ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1384
ตอนที่ ๑๓๘๔
สนทนาธรรม ที่ คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
วันที่ ๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๑
ท่านอาจารย์ ที่บอกว่าคนที่ศึกษาธรรมไม่ทันสมัย แต่เขาหารู้ไม่ว่า สมัยคืออะไร คำทุกคำของสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคำที่เปลี่ยนไม่ได้เลย สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคประทับ ณ พระวิหารเชตวัน สมัยหนึ่งคือขณะหนึ่ง แต่ละหนึ่งขณะๆ ๆ ถ้าไม่มีหนึ่งขณะ จะมีสมัยไหม
เพราะฉะนั้น ใครทันสมัยก็คือ ผู้ที่สามารถเข้าใจสิ่งที่มีในขณะนี้ คือทันสมัยที่สุด เพราะเหตุว่าสิ่งนั้นที่เกิดขึ้นดับแล้ว ไม่ทันจะรู้ความจริงก็ต้องล้าสมัย ใช่ไหม เพราะไม่ทันที่จะเข้าใจความจริง ดังนั้นแต่ละคำ ทั้งหมดทุกคำ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถูกต้องตรงที่สุด ใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย แม้แต่คำที่ใช้กัน เช่น สมัย หรือว่า ทันสมัย เดี๋ยวนี้เกิดเห็น ดับแล้วทันสมัยไหม ทันสมัย ที่กำลังเห็น เเละที่ดับแล้วไหม ก็เป็นสิ่งซึ่งทุกคนถ้าได้ศึกษาธรรมแล้ว ก็จะรู้จักคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ไม่มีคำของใครที่สามารถที่จะกล่าวถึงความจริงถึงที่สุด โดยประการทั้งปวงได้
เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่ตรง จึงสามารถที่จะได้สาระจากพระธรรม เช่น พระพุทธศาสนาจะดำรงอยู่ได้ด้วยอะไร ลองหาคำตอบ ถ้าสร้างวัดกันมากๆ วัดคืออะไร เป็นที่อยู่ของใคร ใครอยู่วัด ชาวบ้านไม่อยู่วัดแน่ใช่ไหม แต่ต้องเป็นผู้ที่ได้เข้าใจพระธรรม สละชีวิตเพื่อที่จะศึกษาพระธรรม และขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต เพราะฉะนั้น วัดเป็นที่อยู่ของผู้สงบจากชีวิตของคฤหัสถ์ ไม่ทำกิจใดๆ ของคฤหัสถ์อีกต่อไป เพราะว่าพระภิกษุรู้ว่าชีวิตสั้นจะจากโลกนี้ไปเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่ว่าใคร
ดังนั้น เวลาที่ยังเหลืออยู่จะพอไหมกับการที่จะได้เข้าใจธรรม เพราะเหตุว่า พระธรรมไม่ใช่จำกัดเฉพาะภิกษุ ภิกษุณี แต่ว่าสำหรับทุกคน อุบาสก อุบาสิกา ใครก็ตามที่ฟังธรรม เห็นคุณค่า คนนั้นจะไม่ละเลยในการที่จะฟังธรรม แต่ชีวิตที่สะสมมาแต่ละคนก็ต่างกัน จะให้คนที่สะสมมาเป็นคฤหัสถ์ ไปรักษาพระวินัยอย่างบรรพชิต เเล้วทำทุกอย่างที่เคยทำอย่างคฤหัสถ์อีกต่อไปไม่ได้ ผู้นั้นก็รู้ตัวเองว่าสามารถจะทำอย่างนั้นได้ไหม ถ้าไม่สามารถจะทำอย่างนั้นได้ก็ฟังพระธรรม เข้าใจกันได้หมด ไม่ว่าพระภิกษุ หรือคฤหัสถ์ อุบาสก อุบาสิกา ชาวบ้าน ฟังแล้วสามารถเข้าใจได้
ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่สะสมอบรมปัญญาขัดเกลากิเลส สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรม เป็นพระอริยบุคคลได้ก็มีทั้งพระภิกษุ และคฤหัสถ์ ไม่ใช่จำกัดว่าจะต้องเป็นภิกษุเท่านั้นจึงสามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้เมื่อครั้งก่อนนั้น ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีก็เป็นคฤหัสถ์ เป็นพระโสดาบัน หมอชีวกโกมารภัจจ์ ก็เป็นพระโสดาบัน วิสาขามิคารมารดาก็เป็นพระโสดาบัน ก็มีอีกหลายคนซึ่งได้กล่าวถึง ท่านเหล่านั้นเป็นเอตทัคคะ ผู้ที่เป็นเลิศในแต่ละทาง ในฐานะที่เป็นคฤหัสถ์ด้วย เพราะฉะนั้น ภิกษุที่ไม่ใช่พระอริยบุคคลก็มี คฤหัสถ์ชาวบ้านที่เป็นพระอริยบุคคลก็มี
