ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1417


    ตอนที่ ๑๔๑๗

    สนทนาธรรม ที่ ร้านโป๊ดเรสเตอรอง

    วันที่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๑


    ท่านอาจารย์ ขอปัญญาจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ ขอได้ไหมคะ ไม่มีทางจะให้ใครได้เลยนะคะ แต่คำของพระองค์ทุกคำไม่เคยได้ยินมาก่อน และคนอื่นก็ไม่สามารถที่จะกล่าวให้เข้าใจได้ แต่คำของพระองค์ทุกคำเนี่ยพูดถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นก็ย่อมสามารถที่จะเข้าใจได้ว่าไม่พูดถึงอย่างอื่น

    ด้วยเหตุนี้นะคะ ลองตอบ กรรมคืออะไร ค้ะ ตอบได้แน่นอนค่ะ คำเดียวธรรมะ ใช่ไหมคะ กรรมมีจริง กรรมไม่ใช่เรา กรรมเป็นธรรมะ ไม่อย่างนั้นก็เราทำกรรม กรรมของเรา เรารับผลของกรรม ก็ไม่ตรงสักที ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสักที เพราะฉะนั้นรู้จักคำแรกก็คือว่าธรรมะ ต่อไปก็คือมั่นคงว่าธรรมะเป็นธรรมะเป็นอื่นไม่ได้

    ทุกคำที่ได้ตรัสไว้แล้วเปลี่ยนไม่ได้เลยนะคะ ธรรมะต้องเป็นธรรมะ เพราะฉะนั้นธรรมะทั้งหลายนี่คะ เป็นอนัตตา ไม่เคยรู้คำนี้มาก่อนเลยนะคะ เห็นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดทุกครั้ง เห็นเป็นคน เห็นเป็นแก้วน้ำ เห็นเป็นรองเท้า เห็นเป็นรูปภาพ

    เดี๋ยวนี้ก็เป็นอย่างนั้น เพราะไม่ได้รู้ความจริงว่าแท้ที่จริงแล้วนะคะ ทุกสิ่งทุกอย่างเนี่ยสามารถแตกย่อยละเอียดยิบ เอารูปธรรมก่อนก็ได้ ใช่ไหมคะ ขณะนี้รวมกันเป็นดอกไม้ ทำให้ไม่เป็นดอกไม้ได้แต่จะไม่ให้เป็นธรรมะไม่ได้ เพราะฉะนั้นจะทำยังไงไม่ให้เป็นดอกไม้

    อ.วิชัย ก็อาจจะฉีกทีละกลีบออกมาครับท่านอาจารย์ ก็จะไม่ได้เป็นดอกอย่างที่รวมกันอยู่แต่ว่าเป็นกลีบแต่ละกลีบครับท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ และกลีบแต่กลีบยังแยกให้ละเอียดยิบ กลีบก็ไม่มี มีสิ่งที่อ่อนหรือแข็ง เย็นหรือร้อน ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่คะ ทรงแสดงความจริงถึงที่สุด เพราะฉะนั้นนี่คือรูปธรรม แตกย่อยได้หมดค่ะ ทุกอย่างไม่เว้นเลย

    ผู้ฟัง กระทำเป็นพวงมาลัยได้ครับ

    ท่านอาจารย์ ได้ แล้วจะแตกย่อยได้ ก่อนจะเป็นพวงมาลัยมาจากไหนทีละดอกใช่ไหม และก่อนจะเป็นทีละดอกต้องมีทีละกลีบรวมกัน เพราะฉะนั้นความคิดของเราเนี่ยเราคิดเฉพาะสิ่งที่เราเห็นแล้วเราคุ้นเคยนะคะ แต่ธรรมะไม่มีใครรู้จัก จนกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงตรัสรู้และทรงแสดง

    เพราะฉะนั้นเป็นรูปธรรมเนี่ยไม่สงสัยใช่ไหมคะ สามารถแตกย่อยละเอียดยิบได้ไม่เหลือเลย ตาอยู่ทาง หูอยู่ทาง แขนอยู่ทาง จมูกอยู่ทาง ไหนเรานี่ยังหยาบและเอาส่วนต่างๆ เหล่านั้นไปย่อยให้ละเอียดยิบก็ไม่เหลือเลยนอกจากธรรมมะ ซึ่งเป็นธรรมดาของสิ่งนั้น นี่คือรูปธรรม นามธรรมก็แยกได้ เพราะไม่ใช่นามธรรมเดียว

