ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1387
ตอนที่ ๑๓๘๗
สนทนาธรรม ที่ โรงแรมชัยคณาธานี จ.พัทลุง
วันที่ ๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๑
ท่านอาจารย์ ทันทีที่ได้อาบัติปาราชิก จะบวชเป็นพระภิกษุในพระธรรมวินัยอีกไม่ได้ตลอดชีวิต เพราะว่าสิ้นความเป็นภิกษุตั้งแต่กระทำผิด แต่ว่าอาบัติ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเห็นว่า กิเลสก็มีโทษหนักเบาตามลำดับ เพราะฉะนั้นก็แสดงการที่จะปลงอาบัติตามพระวินัย ตามควรแก่โทษแต่ละอย่างที่ทำ สำหรับภิกษุที่รับเงิน และทองมาด้วยประการใดๆ ก็ตามทั้งสิ้น เป็นโทษ จะพ้นอาบัติ กลับคืนเข้าหมู่คณะเป็นภิกษุในพระธรรมวินัยได้ ก็ต้องปลงอาบัติตามสิกขาบท ตามพระวินัย คือต้องสละเงินนั้นก่อน ถ้ายังไม่สละเงินนั้น ปลงอาบัติไม่ได้ ต้องสละเพื่อให้เห็นจริงๆ ว่าไม่ยินดี เเล้วถึงจะเป็นภิกษุได้ต่อไป
เพราะฉะนั้นต้องสละสิ่งที่มีทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินอะไรทั้งสิ้น ที่ดิน เงินทองในธนาคาร รถยนต์ หรืออะไรทั้งหมดที่เกี่ยวกับเงินและทอง ในเพศของบรรพชิตจะมีไม่ได้เลย ถ้าไม่เช่นนั้น ถ้าตายไปโดยที่ไม่ได้ปลงอาบัติก็ไปสู่อบายภูมิ เพราะโทษหนักมาก โทษของการที่แสดงตนว่าเป็นภิกษุ แต่ไม่ใช่ภิกษุ เพราะเมื่อแสดงตนว่าเป็นภิกษุ ชาวบ้านถวายอาหารบิณฑบาต เพื่อให้บุคคลนั้นศึกษาพระธรรมวินัย ขัดเกลากิเลส แต่ไม่ได้กระทำอย่างนั้นเลย ดังนั้นมีข้อความว่า แม้ภิกษุนั้นจะบริโภคอาหารร่วมกับภิกษุอื่น ผู้ที่กระทำผิดพระวินัยก็บริโภคเหมือนขโมย เพราะเขาให้กับคนที่รักษาพระธรรมวินัยขัดเกลากิเลส เมื่อตนเองไม่ได้กระทำอย่างนั้น เเล้วไปบริโภคสิ่งที่เขาให้คนที่ทำอย่างนั้น ก็เป็นอาการของขโมย
ด้วยเหตุนี้ ทรงบัญญัติสิกขาบทไว้ เพื่อคฤหัสถ์เองสามารถที่จะไม่ให้โทษแก่พระภิกษุรูปนั้น โดยไม่ให้เงินซึ่งเป็นโทษแก่พระภิกษุรูปนั้น และถ้าภิกษุรูปนั้นรับเงิน ก็ต้องแสดงพระธรรมวินัยให้ภิกษุรูปนั้นได้เข้าใจถูกต้องว่า เราไม่ได้พูดเอง เราไม่ได้ว่าใคร เราไม่ได้กล่าวร้าย แต่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติสิกขาบท ให้ภิกษุประพฤติอยู่ร่วมกันด้วยความผาสุก เป็นพระมหากรุณาอย่างยิ่ง เพราะว่าคนอื่นนอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บัญญัติพระวินัยไม่ได้
เพราะฉะนั้น ภิกษุทุกรูปต้องมีความเคารพสูงสุดว่า พระวินัยทุกข้อ ใครบัญญัติ เมื่อเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติด้วยพระองค์เอง จะเปลี่ยนได้ไหม จะแก้ไขได้ไหม จะไม่ทำตามได้ไหม จะบอกว่ายุคสมัยเปลี่ยนไป
พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรู้อดีต และอนาคตยิ่งกว่าใคร จะไม่ทรงรู้หรือว่าต่อไปจะเป็นอย่างไร แต่ถึงเหตุการณ์บ้านเมืองจะลำเค็ญอย่างไร ทุกข์ยากลำบากสักเท่าไหร่ก็ตาม เมื่อเป็นภิกษุต้องเป็นภิกษุ คือต้องประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยโดยครบถ้วน มิฉะนั้นก็ลาสิกขา การลาสิกขาง่ายมากเลย ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องไปหาฤกษ์งามยามดีอะไรทั้งหมด เป็นความจริงใจที่ว่าบอกคนที่รู้ความได้ ทันทีนั้นก็พ้นจากเพศภิกษุ เป็นอิสระ พ้นจากบาปหนักที่ไปทำให้คนอื่นหลงทะนุบำรุง โดยที่ตนเองไม่ได้ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยเลย
สำหรับคฤหัสถ์จะทำอย่างไร ก็คือให้ได้ทราบ ให้รู้พระวินัยด้วย พร้อมทั้งพระธรรมซึ่งเป็นการขัดเกลากิเลส เพื่อที่จะได้ทำตนให้ถูกต้อง ในเมื่อพระภิกษุรับเงินและทองไม่ได้ หมายความว่าเงินทองนั้นไม่ใช่ของพระภิกษุ ใช่ไหม รับไปเป็นของพระภิกษุหรือเปล่า เป็นไม่ได้ ถึงจะรับไปก็เป็นโทษที่ต้องสละ ถ้าภิกษุนั้นไม่ละอาย และไม่สละ ภิกษุนั้นก็ไม่สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ และเมื่อจากโลกนี้ไปแล้วก็ไปสู่อบายภูมิ
เพราะฉะนั้น คฤหัสถ์ที่มีความประสงค์ที่จะอนุเคราะห์ภิกษุผู้ไม่รู้ ก็ประกาศให้รู้ทั่วกัน แต่ถ้าท่านผู้ใดยังไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ก็เป็นโทษกับบุคคลนั้น แต่ถ้าผู้ใดรู้ก็สละทรัพย์ เมื่อภิกษุนั้นสละทรัพย์ที่มีในธนาคารบ้าง เงินสดบ้าง ทุกอย่างหมดแล้ว ใครจะเป็นผู้รับ เมื่อพระภิกษุรับไม่ได้ จะนำไปให้ญาติพี่น้องได้ไหม ไม่ได้ เพราะถ้าภิกษุใดนำเงินที่เขาถวายมาไปให้ญาติพี่น้อง แสดงว่าภิกษุนั้นเข้าใจว่าเงินนั้นเป็นของตน ตนเป็นเจ้าของจึงนำไปให้ใครตามที่ตนประสงค์ได้ ซึ่งภิกษุจะเป็นเจ้าของเงินไม่ได้เลย ดังนั้นจะนำเงินไปมอบให้ใคร จะเป็นวงศาคณาญาติ หรือจะเป็นโรงพยาบาล หรือจะเป็นอะไร ไม่ได้ทั้งสิ้น เพราะเหตุว่าเงินนั้นไม่ใช่ของพระภิกษุ ถ้าพระภิกษุจัดการอย่างนั้นเมื่อไหร่ แสดงตนว่าเป็นเจ้าของเงินนั้น ซึ่งเป็นการผิดพระธรรมวินัย
ด้วยเหตุนี้ เมื่อภิกษุจะประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย โดยสละเงินเเละทองตามพระธรรมวินัย แต่ถ้าภิกษุไม่สละ แต่มีเงิน เงินนั้นเป็นของใคร เป็นของภิกษุหรือเปล่า ไม่มีทางที่เงินนั้นจะเป็นของภิกษุได้เลย ด้วยเหตุนี้ ตามพระธรรมวินัยก็เท่ากับว่า เมื่อยังคงเป็นพระภิกษุต่อไป ต้องสละ ไม่ถือว่าตนเองเป็นเจ้าของ เพราะเป็นเจ้าของไม่ได้ เพราะฉะนั้น เงินนั้นจะเป็นของใคร รัฐบาลควรที่จะรับไว้ เพราะว่าจะให้ใครรับได้หรือ แต่ละหนึ่งคนๆ ไปรับได้ไหม ไม่มีทางเป็นไปได้เลยใช่ไหม แล้วมีท่านที่บอกว่า การที่จะไปรับเงินของพระภิกษุ เป็นการอทินนาทาน เหมือนกับเงินนั้นเป็นของพระภิกษุ แล้วไปรับของเขาได้อย่างไร แต่ลืมพระธรรมวินัย ภิกษุไม่เป็นเจ้าของเงินและทอง มีเงินและทองไม่ได้เลย
เงินทองนั้นไม่ใช่ของพระภิกษุ และเมื่อพระภิกษุใดสละตามพระธรรมวินัยแล้ว ก็เหมือนกับขยะ ใช่ไหม อะไรที่เราไม่ต้องการ เราก็ไปทิ้งที่กองขยะ คนที่เก็บของจากกองขยะนั้น ขโมยของของใครหรือเปล่า ในเมื่อเจ้าของสละแล้ว ไม่ใช่เขายังเป็นเจ้าของอยู่ เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่อทินนาทาน การศึกษาพระธรรมวินัยต้องละเอียดมาก ความตรง ความถูกต้องจะแก้ปัญหาทั้งหมดได้
ด้วยความที่ไม่เข้าใจ และกระทำตามกัน เห็นผิดตามๆ กัน อ้างผิดตามๆ กัน แต่ความจริงต้องเป็นความจริง และความตรง ด้วยเหตุนี้ ถ้าเราสามารถที่จะเข้าใจพระธรรมวินัยถูกต้อง เราก็อนุเคราะห์พระพุทธศาสนาด้วยความกตัญญู
