ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1428
ตอนที่ ๑๔๒๘
สนทนาธรรม ที่ เดอะวินเทจ เขาใหญ่
วันที่ ๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๒
ท่านอาจารย์ คุณชื่นจิตฟังคุณวิชัยแล้วนะคะ จะเอาสังฆทานไปถวายกับการเข้าใจเนี่ย อันไหนมีประโยชน์กว่า โดยที่ไม่เข้าใจอย่างที่เขามาแนะนำว่าเอาสังฆทาน ใช้คำนี้ก็แล้วกันนะคะ แต่ไม่รู้ว่าเขาหมายความถึง ถัง กระป๋อง หรือห่อ หรืออะไรก็ตามแต่นะคะ ที่มีของสำหรับที่จะถวายแล้วเรียกว่าสังฆทาน
คิดดู แค่เรียกว่าสังฆทาน แล้วเป็นสังฆทานหรือคะ ถัง ห่อนั้นนะ จะเป็นสังฆทานได้ไหม เป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นลองคิดไตร่ตรอง จะเอาอันนั้นนะไปถวายแล้วก็เรียกถังนั้นนะห่อนั้นว่าสังฆทาน กับฟังคุณวิชัยแล้วเริ่มเข้าใจว่าสังฆทานคืออะไร อะไรเป็นประโยชน์อะไรถูกต้อง เห็นไหมคะ
เราต้องพิจารณาอย่างละเอียดมากๆ เลยค่ะ ไม่ใช่ว่าเชื่อใครง่ายๆ เขาบอกว่า เราก็ตามเขาบอก เขาเป็นใคร แล้วเราเป็นใคร เขาว่าอะไรเราก็ต้องเชื่ออย่างนั้นหรือ เพราะฉะนั้นแต่ละคำเนี่ยละเอียดมาก ถ้าขาดการฟังพระธรรมมีหรือจะเข้าใจคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ภิกษุ หนึ่งคน
แต่ชาวบ้านพอเห็นพระเดินมาบอกภิกษุสงฆ์ ยังไงคะเนี่ย สังฆ หมายความถึงหมู่หรือคณะค่ะ ไม่ใช่หนึ่ง ถ้าเป็นภิกษุหนึ่งคนก็ต้องถวายอาหารภิกษุ ไม่ใช่สงฆ์ใช่ไหมคะ แล้วนั้นภิกษุเดินมา ๒ รูป ๓ รูป ก็ตามแต่ใช่ไหมค่ะ แต่ไม่ว่ายังไงก็เห็นภิกษุก็เรียกว่าสังฆ์แล้ว เพราะไม่รู้ว่าสังฆะหมายความถึงอะไร มดหลายๆ ตัวก็เป็นสังฆ์ค่ะ
เพราะหมายความถึงหมู่ เพราะฉะนั้นก็หมู่มด หมู่ปลวก ก็พูดได้ในภาษาบาลี แต่คนไทยพอเห็นพระไปเรียกว่าสงฆ์ไม่ถูกนะคะ เพราะฉะนั้นภิกษุบุคคลเนี่ยแต่ละหนึ่งทำชั่ว ภิกษุนั้นเท่านั้น ไม่ใช่คณะพระภิกษุทั้งหมด ไม่ใช่คณะสงฆ์ เพราะฉะนั้นก็ต้องมีความเข้าใจที่ชัดเจนในแต่ละคำ ทานะคือการให้ หวังอะไรรึเปล่า
ผู้ฟัง ไม่ได้หวังค่ะ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นสังฆทานหวังอะไรหรือเปล่า
ผู้ฟัง อ่อ สังฆทานก็คือหวังว่า
ท่านอาจารย์ เห็นไหมคะ ต่างกันแล้วใช่ไหม เวลาเราให้สิ่งของคนอื่น เพื่อประโยชน์ของเขา เขากำลังเดือดร้อน เขากำลังต้องการเนี่ย กับเรา สังฆทานไม่รู้อะไร แต่อยากได้บุญละเอาถังไปถวายล่ะ เป็นสังฆทานแหละ นั่นก็คือว่าไม่ใช่นะคะ ไม่ใช่เลยเพราะไม่รู้จักสงฆ์ ไม่รู้จักคำว่าทาน
แล้วถ้าคนนั้นที่ถวายไม่รู้จักสงฆ์เป็นสังฆทานไม่ได้ จะเป็นได้ยังไงคะ กลับไปเรียกชื่อถังนั้นว่าสังฆทานได้ยังไง ใช่ไหมคะ หรือว่าจะอธิบายให้แก่พระภิกษุ ก็ไม่ใช่สงฆ์ เราให้พระภิกษุรูปใด ไม่ได้ถวายแก่หมู่ของพระภิกษุ เพราะฉะนั้นสังฆทานต้องไม่ถวายเจาะจงภิกษุรูปหนึ่งรูปใดเลยทั้งสิ้น แต่ถวายเพื่อมุ่งตรงต่อคณะสงฆ์
เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ละเอียดหลายนัยนะคะ แต่ต้องมีความเข้าใจที่ถูกต้องว่าถ้าไม่ใช่ความรู้ที่เกิดจากการได้ฟังพระธรรมเพียงเขาว่าเนี่ย ไม่ถูกต้อง เว้นอีกเรื่องท่านพระองคุลีมาลก็เหมือนกันใช่ไหมคะ ท่านฆ่าคนตั้งเยอะ ท่านยังรู้ได้ เราก็ทำชั่ว อย่างนั้นก็ผิด หลายคนก็ฟังธรรมะแล้วก็เอาไปเป็นประโยชน์ในทางที่ผิด
ธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา อ่อ เราเกิดอกุศลก็เป็นอนัตตา แต่เรานะ ไม่ได้เข้าใจว่าไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ละเอียดค่ะ หนทางที่ดีที่สุดนะคะ เหนือสิ่งอื่นใดคือถ้าเขาสามารถ และสนใจที่จะเข้าใจธรรมะนะคะ ก็ควรที่จะให้เขาได้ฟัง และเกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง
ผู้ฟัง กราบอาจารย์นะคะ แล้วอย่างเราอยากจะชักชวนคนที่ใกล้ชิดมาฟังธรรมะทีนี้เราควรเริ่มจากที่ไหนดี
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวก่อนคะ คนใกล้ชิดเราต้องรู้จักเขาดีใช่ไหม เพราะใกล้ชิด เขาอยากฟัง เขาสนใจ เขาเห็นประโยชน์หรือเปล่า
ผู้ฟัง เขาไม่สนใจ
ท่านอาจารย์ แต่มีหนทางนะคะ เราเปิดธรรมะฟังทุกวันในที่สุดเขาฟังค่ะ แน่ๆ เลย ต้องได้ยินได้ฟัง แม้แต่เด็กเล็กๆ ได้ยินได้ฟังนะคะ เวลาที่พ่อแม่หรือคนในบ้านฟังวิทยุ ไม่ใช่ไปชวนแต่การกระทำของเราต่างหากที่เป็นการชวน เหมือนชวน แต่ไม่เอ่ยชวนด้วยปาก เพราะว่าถ้าชวนแล้วเขาไม่สนใจ พอชวนบ่อยๆ เขาโกรธ ชวนบ่อยๆ เขาเบื่อ
ชวนบ่อยๆ เขาหนี ใช่ไหมค่ะ เพราะฉะนั้นก็ต้องมีการที่จะรู้ว่าไม่ต้องชวนด้วยปากนะคะ แต่การกระทำของเราสิ่งที่เราเปิด ใครได้ยินได้ฟังก็เริ่มสนใจ เริ่มเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย ถ้ารู้ว่าพอฟังแล้วก็สนใจทันที นั้นรู้ว่ายิ่งกว่าไปชวน เพราะว่าเขาสนใจใช่ไหมคะ
อ.กุลวิไล คุณชื่นจิต แล้วศีลคืออะไรคะ
ผู้ฟัง ศีลก็คือธรรมะคะ คือสิ่งที่มีจริงทั้งฝ่ายดี และไม่ดี
อ.กุลวิไล ขณะนี้มีศีลไหมนะคะ
ผู้ฟัง มีค่ะ
ท่านอาจารย์ เมื่อกี้นี้ตอบว่ามีศีลใช่ไหมคะ ศีลอะไร
ผู้ฟัง เมื่อฟังธรรมะอยู่ก็เป็นศีลฝ่ายที่ดีค่ะ
ท่านอาจารย์ คะ เดี๋ยวนี้มีศีลคือจิตที่ประพฤติเป็นไป ยับยั้งได้ไหมไม่ให้เป็นกุศลและอกุศล เพราะฉะนั้นตามการสะสมมานะคะ หลังจากที่เห็นแล้วซึ่งยับยั้งไม่ได้ เลือกเห็นก็ไม่ได้เพราะเป็นผลของการที่จะต้องเกิดให้เห็น ให้ได้ยิน เกิดแล้วด้วยขณะนี้ ใช่ไหมคะ
แต่เมื่อมีการเห็น การได้ยินแล้ว ความประพฤติของการสะสมที่มีอยู่ในจิตที่เป็นไปเนี่ยหลากหลายมาก เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ เป็นศีลหรือเปล่า เพราะศีลคือความประพฤติเป็นไปของจิตตามการสะสม เดี๋ยวนี้เป็นศีลหรือเปล่าคะ
ผู้ฟัง เป็นศีล
ท่านอาจารย์ ศีลประเภทไหน
ผู้ฟัง ความสะสมในสิ่งที่ดีค่ะ
ท่านอาจารย์ เท่านั้นหรอค่ะ เห็นแล้วชอบไหมเนี่ย
ผู้ฟัง ชอบค่ะ
ท่านอาจารย์ ดีไหมคะที่ชอบ
ผู้ฟัง ก็ดีแต่คิดว่าเป็นโลภะคะ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นโลภะดีไหม
ผู้ฟัง โลภะไม่ดีค่ะ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีศีลไหม
ผู้ฟัง มีศีลค่ะ
ท่านอาจารย์ ศีลอะไร
ผู้ฟัง โลภะคะ
ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่าสภาพของจิตเนี่ยคะ ตามที่เราได้ไปฟังสวดตามวัดเวลามีงานศพ ใช่ไหมคะ จะได้ยินแค่ว่ากุสลาธัมมา ธรรมะที่เป็นกุศล ทุกอย่างไม่ใช่เรา ใช่ไหมคะ แต่ธรรมะฝ่ายดี ที่ดีงาม เป็นประโยชน์ไม่ให้โทษเลย เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นธรรมะที่เป็นกุศลก็มี เพราะฉะนั้นจึงเป็นกุสลาธัมมา อกุสลาธัมมา เคยได้ยินไหมค่ะ
ผู้ฟัง เคยได้ยินค่ะ
ท่านอาจารย์ คะ เมื่อกี้นี้ได้ยินทั้งกุสลาธัมมาตอนนี้ได้ยินอกุสลาธัมมาด้วย หมายความว่าอะไรคะ อกุสลาธรรมา
ผู้ฟัง หมายความว่าในสิ่งที่ไม่ดีค่ะ
ท่านอาจารย์ สิ่งที่มีนั่นแหละมีจริงๆ ไม่ใช่เรานะคะ แต่เป็นธรรมะที่เกิดขึ้นให้ผลเป็นทุกข์ เป็นโทษ เป็นอกุศล เดี๋ยวนี้มีไหมคะ
ผู้ฟัง เดี๋ยวนี้มีค่ะ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีกุสลาธัมมา มีอกุสลาธัมมาเป็นคุณชื่นจิตรึเปล่า
ผู้ฟัง เป็นคะ อ่อ เป็นธรรมะค่ะ
ท่านอาจารย์ คะ นี่ค่ะจะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ นะคะ จนกว่าเราจะมีความเข้าใจมั่นคงไม่ใช่แค่ตอบได้ บางคนนะคะ ดีใจมากค่ะสอนเด็ก เด็กพูดตามได้หมดเลย กุศลธรรม อกุศลธรรม อะไรต่อไร แต่หารู้ไม่ว่านั่นคือไม่ได้เข้าใจตัวธรรมะ แต่เขาเรียนเหมือนวิชาอื่นทั้งหมดใช่ไหมคะ บอกว่าอะไรเขาก็จำได้ เขาก็รู้ในเหตุในผลของวิชานั้นๆ
เพราะฉะนั้นคนที่หลงดีใจแต่หารู้ว่าเด็กไม่เข้าใจธรรมะ เพียงแต่เข้าใจคำที่เขาพูดเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นเราก็สามารถที่จะรู้ได้นะคะ ว่าจริงๆ แล้วเนี่ย ที่กำลังฟังธรรมะเนี่ย เราเข้าใจเพียงคำ หรือว่าเราเข้าใจความหมายความจริงของคำนั้นว่าหมายความถึงเมื่อไหร่ขณะไหนอย่างไร เช่นเดี๋ยวนี้นะคะ เป็นธรรมะหรือเป็นเรา
ผู้ฟัง เป็นธรรมะค่ะ
ท่านอาจารย์ เป็นธรรมะนะคะ แต่ก็ คุณเบญก็บอกว่า ฟังบ่อยๆ ยังไม่เคยคิดนึกผุดขึ้นมาเลยว่าเป็นธรรมะ ก็จริง เห็นไหมคะ แค่ฟัง เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ตรงค่ะเราฟังนี่เข้าใจ และก็เข้าใจจนกระทั่งรู้ว่าความจริงแล้วไม่ได้เป็นกุศลธรรมตลอดเวลา แต่ธรรมะตลอดแน่แต่หลากหลายมาก ธรรมะที่เป็นกุศลก็มี ธรรมะที่เป็นอกุศลก็มี
และคำต่อไปไม่คุ้นหูเลย อัพยากตาธัมมา คืออะไร เห็นไหมคะ ฟังแล้วฟังเลย เลยไปแต่ไม่รู้ว่าอะไร แต่ฟังแล้วรู้ว่าอะไรจึงจะถูกต้อง ไม่อย่างนั้นเราไปฟังอะไร เราไปฟังคำที่เราไม่รู้แล้วนั่งฟังกันอยู่นั่นแหละ ฟังแต่คำที่ไม่รู้ทั้งนั้น ต่อไปนี้ก็คือฟังคำไหนก็เข้าใจคำนั้น เพราะฉะนั้นกุสลาธัมมา เข้าใจแล้วนะค่ะ นก หนู ปู ปลา มีกุสลาธัมมาไหม
ผู้ฟัง มีเจ้าค่ะ
ท่านอาจารย์ เมื่อไรค่ะ
ผู้ฟัง ก็มีเมื่อที่เขายังเขาดูแลลูกเขาก็เป็นอย่างงี้ จิตดีค่ะ
ท่านอาจารย์ จิตดี ไม่ติดข้อง ไม่โกรธ ไม่หลงงมงายนะคะ เกิดขึ้นเมื่อไรขณะนั้นก็เป็นกุศลไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นก็มีธรรมะ ที่ประเทศอื่นมีกุศลธรรมไหมคะ
ผู้ฟัง มีค่ะ
ท่านอาจารย์ มีอกุศลธรรมไหม
ผู้ฟัง มีค่ะ
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่แต่เฉพาะคนไทยใช่ไหมคะ
ผู้ฟัง เจ้าค่ะ
