ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1420
ตอนที่ ๑๔๒๐
สนทนาธรรม ที่ ห้องประชุมสุธรรมอารีย์กุล มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
วันที่ ๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๒
ผู้ฟัง กราบเรียนท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตนะครับ คำว่ารูปธรรม นามธรรม คำว่าธรรมะ คำว่าอนัตตาทั้งหลาย ถ้าชาวพุทธเราไม่รู้ความหมายไม่เข้าใจในคำต่างๆ เหล่านี้เนี่ยยากนะครับ ที่เราจะเข้าถึงพระพุทธศาสนา กราบเรียนเชิญครับ
ท่านอาจารย์ ค่ะ ปีใหม่ผ่านไปแล้วนะคะ แล้วก็เป็นปีเก่าแหละ เหมือนทุกปีค่ะ เดี๋ยวก็ใหม่เดี๋ยวก็เก่า แต่ปีใหม่ปีนี้นะคะ ใหม่ ในการที่ได้ฟังคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้วเมื่อ ๒๕๐๐ กว่าปี เพราะฉะนั้นโอกาสที่จะได้เข้าใจความจริงนะคะ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมี แล้วก็ได้ตรัสรู้สิ่งที่มีจริงๆ ทุกขณะแม้เดี๋ยวนี้ก็มี
แต่ชาวโลกไม่ได้สามารถเข้าถึงความจริงของสิ่งที่กำลังมี เพราะว่าสิ่งที่กำลังมีนะคะ ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ใครรู้ ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้นะคะ ว่าเดี๋ยวนี้ความจริงคืออะไร เพราะฉะนั้นการที่ได้ฟังพระธรรมนี่คะ เป็นเรื่องที่จะเริ่มเห็นพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อเริ่มเข้าใจสิ่งที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อนเลยในสังสารวัฎ
เพราะฉะนั้นต้องฟังธรรมะนะคะ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งในการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าคำที่พระองค์ตรัสแต่ละคำนี่คะ เราสามารถที่จะเข้าใจทั้งหมดรวดเร็วอย่างที่พระองค์ได้ตรัสรู้ได้ไหม เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลยนะคะ เพราะฉะนั้นคำบางคำก็ได้ฟังแล้วก็ผ่านหูไป โดยที่ไม่รู้ว่าคำเหล่านั้นนะคะ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงถึงที่สุดของแต่ละหนึ่ง ซึ่งพระองค์ตรัสเป็นแต่ละคำ แต่ละคำ เช่นคำว่าธรรมะ ได้ยินคำนี้นะคะ มีใครบ้างในประเทศไทยที่ไม่ได้ยินคำว่าธรรมะ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ได้ยิน แปลว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าธรรมะ เราก็ได้ฟัง แล้วเราก็พูด
แต่เวลาที่เราพูดกับเวลาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส ปัญญาต่างกันระดับไหน ประมาณไม่ได้เลยนะคะ จนกว่าจะได้มีความเข้าใจแต่ละคำจริงๆ จึงจะเริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะว่าพระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมีนะคะ ทรงประกอบด้วยปัญญาซึ่งไม่มีใครเปรียบได้เลยในสากลจักรวาล
ไม่ใช่แต่เฉพาะในโลกมนุษย์ แม้เทวดาและพรหม คิดดูนะคะ คนที่ไหว้เทวดา คนที่ไหว้พระพรหม แต่ลืมผู้ที่ทรงตรัสรู้ธรรมะ เทวดาและพรหมก็ยังมาเฝ้าทูลถามสิ่งที่เขาเหล่านั้นไม่รู้ได้เลย ถ้าฟังแล้วเริ่มเข้าใจจริงๆ นะคะ ก็จะรู้ว่าเป็นสิ่งใหม่นะคะ เพราะฉะนั้นจะเป็นวันใหม่ ขณะใหม่ ปีใหม่