ความกตัญญูต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคืออย่างไร ประกาศ และกล่าวคำของพระองค์ให้เป็นที่รู้ที่เข้าใจ เพราะพระพุทธประสงค์ที่ทรงบำเพ็ญพระบารมี เพื่อการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่ออย่างเดียวคือ อนุเคราะห์ให้คนอื่นได้เข้าใจถูกตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น ทางที่จะกตัญญูต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็คือ ประกาศ และกล่าวพระธรรมวินัยตามที่ได้ทรงแสดง ให้คนอื่นได้เข้าใจว่า นี่คือคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ความไม่รู้ทำให้ไม่เห็นภัยใหญ่ยิ่ง ซึ่งกำลังเป็นอยู่ในขณะนี้ เพราะเหตุว่า เงินทองที่คนเอาไปให้พระภิกษุที่ไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย มีจำนวนมากมายมหาศาล ซึ่งผู้ที่รับเงินทองเป็นโทษอย่างยิ่งเพราะอะไร เขาให้ เพราะคิดว่าผู้นี้สละกิเลสแล้วจะดำรงพระศาสนา ด้วยการที่จะศึกษาพระธรรมวินัย ประพฤติปฏิบัติขัดเกลากิเลส จึงให้ ใช่ไหม คิดอย่างนี้ใช่ไหม จึงให้ แต่บุคคลนั้นไม่ได้เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นเป็นการลวงบุคคลอื่นหรือเปล่า ซึ่งกลโกงของชาวโลกที่เป็นคฤหัสถ์มีมากมาย แล้วการที่ภิกษุไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย เป็นกลโกงที่ชาวบ้านไม่รู้หรือเปล่า
เพราะเหตุว่าให้ทุกอย่างที่เป็นโทษ และพระก็มีทุกอย่าง และยังทำลายพระศาสนาโดยการที่มีกฐินบ้าง ผ้าป่าบ้าง หรืออะไรทั้งหมด ไม่ใช่เรื่องบุญ ไม่ใช่เรื่องการขัดเกลากิเลส แต่เป็นเรื่องเงินทั้งหมด เพราะฉะนั้นประเทศชาติสูญเงินไปเท่าไหร่ แทนที่เงินนั้นจะเป็นประโยชน์ในการทะนุบำรุงทุกด้าน ทั้งด้านเด็ก คนชรา หรือการเกษตร หรืออะไรก็ตามแต่ที่ยังขาดแคลน
มีท่านผู้หนึ่งท่านก็บอกให้ประมาณว่า เงินที่พระภิกษุรูปหนึ่งๆ ที่มีชื่อเสียง มีเงินฝากธนาคารเท่าไหร่ เมื่อได้บอกจำนวนที่คิดว่ามากแล้ว บุคคลนั้นยังบอกว่านั่นน้อยไป ลองคิดดู ถ้าเป็นการส่งเสริมที่จะให้คนได้รับโทษถึงปานนั้น เพราะเหตุว่าลวงให้คนอื่นเข้าใจว่า ตนเองเป็นผู้ที่ควรแก่การที่จะได้เงินทอง แต่กลับเป็นโทษกับตนเอง และกับคนอื่นด้วย เพราะถ้ากับคนธรรมดา เราก็ให้เงินด้วยการสงเคราะห์ ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์กับคนอื่น แต่กับพระภิกษุ ก่อนให้ก็ไหว้ด้วย เพราะคิดว่ามีความดีควรแก่การที่จะบูชา ในการให้สิ่งที่จะอนุเคราะห์ผู้นั้น ให้มีชีวิตในการขัดเกลากิเลส แต่หาเป็นอย่างนั้นไม่ เพราะฉะนั้นเป็นทุจริตที่มากระดับไหน เพราะว่าไม่ใช่เพียงแต่ได้รับเงินไปแล้ว โดยการที่ไม่ได้ประพฤติตาม แล้วก็ยังไปใช้เงินในเรื่องอื่นทั้งหมดด้วย
อ.อรรณพ เมื่อตายแล้วต้องมีการสวดศพไหม แล้วการเผาศพจะต้องไปเกี่ยวข้องกับวัด เกี่ยวข้องกับพระบ้างไหม เพราะทุกคนก็คิดว่าการจากไป ถ้าได้มีพระภิกษุมาสวดมนต์ก็จะได้เป็นบุญ แล้วผู้ตายจะได้ล่วงรู้ได้
ท่านอาจารย์ ก็เป็นผู้ที่ไม่รู้จักพระพุทธศาสนา จึงทำทุกอย่างโดยความคิดเอง ได้ยินคำสองคำก็คิดจะทำกันต่างๆ เช่น คำว่าบุญ แต่ตามความเป็นจริงตราบใดที่ยังไม่รู้ว่านั่นคืออะไร นั่นก็คือความไม่รู้ ซึ่งจะนำไปสู่ความไม่รู้ นำไปสู่ความไม่รู้ยิ่งขึ้น
