ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1393
ตอนที่ ๑๓๙๓
สนทนาธรรม ที่ สมาคมแม่บ้านตำรวจ
วันที่ ๒๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๑
ท่านอาจารย์ ทางกายรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส อ่อน แข็ง เย็น ร้อน เป็นธรรมดาจนไม่มีใครคิดว่า ความจริงของสิ่งที่เป็นธรรมดาเนี่ยเป็นยังไง แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้นะคะ สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา คำว่าดับหมายความว่าไม่กลับมาอีกเลย เหมือนคนตายค่ะ จากโลกนี้ไปแล้ว ไม่มีทางที่จะกลับมาเป็นคนเก่าได้เลย
เพราะฉะนั้นก่อนตาย สิ่งที่มีแต่ละขณะก็เกิด และดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย ขณะเกิดนะคะ ไม่เห็น แล้วก็มีเห็น ที่เกิดมาแล้วเห็นตอนนั้นอยู่ไหน ไม่มีเลยค่ะ เห็นเมื่อวานนี้ก็ไม่มี เพราะฉะนั้นถ้าเรามีความเข้าใจจริงๆ นะคะ ก็จะรู้ว่าพระธรรมที่ทรงแสดงเนี่ยไม่ใช่จากคิด ไม่ใช่จากไตร่ตรอง แต่ประจักษ์แจ้งสภาพธรรมะนั้น ตามความเป็นจริง ในขณะที่เห็นเกิด ในขณะที่เห็นดับ นี่คือพระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธจ้า
เพราะฉะนั้นทรงแสดงว่านะคะ ด้วยความไม่รู้ว่า เห็น เนี่ยเกิด และดับเร็วมาก สุดที่จะประมาณได้ สืบต่อไม่ขาดสายเลยนะคะ เพราะฉะนั้นก็ปรากฏรูปร่างสัณฐาน เช่นเวลานี้ค่ะเต็มไปด้วยรูปร่างสัณฐาน เป็นกลีบ เป็นดอกไม้ เป็นสี่เหลี่ยม เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นรูปร่างสัณฐานทั้งหมด แต่ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเลย จะมีสิ่งต่างๆ เหล่านี้ไหม ก็ไม่มีนะคะ หรือว่าถ้ามีสิ่งต่างๆ เหล่านี้เกิด แต่ไม่มีการเห็นจะรู้ไหมว่ามี ก็ไม่รู้อีก
เพราะฉะนั้น เห็น เห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ซึ่งขณะนี้กำลังปรากฏนะคะ เป็นรูปร่างต่างๆ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์แจ้งว่า เกิด และก็ดับทีละหนึ่ง แต่รวมกันแล้วปรากฏเป็นรูปร่าง ให้เข้าใจว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เหมือนเกิดมาเลยพร้อมกันทันที อุปมาเหมือนกับเราจุดก้านธูปนะคะ ดอกเดียวแต่แกว่งให้เป็นวงกลมให้เร็วที่สุด เห็นวงกลมของแสงสว่างเราจะไม่เห็นการที่เคลื่อนไป ทีละหนึ่ง จากจุดหนึ่ง ไปอีกจุดหนึ่ง
เพราะฉะนั้นสภาพธรรมทั้งหมดที่ปรากฎนี่คะ เกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ หลังจากที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีนะคะ คือคุณความดีที่สามารถจะเข้าใจความจริงของสิ่งที่ปรากฏ เพราะว่าความไม่รู้นี่ไม่สามารถจะเข้าใจได้ ขณะนี้ไม่รู้ว่ากำลังเกิดดับ ถูกต้องไหมคะ ไม่สามารถประจักษ์แจ้งได้ แต่ถ้าเข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น ตามหนทางที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง
สภาพธรรมปรากฏตามความเป็นจริง จึงมีผู้ที่รู้ความจริงดับกิเลสเป็นพระโสดาบันนะคะ แล้วก็ดับกิเลสต่อไปอีก เป็นพระสกทาคามีบุคคล กิเลสมากเหลือเกินค่ะ ต้องดับตามลำดับขั้น ยังไม่หมดกิเลสเลยค่ะ ต้องดับต่อไปอีก ความติดข้องในรูปเสียงกลิ่นรสต่างๆ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ถึงอย่างนั้นก็ยังต้องดับความยินดีในความเป็น เพราะว่าเกิด และดับ เกิด และดับ เกิด และดับ แล้วไม่กลับไปอีก แล้วเกิดทำไม แค่เกิดมาปรากฏนิดเดียว และดับไป แล้วไม่กลับมาอีกเลย แต่ไม่มีใครรู้
เพราะฉะนั้นถ้าผู้ที่รู้นะคะ ก็ไม่ยินดีในสภาพธรรมะซึ่งจะเป็นเราได้ยังไงคะ แค่เป็นสิ่งที่มีจริงอาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก ถ้าสามารถละความติดข้อง ในภวะ ในความเป็นคือภพนะคะ ถึงความเป็นพระอรหันต์ ไม่มีความติดข้องนะคะ ด้วยความไม่รู้อีกต่อไป ไม่มีกิเลสใดๆ เหลือเลย เพราะฉะนั้นจากความไม่รู้ สู่ความเข้าใจถูกต้องทีละน้อย และเห็นโทษของอกุศล
ปัญญาที่เห็นโทษของอกุศลสามารถที่จะดับอกุศลได้ตามลำดับขั้น ดับเองไม่ได้นะคะ เราไปเห็นคนนั้น เขาก็ฟังธรรมะแต่เขาก็สนุกสนานร่าเริงแต่งตัวสวยงาม ก็งงใช่ไหมคะ นี่หรือคนฟังธรรมะ คนศึกษาธรรมะ เขาไม่เข้าใจเลยค่ะ กิเลสมากนะคะ เข้าใจธรรมะระดับไหนก็ดับกิเลสระดับนั้น แต่ยังไม่สามารถที่จะดับหมดได้ทีเดียว จากความเป็นปุถุชนถึงความเป็นพระอรหันต์ ต้องมีปัญญาเกิดขึ้นตามลำดับ
เพราะฉะนั้นการฟังธรรมะเนี่ยนะคะ ประโยชน์คือ เข้าใจ เพราะว่าเราฟังทุกอย่าง ทุกเรื่องเนี่ยหลากหลายใช่ไหมคะ ถ้าฟัง ดูหนังดูละคร ฟังเพื่อเพลิดเพลิน ขณะนั้นได้อะไร แต่ชอบ นะคะ ไม่เบื่อ หนังแขก หนังไทย หนังอะไรก็แล้วแต่ หนังจีน หนังเกาหลี ฟังแล้วนะคะ ได้ความสนุกสนาน เพลิดเพลิน ติดข้อง แต่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเนี่ย เปรียบประมาณค่าไม่ได้เลย
เพราะเหตุว่า ฟังอะไรก็จบแล้วใช่มั้ยคะ ลองย้อนไปนึกถึงหนังแขกที่เพิ่งจบไปสิ เป็นยังไงคะ ลืมหมดเลย จำได้ละเอียดแค่ไหน แค่นิดๆ หน่อยๆ ไม่เหลือเลยแต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะคะ เมื่อเข้าใจจริงๆ นะค่ะ สามารถที่จะเข้าใจขึ้นอีก เข้าใจขึ้นอีก สามารถที่จะรู้ว่าความจริงนี้นะคะ คนอื่นที่ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่สามารถที่จะพูดได้เลย หรือแสดงความจริงของสิ่งนั้นได้เลย
เช่น เห็น เนี่ยเรานั่งอยู่ที่นี่ มีใครคิดไหมว่าเห็นขณะนี้เกิดเห็นแล้วดับ ขณะที่ได้ยินไม่ใช่เห็น เพราะฉะนั้นขณะที่ได้ยินเสียงปรากฏ ขณะที่เห็น เสียงไม่ได้ปรากฏ เพราะฉะนั้นต่างขณะใครทำ ไม่มีใครทำเลยค่ะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงนะค่ะ พระองค์ตรัสว่าธรรมะคือสิ่งที่มีจริงทั้งหลาย ทั้งหลายไม่เว้นเลยซักอย่างเดียว
ไม่ว่าอะไรทั้งสิ้นนะคะ ธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา ทุกคนเป็นอัตตา เรา เขา ดอกไม้ โต๊ะ เก้าอี้ คือสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา เพราะเหตุว่าพระองค์ทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริงโดยละเอียดอย่างยิ่ง โดยประการทั้งปวง เราเห็นดอกกุหลาบ ไม่คิดเลยค่ะว่าเห็นเกิด แล้วมีสิ่งที่ปรากฏเป็นสีเหลือง ถ้าเป็นดอกกุหลาบสีเหลือง
