ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1383


    ตอนที่ ๑๓๘๓

    สนทนาธรรม ที่ คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

    วันที่ ๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๑


    ท่านอาจารย์ ถ้ากล่าวโดยนัยหมวด ๓ ก็คือธรรมที่เป็นกุศล คือ กุสลา ธัมมา ก็มี ธรรมที่เป็นอกุศลคือ อกุสลา ธัมมา ก็มี ธรรมที่ไม่ใช่กุศลและอกุศล คือ อัพยากตา ธัมมา ก็มี เพราะฉะนั้น ทุกอย่างในขณะนี้ก็ต้องเป็นอย่างหนึ่งอย่างใด คือเป็นธรรมที่เป็นกุศลก็เป็นกุศล เป็นอื่นไม่ได้ ธรรมที่เป็นอกุศลก็ต้องเป็นอกุศล เป็นอื่นไม่ได้ ธรรมที่ไม่ใช่กุศลและไม่ใช่อกุศล ก็จะเป็นกุศลและอกุศลไม่ได้ ซึ่งฟังอย่างนี้ไม่พอ ต้องมีความเข้าใจว่าอะไรที่ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล เพราะว่าได้ยินคำว่ากุศลก็พอจะเข้าใจ ได้ยินคำว่าอกุศลก็พอจะเข้าใจ แต่อัพยากต ถ้าไม่ไปงานศพ ไม่ฟังสวดก็จะไม่ได้ยินคำนี้ แต่ได้ยินแล้วผ่านไป ไม่มีประโยชน์ถ้าไม่สนใจที่จะเข้าใจ เพียงแค่ได้ยินกี่ครั้ง กี่ร้อยครั้ง ก็คือไม่รู้

    โดยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม ไม่ใช่เพื่อให้ไม่รู้ ไม่ใช่เพื่อให้พูดตามที่สวด แต่ต้องเป็นการทบทวนความเข้าใจจากการที่ได้ฟัง เพราะว่าเตือนให้รู้ว่าคืออะไรเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นธรรมที่ไม่ใช่กุศล และไม่ใช่อกุศล ถ้าไม่ได้ฟังธรรมใครจะคิดออก แต่พอจะรู้ถ้าได้ฟังธรรมบ้าง เช่น เสียงเป็นกุศลได้ไหม ไม่ใช่ต้องบอก แต่ต้องคิด เพื่อจะได้เป็นปัญญาของตนเอง ถ้าเขาบอกก็ฟังแล้วก็ลืม เช่น กุสลา ธัมมา อกุสลา ธัมมา อัพพยากตา ธัมมา บางคนก็จำได้ บางคนก็จำไม่ได้ แต่ว่าถ้าเราไตร่ตรองจนกระทั่งเข้าใจจริงๆ เราจะไม่เปลี่ยนเลย

    เดี๋ยวนี้ธรรมที่ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศลต้องมีแน่นอน เสียง มีจริงๆ กำลังได้ยินเสียง เสียงไม่รู้อะไร เสียงทำบุญได้ไหม เสียงเป็นบุญได้ไหม เสียงเป็นบาปได้ไหม ในเมื่อเสียงไม่ใช่สภาพรู้ เพราะฉะนั้นเสียงไม่ใช่กุศล และไม่ใช่อกุศล เสียงเป็นอัพยากตธรรม ทั้งหมดในชีวิตประจำวันเพียงแค่ ๓ คำ ถ้าเราใส่ใจ ก็จะนำมาซึ่งความเข้าใจคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า เป็นธรรมทั้งหมด ไม่ใช่เราเลยทั้งสิ้น กุศลเกิดแล้วก็ดับไป ไม่กลับมาอีกเลย อกุศลเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่กลับมาอีก ธรรมที่ไม่ใช่กุศล และไม่ใช่อกุศลก็เกิดขึ้นและดับไป ไม่กลับมาอีก