เพราะฉะนั้น ทั้งหมดไม่เป็นเหตุเป็นผลเลย ไม่รู้ว่าพระพุทธศาสนาได้สอนเรื่องความจริงว่า ขณะนี้ ตอนที่ยังไม่ตายมีอะไร ต้องมีธรรม ใช่ไหม เราพูดกันแล้วว่าสิ่งที่มีเป็นธรรม และธรรมก็ต่างกันเป็นสองอย่าง คือสภาพธรรมอย่างหนึ่งไม่รู้อะไร ทันทีที่จิตขณะสุดท้ายดับ ร่างกายทั้งหมด เดินไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้เลยทั้งสิ้น เหมือนท่อนไม้ ยกมือ ไปไหน อะไรไม่ได้เลย แต่ก่อนที่จะเป็นอย่างนั้นก็เข้าใจว่าเป็นเรา แล้วก็เดินทำธุระต่างๆ ทั้งวัน เพราะเหตุว่า ขณะนั้นไม่รู้ว่า ถ้าไม่มีจิตซึ่งเป็นนามธรรม และเจตสิกซึ่งเป็นนามธรรมที่เกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน แต่จิตเป็นใหญ่เป็นประธาน เห็น ได้ยิน พวกนี้ แล้วเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยก็ชอบบ้าง ไม่ชอบบ้าง ดีบ้างชั่วบ้าง นั่นเป็นเจตสิก
เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีจิต เจตสิก รูปเกิดขึ้น จะไม่มีเรา ที่เข้าใจว่าเป็นเราก็คือ การเกิดขึ้นของจิต เจตสิก รูป ซึ่งไม่มีใครรู้ว่า ทันทีที่เกิด ไม่นานเลยก็ดับ และจิตดับเร็วมาก แต่ส่วนรูปมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ เพราะฉะนั้น รูปเกิดดับช้ากว่าจิต แต่ช้าอย่างไรก็เร็วจนไม่มีใครรู้ว่า ขณะนี้รูปกำลังเกิดดับอยู่
การที่เรียกว่าตายหมายความว่า สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ เพราะเราเกิดมา ไม่มีใคร แต่เป็นธรรม เพราะฉะนั้น ธรรมที่เป็นเหตุคือกุศล และอกุศลที่ได้ทำแล้วเป็นกรรมที่สำเร็จ ทางกายก็มีทุจริตหรือสุจริตต่างๆ ถ้ากรรมนั้นเป็นเหตุให้เกิด ยับยั้งไม่ให้เกิดได้ไหม เราเลือกเกิดได้ไหม ยับยั้งไม่ได้
กรรมมีมากมายตั้งแต่ในอดีตชาตินานแสนนาน และแม้ชาตินี้ก็มีกรรมตั้งหลายกรรม นับไม่ถ้วน และเมื่อจากโลกนี้ไปแล้ว กรรมไหนจะให้ผลก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ต้องเป็นไปตามธรรมว่า ธรรมใดพร้อมที่จะทำให้เกิดสืบต่อจากชาตินี้ จะเกิดเป็นอะไรก็แล้วแต่ว่าเป็นผลของกุศลกรรม หรือเป็นผลของอกุศลกรรม
ถ้าอกุศลกรรมให้ผลจะไม่เกิดเป็นมนุษย์ จะไม่เกิดเป็นเทวดา และไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะเกิดเป็นพรหม ถ้าชาตินี้ไม่ได้เจริญปัญญาถึงระดับขั้นที่สงบกิเลส จากสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่ยังไม่ได้รู้แจ้งความจริง เพียงแต่ว่าสามารถระงับกิเลสได้ชั่วคราว เมื่อได้ให้ผลก็ทำให้ไปเกิดอีกโลกหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่มนุษย์และสวรรค์ ก็เป็นพรหมโลก
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเหตุและผล โดยประการทั้งปวง ดังนั้นเราจะสวดศพ แล้วศพจะไปสวรรค์หรือ เป็นไปไม่ได้เลย ถ้าเรารู้ว่าการเกิดของจิต แม้เดี๋ยวนี้ใครก็ยับยั้งไม่ได้ เพราะฉะนั้นเกิดมาเรารู้ว่าผลของกรรม คือหลังจากเห็นแล้วก็ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส
เพราะฉะนั้นมีตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นผลของกรรม ซึ่งจะทำให้เกิดธาตุรู้ คือเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง ในสิ่งที่น่าพอใจบ้าง ไม่น่าพอใจบ้าง ไม่มีใครยับยั้งธรรมได้เลย เราไม่รู้ว่าต่อไปกรรมใดจะให้ผล ทำให้เห็น หรือทำให้ได้ยิน สิ่งที่น่าพอใจ หรือไม่น่าพอใจ ฉันใด จิตขณะสุดท้ายของชาตินี้ ทำกิจเคลื่อนพ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ จะกลับเป็นบุคคลนี้อีกสักหนึ่งขณะจิตก็ไม่ได้ หมดสิ้นในสังสารวัฏฏ์ เป็นบุคคลนี้ได้เพียงชาตินี้ชาติเดียว แต่ว่าใครก็ยับยั้งการเกิดดับสืบต่อของจิตไม่ได้ ทันทีที่จิตนี้ดับ เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิด เพราะฉะนั้นจิตขณะต่อไปเกิดเพราะกรรมหนึ่งกรรมใด