ก็ต่อเมื่อได้เปลี่ยนจากการที่เป็นคนที่ไม่รู้ความจริง แม้ว่าชินกับคำ แต่ก็ไม่ได้เข้าถึงความจริงของสิ่งนั้นเลย เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเห็นคุณค่าของพระธรรมคือคำที่พระองค์ตรัสแต่ละคำนะคะ เพราะเหตุว่าก่อนหน้าชินหู แต่เมื่อไม่เข้าใจจะเห็นคุณค่าได้อย่างไร
แต่ว่าถ้าเริ่มฟังด้วยความเห็นว่านะคะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่ต้องยาก ต้องละเอียด ต้องถึงที่สุดของความจริง ซึ่งใครก็เปลี่ยนไม่ได้ ก็จะเริ่มมีความเข้าใจในสิ่งที่ได้ฟังนะคะ ใหม่จากการที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยในสังสารวัฎ เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมะนี่ค่ะ คือฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความเคารพ
ไม่ประมาทที่จะศึกษาที่จะไตร่ตรอง ที่จะเป็นปัญญาของตนเอง เพราะสิ่งที่ชาวพุทธได้รับจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะคะ เหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด คือสามารถเข้าใจความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ และทรงแสดงสิ่งที่พระองค์ตรัสรู้นั้นให้ผู้อื่นได้มีโอกาสได้เข้าใจด้วย
๒๕๐๐ กว่าปี หรือ ๒๖๐๐ กว่าปีเนี่ยนะคะ ก็ผ่านไป ก็มีผู้ที่ได้ฟัง แล้วก็ได้เข้าใจคำสอนของสัมมาสัมพุทธเจ้าตามลำดับสืบมาจนถึงขณะนี้ เพราะฉะนั้นขณะนี้นะคะ ก็มีผู้ที่เห็นประโยชน์ของการที่จะเข้าใจพระธรรม แต่ก็ส่วนน้อยมาก แต่ใครก็ตามนะคะ ที่มีโอกาสที่จะได้ฟัง
ก็จะเห็นคุณของผู้ที่กราบไหว้ ตั้งแต่เด็กถูกสอนนะคะ ให้กราบไหว้พระรัตนตรัย แต่เพิ่งเริ่มจะเข้าใจคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อเข้าใจธรรมะ เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ละเอียดอย่างยิ่งนะคะ ไม่ใช่ว่าฟังแล้วเชื่อ แต่ฟังแล้วไตร่ตรอง จนกระทั่งเป็นปัญญาของบุคคลนั้นเอง
สิ่งที่ประเสริฐเหนือสิ่งใดทั้งหมดคือปัญญาความเห็นที่ถูกต้อง ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะให้ได้เลยนะคะ นอกจากคำที่พระสัมมาสัมพุทธจากได้ตรัสไว้ดีแล้ว เพราะฉะนั้นก็เริ่มด้วยการที่ศึกษาธรรมะทีละคำ ทีละคำจริงๆ ค่ะ อย่าเพิ่งรีบร้อนไปมากๆ นะคะ เพราะว่าต้องเข้าใจแต่ละคำให้ถูกต้อง ไม่ทราบมีคำไหนบ้างไหมคะที่สนใจ
อ.วิชัย กราบท่านอาจารย์ครับ เมื่อสักครู่ก็ได้ฟังบทเพลงอนัตตาครับ คำนี้ก็มีโอกาสได้ยินได้ฟังแต่ว่าอะไรที่เป็นอนัตตาครับท่านอาจารย์ครับ
ท่านอาจารย์ ค่ะ บอกเปล่าๆ ก็คงจะแปลเท่านั้นเองใช่ไหมคะ อัตตาคือสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด อนัตตา นะ แปลว่าไม่ใช่ เพราะฉะนั้น นะ รวมกับคำว่าอัตตาก็เป็นอนัตตา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลยนะคะ นี่เริ่มเห็นความต่าง ชาวโลกเต็มไปด้วยความจำนะคะ เห็นก็เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดทันที
แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง นะคะ ที่กล่าวว่า หนึ่ง หนึ่ง แสดงว่าไม่เหมือนกัน หนึ่งนี้กับหนึ่งนั้น ต้องไม่เหมือนกันเช่นเห็นนะคะหนึ่ง ได้ยินได้หนึ่ง จำหนึ่ง ไม่เหมือนกันเลย แต่เราไม่เคยสนใจเลยนะคะ ว่าตลอดชีวิตที่เกิดมาเนี่ยก็ต้องเห็น ต้องได้ยิน ต้องได้กลิ่น ต้องลิ้มรส ต้องรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส
แล้วอะไร แล้วก็ชอบบ้าง ไม่ชอบบ้าง แล้วก็คิดเรื่องของสิ่งที่เห็นนะคะ แม้ว่าไม่เห็นยังคิด เพราะฉะนั้นความคิดก็มีสองอย่างนะคะ คิดในสิ่งที่กำลังปรากฏ และแม้สิ่งนั้นไม่ปรากฏก็คิด ยังจำได้ ยังคิด เพราะฉะนั้นจึงมีความยึดถือว่าเป็นเราทั้งหมด หารู้ไม่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา ขณะนี้เห็นมี ถ้าเห็นไม่เกิด ไม่มีเห็น เพราะฉะนั้นมีเมื่อเกิดขึ้น แต่ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา ใครยับยั้งได้ ใครเปลี่ยนแปลงได้ นี่คือความหมายของอนัตตา
เพราะฉะนั้นถ้ากล่าวคำว่าธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่เหลือเลยสักอย่างค่ะ คือเป็นหนึ่ง หนึ่ง หนึ่ง หนึ่ง นะคะ เมื่อรวมกันแล้วก็เป็นคนบ้าง เป็นสัตว์บ้าง เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดบ้างแต่ถ้าแยกออกอย่างละเอียดแล้ว เป็นแต่ละหนึ่ง จะไม่มีใครนะคะ เพราะหนึ่งเป็นหนึ่ง เห็นเกิดและดับแล้ว
เห็นนั้นเป็นใคร ดับแล้วไม่เหลือเลยด้วยค่ะ แล้วไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฎ ไม่ว่าอะไรทั้งสิ้นที่กำลังปรากฏในขณะนี้นะคะ ชาวโลกคิดว่ายั่งยืน แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความละเอียดยิ่งว่าสิ่งนั้นดับแล้ว แต่มีการเกิดอีกสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้ จึงไม่ปรากฏการดับไปของสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย
แต่เมื่อวานนี้ไม่ใช่วันนี้ เห็นเมื่อวานนี้ไม่ใช่เห็นวันนี้ เห็นเมื่อกี้นี้ไม่ใช่เห็นเดี๋ยวนี้ ได้ยินเมื่อวานนี้ไม่ใช่ได้ยินเดี๋ยวนี้ ได้ยินเมื่อกี้นี้ไม่ใช่ได้ยินที่กำลังได้ยิน นี่แสดงว่าแต่ละหนึ่งนะคะ ต้องไม่มีแล้วสิ่งอื่นจึงมีได้ ก่อนได้ยินไม่มีได้ยิน แล้วก็เกิดได้ยินแล้วก็ดับไป แล้วก็เกิดได้ยินอีก
เพราะฉะนั้นแต่ละหนึ่งนะคะ เกิดดับไม่กลับมาอีก เป็นอนัตตา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงเลยนะคะ และพระองค์ทรงแสดงหนทางที่จะทำให้เข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น มิฉะนั้นก็จมอยู่ในความไม่รู้ ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่มีตั้งแต่เกิดจนตาย เพราะฉะนั้นเกิดมาด้วยความไม่รู้นะคะ จากโลกนี้ไปด้วยความไม่รู้เหมือนเดิม
แต่ปีใหม่วันใหม่คือขณะไหน ขณะที่ได้มีชีวิตที่ได้เริ่มเข้าใจธรรมะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสไว้ดีแล้ว แต่ต้องเคารพในการที่ธรรมะเป็นสิ่งที่ยากลึกซึ้งนะคะ คำใดที่ได้ตรัสแล้วไม่เปลี่ยนแปลง เช่นเห็นขณะนี้เกิดและดับ ไม่ใช่ให้เชื่อแต่พิจารณาไตร่ตรองคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว จริงมั้ย