    จิตเป็นจิต เจตสิกแต่ละหนึ่งเป็นเจตสิกแต่ละหนึ่ง เอาเจตสิกสักหนึ่งมาเป็นจิตก็ไม่ได้ เอาเจตสิกหนึ่งนี้ไปเป็นเจตสิกอื่นก็ไม่ได้ เพราะธรรมะเป็นธรรมดา ต้องเป็นไปตามธรรมะนั้นๆ เป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นนะคะ ขณะนี้มีธรรมะใช่ไหมคะ แล้วก็ธรรมะที่มีขณะนี้ที่เป็นรูปธรรมไม่รู้อะไรเลยก็มี

    เห็นไหมคะ ทำไมพูดบ่อยๆ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา จนกว่าจะมีความเข้าใจมั่นคงว่าเป็นธรรมมะก่อน แล้วถึงจะค่อยๆ รู้ขึ้น รู้ขึ้นนะคะ เพราะเหตุว่าถ้าไม่รู้แม้แต่ว่าเป็นธรรมะ จะไปรู้อะไรได้ ไม่มีทางเป็นไปได้เลย จึงต้องฟังด้วยความเคารพมั่นคง สัจจะ จริงใจ ว่ารู้แค่ไหนตรงแค่ไหน ถูกต้องแค่ไหน

    เพราะฉะนั้นขณะนี้นะค่ะไม่มีความสงสัยในธรรมะ สิ่งที่มีจริงทั้งหมดเป็นธรรมะ ไม่มีความสงสัยในนามธรรมและรูปธรรม รูปธรรมไม่รู้อะไร ดุดอกไม้ได้ไหมค่ะ ไม่รู้เรื่องเสียเวลาเปล่าๆ นะคะ นี่ก็แสดงให้เห็นว่าสภาพที่ไม่รู้เนี่ยจะรู้ไม่ได้เลย แต่ถ้าไม่มีธาตุรู้อะไรๆ ก็ไม่ปรากฏ ที่เป็นโลกปรากฏ

    เห็นการเกิดดับไหมว่ามากมายมหาศาลแค่ไหน แต่ละหนึ่งรอบข้างมากมายนับไม่ถ้วน นี่คือพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้การเกิดดับแต่ละหนึ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้ฟังนะคะ เป็นความจริง ที่เมื่อไหร่รู้ ก็รู้ว่านี่เป็นส่วนน้อยที่สุดนะคะ เพราะว่าท่านพระสารีบุตรรู้แค่ไหน พระมหาสาวกคนอื่นรู้แค่ไหน

    แล้วเรายุคนี้ สมัยนี้จะรู้ได้แค่ไหน เพราะฉะนั้นก็ฟังพระธรรมด้วยการละความติดข้อง ด้วยความต้องการ เพราะรู้ว่าไม่มีถ้าไม่เกิดขึ้น และถ้าไม่มีปัจจัยที่จะเกิดขึ้นก็เกิดไม่ได้ หวังไปเถอะว่าจะเป็นอะไร ไม่มีเหตุปัจจัยที่จะให้เกิดเป็นไปไม่ได้ ด้วยเหตุนี้นะ กรรมคืออะไรคะ

    ผู้ฟัง เจตนาเจตสิกคะ

    ท่านอาจารย์ ยังไม่ถึงเลยค่ะ ยังไม่ได้เอ่ยคำนี้เลย แต่ต้องมีความมั่นคงนะคะ ว่าต้องเป็นนามธรรม จากธรรมะ กรรมไม่ใช่รูป โต๊ะทำอะไรไม่ได้ อยู่ตรงเนี้ย ไปไหนก็ไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้นะคะ แต่นามธรรมเป็นธาตุรู้ เพราะฉะนั้นสภาพรู้เป็นกรรม เพราะสามารถที่จะเป็นลักษณะดีหรือชั่ว ซึ่งมีปรากฏในชีวิตประจำวัน

    เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจความต่างกันของนามธรรมกับรูปธรรมอย่างมั่นคงนะคะ ทุกอย่างนี่คะ ทรงแสดงไว้ละเอียดมากนะคะ แต่ว่าต้องเข้าใจอย่างเดียวคือเป็นธรรมะไม่ใช่เรา มิฉะนั้นก็จะศึกษาธรรมะด้วยความเป็นเราไม่มีทางพ้นไปจากความเป็นเราได้เลย และก็ต้องชัดเจนด้วยนะคะ

    นามธรรมมีสองอย่างคือจิตและเจตสิก ถ้ารู้ว่าจิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งเท่านั้น ไม่ทำอะไรเลยทั้งสิ้น ไม่จำ ไม่ชอบ ไม่รัก ไม่ชัง นะคะ แต่ไม่ว่าสิ่งใดจะปรากฏจิตนั้น แหละกำลังรู้แจ้งในสิ่งที่ปรากฏนั้น สีชมพูอ่อนใกล้เคียงเหลือเกินกับสีขาว เห็นไหมคะ ถ้าจิตไม่รู้แจ้ง ใครจะรู้

    เพราะเจตสิกแต่ละหนึ่งไม่ได้ทำหน้าที่รู้แจ้ง แต่ทำกิจของเจตสิกนั้นๆ แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง สับสนก้าวก่ายกันไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นนะคะ กรรมคืออะไร กรรมเป็นธรรมะ กรรมไม่ใช่รูปธรรม กรรมเป็นนามธรรม นามธรรมมีจิตและเจตสิกนะคะ

    ถ้าไม่ใช่จิตแล้วนามธรรมนั้นเป็นอะไร เป็นอื่นไม่ได้เลยนอกจากเป็นเจตสิก ไม่ให้รู้ไม่ได้ ไม่ให้เป็นอย่างนั้นไม่ได้ เพราะเจตสิกแต่ละหนึ่งนะคะ ต่างกันเป็น ๕๒ ประเภท เอาละสิคะตอนนี้ ใช่ไหมคะ กรรมเป็นอะไร เป็นเจตสิกใช่ไหมคะ

    หนึ่งใน ๕๒ คืออะไร เห็นไหมคะ ถ้าเราไม่เข้าใจแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แล้วก็เป็นเรานั่นแหละ แต่กว่าจะไม่ใช่เราเนี่ย ฟังไว้ ฟังไว้ เข้าใจไปเรื่อยๆ จนกว่า ความเข้าใจนั้นนะคะ สามารถที่จะค่อยๆ ถึงเฉพาะลักษณะของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ โดยความเป็นอนัตตา

    หนทางนี้ต้องโดยความเป็นอนัตตา ไม่ใช่ไปสำนักปฏิบัติ ไปนั่งทำอะไร เดี๋ยวนี้ไม่รู้ เดินไปสำนักปฏิบัติก็ไม่รู้ กำลังอยู่ในสำนักปฏิบัติก็ไม่รู้ ทำอะไรก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นวันหนึ่งนะคะ พระศาสนาก็จะอันตรธาน ใครก็ตามค่ะ ที่ไม่รู้จัก ไม่เข้าใจธรรมะอย่างถูกต้อง

    พระศาสนาก็อันตรธานแล้วจากผู้นั้น ก็ไม่เข้าใจเลย ไม่รู้เลย จะมีอยู่ได้ยังไง เพราะฉะนั้นถ้าไม่เหลือเลยก็คืออันตรธาน ไม่มีใครสามารถที่จะเข้าใจคำที่พระองค์ตรัสไว้ดีแล้วได้ ด้วยเหตุนี้นะคะ กรรมได้แก่เจตสิกหนึ่งซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าเจตนาเจตสิก

    อ.วิชัย เรากล่าวถึงจิตว่าเป็นธรรมชาติที่เป็นใหญ่ในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ แต่ว่าเมื่อจิตเกิดแล้วเนี่ยครับ ต้องมีธรรมะที่ประกอบกับจิตด้วย แต่ไม่ได้ทำกิจหน้าที่อย่างจิต คือเจตสิกที่ประกอบกับจิต ปรุงแต่งจิตให้เป็นกุศลบ้าง ให้เป็นอกุศลบ้าง