เปลี่ยนได้ไหมไม่ให้เป็นเหลือง ไม่ได้ใช่ไหมคะ เห็นเกิดแล้ว สิ่งนั้นเปลี่ยนไม่ได้เลย แล้วเราก็ไม่เคยรู้เลยว่าดอกกุหลาบที่เราเห็นนี่ดับ เพราะรวมกันแล้ว แต่ถ้าแยกนะคะ เอาดอกกุหลาบนี่ไปสับให้ละเอียดยิบ ไหนดอกกุหลาบ ไม่มี แต่มีสิ่งที่รวมกันแล้วจะเป็นดอกกุหลาบแต่ว่าแยกออกแล้ว เป็นแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ซึ่งละเอียดมาก
ใครจะรู้บ้างค่ะ ว่าที่โต๊ะเนี่ยมีอากาศธาตุช่องว่างแทรกอยู่ละเอียดยิบ พร้อมที่จะแตกย่อยละเอียดเท่าไหร่ก็ได้ ฉันใดนะคะ ร่างกายของทุกคนตั้งแต่ศีรษะจรดเท้ามีอากาศธาตุแทรกละเอียดยิบ แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่มีใครรู้เลยนอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้แต่ตรัสรู้ความจริง ทำไมเรารู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริง ทรงแสดงความจริงค่ะ ละเอียดอย่างยิ่ง ให้ได้เข้าใจ ให้ได้พิสูจน์ว่าจริงหรือเปล่า ไม่ใช่ว่า หลอก ลวง พูดไม่จริง
แต่ว่าฟังคำของพระองค์แล้ว คำไหนไม่จริงบ้าง เห็นมีจริงๆ ใครทำให้เห็นค่ะ เดี๋ยวนี้ทุกคนเห็นหมดเลย ทั้งๆ ที่ฟังนี่ก็มีเห็น และไม่มีใครไปทำให้เห็นเกิด แต่เห็นก็เกิดแล้ว แสดงความเป็นอนัตตา ว่าไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย ใครทำเห็นได้ ไม่มีทาง แต่ไม่มีใครรู้ว่าเห็นคืออะไร สิ่งที่ถูกเห็นคืออะไร กำลังเห็นอย่างนี้ค่ะ เพราะฉะนั้นเห็นไม่ใช่สิ่งที่ถูกเห็น แต่ถ้าไม่มีสิ่งที่ถูกเห็นจะมีเห็นไหมคะ ไม่มี ตรงไปตรงมา
เพราะฉะนั้นเห็นเป็นสภาพรู้ค่ะ รู้อะไร รู้ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นเนี่ยเป็นอย่างนี้ ไม่รู้เกิน กว่านี้เลยค่ะ รู้เพียงแค่มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเป็นอย่างนี้ เหมือนเสียงนะคะ ยังไม่มีได้ยิน เสียงไม่ปรากฏ เงียบ แล้วได้ยินก็เกิดขึ้นเสียงปรากฏ เพราะได้ยินกำลังได้ยินเสียง แต่ถ้าได้ยินไม่เกิด เสียงไม่มี ถึงได้ยินเกิดแล้ว ไม่มีธาตุรู้ซึ่งเกิดขึ้นได้ยิน เสียงก็ไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้นโลกนี้จริงๆ แล้วนะคะ ว่างเปล่า ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเลยสักอย่าง ไม่มีคน ไม่มีโต๊ะ ไม่มีภูเขา ไม่มีต้นไม้ แต่พอมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น นั่นแหละโลก
เพราะฉะนั้นโลกจริงๆ นะคะ แตกย่อยเหมือนดอกกุหลาบนะคะ ละเอียดยิบ ภูเขา แม่น้ำทั้งหลายทุกสิ่งทุกอย่างก็แตกย่อยออกได้ละเอียดยิบนะคะ จนเป็นแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดขึ้น โดยที่ว่าไม่มีใครไปทำอะไรเลย แต่ว่ามีเหตุปัจจัยที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น เป็นสิ่งนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น เพราะฉะนั้นโลกคือสภาพธรรมะที่เกิด จึงหลากหลายมากเป็นแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ซึ่งถ้าไม่รู้นะคะ ก็รวมกันเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ไม่เห็นการเกิดดับ
