ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1423
ตอนที่ ๑๔๒๓
สนทนาธรรม ที่ ห้องประชุมสุธรรมอารีย์กุล มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
วันที่ ๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๒
ท่านอาจารย์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ให้ใครทำอะไรนะคะ แต่ทรงแสดงธรรมะให้เข้าใจความจริง เพราะฉะนั้นก็จะรู้ได้ว่าถ้าไม่เป็นการที่จะเข้าใจความจริงคือสิ่งที่มีจริงนะคะ ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ว่าใครจะไปนั่งที่ไหน ทำอะไร เรียกว่าอะไรก็ตามจะเรียกว่าสำนักวิปัสสนา สำนักปฏิบัติธรรมะ หรืออะไรทั้งสิ้นนะคะ
ทั้งหมดก็คือว่าในพระไตรปิฏก ไม่มีสำนักวิปัสสนา ไม่มีสำนักปฏิบัติธรรมะ แต่มีคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทำให้คนที่ได้ฟังนี่คะ มีความเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนั้นตามความเป็นจริง พระผู้มีพระภาคตรัสว่าไม่คำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้วเพราะอะไรคะ สิ่งที่เกิดแล้วดับแล้วไม่กลับมาให้รู้ให้เข้าใจอีกเลย
ไม่คำนึงถึงสิ่งที่ยังไม่มาถึง จะไปไหน จะไปทำอะไรอย่างไร ก็ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีในขณะนั้น เพราะเหตุว่าสิ่งนั้นมีจริงๆ เกิดจริงๆ ดับจริงๆ เพราะฉะนั้นการจะรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงได้นะคะ ไม่ใช่ไปที่ไหน แต่ว่ามีการเข้าใจคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส ทำให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องขึ้นนะคะ ว่าไม่มีเราแต่มีธรรมะ
ทุกอย่างที่มีนะคะ เป็นธรรมะแต่ละหนึ่งไม่ซ้ำกัน ไม่ใช่อันเดียวกันนะคะ แต่ละหนึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไป แล้วไม่กลับมาอีก นี่เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจผิดคลาดเคลื่อนนะคะ ก็เป็นความเห็นผิด แต่ขณะใดก็ตามที่มีความเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ ตรงตามความเป็นจริง
ความเข้าใจนั้นมาจากไหน มาจากการฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งพระองค์ไม่ได้ตรัสให้ไปที่ไหน ไปทำอะไรเลยนะคะ เพราะคนที่ไปเนี่ยไม่ได้เข้าใจอะไรเลยค่ะ แต่คิดว่าไปแล้วจะได้นะคะ ผลก็คือว่าได้สมาธิ หรือให้ทำอะไรซึ่งเป็นความสบายใจ เพราะฉะนั้นทุกคนที่กลับมาจากสำนักปฏิบัติ ถามว่าเป็นยังไง ก็บอกว่าสบายใจ
แต่ว่าถ้าจะให้รู้สิ่งที่กำลังมีในขณะนั้นเดียวนั้น ก็ตอบไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็เห็นความต่างกันนะคะ ของคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เมื่อมีความเข้าใจที่ถูกต้องแล้วนะคะ ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสคำว่าสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกตามความเป็นจริงของธรรมะ เพราะพระองค์ทรงตรัสรู้ความเป็นจริงของธรรมะ
พระองค์จึงทรงแสดงความเป็นจริงของธรรมะ เพราะฉะนั้นขณะนี้นะคะ ที่เข้าใจ ขณะนั้นไม่ใช่เราค่ะ แต่เป็นเจตสิกซึ่งเกิดขึ้นทำกิจเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะนำไปสู่ความเข้าใจที่ถูกต้องว่าไม่ใช่เรา ไม่มีเรานะคะ แต่เป็นธรรมะทั้งหมด