    ดังนั้นจะเห็นถึงความเป็นไปของสภาพธรรมะในแต่ละวันนะครับ ที่จะเห็นว่า แม้เจตสิกเองนะครับ ก็มีความหลากหลายถึง ๕๒ ประเภท ซึ่งท่านอาจารย์ได้กล่าวเมื่อสักครู่นะครับ ว่าเจตนา ความจงใจ ความขวนขวาย

    การกระตุ้นเตือนสหชาตธรรม ให้กระทำกิจให้สำเร็จตามความจงใจหรือเจตนานั้น เจตนา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงว่าเกิดกับจิตทุกประเภท ตอนแรกก็คิดว่าเป็นเราที่กระทำใช่ไหมครับ แต่เพราะมีเจตนานั่นเอง แต่ว่าเจตนาเกิดขึ้นก็ประกอบกับเจตสิกอื่นๆ

    อย่างเช่น บุคคลทำอกุศลกรรม ฆ่าสัตว์ ขณะนั้นมีเจตนาเป็นไปพร้อมกับอกุศลธรรมที่ประกอบกับเจตนานั้น จึงเป็นเหตุให้บุคคลนั้นกระทำกรรม ที่เป็นอกุศลกรรม ดังนั้นเจตนาที่มีในขณะนั้นนะครับ เมื่อประกอบอกุศลกรรมสำเร็จลงไปแล้ว เจตนานั้นสามารถให้ผลได้ในภายหลัง

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้เจตนาปรากฏหรือเปล่า ความเป็นผู้ตรง เห็นไหมคะ เราจะรู้คนอื่นไหม เราเองยังไม่รู้เราเลย ใช่ไหมค่ะ แล้วจะไปบอกว่าคนอื่นเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ นี่ก็คือคิดเองทั้งหมดนะคะ แต่ว่าไม่ใช่การที่รู้ความจริง เพราะฉะนั้นรู้ความจริงเมื่อสิ่งนั้นกำลังมี ด้วยเหตุนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสว่าไม่คำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว

    เสียเวลา ไม่เหลือเลยค่ะ แล้วจะไปกังวลอะไร และไม่คำนึงถึงสิ่งที่ยังไม่เกิด เพราะว่าต้องเกิดตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นการฟังธรรมะทุกครั้งนะคะ เพื่อละความเป็นเรา ไม่ว่าจะได้ยินคำไหนก็ตาม เช่นเจตนา มีจริงนะคะ เป็นสภาพที่จงใจ ตั้งใจ ขวนขวาย กระตุ้นเตือนสหชาตธรรม

    จิตกับเจตสิกเกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน รู้สิ่งเดียวกัน เพราะฉะนั้นใช้คำว่า สห ร่วมกัน เป็นธรรมะที่ร่วมกันเกิดขึ้น ร่วมกันดับไป ร่วมกันรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นพอพูดถึงจิตนะคะ อะไรเป็นสหชาตธรรม ก็ต้องเจตสิก พูดถึงเจตสิกนะคะ อะไรเป็นสหชาตธรรมก็คือจิตและเจตสิกอื่น ที่อยู่ตรงนั้นทั้งหมดนะคะ จะเอาไปทิ้งไว้ที่ไหน

    จะให้มีแต่จิตกับเจตสิกสองเท่านั้นไม่ได้ ธรรมเป็นเรื่องตรง เป็นเรื่องถูกต้อง เป็นเรื่องจริงนะคะ เพราะฉะนั้นถ้ามีเหตุผลถูกต้อง ถูก แต่ถ้าเหตุผลยังไม่ครบถ้วน ผิด เพราะฉะนั้นจึงต้องไตร่ตรองอย่างละเอียดน่ะค่ะ จึงจะสามารถค่อยๆ เข้าใจในขั้นฟัง ว่าไม่มีเรา และไม่ใช่เรา ก็สามารถที่จะรู้ว่าขณะนี้เป็นอะไร

    ความจงใจตั้งใจต้องเป็นสภาพรู้ แต่ไม่ใช่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ เวลานี้นะคะ มีแข็งไหม รู้ตรงแข็งรึเปล่า เห็นไหมคะ ผู้ตรง เพราะฉะนั้นแข็งขณะนั้นก็ดับแล้วค่ะ จะรู้แข็งนั้นที่ดับแล้วไม่ได้ แต่ขณะนี้นะคะ ถ้ามีแข็งปรากฏ ขณะนั้นนะคะ จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งเท่านั้น

