ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1422
ตอนที่ ๑๔๒๒
สนทนาธรรม ที่ ห้องประชุมสุธรรมอารีย์กุล มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
วันที่ ๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๒
ท่านอาจารย์ ขณะต่อไปต้องเกิดแน่ แต่ไม่รู้ว่าอะไรใช่ไหมคะ แล้วก็ดับไปแล้วด้วย โดยไม่รู้เลยว่าอะไร เพราะฉะนั้นความไม่รู้มากแค่ไหน จนกว่าจะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความเคารพในความละเอียดยิ่งว่าขณะนี้เป็นธรรมะ เป็นปรมัตถธรรม เป็นอภิธรรมะลึกซึ้งอย่างยิ่ง
เพราะไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนใดๆ เลยทั้งสิ้น แต่ละหนึ่งต้องเป็นแต่ละหนึ่ง เพราะฉะนั้นธรรมะทั้งหลายเนี่ยนะคะ เป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นจะมีคำว่าสัพเพสังขาราอนิจจา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง สัพเพสังขาราทุกขา ความไม่เที่ยงนั่นแหล่ะเป็นทุกข์ สัพเพธัมมมาเปลี่ยนแล้วนะคะ ถ้าเอียดตอนต้น สัพเพสังขาราอนิจจา
ตอนนี้รู้แล้วไม่ต้องแปล สัพเพสังขาราทุกขา ก็รู้แล้วว่าการเกิดดับเป็นทุกข์ แต่ต่อไปนะคะ สัพเพธัมมาอนัตตา หมายความว่าสิ่งใดที่เป็นสังขาร ปรุงแต่งเกิดขึ้น สิ่งนั้นดับ เป็นทุกข์ แต่ธรรมะทั้งหลายรวมสภาพธรรมะซึ่งไม่เกิด คือนิพพานก็เป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นทั้งหมดธรรมะก็คือว่า
ปรมัตถธรรมสิ่งที่มีจริงนะคะ คือ จิต เจตสิก รูป และนิพพาน แต่ว่าที่นี่ไม่มีนิพพานใช่ไหมคะ แต่มีเห็น มีได้ยิน มีคิด มีนึก มีแข็ง มีร้อน มีธรรมะซึ่งเป็นรูปธรรมและนามธรรม ถ้ายังไม่รู้ว่านะคะ สภาพธรรมะนี้ไม่ใช่เรา ไม่ประจักษ์แจ้งการเกิดดับ ไม่ละคลายกิเลส ไม่มีทางที่จะรู้ว่ามีสภาพธรรมะซึ่งไม่ทุกข์ เป็นสุขเพราะไม่เกิด
จึงสามารถที่จะมีความเข้าใจในคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ว่าละเอียดอย่างยิ่งใครจะรู้จักทุกข์บ้าง รู้จักแต่ความเจ็บ แต่เจ็บเกิดขึ้นได้เพราะเหตุปัจจัย ที่ใครก็ทำให้เจ็บเกิดไม่ได้ แต่มีปัจจัยที่จะเจ็บ ทำให้เจ็บเกิดขึ้นนะคะ เจ็บก็เกิดขึ้น เราเข้าใจเพียงแค่โรคภัยไข้เจ็บ แต่ไม่รู้ว่ายิ่งกว่าโรคภัยไข้เจ็บ คือความไม่เที่ยงของสิ่งซึ่งกำลังมีเดี๋ยวนี้ทุกขณะ
ซึ่งเราไม่รู้ เพราะฉะนั้นก็ค่อยๆ เข้าใจแต่ละคำนะคะ สภาพธรรมะที่มีจริงซึ่งไม่รู้อะไรเป็นรูปธรรม แต่สภาพธรรมะที่มีจริงเป็นนามธรรม มีสองอย่างคือจิตและเจตสิก จิตเป็นใหญ่เป็นประธาน เห็นไหมคะ ถ้าได้ยินคำว่าจิต เพราะว่าถ้าถามคนไทย คนไทยทุกคนนะคะ ไม่สงสัยเรื่องจิต มีจิตกันทุกคน
แล้วยังบอกด้วยว่าคนนั้นจิตใจไม่ดี คนนี้จิตใจดี ใจบุญบ้าง ใจปาป ใจร้ายบ้างสารพัด เราก็พูดถึงเรื่องจิตและใจ แต่ไม่รู้จักจิตใจตามความเป็นจริง ว่าไม่ใช่เรานะคะ แต่ก็เป็นธรรมะ เพราะฉะนั้นรูปธรรมเนี่ยไม่ดีไม่ชั่ว แต่นามธรรมเท่านั้นนะคะ ที่เป็นสภาพที่รู้ เพราะฉะนั้นจึงมีทั้งดี และชั่ว มีทั้งกุศลและอกุศล ก็ไม่ใช่เรา