เพราะฉะนั้นต้องไม่ลืมค่ะ ถ้าฟังอะไรเป็นไปเพื่อได้ เพื่อต้องการ แต่ไม่ใช่ความเห็นถูกตามความเป็นจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนั้น นั่นไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นก็ต้องเข้าใจให้ถูกต้องนะคะ ว่าคำที่ใครก็ตามอ้างใช้คำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแล้ว
แต่ไม่ได้ตรงตามความเป็นจริงของสิ่งที่มีจริงในขณะนั้น นั่นไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นความเห็นถูกเห็นถูกเมื่อไหร่คะ เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่มีจริงๆ ความเห็นถูกก็คือว่าเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง และขณะที่เห็นถูกก็ไม่ใช่เราด้วย แต่เป็นธรรมะซึ่งเป็นเจตสิก
เพราะจิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ คือสิ่งที่ปรากฏ แต่เจตสิก ๕๒ ประเภทเกิดขึ้นนะคะ ทำกิจหน้าที่ของเจตสิกนั้นๆ และในบรรดาธรรมะทั้งหมด ปัญญาประเสริฐสุดแสดงให้เห็นความหลากหลายของธรรมะ แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่งนะคะ โดยฐานะที่จิตเป็นใหญ่เป็นประธานเฉพาะในการรู้แจ้งอารมณ์
แต่ว่าธรรมะที่เกิดทั้งหมดนะคะ ที่ประเสริฐสุดคือปัญญาความเข้าใจถูกที่สามารถที่จะเห็นถูกต้องตามความเป็นจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นฟังธรรมะก็คือว่าเข้าใจธรรมะที่มี ด้วยเหตุนี้นะคะ ฟังแล้วเนี่ยค่ะก็ลืม เพราะเหตุว่ามีธรรมะซึ่งเป็นวิตกเจตสิก ไม่ใช่เรานะคะ แต่เป็นเจตสิก
เพราะฉะนั้นก่อนอื่นก็คือว่าสามารถที่จะเข้าใจถูกต้องว่าเมื่อไม่ใช่เราแล้วเป็นอะไร เป็นรูปธรรม ตา หู แข็งอ่อน เย็นร้อน ตับไต ไส้พุง อะไรพวกนี้น่ะค่ะ ไม่รู้อะไรก็เป็นรูปธรรมแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงรูปแต่ละรูปไว้โดยละเอียด ว่ารูปทั้งหมดมี ๒๘ รูป
แต่ละรูปก็เกิดดับนะคะ แต่รูปนี่เกิดดับช้ากว่าจิต จิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ รูปๆ หนึ่งที่เกิดจึงดับ แต่ก็เร็วสุดที่จะประมาณได้ เพราะฉะนั้นแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวถึง สิ่งที่มีจริงในขณะนี้นะคะ ให้มีความเข้าใจตามความเป็นจริงไม่เห็นผิดนะคะ เพราะฉะนั้นปัญญาประเสริฐสุดในบรรดาสิ่งที่เกิดขึ้น
เพราะสามารถรู้จริง เข้าใจจริง ตามความเป็นจริง ของสิ่งที่มีจริงในขณะนั้น เพราะฉะนั้นก็ฟังพระธรรมแล้วลืม ฟังอีก ขณะที่ฟังก็เข้าใจขึ้นอีก ก็ลืมเป็นของธรรมดา เพราะวิตกเจตสิกเป็นสภาพที่จรดหรือตรึกในอารมณ์ ในวันนั้นทั้งหมดที่กำลังปรากฏนี่คะ เพราะเหตุว่าวิตกคิดถึงเรื่องนั้น
กำลังนั่งเดี๋ยวนี้นะคะ คิดถึงอะไร ไม่ใช่สิ่งที่กำลังฟังก็ได้ ใช่ไหมคะ ไม่ใช่เรานะคะ แต่วิตกเจตสิกคุ้นเคยต่อการที่จะคิดถึงสิ่งนั้น ก็คิดถึงสิ่งนั้นบ่อยๆ ไม่ใช่เราเลย เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะอะไรทั้งหมด พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงว่าไม่ใช่เรา เพราะเป็นจิต หรือเป็นเจตสิกซึ่งเกิดขึ้น ทำกิจหน้าที่เฉพาะของตนของตน
เพราะฉะนั้นปัญญาเกิดขึ้นทำกิจเห็นถูกเข้าใจถูกตามความเป็นจริง ตามที่ได้ฟัง แค่ตามที่ได้ฟัง เทียบกับพระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าห่างกันแค่ไหน แต่พระองค์ทรงแสดงหนทางนะคะ ละเอียดขึ้น ละเอียดขึ้น ให้คนที่ได้ฟังนะคะ สามารถที่จะเข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น
