ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1385
ตอนที่ ๑๓๘๕
สนทนาธรรม ที่ โรงแรมชัยคณาธานี จ.พัทลุง
วันที่ ๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๑
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ฟังธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะรู้จักพระพุทธเจ้าไหม ไม่มีทางเลยใช่ไหม ถ้าไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร รู้จักพระพุทธศาสนาไหม
ผู้ฟัง ไม่มีทางรู้จัก
ท่านอาจารย์ ก็ไม่รู้จัก เพราะฉะนั้นก็รู้ได้ด้วยตัวเองใช่ไหม ก่อนฟังธรรม รู้จักพระรัตนตรัย รู้จักพระพุทธศาสนาหรือยัง ต่อเมื่อได้ฟังแล้วจึงรู้ เมื่อฟังแต่ละคำของพระสัมมาสัมเจ้าพุทธก็จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่มขึ้น จะเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น จนกระทั่งเข้าใจที่พระองค์ตรัสไว้ซึ่งเปลี่ยนไ่ม่ได้เลย
ธรรมทั้งหลายไม่เว้น ทุกอย่างเป็นอนัตตา ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใคร แล้วก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครด้วย และสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ใครจะรู้หรือไม่รู้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์แจ้งความจริงว่า สิ่งนั้นดับ เกิดและก็ดับ และการดับไปของจิตขณะก่อนเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดได้ ถ้าจิตขณะก่อนยังไม่ดับ จิตขณะต่อไปเกิดไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น แต่ละคนจึงมีจิตเดียวทีละหนึ่งขณะ ซึ่งไม่เที่ยง จะซ้อนกันสองขณะไม่ได้
เพราะฉะนั้น ขณะเห็นต้องดับไปก่อน จิตที่ได้ยินจึงเกิดขึ้น และจิตอื่นๆ อีกมาก ซึ่งทรงแสดงไว้ว่าจิตมีประเภทต่างกันเป็น ๘๙ ประเภท แสดงให้เห็นว่าไม่มีเรา แต่เป็นจิตทั้งนั้นที่กำลังอยู่ตรงนี้ เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง คิดบ้าง ดีบ้าง ชั่วบ้าง เพราะเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง เริ่มรู้จักพระพุทธศาสนาหรือยัง ถ้าไม่ได้เข้าใจอย่างนี้ก็ไม่ใช่พระพุทธศาสนา
ผู้ฟัง เคยได้ยินแต่คำว่าสังขารก็คือ ร่างกาย รูปร่างของเรานี้ อาจารย์ช่วยอธิบายคำว่าสังขาร
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เริ่มเข้าใจแล้วใช่ไหมว่า พุทธศาสนาที่ไม่รู้จัก เพราะไม่รู้จักคำว่าสังขาร เดี๋ยวนี้เห็นไหม
ผู้ฟัง เห็น
ท่านอาจารย์ เห็นเกิดหรือเปล่า
ผู้ฟัง เกิด
ท่านอาจารย์ เห็นเกิดโดยไม่มีตาได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ไม่มีสิ่งกระทบตาได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เห็น เป็นสังขารธรรม หมายความว่าอาศัยปัจจัย สภาพธรรมอื่นที่ทำให้เห็นเกิดขึ้น ไม่ว่าธรรมใดๆ ก็ตามที่เกิดทั้งหมด จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดมีปรากฏจะต้องมีธรรมที่ปรุงแต่ง สนับสนุน เกื้อกูล เป็นที่อาศัยให้สภาพธรรมนั้นเกิดขึ้น จะเกิดเองไม่ได้เลย ยกตัวอย่างเช่น เห็นกับได้ยิน เป็นต้น แม้แต่คิด เราก็คิดถึงเรื่องที่เราเห็น เรื่องที่เราได้ยิน จะไปคิดเรื่องที่ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นแม้ความคิด ก็ต้องเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย
ดังนั้นการศึกษาธรรมต้องเข้าใจว่า การตรัสรู้ เป็นการตรัสรู้ความจริงถึงที่สุด เปลี่ยนไม่ได้เลยไม่ว่าอะไรทั้งสิ้น ต้องศึกษาจนมีความเข้าใจที่มั่นคงว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงของทุกอย่าง ซึ่งไม่เคยรู้มาก่อนเลย มีทุกวัน แต่ไม่เคยรู้ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงให้รู้ว่า สิ่งนั้นคืออะไร เกิดขึ้นแล้วก็หมดไป เพราะฉะนั้นสังขารธรรมทั้งหลาย ก็คือสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ เพราะเกิดขึ้น และก็ดับไป เป็นเราหรือเปล่า หรือ เป็นธรรม
ผู้ฟัง เป็นธรรม
ท่านอาจารย์ มีเราไหม หรือว่ามีธรรม
ผู้ฟัง มีธรรม ไม่มีเรา
ท่านอาจารย์ เริ่มเข้าใจใช่ไหม แต่บางคนเริ่มงงหรือเปล่า เคยเป็นเรามาตลอด และบอกว่าไม่มีเรา แต่มีสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งๆ รวมกันแล้วก็เข้าใจว่าเป็นเรา ถ้าร่างกายเดี๋ยวนี้ตัดแขน ตัดขา ตัดหัว ตัดคอ ออกหมด แล้วเราอยู่ไหน ไม่มีใช่ไหม แต่เมื่อรวมกัน เรา มีคอ มีหัว มีแขน มีขา มีทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อรวมกันไม่กระจัดกระจายไป
แต่จากการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้สิ่งนั้นยังไม่กระจัดกระจายไป แต่ความเป็นจริงก็คือแต่ละหนึ่งเกิดและดับ ยิ่งกว่าการกระจัดกระจายไหม เพราะแม้ว่าจะกระจัดกระจายไปละเอียดสักเท่าไหร่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสรู้ว่า สิ่งที่เล็กที่สุดที่เป็นรูปธรรม คือสภาพที่ไม่รู้อะไร แข็งบ้าง เย็นบ้าง พวกนี้ แตกย่อยออกไปแล้ว ก็ยังมีรูปอื่นรวมอยู่ด้วยอีก ๗ รูป แต่ละรูปเกิดดับ
เพราะฉะนั้น คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ต้องมีตัวเราไปทำอะไร แต่ว่าความเข้าใจขึ้น ความเข้าใจขึ้น ค่อยๆ ละความไม่รู้ จนกระทั่งสภาพธรรมที่เกิดสืบต่อกัน แยกออกจากกันได้ อย่างเห็นกับได้ยินขณะนี้ หมดหนทางแยก ใช่ไหม เหมือนพร้อมกัน อะไรเกิดก่อน อะไรเกิดหลัง
แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์แจ้ง สิ่งที่เกิดและดับสืบต่อ แม้ว่าขณะนี้กำลังเป็นอย่างนี้ ก็รู้ความจริงถึงที่สุดว่า ไม่ใช่เราเลย แต่ทุกอย่างที่มีเป็นธรรมแต่ละหนึ่งๆ ๆ ซึ่งทรงแสดงลักษณะของธรรมนั้นให้เห็นจริงๆ ว่าไม่ใช่เรา เพราะเห็นต้องเกิด ไม่มีใครไปทำ เกิดแล้วก็ดับไป แต่ไม่รู้ ก็คิดว่ายังเห็นอยู่ จึงเข้าใจว่าเป็นเราเห็น แต่เห็นดับแน่นอน เกิดขึ้นและดับ เพราะขณะนี้เหมือนกับว่าได้ยินด้วยใช่ไหม แต่ได้ยินไม่ใช่เห็น จะเกิดพร้อมกันไม่ได้ ทั้งสองอย่างนี้ทรงแสดงไว้ว่าเกิดห่างกัน โดยที่เราไม่รู้เลยว่ามีสภาพรู้ซึ่งเกิดคั่นอยู่มาก ไม่ปรากฏ เดี๋ยวนี้ก็มีสภาพรู้ไม่ใช่เรา แต่เหมือนอยู่ใต้มหาสมุทร ยังไม่ประจักษ์ ยังไม่เห็น ยังไม่รู้ตามความเป็นจริง แต่อาศัยการฟังธรรมก็เริ่มรู้ว่า คำว่าไม่มีเรา แน่นอน แต่อะไรที่มี คือมีธรรม ไม่ใช่เรา
ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีเราหมดเลย เมื่อมีเราก็มีของเรา แล้วก็คิดว่าอยู่ในอำนาจบังคับบัญชาได้ แต่ถ้าฟังแล้ว เมื่อไม่มีเราจะไปบังคับบัญชาอะไร เพราะไม่มีใครจะไปบังคับบัญชาได้ และก็ไม่ใช่ของเราด้วย เมื่อไม่มีเราแล้วจะมีของเราได้อย่างไร แต่ก็หลงเข้าใจว่ามีเรา และมีของเรา ถูกหรือผิด ต้องเริ่มเข้าใจว่าอะไรถูก อะไรผิด มิฉะนั้นจะไม่สามารถเข้าใจพระธรรมได้เลย ต้องเป็นผู้ที่ตรง ถูกคือถูก ผิดคือผิด
ผู้ฟัง เมื่อครู่ที่อาจารย์กล่าว มีอยู่คำหนึ่งคือ สภาพรู้ คืออะไร อาจารย์ช่วยอธิบายโดยละเอียด
ท่านอาจารย์ สิ่งที่มีจริง มีแน่ๆ ใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้มีไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้มีอะไร
ผู้ฟัง มีได้ยิน
ท่านอาจารย์ ได้ยิน เเล้วมีเสียงไหม
ผู้ฟัง มีเสียง
ท่านอาจารย์ ถ้ามีได้ยิน ไม่มีเสียงได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เพราะ ได้ยินเสียง ถูกต้องไหม
ผู้ฟัง ถูก
ท่านอาจารย์ แต่เสียงไม่ใช่ได้ยิน ใช่ไหม
ผู้ฟังม ใช่
ท่านอาจารย์ ทุกเสียงที่เกิดมาเป็นเสียง รู้อะไรหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่รู้
ท่านอาจารย์ แต่ได้ยิน รู้เสียงว่า มีเสียงนั้นแน่ๆ เพราะกำลังได้ยินเสียงนั้น เพราะได้ยินเสียงนั้นจึงรู้ว่ามีเสียงนั้น
ผู้ฟัง คือ เป็นสภาพรู้
ท่านอาจารย์ ได้ยินขณะนี้ ตั้งแต่เกิดจนตายเป็นเราได้ยิน แต่ความจริงก็คือว่า ได้ยินไม่ใช่เสียง ดังนั้น ๒ อย่างต่างกันอย่างไร ต่างกันที่อย่างหนึ่งไม่รู้อะไรเลย แต่อีกอย่างหนึ่งได้ยิน ก็ต้องเป็นสภาพรู้ว่าเสียงเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นมีธรรม ๒ อย่าง ไม่ว่าจะหลากหลายอย่างไรก็ตามแต่ สามารถที่จะจำแนกเป็นประเภท ธรรมประเภทหนึ่ง จะเป็นแข็ง จะเป็นหวาน จะเป็นเสียง จะเป็นอะไรก็ตามแต่ ไม่รู้อะไร แต่มีจริงๆ สภาพธรรมที่มีจริงแต่ไม่รู้อะไร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติว่า เป็น รูปธรรม สิ่งที่มีจริงเป็นธรรม เมื่อไม่ใช่สภาพรู้ก็เป็นรูปธรรม แต่คนไทยไปใช้ในความหมายอื่น
ซึ่งถ้าศึกษาธรรมแล้วก็จะรู้ว่า เราเอาคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้มาพูด แต่ว่าไม่ตรง ทำให้เข้าใจผิด ถ้าศึกษาธรรมก็จะรู้ตามความเป็นจริงว่า แต่ละคำหมายความถึงธรรมอะไร เพราะฉะนั้น รูปธรรม ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ไม่เปลี่ยนเลย อะไรก็ตามที่เกิดมีจริงๆ แต่ไม่รู้อะไร ทั้งหมดนั้นไม่ใช่เรา ไม่ใช่อะไรทั้งสิ้น แต่เป็นสภาพหนึ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น โดยไม่รู้อะไร เป็นรูปธรรม ต่อไปนี้พูดคำว่ารูปธรรมก็รู้ ไม่ต้องอธิบายกันอีกว่าหมายความถึงอะไร แต่ว่ายังไม่พอ ยกตัวอย่างอีก อะไรเป็นรูปธรรม จะได้รู้แน่ๆ ว่าเข้าใจถูกต้อง
ผู้ฟัง รูปธรรมเป็นสภาพที่ไม่รู้อะไร
ท่านอาจารย์ อะไรบ้างที่เป็นรูปธรรม
