ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1430


    ตอนที่ ๑๔๓๐

    สนทนาธรรม ที่ เดอะวินเทจ เขาใหญ่

    วันที่ ๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๒


    ท่านอาจารย์ จนกว่าจะหมดสงสัย เพราะฉะนั้นกว่าจะหมดสงสัย ปัญญาระดับไหน โสตาปัตติมัคคจิตดับความสงสัย ซึ่งตราบใดที่เป็นปัญญาที่ยังไม่ถึงโสตาปัตติมัคคจิตนะคะ ก็ยังมีความสงสัย เพราะเหตุว่าอนุสัยอยู่ในจิตนี่คะ ดับได้ไม่เหลือ เพราะฉะนั้นอย่างพระอรหันต์เนี่ยไม่มีอนุสัยกิเลสไม่มีกิเลสอย่างบางที่สุด

    แม้ที่นอนเนื่องก็ไม่มีนะคะ ทุกประเภททุกชนิดไม่เกิดเลย เพราะฉะนั้นเราเห็นกับพระอรหันต์เห็นเนี่ยต่างกัน ทันทีที่เห็นดับไป สำหรับคนที่ไม่ใช่พระอรหันต์นะคะ ก็จะมีกุศล และอกุศลเกิดแล้วแต่จิตของแต่ละบุคคล แต่พระอรหันต์เห็นแล้วไม่มีกิเลสใดๆ เลยทั้งสิ้น แล้วทำไมเป็นไปได้ละคะ ธรรมเตชะ

    ผู้ฟัง บางทีผมก็ฟังท่านอาจารย์ในเว็บไซต์นะครับ ทุกอย่างที่ปรากฏเป็นนิมิตนะครับ เป็นรูปนิมิต เวทนานิมิต สัญญานิมิต สังขารนิมิต และก็วิญญาณนิมิต ซึ่งปรากฎทีละครั้งแล้วก็นิดเดียวเอง แล้วก็ปรากฏต่อเนื่องจะเป็นนิมิตให้เรารับรู้ได้นะครับ

    ท่านอาจารย์ จิตหนึ่งขณะนี้จะรู้ได้ไหม ธรรมดาๆ เนี่ยรู้ไม่ได้เลยใช่ไหมค่ะ นะคะ แต่ว่าจิตเกิดดับสืบต่อ จนปรากฏเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่รู้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเพราะเหตุว่ามีรูปร่างสัณฐาน ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่เห็นด้วยตา หรือแม้ไม่เห็นด้วยตา แต่ก็มีสัณฐานเช่นเสียงเนี่ยหลากหลายมาก

    เพราะฉะนั้นนิมิตของเสียง ก็สามารถที่จะทำให้รู้ว่าเป็นใครที่พูดใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นเสียงนั้นก็เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เหมือนเห็นได้ยินเนี่ย เห็นอยู่ตลอดเวลาเหมือนเสียงมีอยู่ ตราบที่เสียงปรากฏ แต่ความจริงขณะนั้นเสียงก็ต้องดับไป ทุกอย่างเร็วมากค่ะ แต่ก็มีโอกาสที่จะได้ฟังเพื่อรู้นะคะ แล้วละความไม่รู้

    แล้ววันหนึ่งนะคะ เมื่อถึงเวลาพร้อมด้วยปัจจัยก็จะทำให้ปฏิปัตติเกิดขึ้น ซึ่งไม่ใช่เรา ไม่ได้หวัง ไม่ได้รอ แต่รู้ความต่างกันของปริยัติกับปฏิบัติ เพราะเหตุว่าปริยัติเนี่ยเรากำลังฟังเรื่องของสิ่งที่มีในขณะนี้ ความเข้าใจยังไม่พอนะคะ เช่นพูดถึงเห็นเนี่ยไม่ได้รู้ตรงเห็น และความเข้าใจเห็นเนี่ยยังไม่พอที่จะรู้ว่าไม่ใช่เรา

