ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1424
ตอนที่ ๑๔๒๔
สนทนาธรรม ที่ ห้องประชุมสุธรรมอารีย์กุล มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
วันที่ ๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๒
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นฟังต่อไปนะคะ จะได้เข้าใจธรรมะเพิ่มขึ้นอีก
อ.ทวีศักดิ์ ครับ ก็คงจะเป็นช่วงสำคัญอีกช่วงหนึ่งนะครับ ที่ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขต จะได้ให้ข้อชี้แนะ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมะ ธรรมะมีอยู่ทุกหนทุกแห่งไม่ว่าจะนอกตัวเรา ในตัวเรา ในโลกนี้ นอกโลกนี้ มีทั้งสิ้นใช่ไหมครับ ท่านอาจารย์ครับ
ท่านอาจารย์ ผู้ที่เห็นประโยชน์นะคะ ก็จะไม่ละเลยในการฟังพระธรรม เพราะรู้ว่าหนทางเดียวนะคะ ที่จะรู้จักพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็คือฟัง และก็มีความเข้าใจว่าทั้งหมดเนี่ยจากการที่ได้ทรงตรัสรู้ ซึ่งลึกซึ้งละเอียดอย่างยิ่ง ซึ่งถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมนะคะ ก็พูดคำที่ไม่รู้จักตลอดชีวิต ไม่ว่าคำอะไรทั้งสิ้น
พูดคำว่าสมาธิก็ไม่รู้ว่าสมาธิคืออะไร ทั้งหมดเลย พูดว่าเรา ไหนเรา แยกออกไปละ ตา หู อะไรเป็นเรา แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ก็เป็นแต่ละหนึ่งรวมกัน แล้วก็เป็นเรา ซึ่งสามารถที่จะแยกออกได้ละเอียดยิบ แม้แต่รูปธรรมซึ่งมีอากาศธาตุแทรกคั่นไม่ว่าสิ่งนั้นจะปรากฏเหมือนแข็ง และมั่นคงสักเท่าไหร่นะคะ ก็แตกทำลายได้ ก็ไม่เป็นสิ่งหนึ่งอย่างที่เคยปรากฏ
เพราะเหตุว่าแยกแล้วจะเป็นไม่ได้ แต่เมื่อรวมกันเมื่อไรก็มีความเข้าใจว่าเป็นสิ่งนั้นนะคะ แต่แยกออกแล้ว อย่างแข็งนี่คะ ไม่ว่าอะไรทั้งหมดก็คือแข็ง แต่ถ้ารวมกันแล้วก็แข็งนั้นเป็นโต้ะ แข็งนั้นเป็นเก้าอี้ แข็งนั้นเป็นดอกไม้ แข็งนั้นเป็นคน เป็นทุกสิ่งทุกอย่างหมดเพราะรวมกัน จึงหลงเข้าใจว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดนะคะ ที่เที่ยงยั่งยืน
เพราะไม่ประจักษ์การเกิดดับของแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดขึ้น แล้วที่ไม่มีการที่จะไม่ดับเป็นไปไม่ได้เลยนะคะ เกิดแล้วต้องดับ และเร็วกว่าที่คิดที่เข้าใจมากเพราะว่าเกิดแล้วดับไป แต่ก็มีสภาพธรรมะที่เกิดสืบต่อรวดเร็วสืบต่อมั่นคงนะคะ จนกระทั่งไม่เห็นการเกิดดับ ก็เข้าใจว่ายั่งยืน
ด้วยเหตุนี้นะคะ โลกก็ถูกปกปิดไว้ด้วยความไม่รู้ จนกว่าจะมีผู้ที่เห็นว่าสิ่งที่มีจริงเนี่ยความจริงของสิ่งนั้นคืออะไร เมื่อได้ทรงบำเพ็ญบารมีคุณความดีต่างๆ เพราะรู้ว่าอกุศลทั้งหลายเนี่ยไม่สามารถที่จะทำให้เข้าใจความจริงได้ เพราะฉะนั้นนะคะ ขณะใดก็ตามที่จิตเกิดขึ้นหนึ่ง ถ้าไม่เป็นอกุศลก็เป็นกุศล แล้ววันหนึ่งๆ เนี่ยเป็นอกุศลเท่าไหร่
เพราะฉะนั้นโอกาสที่จะเป็นกุศลก็น้อยมากนะคะ และโอกาสที่จะเห็นคุณของการที่ได้มีโอกาสฟังเพราะยังเป็นมนุษย์ และการจากโลกนี้ไปเนี่ยไม่มีใครรู้เลยคะว่าเมื่อไหร่ เดี๋ยวนี้ก็ได้ เห็นแล้วตายก็ได้ ได้ยินแล้วตายก็ได้ คิดแล้วก็ตายก็ได้นะคะ ซึ่งความจริงเนี่ยนะคะ ความตายไม่น่ากลัวเลย