    เจตนาซึ่งเกิดกับจิตทุกขณะปรากฏหรือเปล่า ไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้นแสดงให้เห็นว่าแม้สภาพธรรมะนี่จะหลากหลายนะคะ เราเลือกไม่ได้ว่าจะให้อะไรปรากฏ จะให้รู้อะไรก็เลือกไม่ได้ เพราะทั้งหมดนำไปสู่ความเป็นอนัตตา ทีละเล็กทีละน้อย ทีละเล็กทีละน้อย เพราะฉะนั้นฟังธรรมะไม่ใช่เพื่ออยากเข้าใจ ๓ ปิฏก ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างไร

    ฟังธรรมะไม่ใช่อยากจะหมดกิเลสเป็นพระโสดาบัน แต่ฟังธรรมะเพื่อเข้าใจความจริงเพราะถ้าไม่เข้าใจความจริงนะคะ เรานั่นแหละฟังด้วยความอยาก ฟังด้วยความต้องการ อยากมีชื่อเสียง อยากมีเกียรติยศ อยากได้ลาภ อยากได้สรรเสริญ อยากได้สุข เพราะฉะนั้นโลภะไม่เคยจางหรือหายไปเลยนะคะ แต่หลบหลีกซ่อนเร้นไม่มีใครเห็นอยู่ตลอดเวลา

    เพราะฉะนั้นการฟังธรรมะนี่ค่ะ ต้องมั่นคง ฟังเพื่อละความเป็นเรา ถ้ายังคงเป็นเราอยู่ก็ฟังต่อไปอีก ฟังต่อไปอีกจนกว่าจะมั่นคงขึ้นว่าไม่ใช่เรา ถ้าอกุศลเกิดขึ้นนะคะ สภาพที่ไม่ดีงามเกิดขึ้น ถ้าเป็นเราก็เดือดร้อน แต่อกุศลเกิดแล้วดับหรือเปล่า แล้วเป็นของใคร ไม่มีปัจจัยเกิดได้ไหม ก็ไม่ได้ กว่าใจจะไม่หวั่นไหว และมั่นคงในความเป็นธรรมะ

    ก็จะเห็นได้เลยนะคะ กี่ภพกี่ชาติ เพราะฉะนั้นศึกษาธรรมะเนี่ยต้องละเอียดนะคะ เจตนาไม่ใช่รูปธรรมแต่เป็นนามธรรม และก็ไม่ใช่จิตด้วยเป็นเจตสิก ที่นี้รู้ต่อไปอีกนิดหนึ่ง เจตนาเจตสิกต้องเกิดกับจิตทุกขณะไม่เว้น ทุกคำลืมไม่ได้ แต่ไม่ได้ปรากฏก็ไม่ปรากฏเกิดแล้วดับแล้ว

    เพราะว่าจิตหนึ่งขณะที่เกิดขึ้นนะคะ จะมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยอย่างน้อย ๗ และไหนจะปรากฏล่ะ ใช่ไหมคะ จิตก็ไม่ได้ปรากฏ เป็นเราเห็น ทุกอย่างอยู่ในความมืดสนิท แต่ค่อยๆ ฟัง และความเข้าใจนี่ค่อยๆ เปิดเผย จนกว่าจะถึงปฏิปัตตินะคะ การฟังที่เข้าใจเป็นสัจจญาณมั่นคง เป็นปัจจัยให้สติสัมปชัญญะเกิด

    รู้สิ่งที่กำลังปรากฏโดยใครก็เลือกให้ไม่ได้ บงการให้ไม่ได้ บอกให้ทำอย่างนั้น อย่างนี้ ให้รู้ตรงนั้น ตรงนี้ ก็ไม่ได้ เพราะว่าธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นนะคะ ฟังธรรมะไม่ต้องมาก แต่ให้เข้าใจมั่นคง เจตนาเป็นเจตสิกที่ต้องเกิดกับจิตทุกประเภท ตอนนี้ก็ถึงบทไตร่ตรอง นะคะ เพื่อที่จะได้มีความเข้าใจที่มั่นคง

    ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์ค่ะ อาจารย์คะคือคำว่าไม่คำนึงถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้ว และก็ไม่คำนึงถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึง อย่างเช่นทำอะไรผิด ก็จะต้องทบทวนพิจารณาไตร่ตรองสิ่งที่พลาดไปแล้วต่างกันยังไงคะ

    ท่านอาจารย์ คะ ด้วยความอยาก หรือว่าเพื่อเข้าใจ

    ผู้ฟัง จริงๆ แล้วต้องฟังเพื่อเข้าใจค่ะ

    ท่านอาจารย์ แล้วเมื่อกี้เนี๊ย ด้วยความอยากหรือว่าเพื่อเข้าใจ

    ผู้ฟัง บางครั้งทำอะไรพลาดไปก็จะไตร่ตรองว่าเนี่ยเราพลาดไปแล้วนะ ทำไม่ดีแย่มาก เออใจก็เกิดกุกกุจจะ

    ท่านอาจารย์ เหมือนดีใช่ไหมคะ แต่เป็นตัวตนใช่รึเปล่า เป็นเราใช่ไหม ที่อยากจะรู้ว่าที่ทำไปนั้นนะไม่ดีระดับไหน แล้วก็จะให้ผลขณะไหน เกิดขึ้นอย่างไร เพราะฉะนั้นฟังธรรมะเนี่ยมีหลายระดับนะคะ ฟังด้วยความเป็นเราเนี่ยธรรมดามาก ถ้าเผินจะไม่มีทางรู้คุณของพระธรรมแต่ละคำว่าไม่ใช่เรา

    เพราะฉะนั้นฟังเพื่อเข้าใจถูกต้องว่าไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นกำลังเป็นเราที่ทบทวนใช่ไหม ห้ามไม่ได้ แต่เป็นกุศลก็ยังดีกว่าเป็นอกุศล แต่จะรู้ได้ยังไงว่าเป็นกุศล เสียใจ เราทำไม่ดี เป็นกุศลหรือเปล่า ใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องที่ละเอียดมากค่ะ ทั้งหมดเนี่ยจะมีความชัดเจนยิ่งขึ้น เมื่อเข้าใจคำแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยรอบคอบ

    อ.วิชัย เพราะฉะนั้นนะครับ สิ่งที่เกิดแล้วจะเห็นถึงกำลังของปัญญาว่ามั่นคงในความเป็นธรรมะแค่ไหน อย่างเช่นคิดถึงในการกระทำที่ไม่ดีในอดีตใช่ไหมครับ ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำแต่ขณะนั้นยังเป็นเรา เพราะยังไม่มีความเข้าใจว่าเป็นธรรม แต่เมื่อรู้ว่าขณะนั้นคิดเกิดแล้วบังคับได้ไหม หรือจะไม่ให้คิดอย่างนั้นได้หรือเปล่า

    เมื่อเข้าใจความเป็นจริงที่มีในขณะนั้นนะ ขณะนั้นคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้วรึเปล่า แล้วก็คิดถึงสิ่งที่ยังไม่มาถึงหรือเปล่า หรือกำลังเข้าใจในสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ ดังนั้นกว่าความรู้จะมั่นคงนะครับ ที่ว่าสิ่งอื่นล่วงไปแล้วไม่เหลือเลย แม้ขณะนี้เห็นแล้วก็ไม่เหลือเลย ได้ยินแต่ละขณะ เกิดขึ้นทำกิจแล้วไม่เหลือเลย สิ่งที่ดับไปแล้วจะกลับมาเกิดอีกได้ไหมครับ

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    อ.วิชัย สิ่งที่ยังมาไม่ถึง เมื่อยังไม่มีเหตุที่จะให้สิ่งนั้นเกิด สิ่งนั้นก็จะเกิด เป็นไปไม่ได้ แต่ขณะนี้ กำลัง ที่เป็นเหตุให้ปัญญาเนี่ยครับ สามารถที่จะเข้าใจความเป็นจริงในขณะนี้ได้ งั้นบุคคลที่มีปัญญานะครับ รู้เลยนะครับ ว่าสิ่งที่มีในขณะนี้เป็นสิ่งที่ควรรู้ เพราะว่าจากความไม่รู้มานาน ก็เดือดร้อนว่าเป็นเรา ว่าไม่ควรกระทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ หรือว่าคิดจะกระทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ ซึ่งยังไม่มาถึง

