ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1425
ตอนที่ ๑๔๒๕
สนทนาธรรม ที่ เดอะวินเทจ เขาใหญ่
วันที่ ๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๒
ท่านอาจารย์ ถ้าเข้าใจธรรมะจริงๆ นะคะ เดี๋ยวนี้เป็นธรรมะ ไม่ใช่ไปเข้าใจแล้วว่า ตาเป็นธรรมะ เสียงเป็นธรรมะ จมูกเป็นธรรมะ แค่นั้นไม่พอใช่ไหมคะ แต่ถ้าเข้าใจจริงๆ เดี๋ยวนี้ค่ะเป็นธรรมะแน่นอน แล้วก็ต้องปลายขนทรายจรดปลายขนทราย ไม่ใช่ขนทรายหนึ่งนะคะ ขนทรายที่แบ่งออกแล้วเป็น ๗ ส่วน
เพราะฉะนั้นก็ฟังพระธรรมด้วยความเคารพเพราะเห็นประโยชน์อย่างยิ่งนะคะ เพราะว่าเราจะจากโลกนี้ไปเมื่อไหร่เนี่ยไม่มีใครสามารถรู้ได้ และชาติต่อไปจะได้ฟังไหม ไม่มีใครรับรองได้เลยนะคะ แต่ขณะนี้มีโอกาสจะได้ฟัง เพราะฉะนั้นก็ฟังเพื่อเข้าใจในความไม่ใช่เราที่สำคัญที่สุด คือเข้าใจเพื่อรู้ความจริงว่าอนัตตาหมายความว่าไม่ใช่เรา
ธรรมะทั้งหลายไม่ใช่เรา จะรู้เพียงแค่ธรรมะทั้งหลายเป็นธรรมะเท่านั้นไม่พอ ต้องธรรมะทั้งหลายไม่ใช่เราไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ว่าเป็นธรรมะซึ่งเกิดแล้วดับ แล้วไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฎ คิดดูตั้งแต่เด็กมาในชาตินี้ก็พิสูจน์แล้วนะคะ ไม่มีอะไรเหลือ
ตอนนี้ก็เป็นอย่างนี้ พรุ่งนี้ก็ไม่ใช่วันนี้แหละ เพราะฉะนั้นแต่ละชาติ แต่ละชาติ ผ่านมาก็ไม่มีอะไรเหลือเลย เพราะฉะนั้นถ้าไม่รู้จริงๆ นะคะ ว่าแท้ที่จริงแล้วว่างเปล่า จากความเป็นเรา เพราะว่าถ้าไม่มีอะไรเลยว่างเปล่าก็ไม่ติดข้อง ใช่ไหมคะ
แต่พอมีนั่นแหละติดเลย ใช่ไหมคะ เพราะความไม่รู้ แต่ถ้ารู้ว่าแท้ที่จริงก่อนมีนั้นไม่มี แล้วก็เกิดมี แล้วก็ดับไป เหมือนตอนที่ไม่มี แล้วไม่กลับมาอีก ก็ลองคิดดูยังจะติดข้องไหม ในเมื่อความจริงแล้วคือไม่มี
ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์สุจินต์ การที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่าไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใด ยกตัวอย่างเช่น ของพวงมาลัยพวงเนี่ยค่ะว่าไม่ใช่พวงมาลัย แต่ว่าเป็นเพียงธรรมะ อย่างไร
ท่านอาจารย์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส เพราะพระองค์ได้ทรงรู้ความจริงที่ตรัสรู้แล้วใช่ไหมคะ
ผู้ฟัง ค่ะ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นที่ทรงตรัสรู้ว่าสิ่งที่มีจริงเนี่ยมีแน่นอน และก็ต้องเกิดด้วย ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี แต่ที่ไม่รู้ก็คือว่าอะไรเกิด และสิ่งที่เกิดปรากฏเนี่ยเป็นอะไรตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นพูดถึงพวงมาลัยเนี่ยไม่เห็นมีไหม
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ คะ พอเห็น เห็นอะไร เห็นไหมคะพูดแล้วเหมือนเดิม แต่กว่าจะรู้ว่าสิ่งที่พูดแล้วเนี่ยเป็นความจริง จริงๆ แค่ไหน ก็ต้องอาศัยฟังแล้วฟังอีกนะคะ ไตร่ตรองเป็นปัญญาที่ค่อยๆ ไม่ใช่เราที่กำลังไตร่ตรอง ยากกว่านั้นอีก เห็นไหมคะ เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าเป็นเรากำลังไตร่ตรองนะคะ ต้องขณะนั้นนะคะ ไม่มีแม้แต่เรา
อ.วิชัย ขอสนทนาด้วย อะไรเป็นธรรมะนะครับ