เพราะฉะนั้นคำว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าใครก็ไม่สามารถจะชื่อนี้ได้เลย จะไปตั้งใครให้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่ได้ เพราะเหตุว่าเป็นพระคุณนาม หมายความว่าตามคุณคือความที่เป็นจริง ที่ทรงประกอบด้วยปัญญาเหนือผู้อื่นในสากลจักรวาลไม่มีใครเปรียบได้เลย ปัญญานั่นแหละคือพุทธะที่ตรัสรู้ความจริงคะ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหนือบุคคลใด เป็นพุทธเจ้า สัมมา มีความเห็นที่ถูกต้องตามความเป็นจริงของทุกอย่าง
โดยที่พระองค์ได้ทรงแสดงความจริงให้คนอื่นรู้ มิฉะนั้นแล้วจะไม่รู้เลยว่าพระองค์ตรัสรู้อะไร และความจริงคืออะไร เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชื่อนี้ชินหูนะคะ แต่ถ้าไม่ฟังธรรมะจะไม่รู้จักพระปัญญาคุณ ๔๕ พรรษา ที่ทรงแสดงพระธรรม นี่ยังไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงเลยนะคะ แล้วก็มีคำที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏด้วย ขอเพียงได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่เพียงแค่กราบไหว้แล้วไม่รู้พระองค์เป็นใคร
กราบในพระคุณ พระคุณก็คือทำให้เราได้เข้าใจสิ่งซึ่งมีจริงๆ นะคะ ซึ่งถ้าชาตินี้ไม่ได้ฟัง ชาติหน้าก็เหมือนชาตินี้ซึ่งไม่ได้ฟัง และก็ไม่รู้อะไร แต่ถ้าเริ่มฟังเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้นะคะ ความเข้าใจอันนี้ก็จะสะสมสืบต่อไป ทำให้บุคคลที่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระองค์ตรัสรู้ และทรงแสดง สามารถรู้ความจริงได้เพราะฟังมานาน
อย่างท่านพระสารีบุตรเนี่ยนะคะ ๑ อสงไขยแสนกัป ยากไหมคะที่จะเห็นว่าสิ่งที่กำลังปรากฏดับ แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ไม่ปะปนกันเลย เห็นจะได้ยินไม่ได้ เห็นเป็นเห็น แค่เห็น ได้ยินเป็นแค่ได้ยินเสียง สภาพจำไม่ใช่จิตซึ่งรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมะนะคะ พอฟังเริ่มรู้เลย ไม่เคยได้ยินคำต่างๆ เหล่านี้มาก่อนเลย เพราะเขาไม่ได้นำคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากล่าวให้เข้าใจ
แต่พอเริ่มได้ยินได้ฟังนะคะ ก็สามารถที่จะมีปัญญาของตนเอง สามารถที่จะรู้ได้ว่านี้เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า หรือเป็นคำของคนทั่วๆ ไป เขาบอกให้ทำดี แล้วทำไม ทำไม่ดีกันละคะ ทั้งๆ ที่บอกกันทั่วบ้านทั่วเมืองให้ทำดี แต่ก็ทุจริตทุกวงการ เป็นไปได้ยังไง นี้ก็แสดงให้เห็นถึงว่า เพราะไม่เข้าใจความจริงถึงที่สุดนะคะ แม้แต่ความดีคืออะไรก็ไม่รู้
ถ้าถามว่าความดีคืออะไรตอบกันได้หมดนะคะ ไม่ทำชั่ว ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ แล้วดีเป็นอะไร เป็นธรรมะหรือเปล่า มีจริงหรือเปล่า เกิดขึ้นหรือเปล่า ใครไปทำให้เกิดหรือเปล่าหรือว่ามีเหตุปัจจัยทำให้เกิดจึงเกิดได้ อยากดีกันทุกคนแต่ไม่มีปัจจัยที่จะทำให้เกิดเป็นดี จึงไม่มีดีเพราะเหตุว่าไม่มีปัจจัยที่จะทำให้เกิดดี เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่คะ คุณของพระองค์ที่ทรงแสดงพระธรรม ให้รู้ความจริงว่าธรรมะเป็นธรรมะ ดีเป็นดี ชั่วเป็นชั่ว