    ทุกคนสามารถที่จะรู้แข็งใช่ไหมคะ ก่อนฟังธรรมะก็แข็ง ฟังธรรมะแข็งก็ไม่เปลี่ยน แต่ได้ยินได้ฟังรู้ว่าแข็งมีจริง แล้วก็แข็งไม่ใช่เรา แต่ขณะที่แข็งปรากฏ ขึ้นอยู่กับปัญญาใช่ไหมคะ อย่างคนที่ไม่เคยฟังธรรมะเลย อย่างเด็กๆ เนี่ยแข็งไหม เด็กก็ตอบว่าแข็ง คนที่ฟังธรรมะแล้วแข็งไหม ก็ตอบว่าแข็ง ใช่ไหมคะ

    แต่แข็งไม่ใช่เรา ไม่ใช่เพียงแค่แข็ง อย่างเด็กตอบว่าแข็ง ผู้ใหญ่ตอบว่าแข็ง คนที่ฟังธรรมะมาแล้วก็ตอบว่าแข็ง แต่ขณะที่แข็งปรากฏกับปัญญาที่เจริญแล้ว แข็งนั้นต่างกับแข็งที่คนอื่นไม่รู้ใช่ไหมคะ ว่าเป็นแต่เพียงสิ่งที่เกิดขึ้นมีจริงเป็นอย่างนั้น ฟังไปเรื่อยๆ ค่ะ ด้วยความไตร่ตรองนะคะ ฟังแล้วคิดไตร่ตรองแล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น

    อ.วิชัย ความไม่รู้มากไหมครับ

    ผู้ฟัง เยอะมากครับ

    อ.วิชัย ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ทั้งหมดเลย ความไม่รู้เกิดได้ทุกทางไม่เว้นเลย ดังนั้นกว่าปัญญาจะค่อยๆ เกิด จากความไม่รู้สู่ความค่อยๆ เข้าใจขึ้น เหมือนฟังขณะนี้

    ก่อนฟังก็ไม่รู้ว่าเห็นคืออะไรแต่ฟังก็ค่อยๆ พิจารณาว่าเห็นมี เป็นธาตุรู้ไม่ใช่เรา และไม่ใช่ตัวตน แต่เป็นธรรมะที่เกิดเพราะมีปัจจัย แต่ว่าความละเอียดก็ต้องศึกษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนเข้าใจขึ้นอีก เข้าใจขึ้นอีก จนมั่นคงนะครับ ว่าไม่มีเรา

    แม้แต่ขณะนี้ก็ไม่มีเรา แต่ว่าความหลงลืม ความที่อกุศลเนี่ยยังมาก ก็ยังเป็นปัจจัยให้เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ แต่ก็เป็นปกตินะครับ ของสภาพธรรมะที่มีปัจจัยเกิดขึ้นเป็นไป แต่ว่าความเข้าใจเนี่ยครับเกิดขึ้นเข้าใจอกุศลได้ไหมครับว่าเป็นธรรมะ

    ผู้ฟัง เข้าใจได้ครับ

    อ.วิชัย เข้าใจได้ด้วยความรู้ เห็นไหมครับ ศึกษาว่าโลภะความติดข้องก็ต้องเป็นโลภะ ห้ามการเกิดขึ้นของโลภะได้ไหมครับ

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    อ.วิชัย ไม่ได้ ห้ามการเกิดขึ้นของโทสะได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    อ.วิชัย ไม่ได้ แต่การฟังพระธรรมเป็นเหตุให้กุศลเกิดใช่ไหม

    ผู้ฟัง เกิดเมื่อรู้ ว่าเป็นกุศล

    อ.วิชัย เป็นเมื่อเกิด เป็นปัญญาที่เกิดขึ้นเข้าใจถูกต้องครับ เมื่อมีความเข้าใจรู้ไหมว่าอกุศลเนี่ยเป็นโทษ

    ผู้ฟัง เข้าใจครับ

    อ.วิชัย ค่อยๆ เข้าใจขึ้นครับ ว่าอกุศลเนี่ยครับ เกิดกับความไม่รู้แน่นอน ไม่สามารถจะเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงได้