ดังนั้น สังฆรัตนะไม่ได้หมายความถึงภิกษุ แต่สังฆรัตนะหมายความถึง ผู้ที่รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ไม่ว่าจะเป็นภิกษุหรือคฤหัสถ์ก็ตาม เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจให้ถูกต้อง ถ้าเราเข้าใจผิดเราจะดำรงพระพุทธศาสนาไม่ได้ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะอยู่ได้ด้วยความเข้าใจเท่านั้น ไม่ใช่ด้วยอย่างอื่น
สมัยนี้สร้างวัดกันตลอดไม่จบเลย สร้างไว้ทำไม เงินเท่าไหร่ ถ้าเงินนั้นจะเป็นประโยชน์อย่างอื่นแก่ประเทศชาติ แก่คนยากคนจน ชาวไร่ชาวนา ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ สามารถที่จะได้รับประโยชน์จากเงิน ซึ่งเสียไปโดยการสร้างสถานที่ แต่ว่าไม่ได้มีความเข้าใจธรรม เวลานี้ วัดเป็นตลาดนัดหรือเปล่า ไม่ใช่อารามในพระพุทธศาสนา เพราะว่าพระสัมมาสัมเจ้าประทับอยู่ในที่ที่ไม่มีสิ่งต่างๆ เหล่านี้เลย เพราะเหตุว่า สละเพศคฤหัสถ์สู่เพศบรรพชิต เพราะเห็นโทษ ฉันใด ผู้ที่เห็นโทษของการที่จะครองเพศคฤหัสถ์ และสะสมศรัทธาที่จะสามารถประพฤติ ขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิตได้จึงออกบวช ดำเนินรอยตามพระบาทของพระสัมมาส้มพุทธเจ้า
พระวินัยทุกข้อที่ได้ทรงบัญญัติแล้ว ทำให้ภิกษุที่อยู่ร่วมกันด้วยความผาสุก เพราะเหตุว่าเป็นความประพฤติที่ดีงามทั้งหมด เพราะฉะนั้น ถ้า ไม่มีความเข้าใจในพระธรรมวินัยก็จะเป็นโทษอย่างยิ่ง เพราะกล่าวว่ายุคสมัยเปลี่ยนไป เเล้วคิดจะแก้ไขพระธรรมวินัย หารู้ไม่ว่าผู้ที่ทรงบัญญัติเป็นใคร
พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้น ที่จะบัญญัติสิกขาบทสำหรับพระภิกษุได้ เพราะพระองค์ตรัสรู้ถึงความละเอียดยิ่งของกิเลส ซึ่งสามารถที่จะทำสิ่งที่ผิดไม่สมควรแก่พระภิกษุมากมายมหาศาล เช่น การรับเงินและทอง คฤหัสถ์ต้องใช้ ใช่ไหม พระภิกษุสละแล้ว ใช่ไหม เอาเงินไปให้คนที่เขาสละแล้วหรือ? ลองคิดดู ถูกหรือผิด และจริงๆ แล้ว ชีวิตที่ขัดเกลากิเลสสามารถจะดำรงอยู่ได้ ที่ใช้คำว่าปัจจัย เครื่องอาศัยที่จะทำให้ชีวิตดำรงอยู่ได้ ก็มีอาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค อยู่ได้แน่นอน โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญญา ท่านอยู่อย่างสบายมาก ที่ประทับบนเขาคิชฌกูฏ ไม่มีอะไรเลย แม้พระวิหารเชตวันก็เป็นที่ที่รื่นรมย์ ไม่มีการเผาศพ ไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น เป็นที่ที่ได้สนทนาธรรม ฟังธรรม ขัดเกลากิเลส
เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจให้ถูกต้อง ในความต่างกันของคฤหัสถ์กับบรรพชิต มิฉะนั้นก็ทำลายพระพุทธศาสนาเพราะไม่เข้าใจว่า เพราะเหตุใดพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทรงบัญญัติสิกขาบท เพื่อความอยู่ผาสุกของภิกษุ ไม่มีเงิน แต่ว่ามีทุกสิ่งทุกอย่าง มีอาหาร มีเครื่องนุ่งห่ม มียารักษาโรค วันนี้ต้องการอะไรอีก อยู่ได้มั้ย ถ้าอยู่อย่างผู้มีปัญญา มีความผาสุกกว่าที่จะไม่รู้ความจริงว่า แท้ที่จริงแล้วความไม่รู้ซึ่งมากมายมหาศาลจะค่อยๆ หมดไปได้ ต่อเมื่อได้มีความเข้าใจพระธรรม และถ้าได้เข้าใจมากขึ้นแต่ละวัน จนกระทั่งสามารถที่จะอยู่อย่างพระภิกษุได้ ก็เป็นที่กราบไหว้สรรเสริญของคฤหัสถ์ และก็ทะนุบำรุงพระภิกษุผู้ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย เพื่อดำรงรักษาพระพุทธศาสนา แต่ถ้าภิกษุใดไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ไม่สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้
เพราะฉะนั้นการบวช บวชทำไม ถ้าไม่ใช่เพื่อการที่จะเข้าใจธรรม ขัดเกลากิเลส จนกระทั่งสามารถที่จะถึงความเป็นผู้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมในวันหนึ่ง ถึงแม้ว่าในชาตินี้ไม่สามารถที่จะรู้ได้ แต่ก็ได้สะสมเหตุปัจจัยที่จะทำให้รู้ได้ในวันหนึ่ง