ผู้ฟัง เห็นเป็นธรรมะ คิดเป็นธรรมะ
อ.วิชัย ถ้าไม่คิด จะมีคำว่าพวงมาลัยได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
อ.วิชัย ไม่ได้เพราะคิดใช่ไหมครับ งั้นต้องมีธรรมะแน่ ดังนั้นต้องมีธาตุรู้ที่กำลังรู้ชื่อหรือว่าคำว่าพวงมาลัย แต่ก่อนหน้านั้นก็ต้องมีการเห็น เพราะว่าก่อนเข้ามาในห้องนี้ก็ไม่เห็นว่ามีพวงมาลัย ใช่ไหมครับ แต่พอเข้ามาก็มีการเห็น และมีการคิด แล้วก็จากการที่เคยจำหมายรู้ในสิ่งนี้ ในนิมิตสัณฐาน
เป็นเหตุให้มีการคิดถึงแล้วก็จำชื่อ ว่าเป็นพวงมาลัย ดังนั้นทุกอย่างนะครับ ความเป็นจริงของสภาพธรรมะก็มีปัจจัยนะครับ ที่จะให้ธรรมะเกิดขึ้น แต่อะไรจริง พวงมาลัยมีจริงๆ หรือเปล่า เป็นปรมัตถธรรมหรือเปล่า ถ้าไม่มีจิตที่จะเกิดขึ้นคิดถึงสิ่งนั้นจะมีคำนั้นได้ไหม ดังนั้นก็ต้องมีความเข้าใจนะครับ
ระหว่างสิ่งที่มีจริงซึ่งเป็นธรรมะนะครับ ก็มีนามธรรมและรูปธรรม ดังนั้นสิ่งที่เกิดแล้วมีแล้ว บังคับไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ เมื่อเกิดแล้วบังคับให้ตั้งอยู่ตลอดไปก็ไม่ได้ เมื่อมีปัจจัยเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป นี่คือความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมะ
ท่านอาจารย์ การฟังธรรมะนะคะ ฟังแล้วเข้าใจ พอไหม จนกว่านะคะ จะมีความเข้าใจในสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะว่าฟังอย่างเนี่ยเหมือนเรื่อง ใช่ไหมคะ ในหนังสือแต่ว่าจนกว่าเดี๋ยวนี้นี่คะ มีปัจจัยที่จะรู้ว่าไม่ใช่เราเป็นธรรมะ เพราะฉะนั้นแต่ละคำนี่นะคะบางคนก็ชอบคำเยอะๆ ไช่ไหมค่ะ คำมากๆ ปฏิจสมุปปาท
ตื่นเต้นได้ฟังพระธรรมแต่ความจริงไม่ใช่ค่ะไม่ใช่ไปฟังเพื่อความตื่นเต้น เพื่อเข้าใจเรื่องราวแต่ให้รู้ความจริงเดี๋ยวนี้ว่าไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นต้องรู้จุดประสงค์ของการฟังนะคะ ฟังเพื่อให้เข้าถึงความจริงเดี๋ยวนี้ ไม่ว่าขณะไหนก็ตามว่าขณะนั้นไม่ใช่เรา แต่จะเป็นอย่างนี้ได้ก็ต่อเมื่อเราฟังนะคะ
จนกระทั่งมีความเข้าใจที่มั่นคงว่าทุกอย่างไม่เว้นเลยเป็นธรรมะ แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรมะ เพราะฉะนั้นกว่าจะรู้เนี่ยฟัง ฟังแล้วรู้ว่าเป็นธรรมะในห้องนี้ ใช่ไหมค่ะ แต่พอออกไป ไหนธรรมะ เพราะฉะนั้นนั่นไม่ใช่จุดประสงค์ แต่จุดประสงค์คือให้มีความมั่นคง อธิษฐานมั่นคงสัจจะบารมีที่จะรู้ความจริง
ว่าจริงๆ แล้วคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเนี่ยเปลี่ยนไม่ได้เลยธรรมะต้องเป็นธรรมะ และสิ่งที่มีจริงนะคะ เป็นอนัตตา จะเป็นอะไรได้ล่ะคะ ไหนของเราแค่เห็นเนี่ยดอกกุหลาบดอกนี้ของใคร ดอกนั้นของใคร ดอกโน้นของใคร ไม่ใช่เลยนะคะ แค่เห็น เพราะฉะนั้นเห็นในขณะที่เห็นเนี่ยก็ไม่รู้ว่าเป็นดอกกุหลาบด้วย เพียงแค่เห็นสิ่งที่กระทบตา เท่านั้น
ความรวดเร็วของความจริงกว่าจะละความเป็นเราได้เนี่ยไม่ใช่ว่าฟังเรื่องฟังชื่อจบไปเป็นปริเฉทต่างๆ และอย่างงั้นไม่ใช่เลยนะคะ แต่ฟังที่มั่นคงว่าทุกอย่างเป็นธรรมะ แต่เมื่อยังไม่เป็นก็ฟังจนกว่าจะมีความมั่นคงโดยที่ว่า ไม่ต้องไปเลือกเลยนะคะ เพราะเหตุว่าแม้แต่ความรู้ว่าเป็นธรรมะก็ไม่ใช่เรา