ต้องไม่ลืมว่าเราฟังธรรมะเพื่อเข้าใจธรรมะ เพื่อรู้ว่าธรรมะไม่ใช่เรา และหลงเข้าใจธรรมะยึดถือธรรมะว่าเป็นเรา ในสังสารวัฎมานานมากนะคะ จนกว่าจะรู้ความจริงว่าแท้ที่จริงแล้วธรรมะแต่ละหนึ่งนี่คะ ไม่มีใครสามารถที่จะทำให้เกิดขึ้นได้เลย แต่ก็เกิดแล้ว ถ้าไม่มีการยึดถือเท่านั้นนะคะ ก็จะเห็นว่าทุกอย่างเนี่ยเป็นธรรมะ
ซึ่งเกิดตามเหตุตามปัจจัยยับยั้งไม่ได้เลย ตามที่มีปัจจัยให้เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น สุขมากก็มีเท่าที่ปัจจัยจะทำให้สุขเกิดขึ้นระดับนั้น ทุกข์มากก็มี ตามปัจจัยที่จะทำให้ทุกข์ระดับนั้นเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้นะคะ ว่าสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวันทั้งหมดนี่คะ ถูกปกปิดด้วยความไม่รู้ เหมือนอยู่ในความมืดสนิทนะคะ
จากวันเดือนปีแล้วก็จากโลกนี้ไป แล้วก็ลืมหมดเลย เพราะฉะนั้นเราลืมชาติก่อน พอถึงชาติหน้า เราก็ลืมชาตินี้ และก็ไม่รู้ด้วยนะคะ ว่าเคยทำอะไรมาแล้วบ้าง แต่ว่าถ้ามีความเข้าใจธรรมะนะคะ ก็จะต้องมีว่าเคยได้ฟังธรรมะใช่ไหมค่ะ ที่นี่บ้าง ที่โน่นบ้าง ที่นั่นบ้าง พออีกชาติหนึ่งนะคะ
ได้ยินคำที่กล่าวถึงธรรมะก็สามารถที่จะเข้าใจได้ เหมือนขณะนี้ค่ะ ถ้าเราไม่เคยเห็นประโยชน์นะคะ ไม่เคยรู้มาสักนิดเดียว ก็จะไม่มีโอกาสได้ยินได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ว่ามีปัจจัยที่จะทำให้ได้ยินได้ฟัง บางคนอาจจะคิดว่าบังเอิญ หรือวันนี้อยากมาฟังดูนะคะ แต่ความจริงก็ต้องมีปัจจัยทั้งนั้นที่จะทำให้มีโอกาสได้ฟัง
ฟังแล้วจะมีความเข้าใจมากน้อยเท่าไร ตามปัจจัยที่ได้สะสมมา มีความสนใจ มีการเห็นประโยชน์ ว่าเป็นสิ่งที่มีจริงแน่นอนซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย จึงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะได้ทรงตรัสรู้ความจริง เพราะฉะนั้นนะคะ ขณะนี้มีจิต มีเจตสิก มีรูป เป็นธรรมะเห็นไหมคะไม่ใช่เรา
พอกล่าวว่ามีจิตก็ต้องจิต ตรงไหม จิตไม่ใช่เรา ต้องเป็นจิต มีเจตสิก ตรงไหม ต้องเป็นเจตสิกไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นจิตเป็นใหญ่ แค่นี้ค่ะ ได้ยินแค่นี้สงสัยไหม ใหญ่ยังไง เป็นนามธรรม เป็นธาตุรู้ มีสองอย่าง เพราะฉะนั้นถ้ากล่าวว่าจิตเป็นใหญ่ หมายความว่าเจตสิกไม่ใหญ่ใช่ไหม
แต่ว่าถ้าฟังพระธรรมต่อไปนะคะ ใหญ่ ตามหน้าที่การงาน เช่น จิตเป็นใหญ่ในการรู้แจ้ง รู้ชัดเจนในสิ่งที่ปรากฏ เท่านั้นเป็นหน้าที่ของจิตนะคะ เพราะฉะนั้นขณะนี้เห็น ทำไมมีสีหลากหลาย เขียวอ่อน เขียวแก่ สีม่วง สีแดง สีขาว จิตรู้แจ้งในสิ่งนั้น ไม่เช่นนั้นจะไม่มีการเห็นว่าต่างกันเลย เพราะฉะนั้นสภาพของจิตนะคะ มหาสมุทรกับท้องฟ้าจรดกัน
