ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1416


    ตอนที่ ๑๔๑๖

    สนทนาธรรม ที่ ร้านโป๊ดเรสเตอรองต์

    วันที่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๑


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นคำหนึ่งนะคะ ซึ่งคนไทยใช้บ่อยมากเป็นปกติ แต่ไม่ได้เข้าใจจริงๆ อย่างลึกซึ้งคือคำว่าธรรมดา ธรรมะ ไม่ใช่ภาษาไทยนะคะ ธรรมะเป็นภาษาบาลีหมายความถึงสิ่งที่มีจริง ดา ในภาษาไทยมาจากคำว่า ตา ในภาษาบาลี เพราะภาษาบาลีจะใช้ ตอเต่า แต่ภาษาไทยก็ใช้ ดอเด็ก นะคะ อะไรที่เป็น ตอเต่า เราก็เปลี่ยนเป็น ดอเด็ก หมด

    เพราะฉะนั้นธรรมดามาจากคำว่าธรรมตา ตา คือความเป็นไปของธรรมะ ชัดเจนใครเปลี่ยนได้ เมื่อธรรมะเกิดเป็นไปตามธรรมะนั้น ที่จะต้องเป็นอย่างนั้น ใครเปลี่ยนไม่ได้ ถ้าเห็นเกิด ธรรมตาของเห็นก็คือเห็นแล้วก็ดับ วันนี้ใครสุขใครทุกข์นะคะ ก็เป็นธรรมดาของธรรมะนั้น ซึ่งจะต้องเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย

    เพราะฉะนั้นตราบใดที่ยังมีเหตุปัจจัยอยู่นะคะ ตราบนั้นก็จะต้องมีการเกิดขึ้นของธรรมะทั้งนามธรรม และรูปธรรม แต่ถูกปกปิดไว้ด้วยความไม่รู้จนกว่าจะได้ฟังคำนะคะ ซึ่งผู้ที่มีความเคารพมั่นคงในความจริง จะไม่แสวงหาสิ่งซึ่งไม่เป็นเหตุเป็นผล และทำให้ไม่เข้าใจสิ่งที่มี เพราะเหตุว่าไปพยายามแสวงหาสิ่งอื่น แล้วเดี๋ยวนี้ล่ะ

    เห็นเดี๋ยวนี้เกิดดับไม่รู้ ไปแสวงหาสิ่งอื่น แล้วก็เห็นที่ดับไปแล้วก็ไม่กลับมาอีก แล้วขณะนี้ก็เห็นอีก เพราะฉะนั้นตลอดเวลาที่เห็นไม่รู้ และก็เมื่อไม่รู้สิ่งที่มีนะคะ แล้วก็ไปแสวงหาสิ่งอื่น แล้วจะรู้สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ได้ยังไง เพราะฉะนั้นโลกก็ถูกปิดบังไว้ด้วยความไม่รู้ จนกว่าจะมีคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เริ่มเข้าใจถูกนะคะ

    แต่ต้องเริ่มด้วยการรู้ว่าสิ่งที่มีนี่คะมี ไม่มีใครไปทำให้เกิดขึ้นมาได้ ไม่มีใครไปทำให้ดับ แต่ธรรมตาความเป็นไปของธรรมะนั้น ก็คือว่า มีปัจจัยเกิดแล้วก็ดับ แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย คำนี้นะคะ วันนี้ไม่มีกำลัง แต่ว่าถ้าฟังบ่อยๆ จนกระทั่งสภาพธรรมะปรากฏอย่างนี้หมดความสงสัย สิ่งที่มีนี่คะ เกิดมีแล้วดับ แล้วไม่กลับมาอีกเลย

    หมายความว่าไม่มีเราในขณะที่มีเห็น เพราะเห็นเกิดแล้วก็เห็นดับไม่มีเรา เพราะฉะนั้นทุกอย่างนี่คะ เป็นความจริงซึ่งความเข้าใจค่อยๆ นำไปสู่การละความไม่รู้ ซึ่งเป็นต้นเหตุที่จะทำให้เกิดทุจริตต่างๆ ความชั่ว ความไม่ดี เช่นหลงยึดถือว่าสิ่งที่มีเป็นเรา แล้วก็เป็นของเราด้วย แต่ทันทีที่จากโลกนี้นะคะ