ขณะนี้เป็นธรรมะก็ไม่รู้ว่าเป็นธรรมะทั้งหมดใช่ไหมคะ แต่ฟังไป ฟังไป มีความเข้าใจว่าเป็นธรรมะ ไม่ว่าที่ไหนขณะที่เกิดความรู้ว่าเป็นธรรมะขณะนั้นก็ไม่ใช่เรา ไม่อย่างงั้นหนทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะแคบมาก จะเล็กมาก แค่นี้นิดเดียวถึงละ แต่ไม่ใช่ค่ะ กว้างใหญ่ไพศาลไปทุกชาติที่จะมีความเข้าใจที่มั่นคงจริงๆ ว่าเป็นธรรมะ
เพราะว่าการที่จะรู้ว่าไม่ใช่เรานี่นะคะ เพื่อที่จะดับกิเลสที่อยู่ลึก นะคะ สะสมมานานแล้วก็ละเอียดไม่ปรากฏ แต่อยู่ตรงนั้นพร้อมที่จะเป็นปัจจัยให้อกุศลใดๆ ก็ตามนะคะ เกิดขึ้นทันทีที่เห็น ขณะนี้ไม่รู้แหละเป็นดอกกุหลาบล่ะ เพราะเรายังไม่ได้ละความที่ไม่เคยรู้ความจริงมาก่อนเลยว่าเป็นธรรมะไม่ใช่เรา
เพราะฉะนั้นแต่ละคำเนี่ย แค่คำธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตาคำนี้เผินไม่ได้เลยค่ะนี่แหละคือความจริงที่จะต้องพิสูจน์ว่าตัวเองได้ยินคำนี้แล้วนะคะ ขณะเห็นเป็นธรรมะหรือเปล่า ยัง ใช่ไหมคะ ขณะเห็นเริ่มฟังบ่อยๆ เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ บ่อยนี่นานเท่าไหร่กว่าจะรู้ว่าไม่ใช่สิ่งที่เราเคยยึดถือจริงๆ เพียงแค่ปรากฏ
เพราะฉะนั้นทุกคนก็รู้จักตัวเองตามความเป็นจริงนะคะ ฟังธรรมะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว เมื่อได้ตรัสรู้แล้ว ๒๕๐๐ กว่าปี ๒๖๐๐ หรือจะต่อไปอีกนานเท่าไรก็ตาม คำนั้นไม่เปลี่ยนค่ะ เพราะเหตุว่าเป็นความจริงสำหรับผู้ที่สะสมมามีโอกาสได้ฟัง มีโอกาสได้ไตร่ตรอง มีโอกาสที่จะเห็นความเหนียวแน่นหนาแน่นของความไม่รู้
ซึ่งยากเหลือเกินนะคะ ที่จะหมดสิ้นไปได้ อาศัยคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะทำให้ค่อยๆ เกิดความเข้าใจทีละเล็กละน้อย แต่สิ่งนี้เนี่ยลึกมากแล้วก็มากมายมหาศาล เพราะทุกชาติก็ไม่รู้แม้แต่ชาตินี้ก็ยังไม่รู้ เวลาเห็นถ้าไม่ได้ฟังไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้เลย แต่เมื่อฟังแล้วนะคะ
เคารพสูงสุดในการที่แต่ละคำเนี่ยจะทำให้กิเลสที่มีอยู่ในใจเนี่ยสามารถที่จะค่อยๆ หมดไปได้ เพราะฉะนั้นก็ไม่มีทางหมดเลยนะคะ มีแต่ทางเพิ่ม แต่ว่าคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะทำให้เริ่มเข้าใจ และเป็นคนที่ตรง ใครจะบอกว่าคนนี้เป็นพระอรหันต์ คนนั้นเป็นพระโสดาบัน พูดได้ยังไง คะ รู้อะไรแค่พูดใช่ไหมคะ
แต่ทุกคนนะคะ สัจจบารมี ตรงต่อตัวเองตรงต่อความจริงว่าเดี๋ยวนี้ที่ฟัง มีสิ่งที่กำลังปรากฏแต่ยังเป็นเรา ที่กำลังได้ยิน ใช่ไหมคะได้ยินคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิ่งที่มีจริงไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง แล้วก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร เพราะไม่ใช่ใคร และไม่ใช่ของใครเลยทั้งสิ้น
แต่ละคำ แต่ละคำนี่คะ ถ้าเราใส่ใจนะคะ ฟังแล้วเพื่อถึงความเข้าใจว่าไม่ใช่เรา อันนั้นเป็นประโยชน์แต่ถ้าฟังเพราะอยากรู้ อยากเข้าใจ ตรงนั้นเป็นยังไง ตรงนี้มายังไง ใช่ไหมคะ อย่างนั้นเพื่อที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏไหมว่าไม่ใช่เรา ที่เคยเป็นเราก็คือว่าไม่มีเรา แต่มีธรรมะเท่านั้น