    ท่านอาจารย์ ถ้ามีคำสอนว่าไม่ดีนะ อย่าทำอีก เป็นไงคะ ดีไหมสอนอย่างนั้น ไม่ใช่เรานิจะเกิดอีกก็ตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้นธรรมะจึงต้องเข้าใจจริงๆ นะคะ ว่าจุดประสงค์สูงสุดก็คือว่าไม่มีเรา ไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรมะ เพราะฉะนั้นก็เห็นกำลังของปัญญาเนี่ยต่างระดับขั้น

    ถ้าไม่มีการฟังอย่างนี้เลย มีไหมที่จะสามารถรู้ว่าไม่ใช่เรา เพราะเป็นอะไร ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นฟังนะคะ และก็เข้าใจด้วย ว่าขณะใดก็ตาม เช่น สภาพธรรมะเกิดขึ้นแต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรมะ ขณะนั้นก็เป็นเรา แม้ว่าเป็นธรรมะที่เป็นกุศลธรรมทางฝ่ายดีก็ยังเป็นเรา แต่ว่าความจริงถึงที่สุดก็คือว่าไม่มีเรา

    ผู้งฟัง กราบเรียนท่านอาจารย์ครับ ตัวเราเนี่ยสามารถที่จะกำหนดแล้วเลือกชีวิตของเราเองได้ไหมครับ

    ท่านอาจารย์ ตัวเราอยู่ที่ไหน

    ผู้ฟัง นั่งอยู่ตรงนี้ครับ ชีวิตของเราครับ

    ท่านอาจารย์ ที่นั่งอยู่ตรงนี้ อะไรเป็นเรา

    ผู้ฟัง กล่าวโดยธรรมะก็ไม่มีอะไรเป็นเรา

    ผู้ฟัง คะ เพราะฉะนั้นจะกล่าวโดยไม่ใช่ธรรมะหรอค่ะ หรือยังไง ฟังธรรมะเพื่อเข้าใจว่ายังคงเป็นเรา เพราะความรู้เท่านี้ละความเป็นเราไม่ได้ แต่ถ้าฟังเรื่องของธรรมะให้เข้าใจขึ้นว่าเป็นธรรมะ เราก็จะไม่มานั่งกังวลว่า เอ๊ะ เราจะทำได้ไหม ทำได้หรือเปล่า เพราะว่าจริงๆ แล้วก็คือว่าไม่มีเรา แต่เป็นธรรมะทั้งนั้นไม่ว่าอะไรทั้งหมด

    ถ้ามีความเข้าใจมั่นคงนะคะ ว่าเป็นธรรมะก็จะฟังธรรมะเพื่อเข้าใจ ปัญญาก็ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีการฟังเลยนะคะ ตัวเราก็ยังคงมีอยู่ เป็นผู้ตรงนะคะ คุณนิรันดร์อาจจะตายเย็นนี้ก็ได้ เดี๋ยวนี้ก็ได้ เข้าใจธรรมะแค่ไหน ใช่ไหมคะ กับการที่เราเห็นประโยชน์ว่าไม่มีใครรู้ว่าเราจะจากโลกนี้ไปเมื่อไร

    ถ้ามีโอกาสได้ฟังธรรมะ มีปัจจัยที่จะได้ฟัง ก็ฟังด้วยความเคารพ ไตร่ตรองจนกระทั่งค่อยๆ เข้าใจ ความเป็นธรรมมะซึ่งไม่ใช่เรา ทีละเล็กทีละน้อย ไม่อย่างงั้นก็เรารู้มากเลยปริเฉทนั้นก็รู้ จิตมีเจตสิกประกอบเท่าไหร่ แต่ก็เป็นเรา ไม่ใช่ว่าเป็นธรรมะ เพราะฉะนั้นประโยชน์สูงสุดก็คือรู้ความจริงว่าธรรมะไม่ใช่เรา