ด้วยเหตุนี้ เมื่อจุติจิตดับ ปฏิสนธิจิต ใช้คำนี้หมายความว่า จิตที่เกิดสืบต่อทำปฏิสันธิ คือสืบต่อเฉพาะหลังจากที่จุติ จิตอื่นจะทำกิจนี้ไม่ได้ ต้องเป็นผลของกรรมหนึ่ง เพราะฉะนั้นที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นผลของกุศลกรรม หลากหลายมาก เหมือนเดี๋ยวนี้ ฟังธรรมด้วยกัน ใครจะเข้าใจมากน้อยแค่ไหน ก็จะเป็นเหตุที่จะทำให้เกิดผลข้างหน้า ซึ่งหลากหลาย เพราะเพียงรูปยังหลากหลาย แล้วจิตซึ่งเป็นนามธรรม จะยิ่งหลากหลายต่างกันไปมากกว่ารูปที่ปรากฏสักเท่าไหร่ นี่คือธรรมซึ่งเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย
เพราะฉะนั้นทันทีที่จุติจิตดับ เกิดทันที แล้วจะไปสวดศพ ศพได้ยินไหม ใครได้ยิน ตอนไปงานศพใครได้ยิน ไม่ใช่ศพใช่ไหม แต่คนที่ฟัง ได้ยินแล้วเข้าใจไหม ไม่เข้าใจ เริ่มรู้เลยว่า เป็นผู้ที่ไม่ได้เข้าใจพระพุทธศาสนา แต่ไปเข้าใจว่าสวดศพเป็นพระพุทธศาสนา เพราะฉะนั้นธรรม พระธรรมวินัย พระพุทธศาสนาไม่ใช่พิธีกรรมใดๆ ทั้งสิ้น แต่ว่าเป็นเหตุเป็นผล
ถ้ามีบุคคลที่สิ้นชีวิตแล้ว แล้วเราจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เขา คือทำความดี ซึ่งความดีที่ทำแล้ว ทั้งหมดอุทิศส่วนกุศลได้ แม้แต่เทพก็เคยมาบอกผู้ที่เป็นมนุษย์ว่า เมื่อฟังธรรมแล้ว ทำไมไม่อุทิศส่วนกุศลให้เขา เพราะฉะนั้นกุศลทั้งหมดอุทิศได้ เพราะว่าสิ่งที่ดีใครๆ ก็อนุโมทนา แม้ในชาติที่เป็นมนุษย์ชาตินี้ ไม่ว่าเขาจะเป็นคนขับรถแท็กซี่ หรือว่าเป็นชาวนา หรือว่าจะเป็นเด็ก หรือจะเป็นคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อนเลยที่ช่วยเด็กที่ติดอยู่ในถ้ำ ขณะนั้นก็เป็นความดี ซึ่งความดีทุกอย่าง ขณะนั้นจะไม่มีสภาพธรรมที่ไม่ดีเกิดร่วมด้วย จึงอุทิศส่วนกุศล กุศลคือส่วนที่ดี ให้คนอื่นได้อนุโมทนา
เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่า เเต่ละคนที่นั่งฟังธรรมอยู่อย่างนี้เป็นกุศลจิต หรืออกุศลจิต แต่เข้าใจธรรมเมื่อไหร่เป็นกุศล ดังนั้นก็อุทิศเฉพาะส่วนที่ดี คือความเข้าใจธรรมให้คนอื่นได้รับทราบ และอนุโมทนา ไม่จำเป็นต้องไปสวดเลย เพราะเหตุว่าสวด คนที่จากไปเกิดเป็นอะไรก็ไม่รู้ ได้ยินหรือเปล่าก็ไม่รู้ ได้ยิน และเข้าใจหรือเปล่าก็ไม่รู้ อาจจะสงสัยว่าเขามานั่งทำอะไรกันใช่ไหม แต่ว่าเพราะคุ้นเคยกับการที่ได้ยินสวด แต่ไม่เข้าใจ
เพราะฉะนั้น กุศลไม่ใช่ไม่เข้าใจ ขณะใดก็ตามที่ได้ยินได้ฟังอะไรแล้วไม่เข้าใจ เป็นกุศลไม่ได้ มีใครเข้าใจสวดกุสลา ธัมมา อกุสลา ธัมมา อัพยากะตา ธัมมา หรือเหตุปัจจโย เป็นต้น ใครเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจ แล้วเขาจะอนุโมทนาได้อย่างไร คนพูดก็ไม่รู้ คนฟังก็ไม่รู้ และคนที่ได้ยินจะอนุโมทนาได้อย่างไร เพราะเขาก็ไม่รู้เหมือนกัน
ดังนั้นการสวดศพไม่มีในพระพุทธศาสนา และการเผาศพที่วัดก็ไม่มีในพระพุทธศาสนา เพราะว่าก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า วัดคืออะไร พระภิกษุคือ ผู้ที่ละอาคารบ้านเรือน ออกบวชแล้ว เมื่อพระผู้มีพระภาคออกบวชตอนที่ก่อนที่จะได้ตรัสรู้ เป็นพระโพธิสัตว์สละทุกอย่าง แล้วอยู่ที่ไหน ไปเลือกที่อยู่เป็นบ้านเรือนหรือเปล่า ไม่ใช่ เพราะเหตุว่าสละอาคารบ้านเรือนแล้ว จึงประทับที่ใต้ต้นไม้ในป่า ในถ้ำ หรือที่ไหนก็ได้