เพราะฉะนั้นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะคะ เป็นสัจจะวาจาเป็นอริยสัจจะนะคะ สามารถที่จะเข้าใจได้แต่ต้องด้วยปัญญาที่เพิ่งเริ่ม และเป็นผู้ที่ตรง แต่ละคำนะคะ ไม่ข้าม มีใครยังสงสัยเรื่องคำว่าธรรมะไหมคะ ต้องกระจ่าง ต้องชัดเจน โพธิปักขิยะธรรม เป็นธรรมะหรือเปล่า อายตนะเป็นธรรมะหรือเปล่า ธาตุเป็นธรรมะหรือเปล่า
ไม่ว่าอะไรทั้งนั้นเป็นธรรมะแต่ว่าความละเอียดยิ่งของธรรมะที่จะทำให้สัตว์โลกเนี่ย สามารถที่จะเห็นว่าไม่ใช่เรา และทรงแสดงโดยนัยหลากหลาย พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่พระปัจเจกพุทธเจ้า เพราะเหตุว่าเป็นผู้ที่ทรงจำแนกธรรมะ เพราะฉะนั้นแต่ละคำเนี่ยนะคะ
ต้องเป็นผู้ที่รู้ว่าเราเข้าใจแค่ไหน ไม่ใช่เรารู้แล้วอายตนะมีเท่าไหร่คะ ๖ รู้แล้วภายในทั้งหลาย ๖ รู้แล้ว ภายนอก ๖ เท่าไร รู้แล้ว นั่นไม่ใช่ผู้ที่ศึกษาธรรมะที่จะเห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเห็นคุณจริงๆ นะคะ เป็นผู้ตรง ต้องไม่ลืมว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เกิดแล้วใช่ไหม บังคับได้ไหม เป็นธรรมะหรือเปล่า
ส่วนใหญ่จะเป็นเหตุการณ์นะคะ เมื่อเช้านี้รถติดมาก บังคับได้ไหม บางคนก็บอกว่าเป็นอนัตตาบังคับไม่ได้ ใช่ไหมคะ ก็อาศัยความเข้าใจเพียงนิดหน่อย ที่จะกล่าวคำนั้นแต่อนัตตายิ่งกว่านั้น คือไม่ว่าอะไรที่มีเกิดแล้วเพราะเหตุปัจจัยที่จะให้เป็นอย่างนั้นเปลี่ยนไม่ได้เลยค่ะ
จะเจ็บไข้ได้ป่วยนะคะ จะทุกข์ร้อน จะกังวลใจ หรือจะทำอะไรทั้งหมด เกิดแล้วฟังแล้วใช่ไหม ธรรมะทั้งหลายก็ต้องเป็นธรรมะไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นนี่คือเริ่มที่จะเข้าถึงความหมายของคำว่าธรรมะ แต่ตัวธรรมะจริงๆ ยังไม่ได้เปิดเผยความเป็นธรรมะ ถูกปกปิดไว้เพียงความเข้าใจว่าเป็นธรรมะ ใช่ไหมคะ
เห็นเป็นธรรมะไหม แต่ตัวเห็นเนี่ยไม่ได้เปิดเผยในความเป็นธรรม เพราะฉะนั้นก็ฟังไปแล้วก็มีความเข้าใจ ยิ่งมาก ยิ่งเห็นคุณของผู้สัมมาสัมพุทธเจ้า ยิ่งรู้ว่าหนทางนี้เป็นหนทางเดียวหนทางอื่นที่ไม่รู้ แล้วจะละกิเลสเนี่ยเป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นแต่ละคำนี่นะคะก็จะต้องมั่นคงว่าธรรมะทั้งหลาย ทั้งปวง ทั้งหมดเลย
อาหารกลางวันเมื่อกี้นี้เผ็ดไหมคะ เผ็ดมีจริงไหม เป็นธรรมะหรือเปล่า ใครไปทำให้เผ็ด รู้สึกเผ็ดก็มี ชอบหรือไม่ชอบเผ็ดก็มี เห็นไหมคะ หมดไปแล้วไม่มีใครรู้เลยว่าเป็นธรรมะทั้งวันไม่ว่าจะเห็น ตื่นมานะคะ ตลอดทั้งวัน จนกระทั่งถึงหลับ จนกระทั่งถึงฝัน จนกระทั่งถึงตื่นอีกก็ไม่มีใครรู้ว่าเป็นธรรมะ
จนกว่าจะได้ฟังแต่ละคำด้วยความเคารพที่มั่นคงนะคะ เริ่มจากคำว่า ฟังเพื่อรู้ว่าไม่ใช่เรา และไม่มีเรา ปลอดโปร่งโล่งใจดีมั้ยคะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นคุณของพระธรรมมากมายมหาศาลนะคะ แต่ต้องเป็นการที่ไม่หลงทาง และก็เข้าใจจริงๆ ว่าตรงต่อตัวเอง ว่าได้ยินคำว่าธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา แต่ยังไม่ถึงความเข้าใจนั้น