จิตรู้แจ้งว่านี่เป็นฟ้านั้นเป็นน้ำ เพราะการรู้แจ้งนะคะ เพราะฉะนั้นจิตเกิดพร้อมเจตสิก จิตจะเกิดเองโดยไม่มีเจตสิกไม่ได้ เจตสิกปรุงแต่งให้จิตแต่ละหนึ่งขณะเห็น เพราะฉะนั้นขณะใดก็ตามที่กล่าวถึงจิตนะคะ เป็นใหญ่เป็นประธานในเจตสิกที่เกิดร่วมกัน โดยฐานะที่เป็นสภาพธรรมะที่รู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ
เพราะฉะนั้นเมื่อมีจิตซึ่งเป็นสภาพรู้นะคะ สิ่งที่ถูกรู้ต้องมี ภาษาบาลีใช้คำว่าอารัมมณะ คนไทยออกเสียงสั้นๆ ว่าอารมณ์ แต่เข้าใจผิดใช่มั้ยคะ เพราะว่าไม่ได้ศึกษาในความละเอียดวันนี้อารมณ์ดี คนไทยไม่สงสัยเลยค่ะใครพูดเข้าใจได้เลย แต่รู้ไหมว่าทำไมวันนี้อารมณ์ดี ถ้าตื่นมาเห็นแต่สิ่งที่ดี ได้ยินเสียงดี ได้กลิ่นดี ได้รสดี ได้การกระทบสัมผัส เย็นร้อน อ่อนแข็ง
วันนี้อากาศกำลังดีใช่ไหมค่ะสบายดี วันนี้อารมณ์ดี เพราะมีอารมณ์คือสิ่งที่จิตรู้ดี แต่ถ้าเกิดร้อนขึ้นมานะคะ ไม่ชอบล่ะ วันนี้อารมณ์ไม่ดีละ คนนั้นว่าอย่างนี้ เสียงนั้นก็ไม่เพราะ เรื่องนั้นก็ไม่น่าฟัง ทั้งหมดก็เพราะจิตเกิดขึ้นเป็นสภาพรู้ ไม่รู้ไม่ได้ แต่สิ่งที่ถูกรู้เนี่ยมีสองอย่าง คือสิ่งที่น่าพอใจ และไม่น่าพอใจก็ปรุงแต่งนะคะ
ซึ่งไม่ใช่จิตแต่เป็นเจตสิกทั้งหมด ๕๒ ประเภท แต่เกิดไม่พร้อมกัน เจตสิกที่ดีจะเกิดพร้อมกับเจตสิกที่ไม่ดีไม่ได้ เพราะฉะนั้นขณะนี้เราไม่รู้เรื่องจิตที่เราบอกว่าจิตของเรา แต่ความจริงจิตเป็นจิต ไม่ใช่ของใคร แต่จิตต้องเป็นไปตามการสะสม เป็นไปตามการปรุงแต่งของสภาพธรรมะที่เป็นเจตสิก
ไม่มีใครจะไปปรุงแต่งจิตได้เลยค่ะ นอกจากเจตสิก ๕๒ ประเภท ที่ปรุงแต่ง เช่น ผัสสเจตสิก ผัสสะแปลว่ากระทบนะคะ เพราะฉะนั้นขณะนี้ค่ะ ถ้าไม่มีอะไรกระทบตา กระทบหู จิตเห็นเกิดไม่ได้ จิตได้ยินเกิดไม่ได้ จิตที่จะคิดนึกถึงสิ่งที่เห็นบ้าง สิ่งที่ได้ยินบ้าง ก็เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นเจตสิกหนึ่งนะคะ
ซึ่งในพระอภิธรรมเนี่ยจะกล่าวถึงเป็นเจตสิกแรกคือ ผัสสเจตสิก สภาพรู้ซึ่งทำหน้าที่กระทบอารมณ์ เพราะรู้นี่คะ ก็ต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด สิ่งที่ถูกรู้ก็คืออารมณ์ เพราะฉะนั้นผัสสะที่เกิดพร้อมจิตนะคะ กระทบอารมณ์ ขณะที่เสียงปรากฏเพราะผัสสเจตสิกกระทบเสียง จิตเห็นเกิดไม่ได้ค่ะ ต้องเป็นจิตได้ยินที่เกิดขึ้น ได้ยินเสียง
เพราะฉะนั้นเป็นธรรมะซึ่งเป็นอนัตตาทั้งหมด เดี๋ยวนี้มีการได้ยินนะคะ ก็ไม่เคยรู้ว่าทำไมได้ยินเกิดขึ้น ไม่มีใครไปทำให้ได้ยินเกิด แต่ปัจจัยที่จะทำให้ได้ยินเกิด เป็นธรรมะทั้งหมดเลยนะคะ โสตปสาทรูป เป็นรูปที่ต่างกับรูปอื่น รูปอื่นก็แข็งบ้าง ร้อนบ้าง หวานบ้าง เค็มบ้าง แต่รูปนี้นะคะ เป็นรูปที่กระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา
ถ้าเป็นเสียงนะคะ ก็เป็นโสตปสาทรูปที่กระทบกับหู กระทบแข็งไม่เกิดอะไรขึ้นเลยค่ะ แต่ว่าพอกระทบหูนะคะ เป็นปัจจัยให้ได้ยินเกิดขึ้น ได้ยินเป็นใหญ่เป็นประธานเป็นจิต ในการรู้แจ้งเสียง เพราะฉะนั้นเสียงเนี่ยสามารถจะบอกได้ ว่าดนตรีเนี่ยเสียงต่างๆ ใช่ไหมคะ ไม่ว่าจะดนตรีไทยหรือดนตรีอะไร