    ท่านอาจารย์ ตอนนี้หลงลืมสติหรือเปล่าคะ เห็นไหมค่ะ ถามถึงปัญญาระดับไหน ขณะนี้หลงลืมสติหรือเปล่า เพราะว่าอกุศลมีก็ไม่รู้ ใช่ไหมคะ หลงลืมสติ สติไม่เกิด เพราะฉะนั้นเวลาที่ฟังเข้าใจ ขณะนั้นไม่ได้หลงลืม ในสิ่งที่กำลังได้ยินได้ฟัง และกำลังรู้ว่า หมายความถึงสิ่งที่มีจริง และเมื่อฟังแล้วก็เข้าใจในความจริงของคำที่ได้ฟัง

    ขณะนั้นไม่หลงลืมนะคะ แต่ว่าไม่รู้ว่าไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นหลงลืมสติ คือขณะที่อกุศลเกิดตามลำดับขั้น ขณะที่ฟังสติต้องมีแน่ในขณะที่เข้าใจ สติไม่ใช่เรานะคะ เพราะฉะนั้นสติจึงเข้าใจแล้วก็ดับไป แล้วก็หลงลืม ใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นแต่ละคนก็จะรู้ว่าหลงลืมมากหรือน้อย ไปบอกคนอื่นเขาได้ไหม ให้คนอื่นเขามาบอกเราได้ไหม

    แม้เราเองเนี่ยถามว่าหลงลืมสติมากไหม ถ้าบอกว่ามาก ตอนไหน ถ้าบอกว่าน้อย ก็ตอนไหน ก็หมดไปแล้วก็ไม่รู้ ใช่ไหมคะ เพราะไม่ใช่สติอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งขณะนั้นไม่ใช่เรา นี่ก็แสดงให้เห็นว่ากำลังของปัญญาเนี่ย ต้องมีเพิ่มขึ้น จึงสามารถที่จะเห็นในความไม่ใช่เราเพิ่มขึ้น ขณะนี้ไม่ใช่เราเพียงขั้นฟังเข้าใจ

    แต่ก็ยังเป็นเรา ยังเป็นเขาที่ปรากฏ ยังเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้นขณะที่หลงลืมสตินะคะ ก็คือขณะที่ไม่ได้เข้าใจธรรมะ แต่ว่าขณะที่เข้าใจธรรมะด้วยความเป็นเรา ตรงที่เป็นเราก็คือหลงลืมสติ สติขั้นทานมีไหมคะ

    ผู้ฟัง มีครับ

    ท่านอาจารย์ คะ เพราะสติเป็นโสภณสาธารณเจตสิกนะคะ เกิดแล้วจิตเป็นกุศล เพราะสติระลึกเป็นไปในกุศล

    ผู้ฟัง ลักษณะที่หลงลืมสตินี้ก็เป็นธรรมะใช่ไหมครับ

    ท่านอาจารย์ เห็นไหมคะรอบรู้หรือยัง ทุกอย่างที่มีจริง แสดงให้เห็นว่ากว่าเราจะมีความมั่นคงนะคะ ว่าสิ่งที่มีนั่นแหละเป็นธรรมะ อะไรมี เกิดขึ้นมีเป็นอย่างนั้น ก็คือธรรมะทั้งหมด

    ผู้ฟัง สติเกิดระลึกรู้สภาพธรรมะที่ปรากฏที่เป็นสติปัฏฐานก็คือ เกิดจากการฟังพระธรรมจนเข้าใจใช่ไหมครับ

    ท่านอาจารย์ คะ แต่ต้องรู้นะคะ ว่าขณะไหนเป็นสติขั้นฟัง ขณะไหนเป็นสติปัฎฐานซึ่งต้องประกอบด้วยปัญญาสำเร็จจากการฟัง เพราะเหตุว่าเวลาที่เราฟังเนี่ยนะคะ เราเข้าใจแค่ไหน ใช่ไหมคะ ถ้าเข้าใจนิดเดียวก็ไม่เป็นปัจจัยที่จะถึงปฏิปัตติ แต่ว่าถ้าเรารอบรู้จริงๆ มั่นคงจริงๆ นะคะ เราไม่ได้คอย เราไม่ได้ทำ เราไม่ได้หวัง