เพราะเหตุว่าเป็นจิตสองขณะ ซึ่งเดี๋ยวนี้จิตเกิดดับนับไม่ถ้วนว่ากี่ขณะ เพราะฉะนั้นจิตหนึ่งขณะเกิดขึ้นนะคะ ทำกิจเคลื่อนพ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ นี่แน่นอนค่ะ เพราะเหตุว่าเวลาเราบอกว่าตายก็คือคนนั้นแหละไม่มีจิตอีกต่อไป เพราะฉะนั้นจิตขณะสุดท้ายนั้นทำกิจเคลื่อนพ้นความเป็นบุคคลนี้
แค่หนึ่งขณะจิตใครจะรู้ได้ และทันทีที่จุติจิตดับ จุติคือทำกิจเคลื่อนพ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้นะคะ ทันทีที่จิตสุดท้ายของชาติหนึ่งดับ ซึ่งเราใช้คำว่าตาย จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อทันทีไม่มีระหว่างคั่นเลย เพราะฉะนั้นกรรมที่ได้กระทำแล้วทั้งหมดในสังสารวัฎ รวมทั้งกรรมในชาตินี้ด้วยนะคะ
ก็จะเป็นปัจจัยทำให้จิตเกิดสืบต่อจากจิตสุดท้ายของชาติก่อน ทำปฏิสันธิกิจคือทำกิจสืบต่อ ซึ่งจิตอื่นทำไม่ได้ต้องเฉพาะกรรมหนึ่งซึ่งพร้อมที่จะทำให้จิตนั้นเกิดขึ้นเป็นผลของกรรมนั้นนะคะ เหมือนชาติก่อนนี่คะ จิตของชาติก่อนขณะสุดท้ายดับ ปฏิสนธิจิตขณะแรกของชาตินี้เป็นผลของกรรมหนึ่ง
ซึ่งทำให้เกิดเป็นแต่ละหนึ่ง หญิงบ้าง ชายบ้าง สะสมมาชั่วบ้าง ดีบ้างต่างๆ กันนะคะ ก็ตามปัจจัยซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลยเพราะเหตุว่าธรรมะ เป็นธรรมะ ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะอยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครได้เลยทั้งสิ้น และวันนั้นจะถึงเมื่อไหร่ เวลานั้นจะถึงเมื่อไหร่ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้
แต่โอกาสที่จะได้ฟังธรรมะในขณะที่ยังมีชีวิตนะคะ แล้วก็ยังมีเวลาที่จะได้ฟัง สิ่งที่ประเสริฐเป็นประโยชน์ที่สุดในบรรดาธรรมะทั้งหลาย คือการเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีในขณะนี้ ซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่าปัญญาหรือสัมมาทิฏฐินะคะ เข้าใจความจริงเมื่อไหร่ก็เป็นเจตสิกที่เกิดขึ้นทำหน้าที่นั้นแล้วก็ดับไป แต่ก็สะสมสืบต่ออยู่ในจิต
ซึ่งต่อไปนะคะ ไม่รู้เลยว่ามีโอกาสจะได้ฟังอีกไหม แต่ถ้าเห็นประโยชน์นะคะ การจะฟังมีหลายทางนะคะ หนังสือก็ได้ วิทยุก็ได้ โทรทัศน์ก็ได้ สื่อต่างๆ ก็ได้ เพราะฉะนั้นก็แล้วแต่ว่าท่านผู้ใดเห็นประโยชน์นะคะ ก็จะมีการไม่ฟังเพียงเท่านี้ เพราะว่านี่เป็นแต่เพียงการเริ่มต้นไม่กี่คำ
สนทนาธรรมที่เดอะวินเทจ เขาใหญ่
วันที่ ๘ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๒
อ.กุลวิไล ก็จะกราบเรียนท่านอาจารย์ค่ะ เพราะว่าอย่างธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตาผู้ที่มาใหม่ๆ เนี่ยก็คงไม่รู้ว่านี่คือคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค่ะ
ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะว่าจริงๆ แล้วคำนี้ค่ะ เป็นคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสนะคะ และก็เป็นคำที่แสดงความเป็นจริงของหนทางนี้ตั้งแต่ต้น จนถึงที่สุด สั้นมากใช่ไหมคะ ธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา คงไม่มีใครลืมหรือว่าจำไม่ได้ ใช่ไหมค่ะ แต่ความเข้าใจต้องละเอียดมาก เพราะเหตุว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ว่าจะตรัสคำไหน