แม้คนพูดแต่ละคนเนี่ย เพียงแค่ได้ยิน โทรศัพท์นะคะ รู้เลยว่าใครพูด เพราะจิตเป็นสภาพที่รู้แจ้งเสียง โดยมีเจตสิกซึ่งจำสัญญาเจตสิก เพราะฉะนั้นชีวิตประจำวันทั้งหมดก็คือ จิตเจตสิก รูป ถ้าจำนะคะ มีจริงหรือเปล่า มีจริง กำลังจำ ใครทำให้จำเกิดขึ้น ทำไม่ได้ แต่จำเกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัย
และถ้าไม่มีจิตก็จำไม่ได้ใช่ไหมคะ ต้นไม้เนี่ยไม่มีจิตจะให้ไปจำอะไรได้ เพราะฉะนั้นจิตกะเจตสิกนี่คะ เป็นนามธรรมนะคะ ซึ่งเกิดพร้อมกัน อาศัยกันและกันเกิดขึ้น รู้สิ่งเดียวกันแล้วก็ดับพร้อมกันด้วย ใครก็ไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงของอภิธรรมะได้เลย เพราะฉะนั้นฟังธรรมะก็คือเมื่อเข้าใจความลึกซึ้งขึ้นนะคะ
ก็เข้าใจว่าธรรมะนี่แหละเป็นปรมัตถธรรม จะเรียกชื่อว่าอะไรก็ตามแต่ แต่ความจริงก็คือว่าไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนลักษณะนั้นให้เป็นอื่นได้ แล้วก็เป็นอภิธรรมด้วย เพราะไม่มีใครสามารถที่จะมีความเข้าใจธรรมะลึกซึ้ง เพราะเหตุว่าไม่มีใครทำให้เกิด แต่ว่ามีแล้วเพียงเท่านี้ไม่กี่คำ
แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมะ ๔๕ พรรษา และทุกคำนี่คะ ต้องศึกษาทีละคำ เข้าใจตามลำดับ เพราะเหตุว่าทุกคำนี่คะ สอดคล้องกันหมด แต่ถ้าไม่เข้าใจคำแรกคำต่อๆ ไปก็ผิด ด้วยเหตุนี้นะคะ ถ้าศึกษาธรรมะจริงๆ ก็รู้ว่าแม้คำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ใครจะพูดก็ตาม
คนที่พูดเข้าใจความลึกซึ้งของธรรมะแค่ไหน ถ้ากล่าวเผินๆ ไม่กล่าวให้ละเอียดลึกซึ้งนะคะ ก็รู้ได้ว่าความเข้าใจของคนนั้นไม่พอ ที่จะเข้าใจความลึกซึ้งของธรรมะซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ๔๕ พรรษา โดยนัยหลากหลายจึงเป็น ภะคะวา พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงจำแนกความละเอียดอย่างยิ่งของธรรมะ ให้คนอื่นได้มีความเข้าใจถูกต้อง โดยนัยประการต่างๆ นะคะ เช่น อายตนะเคยได้ยิน อริยสัจจะเคยได้ยิน ปฏิจจสมุปปาทเคยได้ยิน เดี๋ยวนี้เอง ใช่ไหมคะ แต่ไม่รู้ค่ะ เพราะไม่เข้าใจความลึกซึ้ง แต่ถ้าเข้าใจความลึกซึ้งนะคะ
ทั้งหมดขณะนี้ก็เป็นอายตนะ แล้วก็เป็นอริยสัจจะ และก็เป็นปฏิจจสมุปปาท แล้วก็เป็นธาตุ เป็นทุกอย่างที่ทรงจำแนกไว้โดยละเอียด สอดคล้องกันทั้งหมด เพราะเป็นความจริงถึงที่สุดที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ คนไทยไม่ได้ใช้คำว่าอายตนะใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจว่าอายตนะคืออะไร
ถ้าไม่มีตาไม่มีสิ่งที่กระทบตา อายตนะคือที่ประชุม ต้องมีธรรมะที่มีจริงในขณะนั้น เพราะเกิดขึ้นแล้วยังไม่ดับไป แล้วต้องประชุมคืออยู่ตรงนั้นด้วย แม้ขณะที่เห็นนี่นะคะ เป็นอายตนะ ตาเป็นจักขายตนะ หมายความว่าต้องมีที่ประชุม ต้องมีธรรมะอื่นที่นั้นด้วย เพราะฉะนั้นจึงมีสิ่งที่กระทบต่อคือรูป รูปายตนะ สองคำรวมกัน รูปกับอายตนะ