    ทั้งตัวตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้าเป็นเราหรือเปล่า ทรัพย์สมบัติทั้งหลายเป็นของเราหรือเปล่า ไม่มีเลย เหมือนคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้วว่า ไม่มี แล้วก็มี แล้วก็หามีไม่ แล้วก็เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ แต่เมื่อไหร่ที่รู้ความจริงนะคะ และประจักษ์แจ้ง จะเป็นอย่างนี้ไปทำไมในเมื่อเหมือนกับว่าเกิดมานะคะ

    สุขทุกข์ตลอดเวลาชั่วคราว รื่นเริง มีสมบัติ สูญสิ้นสมบัติ ทุกสิ่งทุกอย่างแล้วก็ไม่มีอะไรเหลือ เหมือนกับเกิดมาเล่นๆ ใช่ไหมคะ ให้รู้ว่าเนี่ยเห็นแล้วสนุกอย่างนี้ เนี่ยได้ยินน่ะเสียงเพลงเป็นอย่างงี้ นั้นอาหารอร่อยอย่างนี้ แล้วก็จากโลกนี้ไปไม่เหลือเลย ไม่เหลือคือไม่มีอีกในสังสารวัฏ

    เพราะฉะนั้นที่แล้วมา หรือขณะนี้ก็กำลังจะแล้วไป จนถึงชาติหน้าก็ไม่เป็นอย่างนี้แล้ว จะไม่มีความเป็นอย่างนี้อีกเลย ทุกสิ่งทุกอย่างใหม่ตลอดเวลานะคะ ไม่มีเก่าที่จะกลับมาได้เลย เพราะฉะนั้นการฟังนี่คะ ฟังเพื่อเข้าใจ และปัญญานั่นเองนะคะ ก็จะเป็นผู้ที่ตรง สัจจะความจริงเป็นอย่างนี้ และจริงคือรู้แค่ไหน

    นี่ขั้นฟังคือปริยัติ ยังไม่ต้องคิดถึงเรื่องขั้นปฏิบัติ เพราะเหตุว่าต้องรอบรู้จริงๆ นะคะ ทันทีที่ได้ฟังเนี่ย มีความเห็นสอดคล้องทุกอย่าง ขณะนี้เห็นต้องเกิด ไม่เกิดไม่มีเห็น แล้วเห็นก็ดับ เสียงปรากฏได้ยินต้องมี แล้วได้ยินก็ดับ แล้วก็มีเห็นสลับกันไปทั้งวัน จนตาย ไม่มีใคร แต่เป็นธรรมะ เป็นธรรมดาของธรรมะนั้นๆ

    ผู้ฟัง เวลาทุกอย่างที่เกิดขึ้นเนี่ยนะครับ ท่านอาจารย์ ต้องเกิดขึ้นแน่ๆ

    ท่านอาจารย์ บังคับไม่ได้เกิดแล้ว เดี๋ยวนี้ค่ะ ไม่มีใครไปทำอะไรสักอย่างก็เกิดแล้ว เห็น แล้ว ได้ยินแล้ว คิดแล้ว จำแล้ว

    ผู้ฟัง แล้วผลของกรรมนั้นมันคือสิ่งที่เราได้ทำกรรมเอาไว้ ในตั้งแต่เกิดหรือว่าอดีตชาติครับ

    ท่านอาจารย์ คะ ถ้าเป็นเรานะค่ะ เราก็หาว่าเราทำกรรม แล้วก็กรรมที่เราทำก็ให้ผล แต่อย่าลืมนะคะ ธรรมะทุกคำเนี่ยต้องค่อยๆ สอดคล้องกัน ธรรมะเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้นสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ตามที่มีเดี๋ยวนี้เนี่ยมีจริงๆ หรือเปล่า กำลังนั่งฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรงนี้เนี่ยจริงหรือเปล่า จริงใช่ไหมคะ เป็นเราหรือเปล่า เห็นไหมคะ