เห็นต้องเกิด และขณะได้ยินไม่ใช่เห็น จะให้เห็นไปได้ยินไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นเห็นเกิดขึ้นเป็นเห็นแล้วดับ ได้ยินเกิดขึ้นได้ยินแล้วดับ แล้วก็เห็นอีก เดี๋ยวนี้นะคะ มีทั้งเห็นด้วยได้ยินด้วย หมายความว่าอะไรคะ หมายความว่าไม่เคยรู้เลยว่าไม่มีเรา และสภาพธรรมะเป็นอย่างนี้ ไม่ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ สิ่งนั้นต้องเกิด
และทั้งวันเนี่ยมีแต่สิ่งที่ปรากฏทั้งนั้นเลย ห้ามไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ ห้ามให้เป็นอย่างอื่นก็ไม่ได้ มีความเป็นอย่างนั้นเกิดขึ้นนะคะ เพราะปัจจัยเป็นสิ่งที่มีอำนาจที่สามารถที่จะปรุงแต่งให้สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้เกิดขึ้นได้ ซึ่งใครก็ทำไม่ได้เลยค่ะ จะปรุงแต่งให้ตาเกิดขึ้นได้ไหมคะ จะปรุงแต่งให้สิ่งนั้นมากระทบตาไม่ใช่สิ่งที่เลือกได้ไหม
จะไม่ให้เห็นเกิดขึ้นได้ไหม เห็นแล้วเกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้นทั้งหมดนี่ค่ะไม่มีใครสามารถที่จะดลบันดาลได้ แต่มีทั้งวันเพราะการเกิดขึ้นและก็ดับไป สืบต่อ เพราะฉะนั้นกว่าจะได้เข้าใจพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะเข้าใจว่า โลกที่มีปัญหานะคะ แล้วก็เป็นทุกข์ไม่รู้จบ ก็มาจากความไม่รู้ความจริง
เพราะฉะนั้นถ้ารู้ความจริงนะคะ ไม่มีเราแต่มีธรรมะ ทั้งดีและชั่วเป็นธรรมะหมด ไม่ว่าจะเป็นความโลภก็เป็นธรรมะ ความริษยาก็เป็นธรรมะ มีจริงๆ เพราะธรรมะคือสิ่งที่มีจริง ไม่ว่าอะไรทั้งหมดนะคะ ที่มีจริง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงลักษณะของสิ่งนั้น และถ้าเป็นสภาพรู้นะคะ ก็มีกิจของสภาพรู้
ซึ่งคนไทยคุ้นกับคำว่าจิตแต่ละหนึ่งขณะเนี่ย เป็นจิตต่างชนิดที่เกิดขึ้น เพราะปัจจัยปรุงแต่งนะคะ เกิดขึ้นและต้องทำกิจแต่ละกิจ ซึ่งเราไม่รู้เลยค่ะว่าขณะนี้เป็นเราโดยที่ว่าแท้ที่จริงแล้วถ้าสภาพธรรมะไม่มีไม่เกิดขึ้น จะมีเราหรือ ถ้าไม่มีเห็น ไม่มีได้ยิน ไม่มีตา ไม่มีหู ไม่มีการเกิด ไม่มีการที่จะต้องรู้สิ่งต่างๆ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จะมีเราหรือ
แต่ก็เป็นธรรมะทั้งหมดเลยค่ะ ที่หลากหลายมาก ที่สำคัญที่สุดนะคะ ที่ยากที่จะรู้ได้คือสิ่งใดที่เกิดและดับ สิ่งนั้นไม่ได้กลับมาอีกเลยในสังสารวัฎ มีสิ่งใหม่เกิดแล้วก็ดับ แต่ว่าดับแล้วไม่กลับมาอีก แต่สืบต่อจนเหมือนยังอยู่เหมือนไม่ได้ดับไปเลย เพราะฉะนั้นนี่ก็เป็นสิ่งซึ่งชาวโลกเริ่มจะรู้จักพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทุกคำของพระองค์กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงๆ ทุกกาละสมัย ใครว่าใครทันสมัยแต่ไม่รู้ว่าสมัยคืออะไร สมัยคือหนึ่งขณะที่มีสิ่งที่มีจริงเกิดขึ้นและก็ดับไป ใครทันขณะนั้น เพราะฉะนั้นแต่ละสมัยนะคะ ขอกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงในแต่ละเวลา แล้วเดี๋ยวนี้ก็คือสมัยหนึ่งคือขณะหนึ่งซึ่งมีจริงๆ ขณะนี้ที่กำลังปรากฏแล้วใครรู้
ผ่านไปเลยนะคะ ยึดถือว่าเป็นเรามีความเป็นเรา แต่ความจริงก็คือว่า ถ้าไม่มีธรรมะไม่มีสิ่งที่เรายึดถือว่าเป็นเรา แต่เมื่อมีแล้วนะคะ จึงยึดถือธรรมะว่าเป็นเรา ซึ่งเป็นความเห็นที่ผิด ไม่ตรงตามความเป็นจริง จึงกล่าวว่าผิด เพราะฉะนั้นถ้าเราบอกว่านี่เป็นความเห็นผิด แล้วคนอื่นบอกเขาไม่ได้เห็นผิดเลย ใช่ไหมค่ะ