แล้วก็ต้องมีมนายตนะ คือจิต เพราะฉะนั้นจิตเนี่ยคะ ในภาษาบาลีจะมีหลากหลายชื่อ มโนก็ได้ มนัสก็ได้ หทยก็ได้ ปัณฑระก็ได้ มีความหมายต่างๆ นะคะ เช่น หทยเป็นสิ่งที่อยู่ภายในที่สุด หาดูสิคะ อะไรอยู่ภายในที่สุด จิต เป็นสภาพที่อยู่ภายในที่สุดนะคะ เพราะว่าบางกาละก็มีเจตสิกนั้นเจตสิกนี้ ตามประเภทต่างๆ ที่เกิดกับจิต
ปรุงแต่งให้จิตหลากหลายเป็นกุศลจิตที่ดีงาม เป็นอกุศลจิตที่ไม่ดี แล้วก็เป็นอัพยากตะด้วย เป็นสภาพธรรมะที่ไม่ใช่กุศล และไม่ใช่อกุศล เพราะฉะนั้นจิตจึงมีทั้งจิตที่เป็นกุศล ก็ต่างกับจิตที่เป็นอกุศล และต่างกับจิตที่ไม่ใช่กุศล และอกุศล เพราะฉะนั้นได้ยินชินหูในงานศพนะคะ กุสลาธัมมา อกุสลาธัมมา อัพยากตาธัมมา
ถ้าไม่เข้าใจวันนี้จะรู้ไหมว่าหมายความถึง จิต เจตสิก และรูป เพราะฉะนั้นกุสลาธัมมาได้แก่กุศลจิต และเจตสิกที่ดีงาม อกุสลาธัมมาได้แก่อกุศลจิต และอกุศลเจตสิกซึ่งไม่ดีงาม อัพยากตาธัมมาก็หมายความถึง จิต เจตสิก ซึ่งไม่ใช่กุศลและไม่ใช่อกุศล เห็นยังงี้คะ แค่เกิดขึ้นเห็น จะเป็นกุศลได้ยังไง จะเป็นอกุศลได้ยังไง
เพียงแค่ได้ยินนะคะ ได้ยินกับการคิดถึงความหมายเนี้ยต่างกัน เพราะฉะนั้นใครจะรู้ว่าแค่ได้ยินเนี้ย เป็นจิต เจตสิก ซึ่งไม่ใช่กุศล และอกุศล เพราะฉะนั้นก็เป็นอัพยากตธรรม รูปทั้งหมดเป็นอัพยากตธรรม เพราะรูปไม่ใช่กุศล และอกุศล นิพพานก็ไม่ใช่กุศล และอกุศล เพราะฉะนั้นนิพพานก็เป็นอัพยากตธรรม
เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจอย่างนี้นะค่ะกุสลาธัมมา ธรรมะต้องมีจริง ไม่มีจริงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้อะไร จะตรัสรู้ได้อย่างไร แต่สิ่งที่มีจริงเนี่ย คนอื่นไม่สามารถจะรู้ได้ว่าหลากหลายมากนะคะ เพราะเกิดและดับนับไม่ถ้วนเลยไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้นโลกในแสนโกฏกัปป์มาแล้วเป็นสภาพธรรมะแต่ละหนึ่ง ซึ่งไม่ได้กลับมาเลย
แม้แต่ แต่ละชาติของพระโพธิสัตว์ซึ่งจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ละพระชาติก็ต่างกัน ไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้นต้องไม่ลืมนะคะ ธรรมะทั้งหมดเนี่ยค่ะรวมแล้วก็เป็น ประเภทที่เป็นกุศลบ้าง เป็นประเภทที่เป็นอกุศลบ้าง และธรรมะที่ไม่ใช่กุศลและอกุศล เพราะฉะนั้นถ้ารู้ว่าธรรมะคือสภาพรู้กับสภาพไม่รู้
สภาพไม่รู้เป็นรูปธรรม สภาพรู้คือนามธรรมได้แก่จิต และเจตสิก เพราะฉะนั้นกุสลาธัมมาต้องเป็นเฉพาะจิต และเจตสิกฝ่ายดี ซึ่งเป็นกุศลธรรมนำประโยชน์มาให้ไม่เป็นโทษเลย และสำหรับอกุสลาธัมมาก็คือสภาพธรรมะที่ไม่ดีนะคะ จิตเป็นใหญ่เป็นประธาน จิตเป็นกุศลไม่ได้ อกุศลไม่ได้ แต่เมื่อมีเจตสิกซึ่งไม่ดีเกิดร่วมด้วย