จนกระทั่งสามารถรู้ว่าไม่รู้แค่ไหนมาก่อน และที่รู้เนี่ยน้อยแค่ไหน เพราะว่ายิ่งรู้ก็ยิ่งเห็นความลึกซึ้งอย่างยิ่งของธรรมะ เห็นความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระองค์ตรัสว่าผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา เห็นพระพุทธรูปเนี่ยรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหมคะ ไม่มีทางเลย ถ้าไม่เห็นธรรมะที่พระองค์ได้ตรัสรู้และทรงแสดง
จะไม่เห็นความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยเหตุนี้นะคะ ฟังแล้วลืม ก็ฟังอีกใช่ไหมคะ บางคนก็เว้นไปตั้งหลายปีก็กลับมาฟังใหม่นะคะ แต่ว่าฟังใหม่ก็ลืมอีก เพราะอะไรคะ วิตกเจตสิกคุ้นเคยต่อการที่จะคิดถึงเรื่องอื่นๆ ในชีวิตนอกจากธรรมะที่ได้ฟัง แต่ว่าผู้ใดที่เห็นคุณของพระธรรมแล้วนะคะ
เริ่มฟัง ไม่ขาดการฟังเพราะรู้ว่าเมื่อฟังบ่อยๆ ก็จะคิดถึงธรรมะ เพราะฉะนั้นจะมีการสาธยายจะมีการทบทวนนะคะ ซึ่งคนไทยจะบอกว่าสวดมนต์ แต่ความจริงการสวดก็คือการคิด คิดถึงอะไร คิดถึงคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส เพื่อไตร่ตรอง ให้รู้ เข้าใจสิ่งที่มีจริงในขณะนั้น เช่นเดี๋ยวนี้เนี่ยค่ะ
ไม่มีเรา ลืมแล้วหรือยังคะ เห็นเป็นเราเห็นอีกละ ได้ยินก็เป็นเราได้ยินอีกละ เพราะฉะนั้นกว่าจะคัดลอกความไม่รู้ซึ่งสะสมมาแสนนานในสังสารวัฎนะคะ แสนโกฏกัปป์ที่ไม่เคยรู้มาก่อน มีความติดข้อง มีอกุศลมากมาย พอได้ฟังพระธรรมแล้วเนี่ย ต้องรู้เลยค่ะ เป็นไปไม่ได้ที่ใครจะไปสู่สำนักปฏิบัติ แล้วเพียงนั่งนอนบ้าง อะไรบ้าง
แล้วก็จะหมดกิเลส ซึ่งเกิดจากความไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นต้องมีความเข้าใจนะคะ ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า การฟังธรรมะเข้าใจคือปริยัติหมายความว่ารอบรู้ในคำที่ได้ฟังทีละคำ ถ้าคำนี้รู้นิดเดียวจะชื่อว่ารอบรู้ได้ไหม แล้วไปรู้คำอื่นอีกเยอะแยะ พูดแต่คำอื่นๆ ทั้งนั้น แต่ไม่รู้ความลึกซึ้งจะชื่อว่ารอบรู้ไม่ได้
เพราะฉะนั้นรอบรู้ทีละคำนะคะ เช่นธรรมะ คือสิ่งที่มีจริง ลืมไม่ได้เลยคะ อะไรๆ ทั้งหมดที่มีเดี๋ยวนี้เป็นธรรมะแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง นะคะ แล้วก็ไม่รู้ว่าแต่ละหนึ่งคืออะไรถ้าไม่ได้ฟังธรรมะต่อไปว่าธรรมะที่มีเนี่ย มีสองอย่างหลากหลายมาก สภาพที่มีนั้นไม่สามารถจะรู้อะไร แต่ต้องเกิดจึงมีนะคะ
เสียงเนี่ย ถ้าไม่เกิดก็ไม่มีเสียง แต่เสียงก็ไม่รู้อะไร เพราะฉะนั้นสภาพธรรมะที่ไม่รู้นะคะ เป็นรูปธรรม แต่สภาพที่รู้ก็มีเป็นนามธรรม อยู่ไหนคะอยู่นี่ที่ตัวทั้งหมด ใช่ไหม เพราะฉะนั้นจะไปหาธรรมะที่ไหนคะ เพราะฉะนั้นรู้ตัวหรือยัง บ้างไหม ว่าเป็นธรรมะ พอโกรธเนี่ยรู้ตัวหรือยังว่าเป็นธรรมะ ไม่ใช่เราค่ะ
โกรธมีจริงๆ ถ้าไม่มีปัจจัยให้โกรธเกิด โกรธก็เกิดไม่ได้ ใครไปพยายามให้โกรธสิคะ พยายามได้ไหม แต่ไม่ต้องพยายามเลย เพียงแค่ได้ยินเสียงที่ไม่น่าพอใจก็ไม่ชอบซะแล้ว เพราะฉะนั้นความโกรธหรือความไม่ชอบนี่นะคะ ซึ่งกล่าวถึงเป็นเจตสิก หนึ่งใน ๕๒ เป็นอกุศลเจตสิก เป็นสภาพธรรมะที่หยาบกระด้าง
ใครชอบบ้างค่ะ แค่ได้ยินคำว่าหยาบกระด้างก็ไม่ชอบแล้ว แต่นี่จิตนะคะ ขณะนั้นแข็งไม่อ่อนโยน ไม่สามารถที่จะประพฤติเป็นไปในทางที่ดีงามได้เลยสักอย่างเดียว เพราะขณะนั้นเกิดความหยาบความกระด้าง มีตั้งแต่ระดับที่อ่อนจนกระทั่งถึงระดับที่สูงมาก เช่นขณะที่ไม่พอใจขุ่นใจนิดหน่อย