ภิกษุผู้ละอาคารบ้านเรือน ขัดเกลากิเลส ตามอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ประพฤติตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อยู่ที่ไหนไม่สำคัญเลย ตราบใดที่อยู่ในโลกนี้ต้องมีที่อยู่ที่อาศัยแน่นอน และก็มีเสื้อผ้า มียารักษาโรค มีอาหารก็อยู่ได้แล้ว
วัดเป็นที่อยู่ของผู้ที่บวช ซึ่งเดิมทีไม่ได้มีใครสร้างวัดวาอารามให้เลย แต่ภายหลังเมื่อมีผู้ที่เห็นประโยชน์ว่า ท่านเหล่านี้ท่านมีชีวิตที่มีค่าอย่างยิ่ง ประเสริฐกว่าชีวิตของคฤหัสถ์ ก็มีการถวายอาราม ซึ่งพระเจ้าพิมพิสารเป็นผู้ที่ถวายอารามแรก คือเวฬุวันแก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อให้เป็นที่อยู่แก่ภิกษุที่จะประพฤติธรรมได้สะดวกสบาย ซึ่งไม่ใช่อาคารอย่างที่เสียเงินสร้างกันมากมาย แต่ว่าไม่ได้เข้าใจธรรม แต่ความเข้าใจอยู่ตรงไหน ตรงนั้นเป็นที่ที่เหมาะควร เป็นที่ที่รื่นรมย์
เมื่อมีผู้ที่สร้างที่อยู่ให้พระภิกษุอยู่ ก็เป็นอารามมะที่พระภิกษุที่สละอาคารบ้านเรือน และก็ศึกษาพระธรรมขัดเกลากิเลส อยู่ด้วยความสงบ วัดจะไม่เหมือนบ้าน วัดไม่ใช่ที่ขายของ หรือทำกิจกรรมต่างๆ มหรสพต่างๆ ที่มีในขณะนี้ นั่นไม่ใช่วัด ไม่ใช่ที่สงบ แต่ที่สงบน่ารื่นรมย์ด้วยความเข้าใจธรรมเท่านั้น ที่เป็นที่อยู่ของพระภิกษุ เพราะฉะนั้นที่ไหนที่มีสิ่งต่างๆ เหล่านี้ แล้วพระภิกษุจะสงบได้อย่างไร
ชาวบ้านที่ไม่เข้าใจก็ไม่รู้จักวัด แล้วก็ทำทุกอย่างในวัด เพราะฉะนั้น วัดสมัยนี้ไม่ใช่วัดในสมัยพุทธกาล ในสมัยพุทธกาลไม่มีการเผาศพในวัดเลย วัดเป็นที่เดียวคือที่อยู่ของพระภิกษุ ซึ่งจะทำกิจตามพระธรรมวินัย และก็ดำรงชีวิตอยู่ด้วยการศึกษาธรรม อบรมเจริญปัญญาขัดเกลากิเลส มีกุฎีหรือกุฏิ ที่อยู่ของแต่ละรูป ท่านพระอานนท์อยู่ไม่ห่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านพระโมคคัลลานะ ท่านพระสารีบุตร ท่านพระอนุรุทธ ก็อยู่กันอย่างง่ายๆ ธรรมดาๆ เพราะว่าท่านละกิเลส
ดังนั้นก็ต้องรู้ว่า ชาวบ้านไม่ควรจะไปทำลายความสงบของพระภิกษุ โดยการที่เขาไปทำกิจกรรมต่างๆ ในวัด ถ้าเป็นการกระทำกิจกรรมต่างๆ ในวัดก็หมายความว่า ไม่ได้เข้าใจพระธรรมวินัยเลย เพราะฉะนั้นควรจะเผาศพที่ไหน เดือดร้อนไหม ตายแล้วจะไปเผาที่ไหน เคยไปเผาแต่ที่วัด ก็มีที่เผาศพที่วัดไม่ได้ดำเนินกิจกรรม เป็นที่เผาศพ ฌาปนสถานหลายแห่ง
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1381
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1382
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1383
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1384
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1385
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1386
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1387
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1388
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1389
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1390
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1391
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1392
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1393
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1394
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1395
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1396
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1397
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1398
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1399
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1400
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1401
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1402
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1403
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1404
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1405
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1406
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1407
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1408
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1409
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1410
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1411
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1412
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1413
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1414
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1415
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1416
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1417
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1418
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1419
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1420
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1421
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1422
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1423
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1424
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1425
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1426
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1427
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1428
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1429
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1430
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1431
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1432
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1433
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1434
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1435
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1436
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1437
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1438
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1439
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1440