ถ้าเห็นถูกก็ต้องรู้สิว่าเห็นเนี่ยกำลังเกิดและดับ ได้ยินก็เกิดและดับ ทุกอย่างที่มีต้องเกิด ไม่เกิดไม่มี แต่การดับไปรวดเร็ว และก็มีสิ่งอื่นสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้นะคะ ต่อกันสนิทไม่เห็นรอยต่อ คือขณะที่แต่ละหนึ่งเกิดแล้วก็ดับ นี่คือธรรมะ ค่อยๆ สนทนากันนะคะ เพื่อที่จะได้ทราบว่าสิ่งที่ได้ฟังเนี่ย เข้าใจจริงๆ แค่ไหนนะคะ
ขอถามสั้นๆ ธรรมะอยู่ไหน คำถามเนี่ยถามได้หลายแบบ ถ้าถามอยากจะให้ตอบได้เนี่ยจะถามอีกอย่างหนึ่ง ไช่ไหมค่ะ แต่ถ้าถามเพื่อที่จะดูว่าจะตอบยังไง เพื่อที่จะได้รู้ว่าที่ฟังมาเนี่ยมีความเข้าใจที่มั่นคง เพราะว่าเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเปลี่ยนไม่ได้เลย ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนคำที่พระองค์ตรัส เพราะได้ตรัสรู้แล้ว เพราะฉะนั้นขอถามว่าธรรมอยู่ไหน
ผู้ฟัง กราบสวัสดีท่านอาจารย์สุจินต์ และก็คณะวิทยากรทุกท่านครับ ผมภาณุ ลักขณาพิเศษนะครับ วันนี้มากับคุณแม่ครับ ที่อาจารย์ถามว่าธรรมะอยู่ไหน ในเมื่อสิ่งนั้นแต่ละสิ่งนี่ครับ เกิดขึ้นมาแล้วดับไปแล้วไม่มีอีกแล้ว
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้มีธรรมะไหม
ผู้ฟัง มีครับ
ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีธรรมะ ไม่ต้องไปหาธรรมะที่ไหน เพื่อเตือนใจทุกคนนะคะ ที่ได้ฟังธรรมะว่าไม่ต้องไปหาธรรมะที่ไหน ตรงนี้เองมีธรรมะ และจะเข้าใจธรรมะต่อเมื่อได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงความจริงของธรรมะให้เข้าใจเดี๋ยวนี้เอง ไม่ต้องเดินทางไปไหน ไม่ต้องไปสำนักหนึ่งสำนักใด
ไม่ต้องไปสำนักปฏิบัติ เพราะเหตุว่าธรรมะอยู่ทุกขณะ ทุกหนทุกแห่ง แม้เดี๋ยวนี้เองก็มีธรรมะ ไม่ต้องไปหาธรรมะเลย นี่เป็นประการแรกที่จะต้องเข้าใจให้ถูกต้องมั่นคงนะคะ ไม่ต้องไปแสวงหาธรรมะที่ไหน เพราะเดี๋ยวนี้เป็นธรรมะ ทุกอย่างที่มีจริงเดี๋ยวนี้นะคะ เป็นธรรมะทั้งหมด เห็นเดี๋ยวนี้เป็นธรรมะ ไม่มีใครไปทำเห็น
แต่ถ้าไม่มีปัจจัยที่จะทำให้เกิดขึ้นเห็นก็เกิดไม่ได้ ถ้าตาบอด ใครเห็นได้ เห็นเกิดไม่ได้เลย ถึงมีตา ไม่มีสิ่งที่มากระทบตา กำลังหลับสนิทนะคะ ก็ไม่เห็น เพราะฉะนั้นตั้งแต่เกิดจนตายนะคะ เป็นธรรมะทั้งหมด แต่เข้าใจผิดว่าเป็นเรา เพราะฉะนั้นเป็นความเห็นผิดนะคะ ความเห็นผิดมีหลายอย่างมาก
แต่ความเห็นผิดที่ยึดถือธรรมะว่าเป็นเราคือสักกายทิฏฐิ เป็นเรา แต่ความจริงเห็นเกิดและดับไป เมื่อวานนี้หมดแล้ว ไม่มีเราเลย หาเราเมื่อวานนี้ไม่ได้ และพรุ่งนี้ก็ไม่มีเราวันนี้ แน่นอนนะคะ ก็มีเราพรุ่งนี้ใช่ไหมคะ จะอยู่ที่ไหน จะเห็นอะไรก็แล้วแต่ แต่ทั้งหมดก็คือเป็นธรรมะ
เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปแสวงหาธรรมะเลย ที่จะต้องเข้าใจก็คือว่าเดี๋ยวนี้เองเป็นธรรมะ ถ้าจะเข้าใจธรรมะก็เข้าใจธรรมะที่มีเดี๋ยวนี้ เพราะเดี๋ยวนี้กำลังเป็นธรรมะ เพราะฉะนั้นนะคะ ทุกอย่างเป็นธรรมะหมด สวรรค์มีธรรมะไหมคะ
ผู้ฟัง มีครับ
ท่านอาจารย์ พรหมโลก