    ต้องค่อยๆ เข้าใจขึ้น ไม่ใช่เราไม่พอค่ะ แล้วเป็นอะไร ก็มีนิจะบอกง่ายๆ ก็ไม่ใช่เราเฉยๆ พอหรอ ถ้าไม่ใช่เราก็ต้องบอกมาให้ละเอียดเลย ให้ชัดเจนเลย ว่าไม่ใช่เราเพราะอะไร ใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นเวลาพูดถึงกรรมเนี่ยอยู่ไหนเนี่ย ไม่รู้ เพราะฉะนั้นตั้งแต่เกิดจนตายได้แต่เอ่ยชื่อ เรียกชื่อ

    พูดคำต่างๆ แต่ไม่รู้จัก ฟังแต่เขาว่า หรือเขาบอก หรือไม่งั้นเราก็คิดเอง พอได้ยินคำว่ากรรมในภาษาบาลีนะคะ คนไทยก็คือกระทำใช่ไหมคะ แต่ทำยังไงถึงจะเป็นกรรม ทำยังไงถึงจะไม่เป็นกรรม และเป็นกรรมหรือเปล่า หรือให้ผลเนี่ย ไม่มีความรู้เลยค่ะ คิดกันไปสิ ทั้งโลก

    คิดมาตั้งนาน แสนโกฏิกัปป์ก็คิดไม่ออก เพราะเหตุไม่มีปัญญา ซึ่งกว่าจะมีปัญญาถึงระดับนี้ได้นะคะ ต้องเห็นโทษของความไม่รู้ เห็นโทษของอกุศลทั้งหมด ความติดข้อง ความหลงในสิ่งซึ่งไม่ใช่ของเราเลย แต่ไม่บอกไม่รู้คะ เป็นเราตั้งแต่เกิดแล้วก็เป็นเราไปจนตาย ใช่ไหมคะ

    แล้วคำที่เราได้ยินได้ฟังเนี่ย ถ้าเป็นคำผิดๆ ก็ยิ่งเพิ่มความเป็นเรา ให้ไปแก้กรรมบ้าง ใช่ไหมคะ อย่างนี้ค่ะแล้วจะหมดความไม่รู้ได้ยังไง ด้วยเหตุนี้เป็นผู้ไม่ประมาทนะคะ คือทีละคำแต่ละคำละเอียดขึ้น มั่นคงขึ้น เมื่อไม่เป็นเราแล้วเป็นอะไร เห็นไหมคะ ลืมหรือยังว่าเป็นอะไร

    ผู้ฟัง เป็นธรรมะหรือเปล่าครับ

    ท่านอาจารย์ นี่คะ คำนี้คำเดียวนะคะ คำนี้คำเดียว เป็นคำที่ไม่คลาดเคลื่อน คือมีจริง เมื่อเกิดขึ้น ปรากฏว่ามีแล้วก็ดับไป แต่ว่าสิ่งที่มีมากมายเหลือเกินนะคะ มีมาตั้งแต่ก่อนชาตินี้อีก มีมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่ไม่มีใครบอกว่าสิ่งที่มีเนี่ยต่างกันเป็นสองประเภท ไม่ใช่ไม่มีนะคะ แต่ไม่ใช่อย่างเดียวกัน

    อย่างใหญ่ๆ ก็คือว่าสิ่งที่มีอย่างหนึ่งเนี่ยไม่รู้อะไรแต่มี รสอร่อย หวาน เปรี้ยว เค็ม มัน นะคะ สีสันวรรณะต่างๆ กลิ่นต่างๆ ก็มี แต่ถ้าไม่มีธาตุรู้เกิดขึ้นเห็น ก็ไม่ปรากฏ ว่าเดี๋ยวนี้ คนที่มีตา ลืมตามีเห็น เห็นอะไร เพราะคนนั้นไม่เห็น จะบอกสักเท่าไหร่เขาก็ไม่สามารถจะรู้ได้ใช่ไหมคะ

    มีดอกไม้สีต่างๆ เห็นไหมคะ คนที่ไม่เห็นจะบอกว่ายังไงคะ เขาพูดว่ามีดอกไม้สีต่างๆ พอลืมตาต่างหาก ไม่ต้องเรียกก็เห็น เพราะฉะนั้นนี่เป็นความละเอียดอย่างยิ่งนะคะ ถ้าใครไม่ละเอียดจะไม่ได้สาระจากพระธรรม ยังมีความเป็นเรา