    เหมือนอย่างเห็นเดี๋ยวนี้ค่ะ ก็เกิดตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้นสติสัมปชัญญะ สติปัฏฐานก็เกิดขึ้นโดยนัยนั้นคือต้องเป็นอนัตตา หนทางนี้นะคะ เป็นหนทางของอนัตตาโดยตลอดเพราะความจริงคือไม่มีเรา ไม่ใช่เรา ไม่ได้อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของเรา เพราะฉะนั้นบางทีบางคนนะคะ ก็คิดว่าสติเกิด เลยทำสติต่อไปใช่ไหมคะ

    เพราะยังมีการคิดว่าเนี่ยเป็นสติ เพราะฉะนั้นก็ให้มีสติต่อไปอีก ต่อไปอีก แต่ความจริงต้องรู้ว่าขณะนั้นนะโลภะอยู่ไหน โลภะนี้ไม่มีใครเห็นเลยนะคะ ไปด้วยไม่ว่าจะเมื่อไหร่ที่ไหนจะนั่ง จะนอน จะทำอะไรทั้งหมดนะคะ ขาดโลภะไม่ได้เลย เพราะว่าแค่หลังจากเห็นก็โลภะแล้ว เพราะฉะนั้นจึงเป็นผู้ที่ไม่ประมาทจริงๆ ว่านะคะ

    ปัญญาเท่านั้นที่จะรู้ว่าสติขณะที่ฟังไม่ใช่สติที่เป็นสติปัฏฐาน ที่ต้องประกอบด้วยปัญญาที่ได้เข้าใจแล้วจากการฟัง เวลานี้นะคะ ทุกคนกระทบแข็งเป็นสติปัฏฐานก็ได้ไม่เป็นก็ได้ ไม่ใช่ว่าพอรู้แข็งนั้นจะต้องเป็นสติปัฎฐาน แต่ขึ้นอยู่กับความเป็นผู้ตรงนะคะ กำลังเข้าใจในความไม่ใช่เรา เห็นไหมคะต่างกับขณะที่แค่รู้แข็งธรรมดา

    เพราะฉะนั้นความเข้าใจว่าไม่ใช่เราเกิดในขณะที่สิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ ไม่มีใครไปทำให้ความเข้าใจอย่างนั้นเกิดได้ แต่ว่าเพราะอาศัยการที่ฟังแล้วนะคะ เวลาที่กระทบสัมผัสความเข้าใจนั้นเกิดเมื่อถึงพร้อมด้วยปัจจัย โดยความเป็นอนัตตาต้องมั่นคงว่าโดยความเป็นอนัตตา

    มิฉะนั้นแล้วนะคะ เวลาโลภะเกิดแทรกก็ไม่รู้ว่า แม้โลภะที่เกิดยินดีบ้างนิดเดียวใช่ไหมคะ ก็มีปัจจัยที่จะต้องเกิดไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นถ้าจะเดือดร้อน ถ้าจะอยากได้ หรือถ้าจะอะไรทั้งหมดนะคะ ก็คือขณะนั้นลืมว่าเป็นธรรมะ แต่สภาพธรรมะเกิดได้ทุกอย่าง ทั้งฝ่ายกุศล และอกุศลนะคะ เพราะมีปัจจัยที่จะเกิดจึงเกิด

    แต่ปัญญาที่อบรมแล้วต่างหากที่ถึงเวลาจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจสภาพธรรมะนั้น เพราะฉะนั้นในขณะที่ท่านเขมกะแสดงธรรมะ รู้แจ้งอริยสัจธรรม เพราะฉะนั้นไม่เลือกเลยค่ะ โดยความเป็นอนัตตา ถ้าใครไปนั่งรอนั่งคอยก็ไม่มีวันที่จะเป็นได้ เพราะว่าขณะนั้นเป็นโลภะเป็นเรา และจะไปเห็นความไม่ใช่เราได้ยังไง ถ้าโลภะไม่เกิดมีประโยชน์ไหมคะ

    ผู้ฟัง ผมเข้าใจว่าโลภะก็เกิดเพื่อให้สติระลึกรู้ได้

    ท่านอาจารย์ คะ ถ้าโลภะไม่เกิดจะไม่รู้จักโลภะ และถ้าโลภะไม่เกิด ไม่ได้หมายความว่าหมดโลภะ เพียงแค่โลภะไม่เกิด ใช่ไหมคะ แต่โลภะที่เกิดแล้ว ปัญญาสามารถที่จะรู้ได้ มิฉะนั้นก็ละโลภะไม่ได้ ด้วยเหตุนี้นะคะ ไม่ต้องเดือดร้อนเวลาที่โลภะเกิด บังคับบัญชาไม่ได้ก็จริงนะคะ