อ.วิชัย กราบท่านอาจารย์ครับ ขณะที่จับไมโครโฟนก็มีแข็ง แล้วก็การที่จะคิดถึงว่ามีสภาพธรรมะที่แข็ง แต่ท่านอาจารย์ก็กล่าวเตือนให้รู้ว่าความเป็นเราก็สามารถที่จะอยู่ในธาตุรู้ที่กำลังคิดถึงแข็งที่ปรากฏนะครับ ดังนั้นความยึดถือเขาเหมือนกับยึดถือโดยที่เราไม่รู้ตัว ครับท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ คะ ที่ยึดถือหรือไม่รู้ตัวนานมาแล้วเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นพระธรรมจึงมีปริยัติศาสนา ปฏิปัตติศาสนา ปฏิเวธศาสนา คำสอนให้รู้ความจริงว่าขณะที่ฟังเข้าใจนี่นะคะ สภาพธรรมะยังไม่ได้ปรากฏโดยความเป็นธรรมะ แต่เริ่มฟังปริยัติ ต้องรอบรู้มั่นคงว่าทุกอย่างเป็นธรรมะ ไม่ต้องไปไหน เห็นไหมคะ ต้องตรงละ
อยู่ที่นี่ก็เป็นธรรมะ จะเข้าใจธรรมะก็คือฟังเดี๋ยวนี้ เข้าใจเดี๋ยวนี้ ถ้าจะสามารถรู้ธรรมะก็คือว่าธรรมะก็ต้องปรากฏเมื่อไหร่ก็ได้ตามเหตุตามปัจจัย เพราะมั่นคงในความเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นหนทางนี้ก็เป็นหนทางที่จะพูดแล้วก็คือว่า ไม่ลำบาก เดือดร้อนด้วยอกุศลคือความติดข้องใช่ไหมคะ
แต่ติดข้องไม่รู้หรอกว่าลำบาก อุตส่าห์ไปที่นู่น ที่นี่ ที่นั่น คิดว่าดีมากเลยสบายใจ ไปแล้วก็ไม่รู้ว่าขณะนั้นนะไม่รู้อะไรเลย ลำบากไหมละที่จะต้องไป ที่จะต้องไปอยากสบายใจ เห็นไหมคะความซับซ้อนของธรรมะ
อ.วิชัย คือถ้าไม่มีพระธรรมที่จะแสดงให้เห็นความเป็นจริงละเอียดนะครับ บุคคลนั้นไม่มีทางที่จะรู้ได้เลยว่า ขณะนั้นเป็นเรื่องความต้องการ เป็นเรื่องของการที่จะ อยากจะให้จิตสงบ แล้วก็มุ่งที่จะรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยคิดว่าเป็นสถานที่นั้น ที่นี้ ที่จะเป็นเหตุ ให้รู้ได้ครับท่านอาจารย์
ด้วยเหตุนี้เมื่อตรัสรู้ไม่น้อมพระทัยที่จะทรงแสดง เราพูดไม่กี่คำแต่ความลึกกว่านั้น ความหนาแน่นของอกุศลที่ติดอยู่ในจิต อนุสัยกิเลสเนี่ยมากแค่ไหน กี่ชาติไปละ แล้วที่จะค่อยๆ หมดจนกระทั่งดับไม่เหลือเลย คิดดูเป็นสิ่งซึ่งได้ฟังแล้วนะคะ
ประโยชน์คือได้เริ่มเห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่แม้ได้ฟังก็มีโอกาสนะคะ ที่จะค่อยๆ นำไปสู่ความไม่หลงทาง และความเป็นจริงว่าเป็นอนัตตา ด้วยเหตุนี้นะคะ แม้แต่คำว่าธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา จะนำไปสู่ความเข้าใจที่ถูกต้อง
ผู้ฟัง กราบสวัสดีท่านอาจารย์สุจินต์นะคะ ตานี้ตัวเองเนี่ยสงสัยว่าการนั่งสมาธินะคะ เพราะว่าก็นั่งตามๆ ที่เขาพาไปนะคะ ทำบุญ นั่งสมาธิ ปฏิบัติธรรม และตัวเองก็ไม่เคยประสบผลสำเร็จค่ะ เพราะว่านั่งแล้วเนี่ยจะรู้สึกว่าขาชา เพราะฉะนั้นชาแล้วก็เลยไม่ต้องนั่งแต่ก็ฟัง
อ.กุลวิไล อันนี้แหละคือตัวอย่างของชาวพุทธที่ไม่ได้ศึกษาพระธรรม
ผู้ฟัง ใช่ๆ ใช่ค่ะ อันนี้เข้าใจยอมรับค่ะ
อ.กุลวิไล แล้วก็เลยไม่รู้แม้แต่ว่าสมาธิคืออะไร แล้วก็ปฏิบัติธรรมคืออะไรด้วย และที่สำคัญไม่รู้ว่าธรรมะที่มีจริงในขณะนี้คืออะไร เพราะฉะนั้นทั้งหมดนะคะ ถ้าเป็นชาวพุทธแล้วต้องรู้ในธรรมะตามความเป็นจริง นั่นก็คือปัญญาที่เห็นถูกในสิ่งที่มีจริงนั่นเอง
เพราะฉะนั้นการทำสมาธิทั้งหลายเนี่ยถ้าไม่ได้ศึกษาพระธรรมนะคะ ยังเป็นเราอยู่ แล้วก็ไปทำด้วยความเป็นตัวตนก็เต็มไปด้วยความสงสัย และความไม่รู้นั่นเอง เพราะฉะนั้นสมาธิก็มีจริง เพราะทั้งหมดเป็นธรรมะ แค่จิตเกิดขึ้นต้องรู้อารมณ์นั่นเอง