    เพราะเมื่อสิ่งหนึ่งเกิดดับ สิ่งหนึ่งเกิดดับ สิ่งหนึ่งเกิดดับ แต่รวมกันแล้ว ไม่ปรากฏการเกิดดับ ปรากฏเป็นสิ่งหนึ่งเพราะเหตุว่าสิ่งนี้เกิดและดับ สิ่งอื่นเกิดต่อทันที สิ่งที่เกิดและดับ สิ่งอื่นเกิดต่อทันที แล้วจะเป็นไปดับตรงไหน ดอกไม้ในแจกันนี่ไม่ได้ดับเลย

    ผู้ฟัง แล้วทำไมมันเกิดเร็วจังเลยละครับ

    ท่านอาจารย์ ธรรมดา นะคะ ธรรมตา คำนี้พูดบ่อยๆ จนลืมไม่รู้ด้วยว่าหมายความว่ายังไง แต่ถ้าเข้าใจนะคะ ธรรมะก็เป็นธรรมะไม่ใช่เราจะไปบังคับว่าไม่ให้เป็นอย่างนี้ ใช่ไหมคะธรรมะต้องเป็นไปตามความเป็นธรรมะนั้นๆ

    อย่างธาตุรู้เกิดขึ้นเนี่ยต้องรู้ค่ะ เกิดไม่รู้ไม่ได้เลย เพราะเป็นธาตุรู้ นี่คือธรรมดาของธรรมะ ซึ่งรู้ก็ต้องรู้ เกิดขึ้นเมื่อไรก็ต้องรู้ ไม่รู้ไม่ได้ แม้แต่นอนหลับนะคะ ยังไม่ตายใช่ไหม รู้อะไรหรือเปล่า หลับสนิทเลยค่ะ

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ครับ คนบางคนก็บอกไม่ฝันเลย

    ท่านอาจารย์ เพราะว่าจริงๆ แล้วเนี่ยนะคะ ขณะที่หลับสนิทไม่ใช่ขณะที่ฝัน ใช่ไหมคะ แล้วขณะที่หลับสนิทเนี่ยเป็นยังไง จะรู้ได้ยังไงว่าหลับสนิท ไม่เหมือนตื่นนิ ตื่นนี่เห็นใช่ไหมคะหลับสนิทเห็นไหม ตื่นขึ้นได้ยิน หลับสนิทได้ยินไหม ตื่นขึ้นโกรธ หลับสนิทโกรธไหม ขณะที่หลับสนิทนะคะ

    หมายความว่าไม่มีอะไรปรากฏ แต่ยังมีจิตซึ่งเป็นธาตุรู้ แต่สิ่งต่างๆ ที่เป็นสิ่งที่เป็นโลกนี้ไม่ปรากฏกับจิต เพราะขณะที่เกิดนะคะ มีจิตแน่จึงใช้คำว่าเกิด แล้วก็จิตที่เกิด ถ้าต่อไปก็จะรู้ว่าสภาพรู้มีสองอย่าง อาศัยกันและกันเกิดขึ้นเป็นจิตกับเจตสิก ส่วนรูปไม่ใช่สภาพรู้ ทั้งหมดเกิดขึ้นได้ยังไง ใครทำให้เกิดขึ้น

    ขณะนั้นเวลานั้น ไม่มีใครสามารถที่จะรู้แต่ละหนึ่งขณะเลย เพราะฉะนั้นก็มีความเข้าใจขึ้นนะคะ ในสิ่งที่มีในความเป็นธรรมะ ถ้าใครเขาถามว่าเป็นอะไรก็บอกว่าเป็นธรรมะ ใช่ไหมคะจะเป็นอย่างอื่นนอกจากธรรมมะได้ไหม โกรธเป็นอะไร เป็นธรรมะ หิวเป็นอะไร เป็นธรรมะอิ่มเป็นอะไร ก็เป็นธรรมะ