    แต่ปัญญามีกำลังพอที่จะรู้ไหมว่าไม่ใช่เรา ไม่อย่างงั้นก็กี่วันก็ยังนึกถึงใช่ไหมคะ ผ่านไปแล้วตั้งหลายวันก็มานั่งถามว่า ตอนนั้น ถ้าวันนั้น ที่เป็นอย่างงี้ มันคืออะไรโลภะใช่รึเปล่า ยังใส่ใจ ยังจำ ยังหวัง ยังยากที่จะรู้ และก็ไม่รู้ว่าขณะนั้นนะคะ ไม่ใช่เรา แต่เป็นโลภะในรูปแบบต่างๆ ไม่เคยห่างไกลไปเลย

    เพราะฉะนั้นแม้วิปัสสนาญาณเกิดแล้วนะคะ โลภะก็ยังเกิดได้ ถ้าไม่เกิดปัญญาก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นหนทางนี้ เป็นหนทางที่ละเอียดมากนะคะ และก็เป็นเรื่องของปัญญาละเอียดเพราะต้องเป็นเรื่องของการละค่ะ และการละจะมาแต่ไหน ในเมื่อสะสมความไม่รู้ความติดข้องมาแสนนานก็ต้องมาจากความเข้าใจธรรมะที่มั่นคงขึ้น

    อ.วิชัย ดังนั้นความเข้าใจในขั้นปริยัตินี้เองครับ ที่จะเป็นผู้ที่มั่นคงแล้วไม่หวั่นไหวที่จะไม่กระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดตามอำนาจของโลภะ อยากให้มีสติไปทำสิ่งนั้นสิ่งนี้จดจ้อง นั้นด้วยอะไรทั้งๆ ที่สิ่งที่เกิดแล้วไม่รู้คิดดูนะครับ แต่ไปทำที่จะให้รู้นี่ก็คือความต่างกันของปัญญากับโลภะที่เขาขวนขวายแสวงหาที่จะให้ทำอย่างโน้น ให้ทำอย่างนี้

    แต่ว่าความละเอียดของความเป็นสภาพธรรมะนี่ครับที่จะค่อยๆ รู้ ค่อยๆ ละอกุศล โดยเฉพาะเรื่องของความติดข้องความต้องการซึ่งสะสมมานานมากแล้วก็ขวนขวายไปแทบจะทุกๆ ทางเลยใช่ไหมครับ โลภะมากในแต่ละวัน แต่ว่าการที่จะอบรมเจริญปัญญาเป็นเรื่องของการละโลภะ ละความติดข้องด้วยความรู้

    ถ้าไม่มีความเข้าใจจะไปละโลภะได้ยังไง ในเมื่อโลภะเกิดเขาก็ทำหน้าที่ของโลภะไป แต่ไม่รู้ ก็หลงคิดว่าขณะนั้นเป็นเราที่สามารถจะกระทำได้ แต่ปัญญาเนี่ยรู้ เข้าใจถูก เป็นสติหรือไม่ใช่สติ ปัญญาที่เกิดจากการได้เข้าใจธรรมะก็ค่อยๆ รู้ขึ้น ไม่ใช่จะพยายามที่จะรู้ก็ไม่ถูกอีก

    เพราะว่าเมื่อยังไม่รู้ ก็คือยังไม่รู้ใช่ไหมครับ แต่ความรู้ที่เกิดจากการฟังการสนทนานี้แหละ ค่อยๆ ปรุงแต่งให้เกิดความรู้ว่าสติขั้นฟังก็มี ขั้นไตร่ตรองพิจารณาจนสามารถที่จะถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมะ นี่ก็คือความต่างกัน แต่ก็เป็นเรื่องของการปรุงแต่งของสภาพธรรมะ