ที่บ้านเนี้ยมีฝุ่นบ้างไหม แค่ฝุ่นนะคะ ชอบไหม เห็นแล้วไม่ต้องมีใครมาสอนให้โกรธหรือให้ไม่พอใจเลยค่ะ ความไม่พอใจก็เกิดแล้ว แค่นั้นเองนะคะ แต่ถ้าต้องการน้ำอุ่น แต่น้ำนั้นร้อนไม่อุ่น โกรธไหม ก็ไม่ชอบ เพราะฉะนั้นทุกอย่างคือชีวิตประจำวัน ธรรมะไม่ได้อยู่ที่ไหนนะคะ อยู่ที่นี่
ตราบใดที่ยังมีตัวตนที่เรายึดถือว่าเป็นเรา นั่นคือเป็นธรรมะทั้งหมด ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่าไม่ใช่เรา พอไม่ใช่เราแล้วนะคะ รู้ได้เลย เป็นธรรมะที่ต้องเกิดเป็นไป ใครก็ยับยั้งไม่ได้ เพราะมีปัจจัยที่จะทำให้ธรรมะแต่ละอย่างเกิดขึ้น ไม่สิ้นสุด จนกว่าปัญญาความเห็นถูกต้องนะคะ จะค่อยๆ รู้ความจริงซึ่งทำให้เกิดสิ่งต่างๆ
จนกระทั่งดับความไม่รู้ ซึ่งเป็นเหตุ ให้เกิดสิ่งต่างๆ นะคะ สิ่งต่างๆ ก็เกิดไม่ได้ ปฏิจสมุปปาทรึปล่าว บางคนเนี่ยได้ยินชื่อนะคะ อยากฟัง ชอบฟัง สูงเหลือเกิน แต่รู้ไหมว่าปฏิจสมุปปาทอยู่ไหน เดี๋ยวนี้ใช่รึเปล่า อวิชชาไม่รู้ ไม่รู้อะไร ไม่รู้สิ่งที่กำลังมีด้วยซ้ำไป ไม่ใช่ต้องไปหรือไม่รู้อย่างอื่นนะคะ แม้สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ก็ไม่รู้ แล้วจะไปรู้อะไรได้
เพราะฉะนั้นธรรมะนะคะ เป็นสิ่งที่เหนือศาสตร์ใดๆ ทั้งสิ้น บางคนก็เทียบบอกว่า เดิมเนี่ยเขาไม่ได้เข้าใจธรรมะเลย แต่พอฟังธรรมะละเหมือนวิทยาศาสตร์เลย พูดได้ยังไง พระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้ สามารถที่จะดับกิเลส นักวิทยาศาสตร์คนไหนดับกิเลส รู้จักกิเลสบ้างไม่มีเลย
เพราะฉะนั้นผู้นั้นไม่เห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กลับเข้าใจผิดคิดว่าคนฉลาดเพียงแค่จะทำสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้ เขาก็คิดว่าเป็นผู้ที่เลิศประเสริฐ เพราะเขาไม่เคยเข้าใจพระธรรม ไม่เคยรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตราบใดที่ไม่ได้ฟังพระธรรม จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างไร
ด้วยเหตุนี้นะคะ ฟังแล้วธรรมะอยู่ไหนต่อไปนี้นะคะ ปัญญารู้ค่ะ ธรรมะอยู่นี่นะคะ นั่นคือปัญญาที่มีความเห็นถูกต้อง โกรธเกิดขึ้นไม่ใช่เรา ใช่ไหมค่ะ เป็นอกุศลเจตสิกซึ่งเกิดพร้อมจิตซึ่งเป็นสภาพรู้ เมื่อมีสิ่งใดที่กระทบที่ไม่น่าพอใจ เป็นปัจจัยให้ความโกรธ ความไม่พอใจ ความขุ่นใจเกิดขึ้น
แล้วแต่กำลังที่จะทำให้เกิดในขณะนั้นว่ามากน้อยแค่ไหน ทั้งหมดเป็นธรรมะนะคะ เพราะฉะนั้นฟังแล้วลืม จะไม่ลืมก็ฟังอีกนะคะ แล้วก็ถ้าฟังไปเรื่อยๆ ความเข้าใจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นฟังธรรมะไม่มีวันจบนะคะ เพราะเหตุว่าถ้าไม่ได้ฟังเมื่อไรก็เป็นเรา จนกว่าจะดับความเป็นเราได้ โดยถึงความเป็นพระโสดาบันบุคคล
เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีความรู้อะไรเลยนะคะ หลงเชื่อ หลงทำ แต่ว่าไม่ได้เข้าใจ เพราะฉะนั้นไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยเหตุนี้ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดมากนะคะ รู้ว่าอาศัยการฟังพระธรรม จึงสามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่มีได้ และถ้าได้ฟังบ่อยๆ นะคะ มงคล ในมงคล ๓๘ คือการฟังธรรมะ และเมื่อฟังแล้วยังไม่พอนะคะ