    ทุกคำของพระองค์จะน้อมมาสู่การที่ค่อยๆ เข้าใจว่า ไม่มีเรา แต่มีธรรมแน่นอน และธรรมแต่ละหนึ่ง ก็มีปัจจัยที่จะทำให้เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ไม่ทันจะไปเปลี่ยนก็ดับแล้ว เร็วสุดที่จะประมาณได้ ประมาณไม่ได้เลยว่าเดี๋ยวนี้เห็นเกิดกี่เห็น เพราะเห็นอย่างหนึ่งก็อย่างหนึ่ง เห็นอีกอย่างหนึ่งก็อีกอย่างหนึ่ง ก็แสดงให้เห็นว่าแม้แต่เสียง กี่เสียง ต้องมีการได้ยินแต่ละเสียง ทุกเสียง

    เพราะฉะนั้นการเกิดดับสืบต่อของสภาพธรรมไม่ปรากฏการเกิดดับเลย เพราะจากเห็นก็เป็นได้ยิน เป็นคิด เป็นอะไรสืบต่ออยู่เรื่อยๆ ด้วยเหตุนี้ แต่ละคำต้องเข้าใจเองจากการไตร่ตรอง ไม่ใช่ฟังแล้วเชื่อตอนนี้ก็จะจำได้เลย อัพยากตธรรม ก็คือธรรมที่ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล ถ้าสนใจก็คิดเองต่อไปได้อีกใช่ไหม อะไรที่ไม่ใช่กุศล และอกุศล แข็งเป็นกุศลได้ไหม กลิ่นเป็นกุศลได้ไหม เพราะฉะนั้น ทั้งหมดนี้ก็เป็นธรรมที่เป็นอัพยากต ไม่ใช่กุศล และอกุศล ทั้งหลายเลย ทั้งหมด ได้แก่รูปธรรมทั้งหมด

    แม้แต่คำว่ารูปธรรมก็ไม่ใช่รูปอย่างที่เราคิด รูปนก รูปปู รูปไก่ แต่ว่ารูปะ ธรรมะ สิ่งที่มีเกิดขึ้นแต่ไม่ใช่สภาพรู้ ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น อย่างที่เราเรียกว่าหัวใจ มีรูปร่างสัณฐาน จับดูก็แข็ง รู้อะไรหรือเปล่า แข็งไม่รู้อะไร เพราะฉะนั้นก็เป็นรูปธรรมทุกอย่างหมด ค่อยๆ เข้าใจไปทีละคำ

    ต่อจากนี้ไปก็คือว่าไม่ลืม ๓ คำนี้ และก็รู้ด้วยว่านอกจากรูปธรรมแล้ว สภาพนามธรรมคือจิต ซึ่งเราได้กล่าวแล้วว่าเป็นธาตุรู้ แต่ธาตุรู้มี ๒ อย่าง ซึ่งคนอื่นไม่สามารถจะรู้ได้เลยว่าอีกอย่างหนึ่งนั้นคืออะไร แต่คุ้นหูกับคำว่าจิต หรือวิญญาณ ความหมายเดียวกัน ธาตุรู้ สภาพรู้ จะใช้คำว่าจิต วิญญาณ มโน มนัส หทย ใช้คำภาษาอื่นก็ได้ แต่หมายความถึงสิ่งที่รู้ทั้งหมด

    ด้วยเหตุนี้ก็จะต้องมีความเข้าใจที่มั่นคงว่า ที่ว่าเป็นเรา ความจริงก็คือ นามธรรมกับรูปธรรม แน่นอน เป็นอื่นไม่ได้ ใช่ไหม คือไม่ใช่เชื่อ แต่เริ่มไตร่ตรอง และก็เริ่มเข้าใจคำที่เราได้ฟัง เพราะว่ากำลังมีในขณะนี้ และสามารถที่จะเข้าใจได้ในความไม่ใช่เรา เพราะว่าเคยยึดถือเป็นเราเพราะไม่รู้มานานมาก ยึดถือว่าเป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ความจริงเป็นสิ่งที่มีลักษณะแต่ละหนึ่ง แยกจากกัน ปนกันไม่ได้เลย เกิดแล้วก็ดับไป แต่เมื่อเกิดดับรวมกันทำให้เกิดนิมิต รูปร่างสัณฐานต่างๆ ยาวบ้าง สั้นบ้าง กลมบ้าง ก็เลยจำสิ่งที่ปรากฏ เกิดมาใหม่ๆ ไม่รู้ แต่ว่าคุ้นเคยบ่อยๆ ขึ้นก็จำได้ จนกระทั่งได้ยินเสียงครั้งแรกก็ไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร แต่เมื่อได้ยินบ่อยๆ ก็รู้ว่าเสียงนั้นหมายความว่าอะไร จนสามารถที่จะพูดตามได้