ท่านอาจารย์ และอัพยากตาธัมมาหมายความว่าธรรมะที่ไม่ใช่กุศล และไม่ใช่อกุศล ทบทวนที่ได้ฟังมาแล้ว พร้อมกับที่เคยได้ฟังบ่อยๆ มาแล้ว จะเป็นในชาติก่อนหรือในชาตินี้ก็ตามแต่ ตาเนี่ยไม่ใช่ธรรมะได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้ค่ะ
ท่านอาจารย์ หูไม่ใช่ธรรมะได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้ค่ะ
ท่านอาจารย์ เพราะอะไรคะ
ผู้ฟัง เพราะว่าเป็นสิ่งที่มีจริง
ท่านอาจารย์ เพราะมีจริงก็คือสิ่งที่มีจริงในภาษาไทยนี่แหละใช้คำว่าธรรมะ เพราะฉะนั้นทุกอย่างไม่เว้นเลย มีจริงมีลักษณะว่าเป็นจริงอย่างนั้น เช่น หวานเนี่ย จะบอกว่าไม่มีได้ไหมในเมื่อหวานเป็นหวานเกิดแล้วหวาน ก็ต้องมีจริงๆ ใช่ไหมคะ ขมมีจริงไหมคะ
ผู้ฟัง มีค่ะ
ท่านอาจารย์ คะ จะให้ไม่มีขมได้ยังไง ก็ขมกำลังมี กำลังลิ้มรสอยู่ เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงขณะนั้นเป็นธรรมะทั้งหมดเลย ไม่เว้นเลยไม่ว่าอะไรทั้งสิ้น คิดเป็นธรรมะหรือเปล่าค่ะ
ผู้ฟัง เป็นค่ะ
ท่านอาจารย์ โกรธเป็นธรรมะหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็นค่ะ
ท่านอาจารย์ ชอบ
ผู้ฟัง เป็นค่ะ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรที่มีจริงแล้วจะไม่ใช่ธรรมะ ต้องเป็นสิ่งที่มีจริงนะคะ แต่สิ่งที่มีจริงเนี่ยเกิดขึ้น หลากหลายมาก แต่ก็สามารถเป็นประเภทที่จำแนกออกได้ ต่างกันสองอย่าง คือ อย่างหนึ่งเกิดมีจริงๆ แต่ไม่รู้อะไร ไม่ชอบ ไม่เห็น ไม่รัก ไม่ชัง ไม่เจ็บ ไม่ปวดทั้งหมดเลยนะคะ มีจริงๆ ไหมคะ
ผู้ฟัง มีจริงค่ะ
ท่านอาจารย์ เช่น
ผู้ฟัง โต๊ะ เก้าอี้ เขาไม่รู้อะไร
ท่านอาจารย์ เราเคยคิดว่า เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้นะคะ แต่ความจริง ถ้าไม่มีแข็งก็ไม่มีโต๊ะไม่มีแข็งก็ไม่มีเก้าอี้ เพราะฉะนั้นแข็งเป็นโต๊ะ หรือแข็งเป็นเก้าอี้ หรือแข็งเป็นแข็ง
ผู้ฟัง เอ่อ แข็งเป็นแข็งค่ะ
ท่านอาจารย์ เปลี่ยนไม่ได้เลยใช่มั้ยคะ จะอยู่ตรงไหนก็ตามที่ดอกกุหลาบมีแข็งไหม
ผู้ฟัง มีค่ะ
ท่านอาจารย์ แต่ก็ไม่ใช่โต๊ะไม่ใช่เก้าอี้ใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นแข็งจะอยู่ตรงไหนก็เป็นแข็ง ทั้งหมด เป็นธรรมะที่ไม่รู้อะไร ใช่ไหมคะ
ผู้ฟัง เจ้าคะ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้คะ มีธรรมะที่เป็นกุศลไหม
ผู้ฟัง มีเจ้าคะ
ท่านอาจารย์ มีธรรมะที่เป็นอกุศลไหม
ผู้ฟัง มีเจ้าค่ะ
ท่านอาจารย์ มีธรรมะที่ไม่ใช่กุศลและไม่ใช่อกุศลไหม
ผู้ฟัง มีเจ้าค่ะ
ท่านอาจารย์ คือ
ผู้ฟัง คือแข็งค่ะ
ท่านอาจารย์ ค่ะ คือแข็งหรืออะไรทั้งหมดที่ไม่รู้อะไร เสียงนะคะ ก็ไม่ใช่กุศล และอกุศล ก็ไม่รู้แล้วจะเป็นกุศลอกุศลได้ยังไง เสียงนี้จะไปทำกรรมอะไรได้ แข็งจะไปทำอกุศลกุศลอะไรก็ไม่ได้หมดใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นมีธรรมะทั้งหมดเลย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่าไม่ใช่มีแต่เฉพาะธรรมะที่เป็นกุศลและอกุศล