คำนั้นไม่ใช่สิ่งที่เราจะเข้าใจได้โดยง่าย เพราะเรายังไม่ได้บำเพ็ญบารมีถึงการที่จะรู้ความจริงอย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ เพราะฉะนั้นจะเห็นได้นะคะ แต่ละคำก็คือคำที่เราพูด ภาษาที่เราเข้าใจได้ แต่ว่าหมายความถึงปัญญาที่เข้าใจถึงคำนั้นถึงที่สุด เพราะเหตุว่าถ้าเราถามใครว่าธรรมะคืออะไร
ต่างคนต่างตอบใช่ไหมคะ และก็ตอบได้บางส่วน แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าสิ่งที่มีจริงทั้งหมด มีจริง ก็คือเป็นธรรมะ ถ้าไม่มีจะเป็นธรรมะได้ไหมคะ เพราะธรรมะคือสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงทุกอย่างไม่เว้นเลยสักอย่างเดียวนะคะ ต้องมีจริงนะคะ แม้แต่คำนี้ก็ยังต้องคิด ต้องมีจริง
ดอกกุหลาบมีจริงหรือเปล่า เห็นมั้ยคะ แค่นี้ต้องคิดแหละ ดอกกุหลาบจริงหรือว่ามีสิ่งที่สามารถกระทบตา เป็นสีสันต่างๆ สิ่งที่จริงคือสิ่งที่กระทบตา และก็ตาก็จริง และเห็นก็จริง และสิ่งที่ปรากฏให้เห็นก็จริงด้วย เพียงแค่หลับตาไม่มีอะไรเหลือเลย แสดงให้เห็นว่าขณะนี้ค่ะมีสิ่งที่กระทบตา มีจริงใช่ไหมค่ะ เป็นธรรมะ
คือทุกอย่างที่มีจริงนะคะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ แต่เวลาที่ใช้คำภาษามคธีที่เราเรียกว่าบาลี ปาละ ดำรงรักษาพระศาสนามาเนี่ยนะคะ ไม่ใช่ภาษาที่เราใช้เป็นประจำวันแต่ถึงแม้ชาวมคธได้ฟังเขาก็ยังต้องไตร่ตรอง และก็ศึกษา เพราะเหตุว่าอย่างเราบอกว่าธรรมะคือสิ่งที่มีจริงเนี่ยแค่นี้
พอถามว่าขณะนี้อะไรมีจริงจะตอบไม่ตรง ใช่ไหมคะ กับสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แม้สิ่งนั้นมีจริงก็ไม่รู้ความจริงของสิ่งนั้น แสดงว่าเกิดมาในโลกเนี่ยเหมือนตาบอด ถ้าคิดว่ารู้นะคะ ก็ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแม้พระองค์ทรงตรัสรู้ไม่เหมือนกับที่ใครคิด ไม่ว่าใครทั้งนั้นคะ คิด คิดยังไงก็ไม่ใช่การรู้แจ้งสภาพธรรมะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้
เพราะฉะนั้นเป็นคนละเรื่องเลยใช่ไหมคะ แม้แต่คำว่าปริญญานะคะ ไปเรียนมามีปริญญาเอก ปริญญาตรี ปริญญาโท รู้อะไร รู้เยอะเลยใช่ไหมคะ แต่รู้เดี๋ยวนี้ไหม ไม่มีทางที่จะรู้ได้เลย เพราะฉะนั้นความรู้จริงๆ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มีหลายระดับนะคะ ไม่ต้องมีใครให้ ถูกต้องไหมคะ
เขาให้ปริญญาเราเนี่ย เขาจะรู้มั้ยว่าความรู้ระดับไหนของแต่ละคนที่มาในทางโลกใช่ไหมคะแต่ทางธรรมตรง ถ้าไม่รู้ถึงระดับนั้นไม่ใช่ปริญญาเป็นเรื่องของความเข้าใจจริงๆ ไม่ใช่เป็นเรื่องของการไปรับจากใครหรือใครมามอบให้ เพราะฉะนั้นเรื่องของธรรมะนี่คะ เป็นเรื่องตรงนะคะ
เป็นเรื่องที่เกิดมาเนี่ยขณะที่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังดำรงอยู่ และก็ยังสามารถที่จะได้ไตร่ตรอง ได้ฟัง ได้พิจารณาจนกระทั่งเข้าใจนะคะ แล้วชาติหนึ่งก็แสนสั้น อีกไม่นานก็จากโลกนี้ไปละ และตาบอดหรือเปล่าหรือว่าตาดีเพราะว่าตลอดชีวิตเกิดมาเนี่ยนะคะ มีแต่สิ่งซึ่งเป็นที่ต้องการ และก็ไม่รู้อะไรเลย