อารมณ์คือสิ่งที่จิตรู้ แต่ขณะนั้นต้องมีสภาพธรรมะที่เกิดกับจิตแล้วตั้งมั่นในอารมณ์นั้น แต่ข้อสำคัญตั้งมั่นด้วยกุศลหรืออกุศล ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมไม่รู้นะคะ แล้วก็ข้อสำคัญก็คือเห็นผิดด้วยคิดว่าสิ่งที่ทำนั้นเป็นบุญก็จะกราบเรียนท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ ไม่ทราบว่าเข้าใจหรือยังคะว่าที่ทำมาแล้วถูกหรือผิด
ผู้ฟัง ไม่ถูกค่ะ
ท่านอาจารย์ คะ เพราะฉะนั้นทุกคนก็ต้องตรงนะคะ ถ้าคำนั้นไม่ถูกก็เป็นคำที่ทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำให้คนเข้าใจผิดคิดว่านั่นคือคำสอนของสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะคะ ทำให้ มีความเข้าใจถูกต้องในสิ่งที่มีจริงที่สามารถที่จะรู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อย่างไร
จึงได้ทรงแสดงธรรมะอย่างนั้นเพื่อที่จะให้คนอื่นเนี่ย ได้มีความเข้าใจที่ถูกต้องสามารถที่จะเข้าใจถูกจนกระทั่งดับกิเลสได้ แต่ก่อนจะดับนะคะ ก็ต้องมีความเข้าใจถูก มิฉะนั้นแล้วก็จะกลายเป็นเข้าใจผิดว่าเราดับกิเลสได้ เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ลึกซึ้งค่ะ ต้องตั้งต้นให้ถูกต้องธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา
เพราะฉะนั้นถ้ายังไม่รู้นะคะ ว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรมะ ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ว่าเป็นอนัตตาแล้วก็ไปทำอย่างอื่น ซึ่งไม่ทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมดนี่คะ ให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นก็ต่างกัน แต่ก็ขออนุโมทนานะคะ ที่ได้เข้าใจถูกต้องว่าผิด
ผู้ฟัง จะไม่ทำแล้วค่ะ
ท่านอาจารย์ และเข้าใจสิ่งที่ผิดทั้งหมดก็คือทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย ควรที่จะให้รู้ทั่วกันไหมค่ะ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะพี่น้อง เพื่อนฝูง ทั้งหลายนะค่ะก็อย่าให้หลงทางเพราะเหตุว่าถ้าหลงทางแล้วนะคะ ก็จะทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สภาพธรรมะเนี่ยหลากหลายมาก
เพราะอะไรคะ แต่ละหนึ่งเกิดตามเหตุตามปัจจัย ไม่มีใครไปทำให้เกิดเพราะเราต้องเข้าใจมั่นคงว่าธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นจะไม่มีใครไปทำอะไรได้เลยทั้งสิ้นเพราะไม่มีใคร แต่มีธรรมะ เพราะฉะนั้นนะคะ ธรรมะที่หลากหลายเนี่ยค่ะ จะต่างกันเป็นสองประเภทใหญ่ๆ มีจริง แต่อย่างหนึ่งนะคะ เกิดมี แต่ไม่สามารถรู้อะไรได้เลย ก็มีจริงใช่ไหมคะเป็นธรรมะหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็นค่ะ
ท่านอาจารย์ เป็น จะรู้หรือไม่รู้ แต่เมื่อมีจริงก็เป็นธรรมะทั้งหมด เพราะมีลักษณะแสดงให้เห็นว่ามีจริงๆ เพราะฉะนั้นชามมีจริงๆ ไหมค่ะ
ผู้ฟัง มีจริงค่ะ
ท่านอาจารย์ ต้องเป็นธรรมะแน่นอน เป็นเราหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่เป็นเราคะ
ท่านอาจารย์ คะ เนี่ยคะ คือว่านะคะ และกว่าจะรู้ว่าไม่ใช่เรานะอีกนาน แต่เริ่ม เริ่มเข้าใจถูกต้องว่าไม่ใช่เรา แต่เคยเป็นเรามานานแสนนาน เพราะฉะนั้นกว่าจะหมดความเป็นเราได้จริงๆ ต้องเป็นปัญญาระดับไหน คิดดูนะคะ เราไม่ได้เกิดมาชาติเดียวค่ะ เราเกิดมานับชาติไม่ถ้วนอสงไขยแสนกัปมากมายกว่านั้นนะคะ