    ทั้งหมดก็คือนามธรรม และรูปธรรม ไม่ว่ากี่ภพกี่ชาติ นานแสนนานมาแล้ว หรือขณะนี้หรือต่อไปก็คือ นามธรรมและรูปธรรม ซึ่งเป็นอนัตตา เป็นธรรม เพราะฉะนั้นตั้งต้นตั้งแต่คำแรก ธรรม ธรรมทั้งหลายไม่เว้นเลยเป็นอนัตตา

    เมื่อฟังแล้วก็จะมีความเข้าใจมั่นคงขึ้น จนกระทั่งละคลายความเป็นเรา ซึ่งยากมาก เพราะขณะนี้ดีใจก็เป็นเรา เสียใจก็เป็นเรา ชอบก็เป็นเรา ไม่ชอบก็เป็นเรา เป็นเราไปหมดทั้งวัน แต่ความจริงก็เป็นธรรมแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดขึ้น แต่อวิชชาเป็นสิ่งที่มีจริง และเป็นขณะที่ไม่รู้ เพราะฉะนั้นเมื่อมีจริง เป็นสภาพรู้ แต่ไม่ใช่จิต เพราะเหตุว่าจิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏ แต่ว่าสภาพธรรมอื่นจากเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เดี๋ยวนี้เอง พ้นจากสิ่งต่างๆ ที่กระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย และจิตเกิดขึ้นรู้ นอกจากนั้นสภาพอื่นที่ไม่ใช่รูปธรรม เป็นธรรมที่ใช้คำว่า เจตสิก คือ สภาพนามธรรมอีกชนิดหนึ่งมีจริงๆ แต่ไม่ใช่จิต แต่เกิดกับจิต เกิดในจิต พร้อมกับจิต รู้สิ่งเดียวกับจิต แล้วก็ดับพร้อมกับจิตด้วย เกิดดับพร้อมกัน รู้สิ่งเดียวกัน

    เพราะฉะนั้นขณะนี้เห็นเกิด ไม่มีใครรู้ว่าเห็นเดี๋ยวนี้ไม่ใช่มีแต่เฉพาะเห็น สิ่งใดๆ ก็ตามที่เกิดขึ้นต้องอาศัยปัจจัย อำนาจสัตติที่ทำให้เกิดขึ้น ไม่มีใครทำอะไรให้เกิดขึ้นได้เลย ใช่ไหม ทำเสียง ทำเห็น ทำคิดทำอะไรไม่ได้เลย แต่ธรรมแต่ละหนึ่งเป็นปัจจัยที่จะทำให้ สภาพธรรมอื่นเกิดขึ้นพร้อมกันก็ได้ หรือว่าภายหลังก็ได้ หรือว่าก่อนก็ได้ ก็แล้วเเต่

    พระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคำเป็นสัจจธรรม เป็นความจริงที่ฟังแล้วไตร่ตรอง ประโยชน์สูงสุดคือ เกิดความรู้ วิชชา หรือสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้องตามความเป็นจริงของสิ่งที่มี โดยที่จากไม่รู้เลย อวิชชาทั้งนั้นเลย ค่อยๆ มีวิชชา ความรู้เพิ่มขึ้น ความไม่รู้ก็ลดน้อยลงไป แต่ต้องรู้ว่าอวิชชา ความไม่รู้มีจริง เป็นธรรมไม่ใช่รูปธรรม เพราะรูปธรรมรู้หรือไม่รู้ไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้น จิตเป็นใหญ่เป็นประธาน ในขณะที่มีนามธรรมที่เป็นเจตสิกเกิดร่วมด้วย แต่จิตต้องเป็นใหญ่เป็นประธาน ในการรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏ เมื่อจิตเป็นสภาพรู้ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ ภาษาบาลีใช้คำว่าอารัมมณะ คนไทยก็พูดคำว่าอารมณ์ แต่ความจริงไม่ได้เข้าใจว่า อารมณ์หมายความเฉพาะสิ่งที่จิตเกิดขึ้นรู้เท่านั้น เสียงในป่า เวลาที่มีของแข็งๆ กระทบกัน ต้นไม้ล้มหรืออะไรเป็นต้นก็เกิดเสียง แต่ไม่ได้ปรากฏ เพราะฉะนั้นเสียงนั้นไม่ใช่อารมณ์ ต่อเมื่อใดจิตกำลังได้ยินเสียงใด เฉพาะเสียงที่จิตรู้ขณะนั้นเท่านั้นที่เป็นอารมณ์ของจิต เพราะเสียงก็เกิดดับ แต่ถ้าจิตไม่เกิดขึ้นรู้ เสียงก็ดับไปแล้ว ดังนั้นเสียงที่ปรากฏเดี๋ยวนี้ที่ปรากฏว่ามี เพราะจิตเกิดขึ้นรู้ แล้วดับหมด ทั้งเสียงและจิตที่ได้ยิน ไม่เหลือเลย

    เพราะฉะนั้น ธรรมทั้งหลายต้องเริ่มต้นว่า ทุกอย่างเป็นธรรม และเป็นอนัตตาด้วย ถ้าบังคับบัญชาได้ ทุกคนไม่มีความทุกข์เลยใช่ไหม มีแต่ความสุข อยากได้อะไรก็ได้หมด อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา แต่ความจริงธรรมต้องเกิดตามเหตุ ตามปัจจัย ถึงแม้ว่าจะเกิดขึ้นตามเหตุ ตามปัจจัย อาศัยกันและกันเกิดขึ้น แต่ก็ไม่อิสระ เพราะเหตุว่าต้องเป็นไปตามปัจจัยเท่านั้น เกลือเค็ม น้ำตาลหวาน อย่างอื่นนอกจากน้ำตาลหวานไหม ธรรมสำหรับคิด มีอะไรที่หวานๆ นอกจากน้ำตาลไหม มีหรือไม่มี เป็นแต่เพียงชื่อ แต่ความจริงก็คือ หวานต้องเป็นหวาน แล้วแต่เราจะเรียกอะไร อย่างเผ็ดๆ เราก็เรียกว่าพริก หรือว่าพริกไทย ก็แล้วแต่จะใช้ชื่ออะไร แต่ลักษณะนั้นเปลี่ยนไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้น ธรรมเป็นธรรมจริงๆ ทุกอย่างเป็นธรรมทั้งหมด และก็เป็นอนัตตาด้วย นี่คือการเริ่มต้นที่จะรู้ความจริง เพราะเหตุว่าทุกคนเกิดแล้วต้องตาย ยับยั้งได้ไหม เพราะเป็นธรรม ธรรมต้องเป็นอย่างนี้ ธรรมเกิดแล้วต้องหมดไป ไม่มีใครสามารถที่จะให้ธรรมยั่งยืนได้เลย แต่ก่อนจากโลกนี้ไปแล้วไม่เคยเข้าใจธรรมเลย อวิชชาเต็มเพิ่มขึ้นทุกวัน กับมีโอกาสได้เข้าใจ เมื่อมีความเข้าใจมากขึ้น กิเลสลดน้อยลง ความทุกข์ความเสียใจจะน้อยไหม เพราะรู้ว่าเป็นธรรมดา เพียงมีปัจจัยเกิดแล้วก็ดับไป ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาทั้งนั้น