ทุกคนที่กำลังฟังขณะนี้ เป็นการเริ่มต้นซึ่งหนทางที่จะเดินไปอีกยาวไกลมาก เพราะความลึกซึ้งของธรรม แต่ว่าถ้าไม่เริ่มเลยก็จะไม่มีวันถึง เพราะฉะนั้น ถ้ามีการเริ่มต้นเท่าที่มีปัจจัย ที่จะเป็นไปได้ในแต่ละชีวิตก็เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง กล่าวได้เลยว่าเป็นประโยชน์สูงสุด เพราะเหตุว่า ทรัพย์สินเงินทองจากโลกนี้ไปแล้วก็เอาอะไรไปไม่ได้ แม้แต่ร่างกายที่เราเข้าใจว่าเป็นเรา ก็ไม่สามารถที่จะติดตามไปได้เลย เพราะฉะนั้น ไม่มีอะไรจะติดตามไปได้ นอกจากกุศล และอกุศลที่มีอยู่ในจิต สะสมอยู่ในจิตทุกขณะ ที่เกิดขึ้นก็จะสะสมสืบต่อไป
อ.วิชัย ข้อความในธรรมทายาทสูตร พระองค์ก็ตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า พวกเธอทั้งหลายอย่าเป็นอามิสทายาท แต่จงเป็นธรรมทายาท อามิสก็คือปัจจัย ๔ ดังนั้นการบวชของพระภิกษุทั้งหลาย ไม่ใช่มุ่งที่จะแสวงหาปัจจัย ๔ ไม่ว่าจะเป็นจีวร อาหารบิณฑบาต เสนาสนะ หรือยารักษาโรค ไม่ต้องพูดถึงเรื่องของเงินเเละทองเลย เพราะว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรแก่ภิกษุทั้งหลาย แต่พระองค์ตรัสถึงการที่เป็นภิกษุหมายถึง การเป็นผู้รับมรดกคือพระธรรม ซึ่งพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดง จะเป็นไปเพื่อการรู้แจ้งธรรมอย่างเช่น ในโพธิปักขิยธรรม หรือสูงสุดที่จะกล่าวถึงคือ โลกุตรธรรม ดังนั้นความเป็นภิกษุ ไม่ได้บวชเข้ามาเพื่อจุดประสงค์อย่างอื่นเลย แต่เพื่อการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ถึงความเป็นพระอรหันต์ในที่สุด
สนทนาธรรม ที่ โรงแรมชัยคณาธานี จ.พัทลุง
วันที่ ๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๑
อ.อรรณพ กราบเรียนท่านอาจารย์ถึงประเด็นนี้ว่า พุทธศาสนาที่ชาวพุทธไม่รู้จัก
ท่านอาจารย์ ฟังแล้วก็จะได้เข้าใจว่า ก่อนฟังเราไม่ได้รู้จักพระพุทธศาสนา ตามที่เป็นพระพุทธศาสนาที่แท้จริง แต่ว่าเราจะมีพิธีกรรมต่างๆ ถ้าถามว่าพระพุทธศาสนาคืออะไร สอนอะไร ก็ไม่มีใครที่สามารถที่จะตอบได้โดยละเอียด ซึ่งวันนี้เป็นวันที่เราเริ่มรู้จักพระพุทธศาสนาที่เราควรจะรู้จัก และจะได้รู้จักเมื่อได้ฟัง ก็จะรู้ได้จริงๆ ว่าก่อนนี้ที่เราเข้าใจว่าเป็นพระพุทธศาสนา แต่ความจริงเป็นพระพุทธศาสนาโดยชื่อ โดยที่เราไม่รู้จักพระพุทธศาสนา แต่วันนี้ทุกคำที่จะได้ฟัง เป็นคำที่มาจากคำสอนของสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งตรัสไว้ดีแล้วตลอด ๔๕ พรรษาก่อนที่จะปรินิพพาน
๔๕ พรรษาลองคิดดู คำของผู้ที่หาผู้ใดเปรียบไม่ได้เลย ทรงแสดงตั้งแต่เช้าสายบ่ายค่ำ จนถึงเย็นดึก จะมีประโยชน์ต่อสัตว์โลกมากเพียงไร แต่ถ้าเราไม่ได้คิดถึงว่าพระองค์ทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราเป็นใคร เราก็จะคิดว่าพระพุทธศาสนาง่ายมาก แค่อ่านก็เข้าใจแล้ว แต่ว่าตามความจริง เราเป็นใคร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นใคร ได้เริ่มรู้คุณ ก่อนที่เราจะได้ศึกษาเพื่อที่จะเข้าใจคำสอน ซึ่งเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเราก็รู้จักในนามของพระพุทธศาสนา เพราะฉะนั้นแต่ละคำ ไม่ใช่คำของคนที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้าจะกล่าว คิดไม่ถึง รู้ไม่ได้ เพราะไม่ได้ตรัสรู้ แต่ว่าคำของผู้ที่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่เหมือนคำของคนอื่น แต่จะนำมาซึ่งแสงสว่างที่จะให้ค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่มีอยู่ในความมืด