    ถ้าพูดด้วยความเข้าใจถูกต้องนะคะ เป็นคนที่มั่นคง แต่ถ้าจำเขามา แล้วเขาว่าอย่างนี้แสนจะง่าย อะไรๆ ก็เป็นธรรมะ เป็นธรรมะ เป็นธรรมะ แต่ความเข้าใจไม่ถึงความเป็นธรรมะ ด้วยเหตุนี้นะคะ เพียงขั้นฟังเนี่ยยังไม่รอบรู้ กว่าจะรอบรู้จนถึงสัจจญาณ มั่นคงเลยนะค่ะเดี๋ยวนี้เห็นเกิดดับ

    ทำไมปัญญาถึงจะอ่อนจนกระทั่งต้องไปที่หนึ่งที่ใดถึงจะรู้ความจริง ไม่มีกำลัง ไม่มีความมั่นคง แกล้วกล้า อะไรเลยหรือค่ะ ต้องไปตรงนั้นน่ะ อยู่ในห้องนั้นนะ ไม่ออกมานะ แล้วต้องนั่งอย่างนั่นน่ะ เดินอย่างนี้นะ นั้นหรือปัญญา จะเป็นปัญญาได้ยังไง แต่ถ้าเป็นปัญญารู้ได้แต่ปัญญาก็มีหลายระดับขั้น และข้ามขั้นไม่ได้

    ถ้าไม่มีความเข้าใจขั้นฟังนะคะ ไม่ต้องคิดเรื่องปฏิบัติ เพราะฉะนั้นสำนักปฏิบัติทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน เพราะฉะนั้นเห็นได้เลยนะคะ ว่าทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเนี่ยทำให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง แต่ถ้าเป็นการกระทำที่ไม่มีความเข้าใจใดๆ เลยแล้วอ้างว่าเป็นพระพุทธพจน์

    ก็หมายความว่าผู้นั้นนะคะ ไม่ได้เข้าใจคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส ลืมไปว่าพูดคำเดียวกัน แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสด้วยปัญญาระดับไหน และคนที่ได้ยินได้ฟังก็พูดตามแต่ปัญญาแค่ไหน เพราะฉะนั้นไม่มีทางเลยนะคะ ที่จะเป็นผู้ไม่รอบคอบ ไม่ละเอียด ไม่มั่นคง ไม่เคารพจริงๆ คือฟังเผินๆ

    แต่ถ้าจะบูชาสูงสุดนะคะ ไม่ใช่ด้วยอย่างอื่นเลยทั้งสิ้นแต่ต้องด้วยความเข้าใจธรรมะ เพราะถ้าไม่เข้าใจธรรมะ บูชาได้ยังไงละ ก็ไม่รู้ไม่เข้าใจแล้วจะบูชาได้ยังไง ใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นทุกอย่างต้องตรง เพราะฉะนั้นเกิดขึ้นมาได้ยังไงเนี่ยนะคะ ทุกอย่างเนี่ยน่าสงสัย แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงปัจจัย

    สภาพที่อาศัยกันและกันเกิดขึ้นโดยนัยของพระอภิธรรมปิฏกนะคะ ปัฏฐานะซึ่งเป็นที่ตั้งที่ก่อให้เกิดธรรมะทั้งหลายนี่คะ โดยปัจจัยหลากหลายมาก ทรงแสดงไว้ในคัมภีร์สุดท้าย เพราะว่าถ้าเรายังไม่รู้จักสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ จะไปรู้ได้ยังไงว่าเกิดจากปัจจัยอะไร ใช่ไหมคะ ต้องรู้แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง

    จึงรู้ว่าแต่ละหนึ่งเนี่ยอาศัยกันอย่างไร เช่นสภาพที่ไม่รู้อะไรเลยเกิด ใครจะไปบอกให้รู้ ไปนั่งพูด นั่งสอนให้รู้ ไม่มีทางที่จะรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น เพราะเป็นสภาพที่เพียงเป็นสิ่งนั้น เป็นธรรมดาของสิ่งนั้น คือแข็งเป็นอื่นได้ไหมนอกจากเป็นแข็ง ร้อนเป็นอื่นได้ไหมนอกจากเป็นร้อน