เพราะเกิดร่วมกันจิตนั้นจึงเป็นอกุศลด้วย เพราะว่ามีเจตสิกที่ไม่ดีเกิดร่วมด้วย แยกกันไม่ออกเลยค่ะ นามธรรมเหมือนกับสิ่งที่เป็นน้ำหลายๆ อย่างนะคะ ผสมกัน จากน้ำเปล่าๆ และก็มีน้ำต่างๆ มาผสม สีต่างๆ เกิดขึ้นแยกไม่ออก ว่าอันใดเป็นสีอะไรเพราะว่ารวมกันหมดแล้ว เพราะฉะนั้นจิตเจตสิกก็เป็นกุศลธรรมนะคะ กุสลาธัมมา
แล้วก็เป็นอกุศลธรรม อกุสลาธัมมา แต่ว่าถ้าเป็นอัพยากตาธัมมา จิตเจตสิกมีที่ไม่ใช่กุศล และอกุศล เช่นจิตของพระอรหันต์ไม่เป็นกุศลและไม่เป็นอกุศล เพราะตราบใดที่เป็นกุศล เป็นเหตุให้เกิดผลคือกุศลวิบาก ถ้าเป็นอกุศลนะคะ ก็เป็นเหตุให้เกิดผลคืออกุศลวิบาก และขณะนี้ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงจะไม่รู้ว่าจิตเห็นขณะนี้
เดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็นเป็นกุศลวิบาก หรืออกุศลวิบาก เพราะการเกิดดับอย่างเร็วมาก เพราะฉะนั้นทุกคำในพระไตรปิฎกนะคะ ศึกษาด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ด้วยความละเอียด ด้วยการไตร่ตรองจนกระทั่งสอดคล้องกันทั้งหมด
ก็จะได้เห็นพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัญญาคุณที่ทรงพระมหากรุณาแสดงธรรมะให้เราได้เข้าใจด้วย ไม่ใช่พระปัจเจกพุทธเจ้าหรือสาวกนะคะ ที่รู้ความจริงไม่ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งทรงจำแนกธรรมหลากหลายนานาประการ มากมายใน ๔๕ พรรษา
เพื่อให้แต่ละคนค่ะได้รู้จักสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นก็คงจะไม่มีความสงสัยนะคะ ในกุสลาธัมมา อกุสลาธัมมา อัพยากตาธัมมา และก็ไม่สงสัยในสัพเพสังขาราอนิจจา สัพเพสังขาราทุกขา สัพเพธัมมาอนัตตา ทุกอย่างต้องสอดคล้องกัน
อ.ทวีศักดิ์ ในชีวิตประจำวันเราอาจจะพบเพื่อนร่วมงานหรือใครก็แล้วแต่นะครับ เอ๊ะทำไมเขาถึงมีความเมตตาจัง ทำไมเขามีความกรุณาปรานี แต่บางคนเอาแต่คิดร้ายมุ่งร้ายต่อผู้อื่นอิจฉาริษยาต่อผู้อื่น คิดจะทำร้ายทำลายผู้อื่น สิ่งต่างๆ เหล่านี้เกิดจากอะไร จากจิต และเจตสิกอย่างไร อยากให้อาจารย์อรรณพได้ให้อธิบายด้วยนะครับ เชิญครับ
อ.อรรณพ ครับ สิ่งใดที่เกิด สิ่งนั้นต้องมีเหตุมีปัจจัยให้สิ่งนั้นเกิด เพราะฉะนั้นจิตจะดีหรือเป็นจิตที่ไม่ดีก็ต้องมีตัวเหตุ เหตุนั้นก็ต้องเป็นเจตสิก ซึ่งเจตสิกมีถึง ๕๒ ชนิด เจตสิกอะไรล่ะครับที่เป็นตัวเหตุ เอาเจตสิกที่เป็นเหตุที่ไม่ดีก่อน พอเกิดแล้วนะครับ จึงมีการสมมติว่าคนนี้ไม่ดี ก็คือเจตสิกที่เป็นมูลรากสำคัญได้แก่ ความติดข้อง
โลภะเจตสิกเป็นเหตุที่ไม่ดีอย่างหนึ่ง จริงไหมครับ โลภะเกิดกับจิตตอนไหน ตอนนั้นเกิดความติดข้อง จิตขณะนั้นก็ไม่ดีแล้วครับ เห็นแก่ตัวไหมครับ เห็นแก่ตัวถึงขนาดเบียดเบียนผู้อื่นเขา ก็เพราะมีสภาพธรรมะก็คือโลภะเหตุซึ่งต้องเกิดพร้อมกับความไม่รู้คือโมหะเหตุ เพราะฉะนั้นโลภะ โมหะ ที่เกิดขณะนั้น