ผู้ฟัง อย่างที่อาจารย์บอก คือเสียง
ท่านอาจารย์ เสียง คนอื่นเห็นด้วยไหม เสียงไม่รู้อะไร แต่มีจริง เพราะฉะนั้นภาษาบาลีก็ใช้คำว่า รู ปะ ธรรมะ หรือรูปธรรม
ผู้ฟัง มีเย็น
ท่านอาจารย์ เย็นมีจริงไหม
ผู้ฟัง มีจริง
ท่านอาจารย์ มองเห็นเย็นไหม
ผู้ฟัง มองไม่เห็น
ท่านอาจารย์ มองเห็นเสียงไหม ไม่เห็น แต่มี ใช่ไหม รู้เย็นได้ทางไหน
ผู้ฟัง ทางกาย
ท่านอาจารย์ ทางกาย กระทบกายเมื่อไหร่จึงจะมีความรู้สึกในสภาพที่เย็น เพราะฉะนั้น เย็นมีจริง เป็นธรรมหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็น
ท่านอาจารย์ เป็นธรรมประเภทไหน
ผู้ฟัง รูปธรรม
ท่านอาจารย์ รูปธรรม รู้ในความเย็นนั้นมีจริงไหม
ผู้ฟัง มีจริง
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นสภาพรู้ ซึ่งไม่ใช่เย็นมีจริง ใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ กำลังรู้เย็น เป็นธรรมหรือเปล่าที่รู้ เป็นธรรมประเภทไหน
ผู้ฟัง เป็นสภาพรู้
ท่านอาจารย์ เป็นสภาพรู้ ซึ่งภาษาบาลีจะใช้คำว่านามธรรม เพราะฉะนั้นจะมี ๒ อย่าง สภาพไม่รู้เป็นรูปธรรม สภาพรู้เป็นนามธรรม เดี๋ยวนี้มีคนไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ มีคนหรือ? เป็นธรรมหรือเปล่า ถ้าไม่มีธรรมจะมีที่เราว่าเป็นคนไหม แต่เพราะไม่รู้ว่าเป็นธรรมก็จำว่าเป็นคน แต่ความจริงเป็นธรรม เพราะถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย คนก็ไม่มี เพราะฉะนั้นคือธรรมที่เกิด แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม แต่รวมกันเข้าใจว่าเป็นคน อะไรๆ ที่เกิดรวมกันก็เข้าใจว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด
ตอนนี้เริ่มชัดเจนไหม พระพุทธศาสนาที่ไม่เคยรู้จัก แต่เมื่อได้ฟังแล้วก็เริ่มรู้จัก เป็นพระพุทธศาสนาที่ได้รู้จักเมื่อได้ฟังแล้วเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจก็ยังไม่รู้จัก เข้าใจเมื่อไหร่จึงรู้จักเมื่อนั้น แค่นี้พอไหม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา ถ้าแค่นี้พอ ไม่ต้องแสดง ๔๕ พรรษา แต่ว่าแค่นี้ยังไม่พอ ยังมีอีกมากที่จะทำให้เข้าใจ จนกระทั่งสามารถที่จะเป็นสัจจญาณ สัจจะคือความจริง ญาณคือการเข้าใจความจริงไม่เปลี่ยนว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นธรรม ซึ่งเป็นนามธรรมหรือรูปธรรม จะเป็น ๒ อย่างพร้อมกันได้ไหม ให้นามธรรมเป็นรูปธรรมด้วยได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ไม่ได้ เพราะสภาพรู้จะไปไม่รู้ได้อย่างไร และให้รูปธรรมเป็นนามธรรมได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ก็ไม่ได้ เพราะเมื่อไม่รู้แล้วจะให้รู้ได้อย่างไร นี่คือไม่ใช่ให้ต้องไปเคร่งเครียดอะไร แต่ว่าฟังธรรมแล้วเริ่มรู้จักความจริง เริ่มรู้ว่ามีผู้ที่ประจักษ์แจ้งความจริง มีผู้ที่ทรงพระมหากรุณาให้คนอื่นได้รู้ด้วย มิฉะนั้นก็อยู่ในความมืดตลอด ทุกชาติเหมือนเกิดมาเป็นเรา สนุกสนานทุกวัน อาหารอร่อยบ้าง อะไรทุกข์สุขบ้าง แล้วก็หมดไปเป็นชาติหนึ่ง ไม่เหลืออะไรเลย โดยไม่มีความเข้าใจอะไรทั้งสิ้น แต่ก็เป็นอย่างนี้ทุกชาติมานานแสนนาน และก็จะเป็นต่อไป ถ้าไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้องก็ไม่สามารถที่จะรู้ความจริง จนกระทั่งสามารถที่จะละความไม่รู้ได้