แต่ก็ต้องรู้ก่อนในเบื้องต้นนะคะ สิ่งที่มีจริงทั้งหมดเนี่ย จะมองเห็นหรือมองไม่เห็นก็มีจริง หลับตาแล้วยังได้ยินเลย หลับตาแล้วก็คิด หลับตาแล้วก็ได้กลิ่น หลับตาแล้วก็ลิ้มรสได้ เพราะฉะนั้นลืมตาเป็นอะไร ก็เป็นหนึ่งขณะ ซึ่งนะคะ มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเพราะต้องอาศัยตา ถ้าไม่มีตายังไงๆ เห็นไม่ได้แน่เลยค่ะ ไปให้คนตาบอดเห็นสิ เป็นไปไม่ได้ แล้วตามาจากไหนอยู่ดีๆ ก็มีตาอย่างนั้นหรือ ใครไปทำให้ตาเกิดขึ้น ใครก็ตอบไม่ได้นะคะ
แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโดยละเอียดอย่างยิ่งว่า ตาไม่เห็น สิ่งที่กระทบตากำลังปรากฏก็ไม่เห็น แต่การกระทบของสิ่งที่ปรากฏที่กระทบตา เป็นปัจจัยให้กรรมหนึ่งที่ได้ทำแล้วในสังสารวัฎ ถ้าเป็นผลของกุศลนะคะ สิ่งที่ปรากฏเป็นสิ่งที่ดี จิตที่เกิดขึ้นเพราะกรรมเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่น่าพอใจ แค่นี้เราก็รู้แล้วว่าเราเกิดมาเนี่ย แม้เลือกเห็นก็ยังเลือกไม่ได้เลย
บางครั้งเห็นสิ่งซึ่งไม่อยากเห็นเลยนะคะ สิ่งสกปรกต่างๆ อุบัติเหตุต่างๆ นี่ใครอยากเห็นแต่เห็นบังคับได้ยังไง เพราะฉะนั้นถึงวาระที่กรรมที่ไม่ดีเป็นอกุศลกรรมจะให้ผล ทางตาก็จะทำให้จิตที่เห็นเกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไป จิตที่เกิดต่อไม่เห็น นี่แสดงให้เห็นว่า ความละเอียดลึกซึ้งของชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายมากมายมหาศาล เพราะฉะนั้นถ้าค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจ และมั่นคงนะคะ
ธรรมะเป็นสิ่งที่มีจริงแต่เราไม่ได้เห็นความจริง รู้ความจริงเลย จนกว่าจะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าทุกอย่างที่เกิดเนี่ยต้องมี ธรรมะที่มีจริงอาศัยกัน และกันเกิดขึ้น จะไม่ให้แข็งนี่เกิดเป็นแข็งได้ไหม ไหนใครทำสิ ไม่มีทางเป็นไปได้เลยค่ะ ไม่ให้เห็นเกิดขึ้นเนี่ยใครทำสิ ถ้ามีปัจจัยพร้อมก็ต้องเห็น เห็นก็ต้องเกิด เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา
หมายความว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ไม่ใช่ของเรา และไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของเราด้วย รู้ไหมคะ พรุ่งนี้อาจจะแขนขาดสองข้างก็ได้ค่ะ ขาขาดก็ได้ ตาบอดก็ได้อะไรๆ ก็เกิดได้เมื่อมีปัจจัยที่จะเกิดก็ต้องเกิดยับยั้งได้ยังไง คนสิ้นชีวิตกะทันหันเยอะแยะไป ตามข่าวใช่ไหมคะ ด้วยอาการซึ่งใครก็ทำไม่ได้นอกจากกรรม เช่น ขับรถชนช้าง เห็นมั้ยคะ แล้วช้างก็ทับรถตาย
ใครจะคิดว่าเขาจะต้องตายอย่างนั้น เหลือเชื่อใช่ไหมค่ะ ช้างอยู่ในป่า แล้วก็คนธรรมดาเนี่ยจะขับรถชนช้าง แล้วช้างทับรถตาย ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ว่าหนึ่งขณะต่อจากขณะนี้คืออะไร อะไรจะเกิดก็ไม่รู้ค่ะ ออกจากบ้านอย่างมีความสุข แล้วยังไง ก็แล้วแต่อะไรจะเกิดขึ้นเพราะธรรมะทั้งหมดนะคะ ไม่เว้นเลยเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ทั้งสิ้นเลยค่ะ
ไม่มีเราใช่ไหมคะ เพราะเหตุว่าจะเป็นเราได้ยังไง เห็นอยู่เดี๋ยวนี้ เราไม่ได้ไปทำ แล้วเห็นก็ดับไป ไม่ให้ดับก็ไม่ได้ เอ้า..ได้ยินเกิดแล้วเนี่ย จะไม่ให้ได้ยินก็ไม่ได้ใช่ไหมคะ ก็แสดงความเป็นธรรมะที่เป็นอนัตตาทั้งหมด ถ้าเข้าใจอย่างนี้นะคะ จะเข้าใจทุกอย่าง ไม่หลงผิดว่าเป็นเรา แต่รู้ว่าเราเนี่ยแยกออกได้ละเอียดยิบ ส่วนที่เป็นรูปธรรมก็อ่อนหรือแข็ง เย็นหรือร้อน ตึงหรือไหว ส่วนที่เป็นธาตุรู้ก็มีเห็น มีได้ยิน มีจำ มีคิด มีชอบ มีชัง มีสนุกสนาน มีเพลิดเพลิน มีโศกเศร้า นั่นคือสิ่งที่เป็นสภาพรู้