มีเรา มีของเรา มีโลก มีทุกอย่าง และเกิดมายังไงแล้วทำไมต้องตาย พอตายแล้วนะคะ โลกนี้ที่เคยผ่านมา เหมือนไม่เคยเกิดเลยเพราะจำไม่ได้ หมดเลยค่ะ เพราะฉะนั้นวันนี้เป็นอย่างนี้เนี่ยพอถึงวันจากโลกนี้จะจำไม่ได้เลยว่า ณ กาลครั้งหนึ่งเนี่ยเคยอยู่ตรงนี้แหละ เคยฟังธรรมะ
เพราะอะไรคะก็ไม่เป็นคนนี้อีกละ ก็เหมือนกับที่เกิดมาเป็นคนนี้ในชาตินี้ แต่ว่าชาติก่อนอยู่ไหน ลองบอกสิทำอะไรบ้าง คล้ายๆ อย่างนี้ไหม ยังไงก็ต้องเห็น ยังไงก็ต้องได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส แต่ชีวิตของแต่ละคนเนี่ยเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่หลากหลายมาก ไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาได้
จนกว่าจะแน่ใจ มั่นใจว่าทุกอย่างเนี่ยเกิดแล้วเป็นอย่างนี้ตามเหตุตามปัจจัย แล้วจะเดือดร้อนไหม เป็นแล้วนี่ ไม่ได้ทำ ไม่มีใครทำได้ แต่ต้องเป็นอย่างนี้ตามความเป็นธรรมะ ที่จะต้องเป็นไป เป็นอย่างอื่นไม่ได้ เกิดแล้วก็วุ่นวายกันไป วุ่นวายนี่สนุกนะคะ แล้วก็บางทีก็ทุกข์สารพัดเรื่อง จบแล้วไม่เหลือเลย จากไม่มีแล้วก็มี แล้วก็หามีไม่
แล้วจะเอาอะไร ในเมื่อจริงๆ แล้วก็ไม่มีเรา เกิดมาเหมือนมีเรา พอจากไปก็ไม่ใช่มีเรา แล้วก็มีใหม่ เหมือนมีเราอีก จากไปก็ที่แล้วมาก็ไม่รู้เลย เหมือนไม่ใช่เรา ก็เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นธรรมะคำเดียว ทุกอย่างที่ไม่จริง ทุกกาลสมัยแสนโกฏกัปป์มาแล้วก็เป็นอย่างนี้แหละค่ะ ต่อไปข้างหน้าก็เป็นอย่างนี้
ถ้าไม่รู้ก็คือว่าระหว่างที่มีชีวิตอยู่นะคะ เหมือนมีทุกอย่าง พอจากไปก็ไม่มีอะไรเลย เหมือนฝันก็ได้ถ้าจะเปรียบเทียบนะคะ เมื่อคืนนี้ใครฝันว่าอะไร แต่พอลืมตาไม่มี เพราะฉะนั้นพอลืมตาชาติหน้าไม่มีชาตินี้อีกเลย ทุกอย่างหมดสิ้น เพราะฉะนั้นก็เป็นสิ่งซึ่งนะคะ มีโอกาสที่จะได้รู้ว่า
มีผู้ที่ทรงตรัสรู้ความจริงไม่มีใครเปรียบได้เลยในสากลจักรวาลทั้งโลกมนุษย์ เทวโลก พรหมโลก ทุกๆ จักรวาลจึงไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสองพระองค์พร้อมกัน เพราะต้องมีคุณเหนือบุคคลอื่นใดทั้งสิ้นไม่มีใครเปรียบได้ เพราะฉะนั้นแต่ละคำนี่คะ อย่าคิดว่าเข้าใจแล้ว อย่าคิดว่าเข้าใจพอแล้ว
เพราะว่าความลึกซึ้งจะมากขึ้น เมื่อมีปัญญา แต่ว่าตอนที่ยังเพิ่งได้ยินได้ฟังนะคะ ก็เหมือนกับว่าธรรมดาๆ แต่ความจริงเมื่อเข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น ความละเอียดจะยิ่งมากขึ้นจนกระทั่งทำให้เห็นความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระองค์ตรัสว่าผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ทุกคนกราบไหว้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งนั้นเลย ตามวัดนะคะ
แล้วกราบไหว้อย่างอื่นด้วย ยังไงกันแน่ค่ะ นับถือใครกันแน่ ไหว้เหมือนกันหมดเลย และก็ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนกันด้วยจึงได้ไหว้ไปหมด แต่ว่าถ้ามีความเข้าใจแล้วเราจะไหว้คนอื่นไหม ถ้าไหว้ก็ในฐานะพี่น้อง วงศาคณาญาติ เพื่อนฝูง อาวุโส ที่สมควรที่จะไหว้ตามฐานะ
แต่ไม่ใช่ไหว้อย่างการเคารพสูงสุด อย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นนะคะ ได้ยินคำว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ธรรมะต้องเห็นจริงๆ ว่าธรรมะที่ตรัสรู้นี่คะ ไม่ใช่สิ่งที่ใครสามารถจะรู้ได้โดยง่าย จะหมดกิเลสได้โดยง่าย ไปสำนักปฏิบัติ ๑๐ วัน เดินช้าๆ รับประทานอาหารช้าๆ นั่ง นอน ยืน เดิน อย่างนั้น