และความไม่รู้ที่มากมายกว่านั้นนะสะสมอยู่ในจิตทุกขณะที่ไม่รู้เพราะฉะนั้นจะคิดไหมคะ ว่าเพียงแค่ฟังอย่างเนี้ยแล้วก็จะเป็นการเอากิเลส คือไม่มีความเห็นผิดอีกต่อไปว่าไม่ใช่เราออกไปได้ ต้องเข้าใจและเป็นผู้ที่ตรง
ด้วยเหตุนี้ต้องละเอียดนะคะ ที่จะต้องมีสนทนาให้เข้าใจว่าธรรมะทั้งหมดเลย ธรรมะที่มีแต่ไม่รู้อะไรนะคะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นรูปธรรม รูปะ กับธรรมะ หมายความถึงสภาพธรรมะที่เกิดมีลักษณะเฉพาะ จริงๆ แต่ว่าไม่รู้อะไร
แต่ถ้ามีแต่สภาพธรรมะที่เกิดและไม่รู้ โลกก็ไม่ปรากฏ อะไรๆ ก็ไม่ปรากฏใช่ไหมคะ อย่างโต๊ะอยู่ตรงนี้ตั้งนานก็ไม่รู้ว่ามีอะไร คนเข้ามาในห้องนี้หรือเปล่า ก็ไม่รู้แต่คือมีสภาพธรรมะอีกอย่างหนึ่งเกิด คือธาตุรู้ เกิดแล้วต้องรู้ค่ะ สิ่งหนึ่งสิ่งใด ในห้องนี้มีอะไรบ้างคะ
ผู้ฟัง มีท่านวิทยากรค่ะ
ท่านอาจารย์ ค่ะ นั่นคือรู้ใช่ไหมคะ เพราะเห็นค่ะ เพราะฉะนั้นเห็นเนี่ยรู้ ถ้าไม่มีการรู้สิ่งที่ปรากฏจะบอกไม่ได้ว่าเป็นใคร เพราะฉะนั้นก่อนอื่นต้องมีเห็น แต่เห็นเนี่ยนะคะ เป็นสิ่งที่มีจริงที่เราไม่ได้ไปทำให้เกิดเลย ทุกคนขณะนี้กำลังนั่งเห็นทั้งนั้นเลย ใช่ไหมค่ะ
ไม่มีใครไปทำให้เห็นเกิด แต่เห็นมีปัจจัยเกิดและดับไป ก็ไม่มีใครรู้อีก เพราะฉะนั้นธรรมะทั้งหมดนะคะ ก็เกิดดับโดยไม่รู้ จนกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงเปิดเผยว่าขณะนี้มีอะไร นะคะ เห็นมีแน่นอนคือเห็นต้องเกิด และก็ได้ยินมีไหมคะ
ผู้ฟัง มีค่ะ
ท่านอาจารย์ มี ได้ยินก็ต้องเกิดเห็นกับได้ยินเหมือนกันไหม
ผู้ฟัง ไม่เหมือน
ท่านอาจารย์ ไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเห็นเป็นธรรมะหนึ่ง
ผู้ฟัง ค่ะ
ท่านอาจารย์ ได้ยินเป็นธรรมะอีกหนึ่ง และสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่าระหว่างเห็น และได้ยินซึ่งเสมือนพร้อมกันเดี๋ยวนี้ มีจิตเกิดดับระหว่างนั้นเท่าไหร่ ซึ่งไม่ปรากฏเพราะฉะนั้นมีหลายอย่างนะคะ ในโลกเนี่ยที่ไม่ได้ปรากฏเลย
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1381
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1382
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1383
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1384
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1385
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1386
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1387
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1388
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1389
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1390
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1391
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1392
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1393
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1394
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1395
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1396
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1397
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1398
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1399
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1400
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1401
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1402
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1403
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1404
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1405
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1406
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1407
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1408
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1409
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1410
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1411
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1412
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1413
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1414
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1415
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1416
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1417
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1418
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1419
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1420
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1421
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1422
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1423
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1424
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1425
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1426
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1427
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1428
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1429
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1430
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1431
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1432
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1433
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1434
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1435
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1436
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1437
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1438
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1439
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1440