เพราะว่าขณะนี้ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ถ้าบอกว่าไม่รู้อะไรทั้งสิ้นก็คงจะสงสัยว่า เกิดมาก็รู้ทุกอย่าง แล้วทำไมกล่าวว่า ตั้งแต่เกิด จนถึงขณะไหนก็ตามที่ไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่รู้จักสิ่งหนึ่งสิ่งใดตามความเป็นจริง เท่ากับว่าไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น ถ้าได้ฟังพระธรรมเมื่อไหร่ เมื่อนั้นจะรู้ว่าคำนี้เป็นความจริง แต่ตราบใดที่ยังไม่ได้ฟังพระธรรม ก็คิดว่ารู้ทุกอย่าง รู้มาก เหมือนกับไม่ต้องรู้อะไรอีกเลย เพราะฉะนั้น แต่ละคำก็ต้องศึกษาหมายความว่า พิจารณา ไตร่ตรอง จนกระทั่งเป็นความเข้าใจของตนเอง ไม่ใช่เพียงแต่ฟังแล้วก็จำ
การสนทนาธรรมเป็นมงคล จะทำให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องในความเป็นจริง ในสภาพของจิตใจ ซึ่งไม่เคยที่จะได้รู้ความจริงมาก่อนเลย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ หมายความว่าพระองค์เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงของสิ่งที่กำลังมีทุกอย่าง จึงได้ทรงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และที่ใช้คำว่าตรัสรู้ หมายความว่าไม่ได้คิดเอง ไตร่ตรองเอง พิจารณาเอง แต่ประจักษ์แจ้งสภาพธรรม ตามที่ได้สะสมพระบารมีที่จะรู้ความจริงด้วยพระองค์เอง
เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจว่า เมื่อมีพระสัมมาสัมเจ้าซึ่งทรงตรัสรู้ความจริง สิ่งที่มีจริงทั้งหมดทุกอย่าง เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงตรัสรู้ ซึ่งสิ่งที่มีจริงทุกอย่าง ภาษาบาลีใช้คำว่า ธรรม แต่ว่าถ้าเราไม่เข้าใจอย่างนี้เราก็คิดเอง สิ่งที่มีจริงมีอะไร ต้นไม้ภูเขา หรืออะไร แต่ว่าการศึกษาธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้แล้วนั้น จะไม่เหมือนคำของคนอื่นเลย ธรรมคือสิ่งที่มีจริง เพราะอะไร มีลักษณะที่ปรากฏความเป็นธรรมนั้นๆ แต่ละหนึ่งๆ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรม ใช่ไหม เพราะฉะนั้น ต้องเป็นสิ่งที่มีจริง ถ้าไม่มีจริง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้ได้ไหม
ผู้ฟัง ตรัสรู้ไม่ได้
ท่านอาจารย์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ คือ พระองค์รู้ความจริงถึงที่สุดของทุกอย่างที่มีจริงๆ นั่นคือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นคำแรกก็คือ ธรรมมีจริง สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่มีจริง รู้ว่ามีจริงได้อย่างไร ก็มีลักษณะที่ธรรมนั้นเป็นอย่างนั้น ให้รู้ได้ว่ามีจริงๆ เช่น เห็นมีจริงๆ เพราะเห็น กำลังเห็น เห็นไม่ได้คิด เห็นไม่ได้ไปทำอย่างอื่นเลย แต่เห็นเกิดขึ้นเห็น
นี่คือธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แต่ชาวพุทธยังไม่รู้จัก ถูกต้องไหม ไปคิดว่าเป็นธรรมชาติ แต่ว่าเห็นเป็นธรรม คือสิ่งที่มีจริง กำลังเห็น จะไม่จริงได้อย่างไร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงถึงที่สุด โดยประการทั้งปวง เพราะฉะนั้นความจริงของเห็นเดี๋ยวนี้คืออะไร ชาวพุทธรู้จักหรือยัง ฟังหรือยัง นี่คือสิ่งที่พระสัมมาสัมเจ้าทรงตรัสรู้