แล้วคิดว่าจะรู้อย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้หรือ ในเมื่อไม่ได้บำเพ็ญบารมีอะไรที่จะสามารถที่ทำให้รู้อย่างนั้นได้ เพราะฉะนั้นคนที่ไม่ได้ฟังพระธรรมนะคะ แล้วก็ไม่รู้ความลึกซึ้งของธรรมะเนี่ยก็จะหลงทางคิดว่าตนเองเนี่ยนับถือพระพุทธศาสนา แต่ว่าถ้านับถือแล้วต้องศึกษาใช่ไหม
ไม่ใช่ว่านับถือแล้วก็ไม่รู้เรื่องว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนว่าอะไร เพราะฉะนั้นก็เป็นคนตรง นะคะ ด้วยเหตุนี้คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมี และก็ยังสามารถที่จะสนทนากันให้มีความเข้าใจขึ้นด้วยความไม่ประมาทว่านะคะ ที่ได้ยินได้ฟังเนี่ยไม่ได้อยู่ที่ไหนเลยคะ อยู่ที่นี่เดี๋ยวนี้ ที่ตัวทุกคน ซึ่งไม่เคยรู้มาก่อนเลย
เพราะฉะนั้นเป็นการที่จะสะสมความเข้าใจนะคะ จนกว่าจะประจักษ์แจ้งตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ ต้องมีการเริ่มต้นด้วยการเข้าใจแต่ละคำมั่นคง ธรรมะตอนนี้มีใครสงสัยไหมคะ ทุกอย่างที่มีจริงนะคะ แต่ต้องมีจริงนะ ไม่ใช่คิดว่ามี นะคะ แล้วคิดว่าจริง แต่ว่าลักษณะจริงๆ ของธรรมะก็คือว่ามีจริงเพราะมีลักษณะของตน
ที่บ่งชัดไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง เป็นธรรมะ ฟังอย่างเนี้ยเข้าใจไหมคะหรือว่าเบื่อละ ใช่ไหมคะ พูดซะยาวใช่ไหมคะ แต่ก็คือสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้แหละ และเป็นความลึกซึ้งอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่จะเห็นคุณของการที่เราไม่เคยได้ยินได้ฟังที่จะทำให้เข้าใจธรรมะละเอียดขึ้น
ได้ยินผิวเผินใช่ไหมคะ แต่ละข้อ แต่ละหนึ่ง แต่ว่าไม่ได้มีการตั้งต้นอย่างมั่นคงว่าธรรมะคือสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ และทุกขณะ ซึ่งไม่เคยรู้มาก่อน จนกว่าจะได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง และเป็นคนที่ตรงนะคะ ฟังเพื่อเข้าใจ
อ.วิชัย พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านะครับ เป็นพระผู้มีพระภาคก็คือเป็น ภะคะวา ผู้ที่จำแนกธรรมะ ดังนั้นนี่ครับ ธรรมะขณะนี้มี การที่ยังมีความสำคัญว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ถ้าไม่มีพระธรรมที่จะแสดงความเป็นจริงของสภาพธรรมะโดยประการต่างๆ ที่จะให้บุคคลที่ฟังนี่ครับ
เกิดความเข้าใจให้ถูกต้องว่าความเป็นจริงที่สัตว์โลกทั้งหลายที่มากด้วยความไม่รู้แล้วก็ยึดถือในสิ่งที่มีในขณะนี้ว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นของๆ เรานั้น ความเป็นจริงของสิ่งนั้นคืออย่างไร ดังนั้นถ้าบุคคลเริ่มมีความเข้าใจธรรมะนะครับ
จะค่อยๆ เห็นความไม่รู้ว่ามากมายเหลือเกินทั้งๆ ที่กำลังลืมตาอยู่ขณะนี้นะครับ มีสภาพธรรมะกำลังเกิดขึ้นแล้วก็เป็นไป แต่ความไม่รู้ไม่สามารถที่จะเข้าใจความเป็นจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏได้ ดังนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงแสดงธรรมเป็นอันมากนะครับ