แม้ธรรมะที่ไม่เป็นกุศลและไม่เป็นอกุศลก็มี เช่น รูปธรรม ไม่รู้อะไร ไม่ได้ทำอะไรบาปบุญทั้งสิ้น ก็เป็นธรรมะที่เป็นอัพยากตธรรม เดี๋ยวนี้มีอื่นอีกนะคะ แต่ว่าค่อยๆ เข้าใจทีละเล็กทีละน้อย นี่ก็แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่มีนะคะ กว่าเราจะรู้ได้เพียงคำว่าธรรมะคำเดียว ก็ลืม ใช่ไหมค่ะ
วันนี้ก็ได้ฟังแหละ กุสลาธัมมา อกุสลาธัมมา อะไรๆ ก็ธรรมะๆ แต่ก็เป็นเรา เมื่อไหร่ที่มีความเข้าใจเพิ่มขึ้นโดยนัยที่ได้ฟังหลากหลาย แล้วบ่อยๆ จะเห็นไหมคะ ว่าทรงแสดงโดยนัยของธรรมะแล้วก็รูปธรรมกับนามธรรม และยังทรงแสดงธรรมะที่เป็นกุศล ธรรมะที่เป็นอกุศล และธรรมะที่ไม่ใช่ทั้งกุศลและอกุศล
เพราะฉะนั้นไม่ว่าเราจะกล่าวถึงธรรมะโดยนัยใดนะคะ ต้องตรงต่อเรื่องที่กำลังพูดถึง ถ้าเราพูดถึง ๓ คือกุสลาธัมมา อกุสลาธัมมา อัพยากตาธัมมา ก็จะไม่พูดถึงเรื่องอื่นใช่ไหมคะ แต่พูดเพื่อให้รู้ว่าเดี๋ยวนี้ไม่ใช่เราเป็นธรรมะ
ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์ครับ ครั้งแรกที่ผมฟังท่านอาจารย์ก็ เปิดไปเจอคลื่นที่ชุมแพ ที่ขอนแก่นครับ ก็เลยฟังท่านอาจารย์มาตลอด ผ่านมาประมาณสองปี ผมก็หยุดฟังนะครับ เพราะผมไม่เข้าใจครับ ก็เลยหันไปสนใจธรรมะอย่างอื่น
แล้วก็ไปปฏิบัติธรรมตามที่ต่างๆ ครับ หลายปีครับ ก็เลยเข้าใจว่าที่ผมไปปฏิบัติธรรมเนี่ย ยังไม่ใช่สิ่งที่ผมคิด ผมก็เลยย้อนกลับมาฟัง ตอนนี้ก็เข้าใจว่าธรรมะทั้งหมดนะครับ เป็นเพียงสภาพธรรม และก็ไม่ใช่เรา เป็นธรรมะทีละอย่างแต่ละอย่างเท่านั้นนะครับท่านอาจารย์ครับ
ท่านอาจารย์ ค่ะ คุณดรีมก็เป็นคนหนึ่งนะคะ ในอีกหลายคนค่ะ ที่ฟังแล้วเลิกฟัง แล้วก็กลับมาฟัง เพราะเหตุว่าดูเหมือนธรรมดา พูดเรื่อง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่น่าสนใจ ไม่เหมือนคำอื่นๆ นะคะ วิธีอื่นๆ ซึ่งยาก ก็คิดว่าน่าสนใจกว่า แต่ว่าบุญที่ได้ทำไว้แต่ปางก่อนสามารถที่จะเข้าใจคำที่ได้ฟัง
เพราะเหตุว่าเพียงได้ยินคำว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะง่ายอย่างนั้นหรือ ใช่ไหมค่ะ จะมีสำนักปฏิบัติแล้วก็ไปดูนั่นดูนี่ แล้วก็จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม นั้นหรือพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบำเพ็ญมาเป็นพระบารมี ๔ อสงไขยแสนกัปป์ กว่าจะถึงกาลตรัสรู้นะคะ สิ่งที่กำลังปรากฏตามปกติ ตามความเป็นจริง ต้องเป็นปกติคือเดี๋ยวนี้
มิฉะนั้นแล้วใครล่ะก็เรานั่นแหละไปทำ ใช่ไหมคะ ด้วยความไม่รู้ เพราะฉะนั้นธรรมะนี่ค่ะเป็นเรื่องที่ลึกซึ้งมากนะคะ เราสามารถที่จะเห็นพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยหลายนัย นัยหนึ่งทำให้เรารู้ตัวว่ามีกิเลสมากเท่าไหร่ เห็นไหมคะ แค่ได้ยินคำว่าธรรมะ เมื่อเช้าก็ได้ยิน แล้วเดี๋ยวนี้ละ ไหน นี่ก็ยังเป็นดอกกุหลาบ ก็เป็น แต่ว่าไม่รู้ความจริงว่าต้องมีเห็น
ซึ่งขณะที่เห็นเนี่ยนะคะ มีเพียงสิ่งที่ปรากฏ ถ้าเป็นเพียงสิ่งที่กระทบตาแล้วปรากฏเนี่ย แล้วเราจะยินดีติดข้องหรือ เพราะฉะนั้นเพียงเห็นเกิดขึ้นและดับไป ยังไม่รู้เลยว่าเป็นอะไรแต่ว่าหลังจากนั้นแล้วนะคะ กิเลสที่สะสมมา ๓ ขณะจิตหลังจากที่จิตเห็นดับก็เกิดแล้วโดยไม่มีใครรู้ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความละเอียดอย่างยิ่งค่ะ