ถ้ามีโอกาสก็คือสนทนาธรรมก็เป็นมงคลในมงคล ๓๘ ด้วย เพราะเหตุว่าเพียงการฟังเนี่ยไม่พอ คิดถึงพระภิกษุในครั้งพุทธกาล ท่านทำอะไร จิตของท่านนะคะ คันถธุระ ฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญา ขัดเกลากิเลส ด้วยการที่เข้าใจธรรมะนะคะ เป็นปัจจัยให้ปฏิปัตติธรรมะ จากปริยัติเป็นปฏิปัตติ
เพราะฉะนั้นก็ต้องรู้ว่าปฏิปัตติไม่ใช่คนไทยเข้าใจว่าทำนะคะ แต่ปฏิปัตติเนี่ย เป็นปัญญาจากการที่ได้เข้าใจธรรมะโดยละเอียด โดยความถ่องแท้ว่าเป็นอนัตตา ไม่ได้ไปทำเพราะเป็นอนัตตา แต่รู้ว่าเกิดเมื่อไหร่นั่นแหละปฏิปัตติ สติสัมปชัญญะเกิดขึ้น สัมปชัญญะคือปัญญา เพราะฉะนั้นสติขณะนั้นเกิดพร้อมกับปัญญา
สติคือสภาพที่ระลึก พออย่างนี้คนไทยคิดว่าต้องไประลึกยาวนานมาก แต่ระลึกคือขณะใดก็ตาม ที่ไม่ระลึกคือลืม พอระลึกคือรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมะในขณะนั้นทันที ทันทีโดยความเป็นอนัตตา เพราะว่าไม่มีใครสามารถทำให้อะไรเกิดขึ้นได้เลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นจะไปทำให้สติเกิดได้หรือ
จะไปทำให้สัมมาสมาธิเกิดได้หรือ จะไปทำให้สัมมาวายาโมหรือวิริยะเกิดได้หรือ เพราะฉะนั้นทั้งหมดนี้ค่ะเป็นเรื่องละ ความไม่รู้นะคะและก็มีความเข้าใจความจริงของสภาพธรรมะ และรู้หนทางว่าเมื่อเห็นประโยชน์ของธรรมะแล้ว หนทางที่จะเข้าใจธรรมะขึ้นก็คือฟังธรรมะด้วยความเคารพนะคะ
ไตร่ตรองจนกระทั่งเข้าใจรอบรู้ในแต่ละคำ ซึ่งสอดคล้องกันทั้งหมด ถ้ารู้ว่าขณะนี้เป็นธรรมะ ฟังธรรมะจนกว่าสติสัมปชัญญะสามารถที่จะเกิดเข้าใจธรรมะที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ทีละหนึ่ง ซึ่งเป็นไปได้ต่อเมื่อมีปริยัติแล้วนะคะ คือความเข้าใจที่รอบรู้แล้ว จึงเป็นปัจจัยให้ปฏิปัตติธรรมะเกิดได้
เพราะคำว่าปฏิแปลว่าเฉพาะ ปัตติแปลว่าถึง อะไรถึงละคะ ปัญญาสิคะถึง อวิชชาถึงไม่ได้ ไม่รู้เลยใช่ไหมค่ะว่าเป็นธรรมมะ แต่ปัญญาที่เข้าใจแล้วนี่คะสามารถที่จะเกิดขณะนั้น รู้ตรงนั้น เข้าใจตรงนั้น เฉพาะธรรมะนั้น เริ่มเข้าใจในความเป็นธรรมะแต่ละหนึ่งเป็นสติสัมปชัญญะ เป็นสติปัฏฐาน แต่ต้องเป็นอนัตตา
เพราะฉะนั้นถ้าลืมอนัตตาเป็นอัตตาเมื่อไหร่นะคะ ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงเพราะเหตุว่าขณะนั้นเป็นเรา ซึ่งเป็นความเห็นผิด เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องตรง สัจจะบารมี หนึ่งในบารมีสิบ ถ้าไม่เป็นผู้ที่ตรงต่อธรรมะจะไม่ได้สาระจากพระธรรม เพราะฉะนั้นการฟังธรรมะนะคะ มีธรรมะคือคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว เป็นศาสดาแทนพระองค์
เหมือนเมื่อพระองค์ยังไม่ดับขันธปรินิพพาน ตรงกันเลยค่ะ คำใดที่ตรัสไว้แล้วคำนั้นก็ยังดำรงอยู่นะคะ เป็นคำของพระองค์ ไม่ใช่คำของคนอื่น เพราะฉะนั้นการที่จะเข้าใจธรรมะก็มีหนทางเดียวนะคะ คือต้องไม่ลืมว่าขาดปริยัติการฟังไม่ได้ เข้าใจเมื่อไหร่ก็คือการฟังเข้าใจแต่ว่าสภาพธรรมะขณะนี้ก็กำลังเกิดดับ
โดยที่ไม่มีใครประจักษ์แจ้ง เพราะยังไม่ถึงปฏิปัตติใช่ไหมคะ จากปริยัติสู่ปฏิบัติ จากปฏิบัติสู่ปฏิเวธ แล้วก็ยังทรงกำกับไว้ด้วยว่าถ้าใครที่ได้เข้าใจธรรมะอย่างมั่นคงนะคะ เป็นสัจจญาณ เดี๋ยวนี้เป็นธรรมะ มั่นคงหรือยัง ธรรมะขณะนี้เกิดดับมั่นคงหรือยัง ถ้าสติสัมปชัญญะเกิด ไม่ใช่เราทำ แต่ถึงเฉพาะ