    ท่านอาจารย์ ฟังธรรมะเมื่อไหร่ เพื่อเข้าใจนะคะ เพราะฉะนั้นขณะนั้นนะรู้ไหมว่ากำลังค่อยๆ เอากิเลสออก ไม่อย่างงั้นก็ไปหาทางเอากิเลสออก ไม่ทำอย่างนั้น ไม่ทำอย่างนี้นะค่ะก็ไม่ใช่ นั่นด้วยกิเลสต่างหากที่ทำให้ต้องการอย่างนั้นนะคะ จึงไปทำอย่างนั้นเพื่อหวังอย่างนั้น

    แต่ว่าตามความเป็นจริงก็คือว่าฟังธรรมะเมื่อไหร่ เรารู้จุดประสงค์ของเราใช่ไหมคะฟังเพื่อเข้าใจ เพราะฉะนั้นในขณะที่ฟังคือขณะที่กำลังเอากิเลสออกทีละเล็กทีละน้อย หนทางอื่นไม่มีคะ มีหนทางเดียว ธรรมะก็เป็น จิต เจตสิก รูป นะคะ แต่ทำไมทรงแสดงว่าขันธ์

    ผู้ฟัง ถ้าเป็นขันธ์ก็จะแบ่งลักษณะเป็น ๕ ขันธ์ ใช่ไหมครับ

    ท่านอาจารย์ คะ อันนี้แบบหนังสือใช่ไหมคะ แต่ถ้าตามความเป็นจริงก็คือว่าแต่ละหนึ่งเกิดแล้วดับไม่กลับมาอีก เพราะฉะนั้นขันธ์ก็คือสิ่งที่เกิดดับไม่กลับมาอีก จึงเป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน ขันธ์อดีตไม่ใช่ขันธ์ปัจจุบัน ไม่ใช่ขันธ์อนาคต เพราะฉะนั้นจะรู้อดีตได้ยังไงถ้าขณะนี้ไม่มี ใช่ไหมคะ

    แต่เพราะขณะนี้มีแล้วดับจึงรู้ว่าเป็นอดีตไปแล้ว และสิ่งที่เป็นอนาคตที่ยังไม่เกิด ต้องมีจึงได้เกิดต่อจากการที่ดับไป เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นละเอียดขึ้นนะคะ ว่าที่กล่าวว่าขันธ์ ไม่ว่ากล่าวว่าเป็นธรรมะแล้ว เพราะเหตุว่าเราให้มีความเข้าใจมั่นใจอย่างถูกต้องนะคะ

    ไม่คลาดเคลื่อนว่าไม่กลับมาอีก อดีตเป็นอดีต ปัจจุบันเป็นปัจจุบัน อนาคตก็เป็นอนาคต เพราะฉะนั้นการเข้าใจแต่ละคำเนี่ยก็ทำให้มีความเข้าใจที่มั่นคงว่าด้วยเหตุใดพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงแสดงธรรมะโดยนัยของขันธ์ ให้เห็นจริงๆ ว่าไม่มีเราค่ะ ที่ดับไปแล้วจะเป็นเราได้อย่างไรที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ก็ดับจะเป็นเราได้อย่างไร

    ที่ยังไม่เกิดแต่จะเกิดก็ตามเหตุตามปัจจัย จะเป็นเราได้อย่างไร เพราะฉะนั้นการพิจารณาความจริงของแต่ละคำที่ละเอียดขึ้นนะคะ ก็ค่อยๆ น้อมไปสู่การไม่ใช่เรา ไม่มีอย่างอื่นที่จะน้อมไปสู่การไม่ใช่เราได้เลย นอกจากความเข้าใจธรรมะที่ละเอียดขึ้น

    และนอกจากนั้นนะคะ ก็ยังต่างกันเป็น อุปาทานขันธ์ ไม่ใช่เพียงคำว่าขันธ์นะคะ ทำไมจึงมีคำว่าอุปาทานขันธ์ ทำไมมีคำว่าอุปาทานเพิ่มขึ้น เพื่อให้เห็นว่าความติดข้องเนี่ยติดข้องไม่เว้น เห็นไหมคะ ไม่ว่าสิ่งที่มีจริงนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม ความติดข้องไม่เว้น ติดข้องในรูปหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ติดครับ