ว่าความไม่รู้เนี่ยไม่ใช่ชาตินี้นะคะ นานแสนนานมาแล้วเต็มแน่นอยู่ในจิต แต่ว่าเพราะจิตเป็นสภาพที่ไม่ใช่รูปธรรม เกิดดับสืบต่อไม่ขาดสาย เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผ่านมาแล้วจะอยู่ไหน ก็อยู่ในจิตแต่ละขณะนี้แหละ เพราะฉะนั้นชาตินี้นะคะ ก็สะสมไม่ว่าดีชั่วแต่ละขณะไว้จนถึงชาติหน้าก็ไม่ได้หายไปไหน
จากการที่ได้เคยติดข้องนะคะ ความติดข้องก็ติดตามไป ติดข้องสิ่งอื่นต่อไป เพราะฉะนั้นชาตินี้เราเกิดมา ทำไมเราติดข้องในสิ่งที่เพียงปรากฏ เพราะมีเห็นแน่ๆ ใช่ไหมคะ และเห็นจะรู้ว่าเป็นอะไรก็ไม่ได้ เพราะเพียงเห็น แต่ก็ติดข้องเพราะความไม่รู้ เพราะฉะนั้นความไม่รู้นี่คะ ประมาทไม่ได้เลยว่ามากกว่าที่คิด
เพราะฉะนั้นความเข้าใจธรรมะค่อยๆ เข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น แล้วจะเห็นความลึกซึ้งยิ่งขึ้น ตามระดับของความเข้าใจ เพราะว่าถ้าไม่เข้าใจก็เหมือนธรรมดานะคะ แต่ว่าพอเข้าใจแล้วจะรู้ได้เลยว่า ความที่มีความเข้าใจขึ้นในสิ่งที่ปรากฏเนี่ยจึงรู้ว่าทั้งหมดเนี่ยเป็นไปเพื่อละ มิฉะนั้นตัวตนก็จะตามไปสิ ใช่ไหมคะ
แต่เมื่อรู้ว่าทั้งหมดนี้เป็นไปเพื่อละ คำแรกจนถึงคำสุดท้าย ไม่ว่าอะไรจะปรากฏ อะไรจะเกิดขึ้นทั้งนั้นนะคะ โลภะที่สะสมมา ความไม่รู้ที่สะสมมาเนี่ย สามารถที่จะหมดสิ้นไป เร็วอย่างนั้นหรือ เพราะฉะนั้นความไม่รู้นี่ค่ะ ก็จะมีนะคะ อย่างเดี๋ยวเนี่ยฟังธรรมะ แต่ก็ไม่รู้ธรรมะ ถูกต้องไหมคะ แต่ฟังธรรมะจนกว่าเราจะรู้ตัวเราเอง
เมื่อไหร่เริ่มมีความเข้าใจมากกว่าที่ได้เคยได้ฟัง ซ้ำแล้วซ้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่ถ้าไม่มีการได้ฟังซ้ำแล้วซ้ำอีก นะคะ จะไม่มีขณะที่รู้เลย ว่าขณะนั้นนะเป็นความเข้าใจที่ต่างจากที่เคยเข้าใจ เห็นไหมคะ ความละเอียดมากค่ะ เพียงแต่ว่าได้ยินคำว่าปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ แล้วก็แปล ปริยัติคือรอบรู้ในพระพุทธพจน์
ธรรมะเป็นอนัตตารอบรู้ไหม แค่นี้ค่ะ ถ้ารอบรู้เป็นอนัตตาหมดเลย ไม่มีใครทั้งสิ้น แต่มีธรรมะเท่านั้น แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดดับสืบต่อ เพราะฉะนั้นการฟังแต่ละคำอยู่ที่ความเข้าใจ เพราะฉะนั้นเมื่อมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นนะคะ คำเดิม สิ่งที่ได้ยินได้ฟังเหมือนเดิม
ดอกกุหลาบเมื่อเช้านี้ก็อยู่ตรงนี้ใช่ไหมคะ แล้วก็ฟังเรื่องสิ่งที่ปรากฏทางตา ความเข้าใจเพิ่มขึ้นบ้างหรือยัง ถ้าคิดว่าจะเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็วนะคะ ผิด ผิดเลยค่ะ เพราะว่าความไม่รู้กับความติดข้องนานแสนนาน มากมายมหาศาลเนี่ย จะหมดไปโดยที่ว่าพอฟังแล้วเกิดระลึกได้รู้นี่แค่เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา ขณะนั้นแม้อย่างนี้ก็ยังเป็นเรา
เพราะฉะนั้นจะรู้ได้นะคะกว่าความเป็นเราเนี่ยจะค่อยๆ หมดไปเนี่ย ไม่ใช่หนทางที่เราพยายามไปสู่ที่หนึ่งที่ใด พยายามเหลือเกินนะคะ ที่จะเข้าใจธรรมะ ได้ยังไง เพราะขณะนั้นนะคะ ก็ไม่รู้แล้วว่าความไม่รู้นี่มากแค่ไหน และไม่รู้อะไรบ้าง ไม่รู้หมดตั้งแต่ลืมตา ว่าเป็นธรรมะใช่ไหมล่ะวันนี้เนี่ย เมื่อกี้นี้ก็ใช่ไหมล่ะ เห็นไหมคะ