    เพราะฉะนั้นธรรมะแต่ละหนึ่งก็เป็นไปตามความเป็นจริงของสิ่งนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น เพราะฉะนั้นกรรมคืออะไรคะ ภาษาไทยแปลง่ายเลย กรรมคือการกระทำ แต่รับประทานอาหารนี่เป็นกรรมหรือเปล่า เห็นไหมคะ ถ้าไม่ศึกษาจริงๆ เนี่ยจะตอบได้ยังไง เพราะฉะนั้นกรรมได้แก่ธรรมะอะไร ต้องเริ่มต้นคะ

    ธรรมะมีสองอย่าง อย่างหนึ่งไม่ใช่สภาพรู้ อีกอย่างหนึ่งเกิดขึ้นต้องรู้ ไม่รู้ไม่ได้นะคะ แต่สภาพรู้เนี่ยมีสองอย่าง จิตและเจตสิก เป็นธรรมะที่ต่างกันแต่อาศัยกันและกันเกิดขึ้น โดยจิตนี่คะ เป็นใหญ่เป็นประธาน แค่นี้นะคะ แค่เป็นใหญ่ต้องหมายความว่ามีนามธรรมอื่นซึ่งไม่ใหญ่เท่าจิต เป็นประธาน ในการรู้แจ้งอารมณ์

    ทุกคำนี่กำกับชัดเจนละเอียด จะไปบอกว่าจิตเป็นใหญ่อย่างปัญญา ไม่ใช่ ไม่ได้บอกว่าจิตเป็นใหญ่อย่างปัญญาที่ประเสริฐสุดกว่าธรรมะทั้งหลาย แต่เป็นใหญ่ในการรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏเท่านั้นเอง สีที่เป็นดอกไม้ในแจกันเนี่ยนะคะ มีทั้งสีขาว สีม่วง ชมพู อ่อนแก่ ถ้าจิตไม่รู้แจ้ง จะปรากฏว่าเป็นอย่างนี้ไหม จะบอกได้ไหมว่าเป็นอย่างนี้

    แต่เพราะจิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งนะคะ พอไม่ใช่ในแจกันเป็นที่อื่น สีเขียวมี สีส้มมี จิตรู้แจ้งและเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยนะคะ ทำหน้าที่ของเจตสิกนั้นๆ แต่ละหนึ่ง พร้อมกับจิตอาศัยกันและกันเกิดขึ้นพร้อมกัน ต่างคนต่างทำหน้าที่ของกันและกันแล้วก็ดับ กรรมอยู่ไหน กรรมคืออะไร กรรมเป็นเราหรือเปล่า

    เห็นไหมคะถ้าไม่ศึกษาจริงๆ ไม่มีทางรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หมดไปแล้วชาติหนึ่ง และชาติหน้าจะเป็นอะไรไม่มีใครรู้ นกเนี่ยจะเกิดเป็นคนได้ไหม ยากไหม เพราะฉะนั้นจึงมีคำกล่าวใช่ไหมคะคุณวิชัย การเกิดเป็นมนุษย์นี่ยากแค่ไหน

    อ.วิชัย เพราะอย่างที่กล่าวถึงนะครับ ว่าการเกิดขึ้นครั้งแรกก็ต้องเป็นผลของกรรมซึ่งกรรมก็กระทำมามากมายในสังสารวัฎ แต่ลองพิจารณาในแต่ละวันนะครับ ว่าอกุศลเนี่ยมากมายสักแค่ไหน การที่จะมีกุศลเกิดขึ้นกระทำกิจของกุศลเนี่ยก็ยาก เพราะว่าปกติของหมู่สัตว์ทั้งหลาย มากด้วยอกุศล แวดล้อมทุกด้านเลย

    ดังนั้นโอกาสหรือว่ากาลของกุศลกรรมที่จะเกิด และเป็นเหตุให้เกิดในมนุษย์เนี่ยก็แสนยากอย่างยิ่ง ดังนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะครับ ก็แสดงสิ่งที่หาได้ยากในโลกประการหนึ่งก็คือการได้อัตภาพเป็นมนุษย์ อุปมาเหมือนกับเต่าตาบอดนะครับ ที่ร้อยปีที่จะโผล่ขึ้นมาเอาศีรษะเข้าไปในช่องแอคได้นี่ครับ ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยากนะครับ

    ดังนั้นการเกิดขึ้นเป็นมนุษย์เนี่ยก็ยากอย่างยิ่ง และอีกประการหนึ่งก็คือการอุบัติขึ้นของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และการที่พระธรรมที่พระองค์ได้ประกาศแล้วจะรุ่งเรืองในโลกก็แสนยาก และบุคคลที่มีโอกาสได้ฟังพระธรรมก็แสนยาก และบุคคลที่ได้ฟังธรรมะแล้วที่จะรู้แจ้งธรรมะตามความเป็นจริงก็ยิ่งยากใหญ่

    เพราะเห็นว่าสิ่งที่มีจริงอย่างที่ท่านอาจารย์กล่าวในช่วงแรกนะครับ แม้มีจริง แต่เมื่อมีความไม่รู้ ความไม่รู้ก็ทำกิจของความไม่รู้ ซึ่งก็เป็นธรรมะ ขณะนี้ก็เป็นธรรมะ แต่เมื่ออวิชาเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ของอวิชา ก็ไม่สามารถที่จะรู้ตามความเป็นจริงได้ ต่อเมื่อมีพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้แล้วได้ประกาศพระธรรมนะครับ

    ที่แสดงความจริงของแต่ละอย่างที่คุณโป๊ดกล่าวถึงนะครับ ว่าทุกอย่างเนี่ยเกิดบังคับบัญชาไม่ได้ เพราะขณะนี้ก็เกิดแล้วทุกอย่าง แต่ว่าเพียงรู้แค่นี้ไม่พอ ดังนั้นจึงต้องอาศัยพระธรรมนี่ครับ ที่จะแสดงความเป็นจริงว่าอะไรที่เกิดขึ้น และสิ่งที่เกิดที่ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชานั้น เกิดเพราะมีอะไรเป็นปัจจัย

    ดังนั้นความรู้ที่จะค่อยๆ เกิดขึ้น ที่ค่อยๆ ปรุงแต่งก็ด้วยจากการได้ฟังธรรมะ ที่จะเข้าใจว่าเห็นที่คิดว่าเป็นเราด้วยความไม่รู้เนี่ย ความจริงคืออะไร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแสดงสิ่งที่มีในขณะนี้ที่กำลังเห็น ว่าเป็นจิตเป็นสภาพธรรมะที่เป็นใหญ่ แต่เป็นใหญ่โดยการรู้แจ้งอารมณ์

    เพราะว่าเห็นเนี่ยจะกระทำกิจอย่างอื่นไม่ได้เลย นอกจากเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏได้ทางตาในขณะนี้ แสดงถึงความเป็นธรรมะอย่างชัดเจน แต่เมื่อความไม่รู้เกิดขึ้นนี่ครับ ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจความเป็นจริงของธรรมะในขณะนี้ได้เลยครับท่านอาจารย์ครับ

    ท่านอาจารย์ ไม่มีใครรู้ใช่ไหมคะ ขณะต่อไปจะเป็นอะไร ใครรู้ ใครบอกได้ ไม่มีใช่ไหมค่ะแล้วแต่ปัจจัย เลือกไม่ได้ด้วยนะค่ะ เพราะฉะนั้นจะจากโลกนี้ไปเดี๋ยวนี้ก็ได้ เห็นแล้วก็ตาย ได้ยินแล้วก็ตาย ตัวอย่างก็มีเยอะแยะใช่ไหมค่ะ แล้วการที่ยังมีชีวิตอยู่นะ

    โดยไม่รู้ว่าวันไหนจะจากโลกนี้ไป แล้วจะอยู่อีกนานเท่าไหร่ แล้วมีโอกาสได้ฟังพระธรรมกับไม่ได้ฟังพระธรรมลองคิดดูนะคะ อยู่ในโลกไปก็ไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่ได้เข้าใจแล้วก็จากไป เพิ่มความไม่รู้และความติดข้องทั้งชาตินี้หมด ต่อไปถึงชาติหน้าอีก ต่อไปถึงชาติหน้าอีกกับการที่มีโอกาสได้ฟังนะคะ