    ท่านอาจารย์ มาก อุปาทานขันธ์ รูปูปาทานขันธ์ รูปเป็นที่ตั้งของความยึดมั่นติดข้อง อย่างมั่นคงเลยค่ะอุปาทาน นะคะ แล้วก็เวทนูปาทานขันธ์ นอกจากรูปขันธ์แล้วนะคะ เวทนาขันธ์คือสภาพที่รู้สึกดีใจ เสียใจ สุข ทุกข์ หรือว่าทุกข์กาย สุขกายนะคะ ที่มีในชีวิตประจำวันทั้งหมดเนี่ยเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย

    ขันธ์นี่คือไม่มีทางที่จะกลับมาอีก เพราะฉะนั้นค่อยๆ ละคลายไหม ว่าจะมีเราไม่ได้ ถ้าขณะนี้เป็นเราก็หมดแล้ว ดับแล้ว เราจะอยู่ที่ไหน เพราะฉะนั้นความเข้าใจละเอียดขึ้นนะคะ ก็จะทำให้เห็นว่าเราติดข้องในรูปด้วย โดยไม่รู้สึกตัวเลย เพราะเราก็ติดข้องในความรู้สึก ทุกคนอยากจะมีความสุข หาความสุข ตลอดชีวิต

    ยึดมั่นในความรู้สึกที่เป็นสุข ทั้งๆ ที่สุขเวทนาก็แค่เกิดแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก เพราะฉะนั้นย้ำอยู่ตลอดเวลาว่าสิ่งที่มีทั้งหมด แม้แต่ความรู้สึกนี่คะ เป็นสุข หรือเป็นทุกข์ ดีใจ เสียใจ ทุกข์กาย ทุกข์ใจ ยังไงก็ตามแต่ หรือความรู้สึกไม่สุขไม่ทุกข์นะคะ ก็เพียงแค่เกิดขึ้นดับ แต่เพราะไม่รู้จึงเป็นที่ตั้งของความยึดถือ

    ถ้าไม่ได้สุขก็ขอเพียงไม่สุขไม่ทุกข์ ใช่ไหม อย่าขอให้ถึงกับทุกข์เลย เห็นไหมคะ ไม่ปรารถนาเพราะยึดมั่นในความรู้สึกว่าต้องการความรู้สึกที่ดี เพราะความรู้สึกยึดมั่นว่าเป็นเรา เพราะฉะนั้นที่เติมคำว่าอุปาทานก็เพื่อให้เห็นว่าเราติดข้องในอะไรบ้างนะคะ เพราะฉะนั้นถ้าขณะนี้มีความรู้สึกไหมคะ

    ผู้ฟัง มีครับ

    ท่านอาจารย์ ยังเป็นเรา เห็นไหมคะ กว่าจะพ้นไปได้ แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่งนี่คะ ให้รู้ตามความเป็นจริงว่ามหาศาลมากมายเหลือเกินที่ได้ติดไปแล้ว กว่าจะปลดเปลื้อง ละวางออกไปได้ใช่ไหมค่ะค่อยๆ เข้าใจขึ้น นอกจากนั้นสัญญาสภาพจำ ลืมสนิทว่าทุกขณะอยู่ในโลกของความจำ ถ้าไม่จำจะปรารถนาไหมคะ

    ความรู้สึกสุขหมดแล้ว จำไม่ได้ ไม่สนใจไม่รู้ก็ไม่ปรารถนา แต่นี่สภาพจำ จำทุกอย่างไม่เว้นเลย เพราะฉะนั้นเมื่อเห็นสิ่งใดนะคะ พอใจในสิ่งนั้นก็จำสิ่งนั้นไว้ อยากจะได้สิ่งนั้นอีก ไม่ใช่อยากได้อย่างอื่น อยากได้สิ่งนั้นแหละที่พอใจที่ต้องการ เพราะฉะนั้นก็แสวงหาด้วยความยึดมั่นนะคะ เพราะจำ โดยเฉพาะจำว่าเป็นเรา