อ.อรรณพ ผมคิดว่าเราคงได้ยินคำสอนอย่างนี้ว่า ไม่มีตัวเรา ของเรา แล้วถ้าไม่มีตัวเรา ไม่มีของเรา แล้วมีอะไร
ผู้ฟัง มีธาตุทั้ง ๔
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้มีธาตุทั้ง ๔ ไหม
ผู้ฟัง คิดว่ามี
ท่านอาจารย์ อะไรบ้าง พอจะบอกได้ไหม
ผู้ฟัง มีทั้งธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้อยู่ไหน
ผู้ฟัง ธาตุดิน ตามความเข้าใจคิดว่า ที่เป็นรูปร่างของคนได้ประกอบด้วย อาหารการกินที่เรารับประทานเข้าไป ก็เข้าไปเป็นธาตุอยู่ในร่างกาย คือธาตุดิน ธาตุน้ำก็คือ น้ำที่ดื่มเข้าไป ธาตุลมก็คือลมหายใจเข้าออก แล้วก็ธาตุไฟก็คือ พลังงานในร่างกาย เข้าใจตามนี้
ท่านอาจารย์ นั่นก็คือ พระพุทธศาสนาที่เราไม่รู้จัก เพราะเราคิดเอง ใช่ไหม
ผู้ฟัง ที่ไม่รู้จักใช่ไหม
ท่านอาจารย์ ที่ไม่รู้จักมาก ดีที่ได้ฟังแล้วก็จะได้รู้จักว่า คำไหนเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำว่าธาตุ เป็นสิ่งที่มีลักษณะที่ใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้ สิ่งนั้นทรงไว้ซึ่งสภาพของตน เพราะฉะนั้น ทุกอย่างที่มีจริงที่เราบอกว่าเป็นธรรม เป็นธาตุหรือเปล่า การฟังธรรมเพื่อเข้าใจจริงๆ ไม่สงสัย เพราะว่ามีความเข้าใจเพิ่มขึ้น
เรารู้จักคำว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริง ไม่ว่าอะไรก็ตามที่มีจริง ภาษาบาลีใช้คำว่าธรรม ทุกอย่างที่มีจริง เกิดขึ้นจึงมี ถ้าไม่เกิดจะมีได้อย่างไร เพราะฉะนั้นสิ่งที่กำลังมี ต้องเกิด ไม่มีใครไปทำให้เกิด แต่มีปัจจัยที่อาศัยปรุงแต่งทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ถ้าฟังอย่างนี้แล้วความเข้าใจนี้จะคลาดเคลื่อนไม่ได้ ทุกคำต้องเริ่มตรงและจริงยิ่งขึ้น
ธรรมคือสิ่งที่มีจริง มีเมื่อเกิดขึ้น เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เรียกอะไรก็ได้ ธา ตุ หรือธาตุ คือสิ่งที่มีลักษณะทรงไว้ซึ่งสภาพของตน ไม่เปลี่ยนแปลง ธรรมแต่ละหนึ่งก็มีลักษณะของธรรมแต่ละหนึ่ง เปลี่ยนไม่ได้ เห็นจะเป็นได้ยินไม่ได้ โลภ ความติดข้องจะเป็นโกรธไม่ได้
เพราะฉะนั้นต่างกันหลากหลายมาก เป็นธรรมที่มีจริงแต่ละหนึ่ง คือความเข้าใจต้องมั่นคงจริงๆ ไม่อย่างนั้นเมื่อได้ยินแล้วเราเเค่จำคำ ไม่ได้คิด แต่ว่าถ้าคิดว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริง เกิดขึ้น เป็นลักษณะนั้นซึ่งใครก็เปลี่ยนไม่ได้ และคำว่าธาตุ ก็หมายความถึงสิ่งที่มีจริง ทรงไว้ซึ่งสภาพของตน เปลี่ยนเป็นอื่นไม่ได้เลย แข็งต้องเป็นแข็ง เพราะฉะนั้น ธรรมเป็นธาตุหรือเปล่า
ผู้ฟั เป็น
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจะใช้คำว่าธรรม หมายความถึงสิ่งที่มีจริง และสิ่งที่มีจริงมีลักษณะของตน ของตน เป็นธาตุแต่ละหนึ่ง ซึ่งจะใช้คำว่าธรรมก็ได้ จะใช้คำว่าธาตุก็ได้ เมื่อหมายความถึงสิ่งที่มีจริงๆ แล้วไม่เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นเลย ธาตุดินเป็นธรรมหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็น