เราจะพูดเฉพาะเห็นที่กำลังเห็น ไม่มีใครรู้ความจริงของเห็น ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไปคิดว่าอย่างอื่นเป็นพระพุทธศาสนา เพราะฉะนั้น คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีใครรู้จัก จนกว่าจะได้ฟัง และพิจารณาไตร่ตรอง เห็นมีจริง กำลังเห็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์แจ้งความจริงของเห็นถึงที่สุด โดยประการทั้งปวง จะมีอะไรของเห็นที่จะต้องรู้จริงจนถึงที่สุด โดยประการทั้งปวง จะไปรู้อะไร แต่ไม่รู้เห็นที่กำลังเห็น จะไปรู้อะไร ถ้าไม่รู้ได้ยินที่กำลังได้ยิน จะไปรู้อะไรถ้าไม่รู้สิ่งที่กำลังคิด เราเมินเฉย เพิกเฉย ต่อการที่จะเข้าใจความจริงของชีวิต ซึ่งตั้งแต่เกิดจนตายก็มีเห็น มีได้ยิน มีได้กลิ่น มีลิ้มรส มีรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส แล้วก็คิดนึก ทุกวันเป็นอย่างนี้ แต่เราไปจำสิ่งที่ปรากฏ เป็นเรื่องราวต่างๆ แต่ไม่รู้ความจริงที่ถึงที่สุดของสิ่งที่มีจริง ยกตัวอย่างคำว่าเห็นคำเดียว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้หรือเปล่า ต้องไตร่ตรอง ฟังธรรมใช่ไหม แล้วเห็นก็เป็นธรรมด้วย เพราะมีจริงๆ เพราะฉะนั้นไตร่ตรองให้เข้าใจให้ถูกต้อง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของเห็นเดี๋ยวนี้ หรือเปล่า
ผู้ฟัง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงถึงที่สุด แต่พวกเราก็ยังไม่เข้าใจความจริงถึงที่สุดคืออะไร
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น คิดเองไม่ได้ใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ แต่ฟังแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น นั่นคือฟังธรรม เริ่มฟังคำสอนของสัมมาสัมพุทธเจ้า และรู้ว่าสิ่งที่มีจริงที่ไม่เคยรู้มาก่อน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าที่ว่าเป็นเราทั้งหมด หรือว่าไม่ว่าจะเป็นห้องนี้หรืออะไรก็ตามแต่ ทุกอย่างที่มีจริง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ไปทำให้เกิดอะไรขึ้น และคิดว่าทำได้ แต่ความจริง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ และก็มีทุกวันด้วย ให้รู้ว่า ความจริงที่เราเคยหลงเข้าใจว่าเป็นเรา หรือว่ามีจริงๆ แท้จริงแล้วสภาพนั้นเป็นอะไร กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ มีจริงหรือเปล่า
ผู้ฟัง มีจริง
ท่านอาจารย์ เกิดขึ้นหรือเปล่า
ผู้ฟัง เกิดขึ้น
ท่านอาจารย์ ก่อนเห็น ไม่มีเห็น แล้วเห็นเกิดขึ้น เป็นธรรมที่ใครก็บังคับบัญชาไม่ได้ แล้วก็มีด้วย นี่คือทุกอย่างในชีวิตที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดง เพราะฉะนั้น ขณะนี้เห็นเกิดแล้ว ไม่มีใครรู้เลยว่าเห็นที่เกิด ดับ ไม่กลับมาอีกเลย
สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง เคยได้ยินคำนี้ แต่ใครจะบอกได้ว่าสังขารคืออะไร ก็เพียงแต่พูดตามๆ กันว่าสังขารทั้งหลายไม่เที่ยง บางคนก็เข้าใจว่าสังขารก็คือ ร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ไม่เที่ยง ใช่ไหม แต่ละวันก็เปลี่ยนไป เดี๋ยวเจ็บตรงนั้น เดี๋ยวสุขตรงนี้ เดี๋ยวหิว เดี๋ยวเมื่อย ก็เข้าใจว่าจะต้องเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไม่เที่ยง แต่นั่นไม่ได้เข้าใจคำว่าสังขาร ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้น ต้องอาศัยกันและกันเกิดขึ้น ไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้ตามลำพังเลย ไม่ว่าอะไรทั้งสิ้น แต่เราไม่รู้ เราคิดว่าเห็นเกิดแล้ว แต่ถ้าไม่มีตา เห็นเกิดไม่ได้ ถ้าไม่มีสิ่งที่กระทบตา เห็นก็เกิดไม่ได้ แม้เห็นขณะนี้ก็ต้องอาศัยตา แล้วต้องอาศัยสิ่งที่กระทบตา และยังมีสิ่งอื่นซึ่งเราไม่เคยรู้มาก่อนเลย แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงแสดงความจริง เพื่อให้เข้าใจตั้งแต่ต้น ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้น ขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏ เห็นกับสิ่งที่ถูกเห็น สิ่งที่ถูกเห็น มีจริงไหม