    ตื่นขึ้นมาก็ไม่ต้องบอกเลยใช่ไหมคะ อยู่นั่นแหละทุกขณะไปเลย แล้วเมื่อไหร่จะรู้ว่าเป็นเพียงแค่สภาพธรรมะที่เป็นขันธ์ และก็เป็นที่ตั้งของความยึดถือด้วย จนกว่าจะมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น ในรูป ในความรู้สึก ในความจำ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ ทั้งหมดที่ไม่ใช่เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ เจตสิกที่เหลือทั้งหมดนะคะ ติดข้อง

    และวิญญาณขันธ์ก็เป็นอุปทานด้วย วิญญูปาทานขันธ์ แล้วจะไปไหนค่ะ พ้นจากการติดข้องได้ไหมถ้าไม่ได้ฟังธรรมะให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น จำว่าเป็นเราตรงไหนล่ะ ตรงที่กำลังมี กำลังเห็นนี่แหละ ใครบอกว่าไม่จำ ใครบอกไม่ได้จำว่าเป็นเราใช่ไหมคะ จำอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นธรรมะก็คือเดี๋ยวนี้ค่ะ สอดคล้องกันทั้งหมด

    สามารถที่จะเข้าใจคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้วได้โดยนัยหลากหลาย ติดข้องในปัญญาไหมคะ ไปสำนักปฏิบัติอยากจะได้เหลือเกินใช่ไหมคะ แต่ติดข้องไม่ใช่เรา จนกว่าจะรู้ว่าไม่ใช่เรา และปัญญาก็ไม่ใช่เรา ทุกอย่างไม่ใช่เราเป็นธรรมะ เพราะฉะนั้นคำว่าธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตานี่คะ จะเป็นทางที่นำไปสู่ความที่จะละความเป็นเรา

    ผู้ฟัง เรียนถามท่านอาจารย์ครับ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หรือ จิต เจตสิก รูป นี่ครับอาจารย์ครับ มีเฉพาะในปัจจุบันใช่ครับ เพราะว่าถ้าเราคิดถึงอดีต ก็คือคิด ณ ปัจจุบัน ถ้าคิดถึงอนาคต ก็คือคิด ณ ปัจจุบันก็แสดงว่าสภาพธรรมทั้งหมดมีอยู่ ณ ปัจจุบันเท่านั้น ใช่ไหมครับ

    ท่านอาจารย์ คะ เพราะอะไรค่ะ

    ผู้ฟัง เพราะเกิดแล้วตอนนี้

    ท่านอาจารย์ แล้วอะไร

    ผู้ฟัง แล้วก็ดับ

    ท่านอาจารย์ แล้วไม่กลับมาอีก จึงเฉพาะขณะที่มีเท่านั้นที่จริง ดับแล้วสิ่งที่ว่าจริงนะอยู่ไหน ไม่เหลือเลยค่ะ ต้องรู้ว่าไม่เหลือเลย จึงสามารถที่จะค่อยๆ คลายความยึดมั่นได้ ขึ้นอยู่กับปัญญาที่เข้าใจความว่าไม่เหลือเลยเนี่ย แค่ไหน

    ถ้ายังไม่ประจักษ์แจ้งนะคะ ไม่มีทางที่จะเหมือนกำลังประจักษ์การเกิดและดับ ของสภาพธรรมะเดี๋ยวนี้ ซึ่งกำลังเกิดและดับไม่ต้องไปที่ไหนเลย นี่คือปุณญเตชะ มาจากปัญญาเตชะ ความค่อยๆ เข้าใจทีละน้อย จนกระทั่งถึงการที่จะดับความเป็นตัวตนได้

    ผู้ฟัง เรียนท่านอาจารย์สุจินต์นะครับ ไม่รู้ว่าต้องมีรูปแบบไหมเวลาปฏิบัติสมาธินะครับ

    ท่านอาจารย์ คะ รู้ไหมค่ะ ว่าเวลาที่เราอยากจะรู้อะไร เราต้องการเข้าใจเฉพาะสิ่งที่เราต้องการฟัง แต่ความจริงฟังแล้วเราจะไม่เข้าใจ

    ผู้ฟัง ครับ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นแสดงเห็นว่านะคะ ถ้าเราเริ่มฟังธรรมะเมื่อไหร่ เราจะรู้ทันทีเมื่อได้เข้าใจถูกต้องแล้วว่าอะไรถูกอะไรผิด

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 190
    4 พ.ย. 2568