตสิกประเภทไหนจะเกิดขึ้นบ้าง แต่เอกัคคตาเจตสิกเกิดกับจิตทุกขณะ

    เพราะฉะนั้น ก่อนการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีผู้ที่เห็นโทษของความต้องเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน กับการต้องแสวงหาทุกสิ่งทุกอย่างมาเพียงเพื่อเรา แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย เพียงเพื่อเห็นแล้วก็ดับ ได้ยินแล้วก็ดับ ไม่ว่าจะเป็นลาภ สิ่งที่ได้มา ได้ยศหรือคำสรรเสริญก็ตามแต่ ชั่วคราวแสนสั้น และก็ไม่กลับมาอีก แต่สัญญาเจตสิก สภาพจำ จำหมดทุกอย่าง แต่จำผิด จึงเป็นสัญญาวิปลาส

    ทุกคำที่ได้ฟังอยู่ในพระไตรปิฏก ในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมด ละเอียดอย่างยิ่ง เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อชีวิตซึ่งแสนสั้น และสิ่งที่เกิดในชาตินี้ที่เป็นกุศล และอกุศล ติดตามสืบต่อสะสมอยู่ในจิต ไม่หายไปไหนเลย เพราะเหตุว่าเป็นนามธรรม แต่รูปธรรมติดตามไปไม่ได้เลย ร่างกายทั้งหมดเปื่อยเน่า เพราะไม่มีจิต ยังเป็นที่ยินดีไหม

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 190
    1 ก.ค. 2568