ไม่ใช่คำหนึ่งคำใดเท่านั้น ท่านอาจารย์ครับ คำหนึ่งที่กล่าวถึงว่าสภาพธรรมะเป็นสิ่งที่มีจริงแล้วก็เกิดขึ้นอย่างขันธ์นี่ครับ ที่ว่าสิ่งที่มีจริงแล้วเป็นที่ตั้งของความยึดมั่นที่เป็นอุปาทานนะครับ จะมีความต่างกันอย่างไรครับท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ เห็น ทุกคนกำลังเห็นใช่ไหมคะ ธรรมะหรือเรา
อ.วิชัย ความเป็นจริงเป็นธรรมะครับ
ท่านอาจารย์ เห็นไหมคะความเป็นจริงเป็นธรรมะ เมื่อได้ฟังว่าธรรมะคือสิ่งที่มีจริง แต่เวลาที่ไม่ได้ฟังเดี๋ยวนี้ที่เห็นเนี่ย เราเห็น เพราะฉะนั้นตรงกับที่คุณวิชัยถามว่ายึดถืออะไร ก็ยึดถือสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ทั้งหมดนะคะ ไม่ว่าจะเป็นเห็นก็เป็นเราเห็น ได้ยินก็เป็นเราได้ยิน ชอบ เราชอบ ไม่มีอะไรเหลือที่จะเป็นธรรมะ ถ้าไม่ได้ฟังนะคะ
แต่พอฟังแล้วไม่มีอะไรเหลือที่เป็นเรา หรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง แต่เป็นแต่ละหนึ่ง และไม่ใช่ของใครด้วย ปลาเห็นไหม งูเห็นไหม คนเห็นไหม เทวดาเห็นไหม เห็นเป็นปลา เป็นนก เป็นงู เป็นเทวดาไม่ได้ เห็นเป็นเห็น ไม่ใช่เราไม่ใช่เทวดา ไม่ใช่ของเรา ถ้าเห็นไม่เกิดก็ไม่มีเห็น แต่เมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นนะคะ ก็เข้าใจว่าเที่ยง ยั่งยืน มั่นคง
เพราะไม่รู้ความจริงว่าแต่ละหนึ่งนี่คะ เกิดแล้วดับ เร็วสุดที่จะประมาณได้ แต่ทำไมมีอะไรเยอะแยะ ก็คิดสิเยอะแยะนะเกิดทั้งหมดเลยใช่ไหม ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี ไม่ใช่สงสัยว่าทำไมเยอะใช่ไหมค่ะ ก็เกิดมามีปัจจัยที่จะเกิดก็เกิดให้เห็นชัดๆ เลยว่าไม่มีใครไปบังคับบัญชาหรือว่าไปทำให้เกิด แต่เกิดแล้วทั้งนั้น
เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะที่ไหนมีอะไรก็ตาม มีภูเขา มีทะเล มีฟ้า มีบ้าน มีคน ทั้งหมดเกิดแล้วจึงมี แล้วก็เป็นแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ด้วยนะคะ กว่าจะรู้ว่าแต่ละหนึ่งนี่ก็แสนนาน เพราะเหตุว่าฟังแล้วนะคะ ขณะที่ฟังกว่าจะเข้าใจว่าไม่ใช่เรา ทรงแสดงโดยนัยประการต่างๆ ให้เห็นว่า ถ้าไม่มีตาเห็นไหมแค่นี้ ใครบันดาลให้เห็นได้
เพราะฉะนั้นเป็นธรรมะหรือเปล่า ตามีจริงๆ ก็เป็นธรรมะ ใครก็บันดาลให้ตาเกิดไม่ได้ สิ่งที่กำลังกระทบตาปรากฏว่ามี เมื่อจิตเห็นเกิดขึ้น จิตเห็นก็ไม่ใช่ตา และก็ไม่ใช่สิ่งที่กระทบตาแต่ละหนึ่งเกิดและดับ ทำไมมากอย่างนี้ค่ะ ใครห้าม ใครไปยับยั้ง มีปัจจัยที่จะเกิดทั้งนั้นเลย
เพราะฉะนั้นจะเห็นความละเอียดอย่างยิ่งนะคะ ว่าสิ่งที่ปรากฏทั้งหมดเนี่ย ความจริงก็เป็นธรรมะแต่ละหนึ่ง ลองคิดดูสิคะว่าเพียงหนึ่งเดียว แยกออกหมดที่รวมกันเนี่ยให้เป็นหนึ่ง แล้วก็ดับด้วยแล้วจะเหลืออะไร นี่คือการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งทรงแสดงความจริงนะคะ
ไม่ต้องไปแตกย่อยด้วยมือหรือด้วยอะไรทั้งสิ้น ด้วยอาวุธใดๆ ก็ไม่ต้อง เพียงคำของพระองค์ก็สามารถที่จะทำให้เห็นความจริงว่าแท้ที่จริงแล้วเนี่ยนะคะ เพราะไม่รู้ในสิ่งที่เกิดรวมกัน ที่เกิดดับอยู่ตลอดเวลา ก็ยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง จนกว่าจะได้เข้าใจความจริงของแต่ละหนึ่ง ซึ่งมีอยู่ในที่ที่ร่วมกัน