    แต่ต้องไม่ลืม ไม่ประมาทในคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้ไม่น้อมพระทัยที่จะทรงแสดงพระธรรม กว่าพระองค์เองจะตรัสรู้ คิดดูพระบารมีเท่าไหร่ ได้สำเร็จโดยการรู้แจ้ง เพราะฉะนั้นคนอื่นล่ะ ใช่ไหมคะ จะสามารถเข้าใจสภาพธรรมะที่เกิดดับละเอียดอย่างยิ่งโดยประการทั้งปวง อย่างนี้ยาก

    เพราะว่าแม้จะเชิญใครมาฟังธรรมะก็ไม่มาใช่ไหมคะ มาแล้วพูดอะไรเนี่ยไม่น่าสนใจ เพราะว่าเขาสนใจเรื่องอื่น กว่าจะให้เห็นคุณค่าของแต่ละคำ และทีละคำว่า ถ้าเราเข้าใจธรรมะสับสน เราเข้าใจผิดว่าเราเข้าใจ เป็นโทษอย่างยิ่ง ใช่ไหมคะ แต่ถ้าเป็นผู้ที่ละเอียดแล้วก็มั่นคง

    แล้วเห็นค่าจริงๆ ได้มีโอกาสได้ฟังคำของผู้ที่ตรัสรู้ แล้วปรินิพพานเมื่อไม่นานเท่าไหร่ ๒๖๐๐ กว่าปีนะคะ เพราะฉะนั้นคำของพระองค์เนี่ยยังดำรงอยู่ พอที่จะให้ศึกษาค้นคว้า สามารถเข้าใจได้ ก็เป็นผู้ที่ไม่ประมาทเลยนะคะ เพราะฉะนั้นไม่ลืมพระปัจฉิมวาจา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง

    สังขารคือสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้อาศัยกันและกันเกิดขึ้น แล้วดับไปทุกขณะ ไม่เที่ยงเลย จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม เพราะฉะนั้นการฟังธรรมะไม่ประมาทที่จะไตร่ตรอง เข้าใจ มั่นคงนะคะ แม้คำเดียวที่จะนำไปสู่ความเข้าใจคำอื่นๆ ได้ แต่ถ้าไม่เข้าใจคำนั้นอย่างมั่นคงนะคะ คำนั้นก็นำไปสู่การเข้าใจผิดต่อๆ ไปในคำอื่นได้

    เพราะฉะนั้นกรรม พูดแล้วคืออะไรใช่ไหมคะ ไม่ข้ามไปเลยค่ะ ข้ามไปก็คือว่าเรา ก็เป็นเรานั่นแหละทำกรรม แล้วเรานั้นแหละรับผลกรรม แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมะเป็นธรรมะไม่ใช่ใครเลยทั้งสิ้นนะคะ เพราะฉะนั้นคำแรกที่จะนำไปถึงการรู้แจ้งธรรมะก็คือว่า ธรรมะสิ่งที่มีจริง ทั้งหมด ทั้งหลาย ทั้งปวง ทั้งสิ้น ไม่เว้นเลยนะคะ

    เป็นอนัตตาไม่ใช่เรา ลืมไม่ได้เลยคะ ตอนนี้เป็นเรา ก็เป็นไปเพราะว่าสะสมมาใช่ไหมคะ แต่การฟังธรรมะค่อยๆ เข้าใจขึ้นว่าไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นก็สามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจในคำเพียงขั้นต้นว่าธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา และคำนี้นะคะ จะนำไปสู่ความเข้าใจถูกต้อง ตามลำดับจนถึงการรู้แจ้งอริยสัจธรรม

    ก็ด้วยความเข้าใจมั่นคงขึ้น ว่าเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นไม่มีการไปปฏิบัติ ไม่มีสำนักปฏิบัติ แต่มีการฟังพระธรรมด้วยความเคารพ ที่จะเข้าใจนะคะ แล้วก็ไตร่ตรองจนกระทั่งเป็นความรู้ความเข้าใจของตนเอง ขอปัญญาจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเนี่ย ขอได้มั้ยคะ

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 190
    23 ส.ค. 2568