    ถ้าสุขเกิดขึ้นก็แค่ขณะนั้นใช่ไหม ดับแล้วกลับมาอีกหรือเปล่า ไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้น ดีไหมแค่หนึ่งขณะ ถ้าเป็นทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์นั้นก็เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีใครอยากเป็นทุกข์ แต่ใครห้ามไม่ให้ทุกข์เกิดได้ เจ็บตัว ชนโต๊ะเก้าอี้ อะไรก็แล้วแต่ ไม่มีใครทำเลย แต่ว่าเมื่อมีกาย รูปร่าง อ่อนหรือแข็ง ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า และยังมีรูปอีกรูปหนึ่ง ไม่ใช่แข็งอย่างโต๊ะ ไม่ใช่แข็งอย่างดอกไม้ แต่เป็นรูปที่กาย ที่เป็นรูปพิเศษ ใช้คำว่า ปสาท หมายความว่าสามารถกระทบกับสิ่งที่มากระทบได้ เพราะฉะนั้นที่ตัวกระทบแข็งได้ใช่ไหม รู้สึกอะไร เจ็บใช่ไหม ใครไปทำให้เจ็บเกิดขึ้น แต่ว่าที่กายมีกายปสาทซึมซาบอยู่ทั่วตัว แม้แต่ข้างใน ปวดท้องซึ่งอยู่ถึงข้างใน อะไรจะไปกระทบ แต่สิ่งที่แข็งกระทบกัน เป็นปัจจัยให้เกิดความรู้สึกสุขหรือทุกข์ทางกาย บังคับได้ไหมว่าถ้ากระทบกายแล้วไม่ต้องสุขไม่ต้องทุกข์ เป็นไปไม่ได้เลย นี่ก็แสดงความเป็นธรรม ซึ่งเป็นอนัตตา

    คนที่จะเข้าใจพระธรรมก็คือ คนที่ไตร่ตรองละเอียด และมีความเข้าใจอย่างมั่นคง เป็นสัจจญาณว่าธรรมเปลี่ยนไม่ได้ ธรรมมีจริงๆ เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย รู้ไหมว่าจะจากโลกนี้ไปวันไหน บังคับบัญชาได้ไหม และคนที่จากไปโดยที่ไม่เข้าใจธรรมเลย กับคนที่ค่อยๆ รู้ความจริง เมื่อรู้ความจริงแล้วก็รู้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ให้โทษ อะไรเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ เพราะฉะนั้น คนที่รู้จริงจะไม่ทำสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ จะไม่ทำสิ่งที่เป็นอกุศล แต่ว่าจะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ เป็นกุศลเพิ่มขึ้น

    โลกนี้จะเป็นสุขขึ้นเพราะธรรม คือความเข้าใจความจริง ถ้าไม่มีการเข้าใจความจริงก็ไม่มีทางที่ใครจะแก้ปัญหาใดๆ ได้เลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นโลกจึงเต็มไปด้วยปัญหาซึ่งแก้ไม่ได้ เพราะเหตุว่าไม่รู้ความจริง แต่ว่าโลกจริงๆ อยู่ที่ไหน ละเอียดยิ่งกว่านั้นอีก

    ถ้าไม่มีธรรมแต่ละหนึ่งๆ เกิดขึ้น จะมีโลกไหม ถ้าไม่มีอะไรเกิดเลย ไม่มีโลกแน่ ใช่ไหม แต่ถ้ามีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น เกิด สิ่งนั้นเองคือโลก เพระความหมายของโลกะในภาษาบาลี คือสิ่งที่เกิดดับ สิ่งที่เกิดแล้วไม่ดับไม่มี ไม่มีจริงๆ ใครจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม เห็นเมื่อครู่นี้ดับแล้ว ได้ยินเมื่อครู่นี้ก็ดับแล้ว คิดตามเมื่อครู่นี้ก็ดับแล้ว รู้สึกเฉยๆ เมื่อครู่นี้ก็ดับแล้ว ทุกอย่างไม่คงที่แต่ไม่มีใครรู้ เหมือนสิ่งที่อยู่ใต้มหาสมุทร ไปยืนที่ชายฝั่งเเล้วบอกได้ไหมว่า อะไรอยู่ใต้มหาสมุทรบ้าง ไม่เปิดเผยเลย เหมือนเดี๋ยวนี้จิตกำลังเกิดดับ ไม่มีเรา เห็นเป็นจิต ได้ยินเป็นจิต คิดเป็นจิต ทุกอย่างเป็นจิต และเจตสิก ใครรู้

    ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงเปิดเผย ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้เลย ก็หลงคิดว่ามีเรา มีโลก มีทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วก็มีปัญหาเพราะความอยากได้ เมื่อไม่ได้ในทางที่สุจริตก็เป็นทุจริตเบียดเบียนกันต่างๆ แล้วก็จากโลกนี้ไป ก็สะสมความดีและความชั่ว ทำให้เมื่อมีปัจจัยที่จะเกิดขึ้น ก็ต่างคนก็ต่างเป็นอย่างที่เป็นในชาตินี้

    เพราะฉะนั้น จะเป็นคนในชาตินี้ได้เพียงชาตินี้เท่านั้น เป็นคนนี้ชาตินี้ได้เพียงแค่ก่อนตาย เมื่อจากโลกนี้ไปแล้วจะกลับมาเป็นคนนี้อีกไม่ได้เลย แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีในชาตินี้จะปรุงแต่งให้คนที่จะเกิดสืบต่อ ไม่ใช่คนนี้อีก แต่ก็มาจากคนนี้ จิตเจตสิกเกิดดับสืบต่อไม่มีวันหยุดเลย เป็นสังสารวัฏฏ์ เพราะฉะนั้นจะรู้ได้เลยว่าการกระทำอย่างนี้ วันนี้ และรวมทั้งการกระทำก่อนๆ ในชาติก่อนๆ ชาติหน้าจะเป็นอะไร เดี๋ยวนี้ไม่รู้ใช่ไหม ตายเมื่อไหร่ เกิดเมื่อไหร่ก็รู้เมื่อนั้น

    เดี๋ยวนี้รู้แต่เพียงว่าชาติก่อนไม่รู้เลยว่า เป็นใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร แต่รู้ได้ว่าชาตินี้มาจากชาติก่อนๆ เพราะฉะนั้นชาติหน้าจะเป็นอะไรต่อไป ไม่ใช่ใครทำให้เลยทั้งสิ้น แต่มีปัจจัยที่สืบต่อมาจากชาตินี้ และชาติก่อน รู้ไหมชาติก่อนเป็นใคร ชาติหน้ารู้ไหมว่าเป็นใคร แต่เมื่อเกิดรู้จักว่าเป็นใคร แต่ไม่รู้ชาติก่อนว่ามาจากไหน

    ขณะนี้ ชาตินี้เป็นชาติก่อนของชาติหน้า ต้องถามใครไหมว่าชาติก่อนทำอะไร กำลังเป็นอย่างนี้ ถึงชาติหน้าก็ลืมหมดเลย เดี๋ยวนี้มีอวิชชากันหรือเปล่า เป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร กุศลและอกุศล กำลังมีกุศลและอกุศลซึ่งเกิดเพราะความไม่รู้

    เพราะฉะนั้น สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ วิญญาณไหน วิญญาณที่จะเกิดต่อไปในชาติหน้า เพราะว่าขณะนี้มีความไม่รู้จึงเต็มไปด้วยกุศล และอกุศลหลากหลายทั่วโลก กุศลและอกุศลที่ได้ทำแล้ว จะเป็นปัจจัยให้เมื่อจากโลกนี้ไปแล้วก็จะเกิดจิต เจตสิก รูป ต่อไป แต่ว่าตามลำดับ อวิชชา ความไม่รู้เป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร เดี๋ยวนี้เป็นกุศลและอกุศล เพราะฉะนั้น เมื่อจากโลกนี้ไปแล้ว สังขารที่กำลังเป็นอกุศลและกุศล เพียงหนึ่ง แล้วแต่ว่าจะเป็นกุศล เป็นปัจจัยให้เกิดดี อกุศลเป็นปัจจัยให้เกิดไม่ดี เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เกิดในนรก เกิดเป็นเปรต เกิดเป็นอสูรกาย