เพราะฉะนั้นธรรมะก็มี ๒ อย่างไม่ว่าโลกไหนนะคะ ในจักรวาลทั้งหมด สภาพธรรมะที่เกิดแต่ไม่รู้ เป็นรูปธรรม ใช้คำว่ารูปธรรม และสำหรับสภาพธรรมะอีกอย่างหนึ่งไม่มีรูปร่าง ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส เกิดแล้วต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด สภาพรู้เป็นนามธรรม เพราะฉะนั้นถ้าเราจะไปใช้ภาษาไทยอย่างที่ชอบเอาคำบาลีมาใช้นะคะ แต่ว่าไม่ได้ตรงตามความหมายที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ เช่น คำว่ารูปธรรมกับนามธรรม เข้าใจอย่างหนึ่ง
แต่พอศึกษาธรรมะ นะคะ รู้เลย ถ้าพูดถึงรูปธรรม ก็สิ่งใดก็ตาม สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งมีแต่ไม่รู้ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ เป็นรูปธรรม แต่สภาพที่ไม่มีรูปร่าง ร่างกายเลยนะคะ แต่เกิดขึ้นต้องรู้เป็นนามธรรม เพราะฉะนั้นที่เราว่า เป็นคน เป็นเรา ไม่ใช่ก้อนหิน ไม่ใช่แม่น้ำ ภูเขา เพราะเหตุว่ามีธาตุรู้ ซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่านามธรรม
แต่นามธรรมมี ๒ อย่าง เห็นไหมคะ พระปัญญาคุณยังแยกได้ ในสิ่งซึ่งมีในชีวิตประจำวันแต่ไม่มีรูปร่างจะปรากฏให้ไปจับต้องได้เลย เกิดขึ้นรู้ ยังแยกเป็น ๒ อย่างตามความเป็นจริงว่า เป็นจิตประเภทหนึ่งนะคะ แล้วก็เป็นเจตสิกอีกอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นจิตกับเจตสิก นี่ต่างกันอย่างไรในเมื่อเป็นสภาพรู้ เป็นนามธรรม จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏ ค่อยๆ เพิ่มคำทีละคำนะคะ
จิตเป็นธาตุรู้เกิดขึ้นไม่รู้ไม่ได้ เมื่อมีธาตุรู้ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ สิ่งที่ถูกรู้นะคะ ภาษาบาลีใช้คำว่าอารัมมณะแต่คนไทยออกเสียงว่าอารมณ์ วันนี้อารมณ์ดีไหม ถามคนไทยเนี่ย คนไทยตอบได้ไช่ไหมค่ะ อารมณ์ดีไหมคะ แต่ไม่รู้ว่าอารมณ์คืออะไร ไม่ตรงกับความเป็นจริง เราบอกว่าอารมณ์ดีเพราะเห็นสิ่งที่ดี ได้ยินเสียงดี ได้กลิ่นดี ลิ้มรสดี กระทบสัมผัสสิ่งที่ไม่ร้อนเกินไปเย็นเกินไป ใช่ไหมค่ะ
อารมณ์คือสิ่งที่จิตรู้ แต่เราไม่รู้หรอกว่าจิตกำลังรู้สิ่งที่ดี เราสบายใจ แล้วก็คิดว่าสบายใจนะเป็นเรา แล้วเราก็บอกว่าอารมณ์ดี แต่ถ้าศึกษาธรรมะ เปลี่ยนคำไม่ได้นะคะ จิตเป็นสภาพรู้ สิ่งที่ถูกจิตรู้เป็นอารมณ์ เพราะฉะนั้นเสียงในป่าเนี่ยมีแน่ๆ ใช่ไหมคะ เสียงกลางถนนก็มี เสียงนอกรั้วนี้ก็มี เสียงในห้องนี้ก็มี ทั้งหมดนะคะ เป็นสิ่งที่ถูกรู้ แม้ว่าจะมองไม่เห็น
สิ่งเดียวที่มีจริงไม่ว่าโลกไหน ที่มองเห็นคือสิ่งที่กระทบตาได้ แล้วธาตุรู้ก็เกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไป เห็นจะบอกว่าไม่มีสิ่งที่ถูกเห็นได้ไหมคะ ไม่ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อมีจิตต้องมีอารมณ์ นามธรรมเป็นสภาพรู้นะคะ เพราะฉะนั้นทั้งจิต และเจตสิกรู้อารมณ์ แต่จิตไม่ใช่เจตสิก เพราะเหตุว่าจิตเกิดขึ้นเป็นใหญ่ในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏหน้าที่เดียว แต่เจตสิกนี้ค่ะต่างกันหลากหลายเป็น ๕๒ ประเภท