ผู้ฟัง เป็นครับ
ท่านอาจารย์ ค่ะ ในป่า
ผู้ฟัง ก็เป็นครับ
ท่านอาจารย์ ทุกอย่างที่มีไม่ว่าจะอะไรทั้งหมดนะคะ เป็นธรรมะ นี่คือสิ่งประการแรกที่ทุกคนต้องเริ่มเข้าใจถูกต้อง ว่าสิ่งที่มีจริงทุกอย่างเป็นธรรมะ เพราะเหตุว่าคำว่าธรรมะในภาษาบาลีหมายความถึงสิ่งที่มีจริง แต่ว่าพอมาถึงคนไทยนะคะ พอพูดถึงธรรมะ เราไม่รู้จักธรรมะอยู่ใหน
แต่ถ้ามีความเข้าใจว่าสิ่งที่มีจริงเป็นธรรมะ ตอนนี้ไม่ยากแล้วใช่ไหมคะ ทั้งวันมีแต่ธรรมะ เดี๋ยวนี้ก็มีธรรมะหลากหลายมาก แต่ว่าธรรมะที่มีมากเกิดดับแล้วไม่กลับมาอีกเลยนะคะ ก็สามารถที่จะจำแนกความจริงนะคะ ตามความเป็นจริงได้สองอย่างคือธรรมะอย่างหนึ่งเกิดมีแต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ แข็งมีไหมคะ
ผู้ฟัง มีครับ
ท่านอาจารย์ กลิ่นมีไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ รสมีไหม
ผู้ฟัง มีครับ
ท่านอาจารย์ เสียงมีไหม
ผู้ฟัง มีครับ
ท่านอาจารย์ เสียงรู้อะไรได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้ครับ
ท่านอาจารย์ แข็งรู้อะไรได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้ครับ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงทั้งหมดนะคะ จะมองเห็นหรือมองไม่เห็นก็ตาม สิ่งที่มีจริงแต่ไม่รู้อะไร พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติว่าเป็นรูปธรรม รูปะธรรมะ คนไทยก็เรียกว่ารูปธรรมแต่ต้องเข้าใจให้ถูกต้องนะคะ ว่าภาษาไทยเนี่ยเอาภาษาบาลีมาใช้แต่ไม่ได้เข้าใจความหมายตรง
เพราะฉะนั้นก็เปลี่ยนหมดเลยค่ะ ด้วยเหตุนี้ผู้ที่ไม่ได้ศึกษาพระธรรมจึงเข้าใจผิด ใช้คำว่ารูปธรรมในความหมายอื่นนะคะ แต่ว่าตามความเป็นจริงก็คือว่าธรรมะคือสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่ไม่มี แต่สิ่งนั้นไม่สามารถจะรู้อะไรได้เป็นรูปธรรม ภูเขานะคะ แข็ง รู้อะไรมั้ยค่ะ
ผู้ฟัง ไม่รู้ครับ
ท่านอาจารย์ เป็นธรรมะหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็นครับ
ท่านอาจารย์ เป็นธรรมะประเภทไหน
ผู้ฟัง รูปธรรมครับ
ท่านอาจารย์ รูปธรรม เพราะฉะนั้นที่ตัวมีรูปธรรมไหมคะ
ผู้ฟัง มีครับ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้ากล่าวว่ารูปธรรมก็คือไม่ใช่เรา เป็นธรรมะที่เกิดขึ้นแต่ไม่รู้อะไร ผมแข็ง หน้าผากแข็ง ทุกอย่างนะคะ ที่แข็งเปลี่ยนไม่ได้ เป็นรูปธรรมไม่ใช่เรานะคะ แต่ว่าเป็นรูปธรรม แต่ถ้าไม่มีธรรมะอีกอย่างหนึ่งเกิดขึ้น โลกไม่ปรากฏ เพราะแข็งไม่รู้อะไร ร้อนไม่รู้อะไร เสียงไม่รู้อะไร
เพราะฉะนั้นธาตุรู้นะคะ สภาพรู้เป็นธรรมะที่มีจริง ซึ่งเมื่อเกิดขึ้นต้องรู้ เพราะฉะนั้นรู้อะไร ถ้าเป็นสภาพรู้ต้องมีสิ่งที่ถูกสิ่งนั้นรู้ใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นขณะนี้ได้ยินเสียงใช่ไหมคะเสียงไม่รู้อะไร แต่ได้ยินนี่คะ กำลังได้ยินเสียง เพราะฉะนั้นสภาพรู้มีจริงๆ นะคะ และคนไทยก็บอกว่าได้ยิน แต่ว่าเข้าใจว่าเป็นเราได้ยิน