    ผู้ฟัง เข้าใจนะว่าไม่มีชีวิตของเราที่ต้องเป็นไปที่จะเลือกได้หรือเลือกไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ชีวิตที่เกิดมานี้ทั้งหมดนะคะ เป็นคุณนิรันดร์หรือเป็นอะไร

    ผู้ฟัง เป็นธรรมะ

    ท่านอาจารย์ ธรรมะอะไรบ้าง

    ผู้ฟัง สภาพที่รู้กับสภาพที่ไม่รู้

    ท่านอาจารย์ มีจิต เจตสิก รูปเท่านั้นเองค่ะ เพราะฉะนั้นไม่ว่าปัญหาใดๆ ก็จิต เจตสิก รูป

    ผู้ฟัง งั้นก็เป็นชีวิตที่อยู่เพื่อเข้าใจความจริง ว่าที่คิดว่าเป็นชีวิตของเรา ที่ต้องเป็นไป จริงๆ แล้วก็เป็นธรรมะที่เกิดขึ้น

    ท่านอาจารย์ ถ้าเข้าใจอย่างนั้นเราก็จะรู้ประโยชน์ค่ะ แต่ว่ารู้ด้วยว่าบังคับบัญชาไม่ได้ เพราะฉะนั้นไม่มีการจะไปบงการ ไม่มีการจะไปวาดภาพนะคะ แต่ไม่ว่าจะคิดแค่นั้นก็เป็นธรรมะแล้ว ที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย

    ผู้ฟีง แล้วแต่ที่เราจะวางแผนชีวิตว่าจะต้องเป็นอย่างนี้ บางทีมันก็ไม่ได้เป็นการที่เรา

    ท่านอาจารย์ นั้นแหละคะ ธรรมะทั้งหมดที่เกิดขึ้น จิต เจตสิก รูป ตามเหตุตามปัจจัย ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยอะไรก็เกิดไม่ได้ทั้งหมดค่ะ ทั้งหมดเลย ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ต้องมีเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นเมื่อหมดเหตุปัจจัยจึงเกิดอีกไม่ได้ ไม่อยากเกิดนี่เป็นไปไม่ได้ ถ้ามีเหตุปัจจัยที่จะเกิด แต่เมื่อใดที่หมดเหตุปัจจัย เมื่อนั้นอยากจะเกิดก็เกิดไม่ได้

    ผู้ฟัง ศึกษาเพื่อมั่นคงว่าเป็นธรรมะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

    ท่านอาจารย์ ถูกต้องค่ะ เพราะฉะนั้นจึงเป็นสัจจะบารมี เพื่อเข้าใจถูกต้อง ชาติก่อนๆ ก็ผ่านมาตั้งเป็นหมื่นเป็นแสน นับไม่ถ้วนนะคะ จะจากโลกนี้ไป ทุกคนใช่ไหม มีใครบ้างที่ไม่จากโลกนี้ไป ใช่ไหมค่ะ จะไปเกิดเป็นอะไร ก็ไม่รู้ใช่ไหมค่ะ และต้องเกิด ต้องเกิด เหมือนอย่างที่เคยต้องเกิด ต้องเกิดมาแล้วใช่มั้ย

    เพราะฉะนั้น ณ กาลครั้งหนึ่งคือชาตินี้ อยู่ตรงนี้ ฟังตรงนี้ เรื่องธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นถ้ามีโอกาสที่จะได้ฟังในชาติต่อๆ ไป อีกใช่ไหมคะ ความเข้าใจก็มั่นคงขึ้น แล้วแต่ว่าแต่ละชีวิตจะมีปัจจัยให้ธรรมะเกิดขึ้นเป็นไปอย่างไร ก็เป็นธรรมะทั้งหมดที่เป็นไปอย่างนั้น ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นทบทวนนะคะ ขณะนี้เป็นกรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง อันนี้เป็นกรรมครับ

    ท่านอาจารย์ ทำไมว่าเป็นกรรม เพราะรู้ว่ากรรมคือเจตนาเจตสิก เห็นไหมค่ะ ไม่ใช่เราทั้งหมดนี่คะ พูดออกมาต้องมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นว่าไม่ใช่เรา เพราะรู้ว่ากรรมคือเจตนาเจตสิก ซึ่งต้องเกิดกับจิตทุกขณะ

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 190
    31 ส.ค. 2568