เพราะได้เข้าใจจากการฟังเนี่ยมากพอนะคะ จนกระทั่งละความหวังละความต้องการ รู้ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดจะเกิดขึ้นก็ด้วยความเป็นอนัตตา ด้วยเหตุนี้จึงเข้าใจคำว่าบารมี ปาระ ฝั่ง มี ถึงฝั่ง ของความที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมะอีกฝั่งหนึ่ง ตรงกันข้ามกับฝั่งของอวิชชาซึ่งไม่มีทางที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมะเลย
เพราะฉะนั้นฝั่งที่รู้ความจริงนะคะ ก็คือว่า จากความเข้าใจในความเป็นอนัตตา มีขันติบารมี อดทนที่จะไม่ใช่เราที่จะไปทำ เพราะไปทำเมื่อไร ทับถมความเป็นเราเข้าไปเมื่อนั้น ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงซึ่งเดี๋ยวนี้ค่ะ เมื่อไหร่ขณะไหนก็แล้วแต่ มีปัจจัยพอที่สติสัมปชัญญะจะเกิดใครก็ห้ามไม่ได้
เพราะฉะนั้นจากปริยัตินะคะ เป็นปัจจัยให้สติเกิดขึ้นรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมะเพียงหนึ่ง แล้วแต่ว่าจะเป็นอะไร เลือกได้ไหม ไปบอกให้รู้ลมหายใจนั้นหรือธรรมะ นั้นเป็นตัวตน เพราะว่าไปบังคับบัญชาให้รู้ได้หรือ เพราะว่าสติเกิด แล้วแต่สติจะเกิดรู้อะไรต่างหาก ไม่ใช่มีใครไปบอกให้สติรู้ตรงนั้น หรือว่าสติรู้ตรงนี้
นั่นคือไม่ใช่ธรรมะที่เป็นอนัตตา แต่เป็นเราเป็นความเห็นผิดว่าจะทำอย่างนั้น เพื่อที่จะรู้ความจริง เพราะฉะนั้นความเป็นผู้ตรงนะคะ เป็นสัจจบารมี ความอดทนที่จะรู้ว่าธรรมะลึกซึ้ง แต่สามารถที่จะเข้าใจได้เมื่อมีการฟังต่อไป ขณะนั้นก็มีวิริยะด้วย มีขันติด้วย มีอธิษฐานด้วยนะค่ะ
คือความตั้งมั่นที่ว่าธรรมะจะลึกซึ้ง จะยากสักเท่าไหร่ แต่ความจริงต้องเป็นความจริง เพราะฉะนั้นไม่ใช่เราไปทำ แต่ต้องเป็นความที่เข้าใจขึ้นเป็นหน้าที่ของปัญญาเจตสิกที่จะทำกิจเกิด แล้วก็เริ่มเข้าใจสิ่งที่มีจริงจนกว่าจะประจักษ์แจ้งนะคะ จากปริยัติ สู่ปฏิปัตติ สู่ปฏิเวธ หรือจากสัจจญาน สู่กิจจญาน สู่กตญาณ ต้องตรงกันสอดคล้องกันทั้งหมด
เพราะฉะนั้นโอกาสที่จะได้ฟัง หาไม่ง่าย แต่มีโอกาสที่จะฟังได้นะคะ เช้า สาย บ่าย ค่ำ ก็ยังมีธรรมะที่จะได้ฟังทางสื่อต่างๆ ทางวิทยุ ทางโทรทัศน์ หรือว่าจากเว็บไซต์อะไรก็ตามแต่นะคะ หลายหนทาง เพราะฉะนั้นถ้าผู้ใดเห็นประโยชน์จริงๆ นะคะ ผู้นั้นก็เป็นสาวก ผู้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ฟังคำของคนอื่น
เพราะว่าคำของคนอื่นเนี่ยไม่ทำให้รู้ จึงไม่ทำให้ละแต่ทำให้ติดข้อง เพราะฉะนั้นก็ไม่ใช่คำที่จะทำให้ละความเห็นผิด และละกิเลสทั้งหลายได้ แต่ว่าพระธรรมของสัมมาสัมพุทธเจ้านะคะ เป็นคำจริงที่กล่าวถึงความจริงถึงที่สุดของธรรมะ เพราะฉะนั้นฟังต่อไปนะคะ จะได้เข้าใจธรรมะเพิ่มขึ้นอีก
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1381
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1382
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1383
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1384
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1385
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1386
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1387
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1388
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1389
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1390
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1391
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1392
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1393
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1394
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1395
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1396
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1397
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1398
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1399
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1400
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1401
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1402
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1403
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1404
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1405
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1406
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1407
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1408
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1409
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1410
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1411
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1412
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1413
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1414
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1415
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1416
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1417
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1418
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1419
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1420
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1421
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1422
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1423
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1424
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1425
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1426
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1427
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1428
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1429
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1430
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1431
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1432
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1433
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1434
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1435
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1436
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1437
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1438
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1439
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1440