แต่ถ้าไม่มีปัจจัยให้ได้ยินเกิด ไหนลองทำสิ ทำให้ได้ยินเกิดสิ ทำไม่ได้เลยนะคะ แต่พอเกิดได้ยิน มีปัจจัยที่จะให้ได้ยินเกิดก็ไม่รู้ว่าขณะนั้นนะคะ เป็นธรรมะคือธาตุรู้เกิดขึ้นได้ยินเสียงก็เข้าใจว่าเป็นเราได้ยิน เพราะฉะนั้นเกิดมาด้วยการยึดถือสภาพธรรมะว่าเป็นเราด้วยความไม่รู้ว่าแท้ที่จริงนะคะ ไม่มีใครสามารถบังคับบัญชาได้เลย
ไม่มีใครสักคนที่จะทำให้ธรรมะอะไรเกิดขึ้นเป็นไปได้ แต่ว่าสภาพธรรมะต้องมีปัจจัยที่จะเกิดขึ้นนะคะ ต่างกันเป็นสองอย่าง คืออย่างหนึ่งไม่รู้อะไร เป็นรูปธรรม แต่ธาตุรู้นี่คะ เป็นนามธรรม เพราะฉะนั้นเราได้ยินคำว่านามะเป็นชื่อ ก็มีความหมายหนึ่งนะคะ แต่ถ้าเป็นนามธรรมหมายความว่าเป็นสภาพรู้ซึ่งเกิดขึ้นรู้
เพราะฉะนั้นขณะนี้เห็น ตาไม่เห็น แน่นอนนะคะ แต่เมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดกระทบตา กรรมหนึ่งที่ได้ทำแล้วในสังสารวัฏ ถ้าสิ่งที่กระทบตาเป็นสิ่งที่น่าพอใจ เป็นสิ่งที่นำมาซึ่งผลที่ดี เพราะเกิดจากเหตุที่ดีทำให้เห็นสิ่งที่น่าพอใจ เป็นผลของกุศลกรรม
เพราะฉะนั้นเราเกิดมานี่เราไม่รู้เลยนะคะ ว่าเราเกิดมาเนี่ยต่างกันหลากหลายเนี่ยเพราะอะไร แต่ต้องมีเหตุที่จะทำให้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นเรื่องของธรรมะแต่ละหนึ่งเนี่ยก็เป็นเรื่องที่ละเอียดมากนะคะ แต่เริ่มต้นด้วยความเข้าใจว่าทั้งโลกกี่โลกก็ตาม สิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งก็คือธรรมะที่มีแต่ละหนึ่ง มีลักษณะที่เกิดขึ้นเป็นไปอย่างนั้น แต่สั้นชั่วคราวแล้วก็ดับไป
ด้วยเหตุนี้นะคะโลกจึงเปลี่ยนไป ทุกนาที ทุกวินาที ทุกขณะ จนกระทั่งปรากฏเป็น วัน เดือน ปี จนกระทั่งเป็น ๑๐ ปี จนกระทั่ง เป็นร้อยปี สิ่งต่างๆ ก็เปลี่ยนไปหมด ไม่มีสิ่งใดที่เหมือนเดิมเลย เพราะเหตุว่าธรรมะแต่ละหนึ่งเกิดขึ้นและดับสืบต่อไม่เหมือนเดิม
เพราะฉะนั้นแต่ละคนนะคะ ไม่ต้องไปหาธรรมะที่ไหนเลยค่ะ มีแล้วอยู่ที่ตัวนี้แหละ แต่ไม่รู้ จะมีอะไรก็คืออยู่ที่นี่ทั้งหมด มีเห็น มีได้ยิน มีคิด มีจำ มีชอบ มีไม่ชอบ ทั้งหมดอยู่ที่ตัว เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องไปแสวงหาธรรมะที่ไหนเลย
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1381
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1382
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1383
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1384
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1385
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1386
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1387
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1388
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1389
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1390
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1391
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1392
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1393
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1394
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1395
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1396
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1397
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1398
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1399
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1400
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1401
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1402
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1403
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1404
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1405
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1406
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1407
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1408
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1409
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1410
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1411
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1412
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1413
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1414
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1415
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1416
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1417
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1418
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1419
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1420
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1421
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1422
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1423
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1424
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1425
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1426
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1427
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1428
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1429
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1430
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1431
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1432
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1433
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1434
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1435
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1436
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1437
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1438
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1439
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1440