ผู้ฟัง มีจริง
ท่านอาจารย์ ใครทำให้เกิดขึ้นหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ เป็นธรรมหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็น
ท่านอาจารย์ เราเริ่มรู้จักคำว่าธรรมเเล้ว เริ่มเข้าใจเเล้วว่า ธรรมดาทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรมทั้งหมด เสียงมีจริงหรือเปล่า เกิดขึ้นหรือเปล่า
ผู้ฟัง มีจริง เกิดขึ้น
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีหู โสตปสาท รูปที่สามารถกระทบเสียง คนหูหนวกที่ไม่ได้ยิน เนื่องจากเสียงกระทบหูไม่ได้ เพราะไม่มีหู แล้วจะได้ยินได้อย่างไร ด้วยเหตุนี้แม้แต่ที่กำลังได้ยินเดี๋ยวนี้ก็ต้องอาศัยประสาทหู ที่เราใช้ในภาษาไทย แต่ภาษาบาลีจะเป็นปสาท เเละ หู ภาษาบาลีใช้คำว่าโสต
เพราะฉะนั้นมีโสตปสาท รูปๆ หนึ่งกลางหูที่สามารถกระทบกับเสียง เสียงกระทบกายไม่ได้ กระทบตาไม่ได้ ต้องกระทบเฉพาะหู เมื่อกระทบแล้วเป็นปัจจัยให้ธาตุชนิดหนึ่งคือจิต เป็นสภาพรู้เกิดขึ้น ได้ยินเฉพาะเสียงที่กระทบหูขณะนี้ ไม่มีใครที่จะไปทำอะไรได้เลย ทั้งหมดเป็นธรรม คือสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้น เสียงเป็นธรรมหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็น
ท่านอาจารย์ นี่กำลังฟังธรรมแล้ว และได้ยิน เป็นธรรมหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็น
ท่านอาจารย์ ได้ยินก็เป็นธรรม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เคยได้ฟังมาแล้วใช่ไหม แต่ไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร ธรรมก็คือสิ่งที่มีจริงทุกอย่างเดี๋ยวนี้ เป็นอนัตตา เพราะไม่มีใครทำให้เกิด แต่มีปัจจัยที่จะให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น สิ่งนั้นจึงเกิดขึ้นได้ เกิดขึ้นแล้วดับไป เพราะว่าไม่ได้เห็นตลอดเวลา ไม่ได้ยินตลอดเวลา ไม่ได้จำตลอดเวลา ไม่ได้คิดตลอดเวลา ใช่ไหม ที่ว่าไม่ได้จำตลอดเวลาหมายความว่า เราไม่รู้ว่าขณะนั้น จำกำลังจำ แต่เหมือนไม่ได้จำอะไร
เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้วก็คือว่า สภาพธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ใครไม่สามารถที่จะเปลี่ยนให้เป็นอย่างอื่นได้ เพราะเป็นความจริง ด้วยเหตุนี้จึงมีความเข้าใจพระรัตนตรัย โดยที่รู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นรัตนะที่ประเสริฐยิ่ง เพราะเหตุว่าทรงตรัสรู้ความจริงถึงที่สุด แล้วยังทรงแสดงความจริงคือธรรม ให้คนอื่นได้เข้าใจจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ความจริง แล้วก็ดับกิเลสเป็นพระอริยบุคคล จนถึงพระอรหันต์ เป็นสาวก จึงพร้อมด้วยสิ่งที่เป็นรัตนะ ๓ อย่าง พระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ พระสังฆรัตนะ ถ้าไม่ฟังธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะรู้จักพระพุทธเจ้าไหม
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1381
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1382
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1383
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1384
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1385
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1386
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1387
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1388
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1389
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1390
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1391
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1392
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1393
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1394
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1395
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1396
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1397
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1398
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1399
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1400
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1401
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1402
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1403
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1404
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1405
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1406
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1407
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1408
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1409
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1410
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1411
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1412
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1413
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1414
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1415
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1416
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1417
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1418
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1419
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1420
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1421
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1422
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1423
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1424
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1425
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1426
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1427
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1428
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1429
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1430
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1431
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1432
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1433
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1434
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1435
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1436
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1437
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1438
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1439
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1440