รับประทานอาหารเสร็จก็ไปพักผ่อนมีใครรู้บ้างว่าขณะไหนเป็นธรรมะ เพราะไม่มีใครสามารถที่จะไปบันดาลให้มีความรู้อย่างนั้นได้นะคะ เพราะฉะนั้นอาศัยการฟัง และก็มีความเข้าใจอย่างมั่นคงขึ้นว่าความไม่รู้เนี่ยมีมาก และจะรู้ได้ไม่ใช่โดยเราคิดเองผิดๆ ถูกๆ แต่ถูกนี่คงน้อยนะคะ แต่ว่าถ้าฟังน้อยก็ถูกน้อย และก็ผิดก็ยังคงมากอยู่
ด้วยเหตุนี้ค่ะเป็นผู้ที่ตรงอย่างยิ่ง คือว่าไม่ใช่ชาตินี้ ไม่ใช่ชาติไหน นอกจากชาติที่ความเข้าใจนะคะ เริ่มเพิ่มขึ้นตามลำดับ และทีละน้อยไหม เพราะเหตุว่ากิเลสเพิ่มขึ้นทีละน้อยรึเปล่า เพียงแค่ขณะเห็นดับ กิเลสเกิด ได้ยินดับ กิเลสเกิด ทีละน้อยๆ แต่มากมายมหาศาล เพราะฉะนั้นความไม่รู้ก็จะต้องค่อยๆ เกิดขึ้นทีละน้อย ทีละน้อย ทีละน้อย
จนปรากฏตามลำดับขั้นนะคะ รอบรู้ในปริยัติเนี่ย เรารู้ว่าการรู้ขั้นการฟังเนี่ยดับกิเลสไม่ได้ เพียงแต่เริ่มเข้าใจถูกต้อง เข้าใจ แม้เข้าใจก็ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นความเข้าใจเนี่ยจะต้องติดตามไป จนกว่าจะหมดความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมะว่าเป็นตัวตน
โดยปัญญาประจักษ์แจ้งความจริงของสภาพธรรมะ ซึ่งเหมือนเหลือเชื่อ เพราะเหตุว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่น้อมพระทัยที่จะทรงแสดง แต่ว่าคนที่ได้ฟังธรรมะเข้าใจแล้วนี่นะคะ สามารถที่จะรู้ความจริงได้ นี่เป็นสิ่งที่แน่นอน เพราะพระองค์ทรงเป็น ภควา พระผู้มีพระภาคผู้ทรงจำแนกธรรมะนะคะ
โดยนัยที่เป็นธัมมเตช เตช เดชนี่คะ มี ๕ อย่างนะคะ ตั้งแต่จรณเดช ความประพฤติเป็นไปที่ค่อยๆ เริ่มถูกต้องขึ้น เพราะกำลังของความเข้าใจเพิ่มขึ้น เปลี่ยนจากคนที่ไม่เคยสนใจเรื่องกุศลแม้เพียงเล็กน้อยใช่ไหมคะ ก็สามารถที่จะเห็นประโยชน์ของกุศลแม้เพียงเล็กน้อย
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1381
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1382
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1383
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1384
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1385
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1386
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1387
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1388
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1389
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1390
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1391
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1392
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1393
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1394
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1395
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1396
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1397
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1398
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1399
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1400
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1401
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1402
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1403
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1404
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1405
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1406
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1407
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1408
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1409
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1410
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1411
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1412
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1413
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1414
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1415
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1416
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1417
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1418
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1419
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1420
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1421
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1422
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1423
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1424
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1425
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1426
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1427
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1428
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1429
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1430
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1431
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1432
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1433
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1434
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1435
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1436
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1437
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1438
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1439
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1440