ไม่ใช่เราเลยวันหนึ่ง วันหนึ่งนะคะ ถ้าศึกษาธรรมะอะไรเกิดขึ้น รู้เลยนั้นจิตหรือนี่เจตสิกไม่ใช่เรา แต่ก่อนเป็นเราโกรธใช่ไหมคะ ขุ่นเคืองใจ ขณะนั้นก็คือว่ากระทบกระทั่ง หยาบกระด้าง ลักษณะของโทสะหรือความโกรธ รู้จักโกรธกันทุกคนใช่มั้ยคะ แต่เป็นเราโกรธนี่ผิดละ ไม่มีเราเลย ถ้าโกรธไม่เกิดเราอยู่ใหน ก็ไม่มีเราโกรธ แต่พอโกรธเกิด เอาโกรธมาเป็นเราได้ยังไง ก็โกรธก็เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย และโกรธก็ดับ อยู่ตรงนี้ไม่เห็นโกรธเลย และโกรธหายไปไหน
เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดนี่นะคะ ดับไปไม่มีใครบังคับบัญชาได้ และก็ไม่ใช่ของใคร เป็นธรรมะ เพราะฉะนั้นคำแรกก็คือว่าทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรมะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรมะ ทรงแสดงธรรมะให้รู้ตามความเป็นจริงว่าทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรมะ เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร และไม่ใช่ใครด้วย ถ้าเอาชื่อออกนะคะ ไม่เรียกชื่อเลย โกรธอยู่ตรงไหนก็ตรงนั้นแหละโกรธ ใช่ไหมคะ
แต่พอมีชื่อ อ้าวคนนี้โกรธ คนนั้นโกรธ แต่ไม่ใช่ค่ะ เอาชื่อออกหมด โกรธตรงไหนก็เป็นโกรธตรงนั้น แล้วก็ดับด้วย แล้วไหนใครอยู่ที่ไหน เพราะฉะนั้นถ้าไม่เข้าใจธรรมะนะคะ เราก็สะสมความไม่รู้มานานแสนนาน จนกว่าจะมีผู้ที่เป็นโพธิสัตว์ สัตว์คือผู้ที่ข้องนะคะ เราเป็นสัตว์โลกเราข้องอยู่ในโลก คือในสิ่งที่เกิดดับ ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าเกิดดับ เราเกิดมาเถอะชอบหมด ใช่ไหมคะ อย่างไม่เคยเห็นดอกไม้ พอดอกไม้ปรากฏเป็นอารมณ์ให้จิตรู้ ก็ชอบ ติดข้องไปหมดทุกอย่าง เพราะฉะนั้นสัตว์โลกก็ติดข้องในโลก แม้แต่คำว่าโลกนี่นะค่ะจะไปหาคำนิยามจากใคร ก็ไม่ตรงเท่ากับคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1381
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1382
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1383
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1384
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1385
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1386
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1387
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1388
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1389
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1390
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1391
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1392
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1393
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1394
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1395
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1396
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1397
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1398
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1399
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1400
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1401
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1402
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1403
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1404
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1405
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1406
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1407
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1408
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1409
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1410
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1411
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1412
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1413
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1414
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1415
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1416
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1417
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1418
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1419
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1420
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1421
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1422
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1423
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1424
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1425
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1426
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1427
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1428
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1429
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1430
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1431
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1432
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1433
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1434
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1435
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1436
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1437
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1438
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1439
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1440