    เพราะฉะนั้น เมื่ออวิชชาเดี๋ยวนี้เป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร ตายจากโลกนี้ไปแล้วก็เกิดวิญญาณ วิญญาณก็ทำให้เกิดนามรูป คือเจตสิก และรูป เพราะว่าวิญญาณเป็นจิต แล้วต่อไปก็เหมือนเดี๋ยวนี้ที่กำลังนั่งอยู่เดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นไม่ใช่เพียงชื่อปฏิจจสมุปบาท แล้วนั่งท่องนั่งสวดแต่ไม่รู้ว่าอะไร แต่เดี๋ยวนี้ต่างหากที่จะต้องรู้ความจริงว่ามีอวิชชา จึงเป็นปัจจัยให้โลกทั้งโลก เดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์ตามกิเลสต่างๆ อกุศล กุศล ซึ่งเป็นเหตุ เมื่อเหตุมีแล้วที่ผลจะไม่มีเป็นไปไม่ได้ แต่เลือกผลไม่ได้ เพราะเรามีทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรม

    ให้ทราบว่ากรรม คือการฟังธรรมขณะนี้แล้วเข้าใจ ความเข้าใจก็ไม่ใช่เราแต่เป็นปัญญา เมื่อจากโลกนี้ไปแล้วเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ ปฏิสนธิจิตที่ประกอบด้วยปัญญาถ้าเป็นผลของความเข้าใจ แต่ถ้าไม่เข้าใจธรรม ก็แล้วแต่ว่ากุศลใดๆ ให้ทาน หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ทำไปแล้ว ก็เป็นปัจจัยให้เกิดได้ ด้วยเหตุนี้ ปฏิจจสมุปบาทไม่ใช่สำหรับท่อง แต่สำหรับเข้าใจเดี๋ยวนี้

    อ.ทวีศักดิ์ จะขออนุญาตให้ได้กล่าวถึงเรื่องใหญ่ ความไม่รู้ทางธรรม อวิชชา

    อ.วิชัย อวิชชา คือ ความไม่รู้สภาพธรรมที่กำลังมี กำลังปรากฏ ไม่ว่าจะเย็น ไม่ว่าจะแข็ง ไม่ว่าจะเสียง ไม่ว่าจะสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ทั้งหมดเป็นธรรมแต่ละอย่าง แต่ไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง ดังนั้น สิ่งนั้นที่จะปรากฏตามความเป็นจริงต้องปรากฏแก่ปัญญา ไม่ใช่ปรากฏแก่อวิชชา เพราะอวิชชาไม่รู้แม้สิ่งนั้นมี แต่ว่าไม่สามารถจะรู้ตามความเป็นจริง ยังมีความยึดถือว่าเป็นเรา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งเป็นอัตตา เป็นตัวตน

    ความเป็นจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้ด้วยปัญญาอันยิ่งของพระองค์ รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับไปเป็นธรรมดา ดังนั้นเมื่อมีการเกิดขึ้น มีการดับไป ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา จึงแสดงธรรมทั้งหลายว่าเป็นอนัตตา พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดง แสดงความเป็นจริงให้บุคคลที่ฟัง พิจารณาไตร่ตรอง และเป็นปัญญาของแต่ละบุคคล ไม่ใช่ไปบอกให้คนนั้นคนนี้เชื่อ หรือว่าเพียงสวด หรือว่าเพียงกล่าวตามเท่านั้น แต่ต้องเป็นเรื่องของความเข้าใจให้ถูกต้อง ซึ่งเป็นปัญญา เป็นสภาพที่ละอวิชชาได้

    อ.ทวีศักดิ์ กราบเรียนท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงพระพุทธศาสนาเถรวาท

    ท่านอาจารย์ ต้องเข้าใจทีละคำ เถระคือมั่นคง เพราะฉะนั้น วาทะที่ไม่เปลี่ยนแปลงคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มั่นคง ก็คือเถรวาท เพราะอะไร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง เพราะฉะนั้นทุกคำเป็นคำจริง เมื่อได้ทรงบัญญัติพระวินัยแล้ว ใครคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข เพราะไม่รู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ทุกอย่างที่พระองค์ได้กระทำเป็นประโยชน์สุขแก่ชาวโลก ด้วยพระมหากรุณา ถ้าไม่ศึกษาก็จะคิดว่ายุคสมัยเปลี่ยนไป ทุกอย่างก็จะเปลี่ยนไปด้วย หรืออย่างที่บอกว่าคนที่ศึกษาธรรมไม่ทันสมัย แต่เขาหารู้ไม่ว่า สมัยคืออะไร

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 190
    28 มิ.ย. 2568