จิตขณะนั้นก็ไม่รู้แล้วก็อยากได้ ถ้ามากเข้าก็เป็นทำโทษทุจริตต่างๆ โทสะเจตสิกก็เป็นเหตุอีกอย่างหนึ่ง และเมื่อโทสะเจตสิกนั้นน่ะเกิดกับจิตเป็นมูล เป็นราก เป็นเหตุ ให้จิตขณะนั้นขุ่นข้อง แรงขึ้นก็ถึงขั้นประทุษร้ายกัน นั่นก็คือความไม่ดี สรุปว่าที่เราสมมติว่าเป็นคนไม่ดีทั้งหลายเนี่ย เพราะเขาสะสมอัธยาศัยมาที่จะมีอกุศลเหตุเกิดขึ้น ไม่ใช่เราเลย
ส่วนเหตุที่ดีงามก็ตรงข้ามกันเป็นเจตสิกที่ดีอีก ๓ เหมือนกันนะครับ ก็คืออโลภะเจตสิก เจตสิกที่ไม่ติดข้อง สละได้ มีอะไรที่จะแบ่งปัน ขณะนั้นจิตดีงามเพราะมีอโลภะเจตสิกที่จะไม่ติดข้องนะครับ แล้วก็ยังมีอโทสะเจตสิกที่จะไม่ขุ่นข้อง แต่มูลเหตุที่ดีที่สุด ก็คือปัญญา อโมหะ คือไม่หลง เพราะเรารู้ตรงความจริง
เป็นเจตสิกที่ดีที่สุดในบรรดาเจตสิกทั้งหมด ก็คือปัญญาเจตสิก ซึ่งปัญญาเจตสิกก็ต้องเกิดจากการอาศัยคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะฟังแล้วเข้าใจ เพราะนั่นก็เป็นสิ่งที่มีค่าควรศึกษาที่สุดเลย เพราะเป็นธรรมะที่ละเอียดจริง และตรงที่สุดนะครับ เพราะนั่นก็คือแตกต่างกันไปตามเหตุ โดยเฉพาะเหตุที่เกิดกับจิตในขณะนั้นทันทีนะครับ คืออกุศลเหตุ ๓ แล้วก็เหตุที่ดีอีก ๓ ครับ
อ.ทวีศักดิ์ กราบเรียนถามท่านอาจารย์นะครับ ว่าการประพฤติปฏิบัติอย่างหนึ่งที่ค่อนข้างจะมีปัญหาแล้วใหญ่ด้วย กระทบต่อความคลาดเคลื่อนของความเข้าใจในพระพุทธศาสนาก็คือมีสำนักต่างๆ นะครับ เขานำชาวพุทธไปนั่งสมาธิกันนะครับ ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ด้วยครับ เชิญครับ
ท่านอาจารย์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ให้ใครทำอะไรนะคะ แต่ทรงแสดงธรรมะให้เข้าใจความจริง
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1381
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1382
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1383
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1384
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1385
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1386
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1387
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1388
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1389
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1390
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1391
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1392
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1393
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1394
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1395
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1396
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1397
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1398
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1399
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1400
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1401
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1402
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1403
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1404
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1405
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1406
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1407
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1408
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1409
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1410
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1411
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1412
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1413
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1414
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1415
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1416
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1417
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1418
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1419
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1420
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1421
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1422
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1423
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1424
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1425
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1426
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1427
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1428
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1429
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1430
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1431
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1432
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1433
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1434
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1435
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1436
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1437
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1438
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1439
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1440