เพราะฉะนั้นก็เห็นพระปัญญาคุณนะคะ ว่าต้องบำเพ็ญพระบารมีนานเท่าไร แล้วเราฟังแค่นี้ท้อถอยหรือยัง เบื่อหรือยัง หรือว่าคิดว่าเป็นบุญนะคะ ที่ในชาตินี้มีโอกาสได้เข้าใจความจริงค่ะ จะมากจะน้อยก็ได้เข้าใจเป็นการสะสมไป เพื่อว่าแม้ว่าจะพระศาสนาอันตรธานไปนะคะ ยังไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป
สิ่งที่สะสมไว้นี่คะ ก็มีอยู่ในใจ พร้อมที่ว่าพอได้ยินคำว่าพระพุทธศาสนาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มีฉันทะที่จะได้ยินได้ฟัง นี่ก็เป็นความต่างกันนะคะ ซึ่งเราก็เห็นว่าแม้ว่ามีคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากมายหลายแห่ง แต่คนฟังก็ถ้าไม่ได้สะสมมา ก็ไม่ฟังเลย บังคับได้ไหมคะ ไม่มีทางค่ะ ทุกอย่างอนัตตา
อ.วิชัย ท่านอาจารย์ครับ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงการยากที่ปัญญาที่จะรู้ตรงสภาพธรรมะนะครับ ก็เหมือนกับปลายขนทรายจรดปลายขนทรายที่แบ่งออกแล้วเป็น ๗ ส่วนครับก็มาพิจารณานะครับ ว่าการที่มีสภาพธรรมะที่กำลังเกิดดับแล้วก็กำลังมีอยู่ในขณะนี้ แต่ว่า ยังไม่มีปัจจัยที่จะรู้ตรงความเป็นจริงของธรรมะได้เลยครับท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะฉะนั้นอะไรรู้ เห็นไหมคะไม่ใช่เรา แต่ต้องเป็นความเห็นที่ถูกต้องตามที่ได้ฟัง ภาษาบาลีก็มีหลายคำนะคะ ปัญญาก็ได้ สัมมาทิฏฐิความเห็นที่ถูกต้องก็ได้ ฟังอย่างนี้แล้วเห็นความยากยิ่ง และจริงๆ จะยากกว่านั้นอีกไหม
ในเมื่อนั่นพูดถึงขนทราย กับปลายขนทราย แต่นี่พูดถึงธรรมะที่ไม่มีรูปเลย และมีรูปที่เล็กกว่านั้น เพราะเหตุว่าขนทรายประกอบด้วยรูปกี่รูป ใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นจะเห็นได้เลยค่ะว่าประมาทคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ว่าเข้าใจแล้ว จบแล้ว รู้แล้ว
เพราะว่าบางคนนะคะ สนใจฟังค่ะแต่ฟังเพื่อเข้าใจเพียงตัวหนังสือ หรือว่าเพียงเรื่องราว เขาบอกเขาเข้าใจแล้ว เขาหารู้ไม่ว่าเข้าใจแล้วอย่างนั้นไม่ได้เข้าใจธรรมะ ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่าถ้าเข้าใจธรรมะจริงๆ นะคะ เดี๋ยวนี้เป็นธรรม
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1381
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1382
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1383
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1384
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1385
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1386
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1387
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1388
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1389
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1390
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1391
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1392
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1393
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1394
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1395
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1396
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1397
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1398
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1399
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1400
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1401
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1402
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1403
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1404
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1405
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1406
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1407
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1408
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1409
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1410
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1411
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1412
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1413
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1414
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1415
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1416
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1417
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1418
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1419
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1420
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1421
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1422
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1423
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1424
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1425
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1426
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1427
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1428
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1429
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1430
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1431
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1432
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1433
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1434
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1435
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1436
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1437
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1438
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1439
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1440