ท่านอาจารย์ ต้องมั่นคง ธาตุดินเป็นธรรม ธาตุดินทำไมเป็นธาตุดิน เป็นอื่นไม่ได้นอกจากเป็นธาตุดิน เพราะอะไร
ผู้ฟัง เพราะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น
ท่านอาจารย์ เพราะเปลี่ยนธาตุดินให้เป็นอื่นไม่ได้เลย ธรรมทั้งหมดไม่ว่าอะไร เป็นธาตุทั้งหมด แต่ว่าทรงเพิ่มความหมายให้มั่นคงว่า สิ่งที่มีจริงนั้นมีลักษณะเป็นหนึ่งจริงๆ ใครก็เปลี่ยนลักษณะนั้นให้เป็นอื่นไม่ได้ โดยมีคำว่าธาตุหรือ ธา ตุ เพราะฉะนั้นเห็นขณะนี้มีจริงไหม มีจริง ภาษาไทยบอกว่าเห็น ภาษาบาลีจักขุ แปลว่าตา วิญญาณ แปลว่ารู้ สภาพรู้มีหลายอย่าง ไม่ใช่มีแต่เห็นอย่างเดียว สภาพที่กำลังเห็นนี้ เป็นหนึ่งของสภาพรู้ ซึ่งจะเกิดได้ต่อเมื่อมีตา เพราะฉะนั้นจึงเป็นจักขุวิญญาณ เป็นธาตุหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็น
ท่านอาจารย์ ตา มีจริงใช่ไหม ตา เป็นธาตุหรือเปล่า เป็นธาตุ จึงมีคำว่า จักขุธาตุ ถ้าศึกษาไปจะได้ยินคำว่า ธาตุ ๑๘ ประมวลมาซึ่งสิ่งที่มีจริงทั้งหมดแต่ละทาง เป็นประเภทที่จะทำให้เข้าใจได้หมดเลยว่า คำสอนของสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมด ประมวลแล้วก็อยู่ในประเภทต่างๆ แล้วแต่ว่าจะทรงแสดงโดยนัยของธาตุ ก็ประมวลธรรมที่มีทั้งหมดเป็นธาตุ
เพราะฉะนั้น ตา เป็นธาตุหรือเปล่า เป็นจักขุธาตุ สิ่งที่กระทบตา เดี๋ยวนี้ที่กำลังปรากฏมีจริงๆ จะไม่จริงได้อย่างไร ก็เห็น เมื่อเห็นก็แสดงว่าสิ่งที่ถูกเห็น ต้องมีแน่นอน และสิ่งที่ถูกเห็น เปลี่ยนเป็นอื่นไม่ได้เลย เปลี่ยนเป็นเสียง เปลี่ยนเป็นแข็ง เปลี่ยนเป็นอะไรไม่ได้ เป็นเฉพาะสิ่งที่กระทบตา แล้วจิตเห็นเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่กำลังกระทบตาอยู่ ถ้าไม่กระทบตาเมื่อไหร่จะไม่ปรากฏ เห็นเกิดไม่ได้เลย ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่ปรากฏให้เห็น เป็นธาตุหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็น
ท่านอาจารย์ เป็นธาตุ ภาษาบาลีก็จะใช้ว่าวัณณธาตุ สีสันวัณณะต่างๆ ที่เราใช้ และภาษาบาลี สิ่งที่ปรากฏให้รู้ได้ทางตาก็มีจริงๆ เป็นวัณณธาตุ เพราะฉะนั้นตาก็เป็นธาตุ จักขุธาตุ สิ่งที่กระทบตาก็เป็นวัณณธาตุ เป็นรูปธาตุ และเห็นก็เป็นธาตุด้วย แต่เป็นนามธาตุ คือเป็นจักขุวิญญาณธาตุ ธาตุทั้งหมดมี ๑๘ ใช่ไหม ได้ ๓ แล้ว
ต่อไปก็จะละเอียดขึ้น แต่คิดเองไม่ได้เลย คิดเองจะผิด เพราะว่าความละเอียดมีมาก แต่ว่าเท่าที่พอจะเข้าใจได้ เริ่มเข้าใจและเริ่มไตร่ตรองก็คือว่า ๓ ธาตุ ใน ๑๘ ธาตุ ไม่เปลี่ยน เริ่มรู้จักแล้ว จะเห็นได้ว่าการที่จะศึกษาธรรมคือเพื่อเข้าใจ ไม่ใช่ไปท่องจำว่าธาตุ ๑๘ มีอะไรบ้าง ไม่มีประโยชน์ เพราะว่าไม่ได้เข้าใจ แต่เดี๋ยวนี้รู้ว่าทำไมเป็นธาตุ คือไม่ใช่เรา
คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมด ประมวลไปสู่ความเห็นที่ถูกต้องว่า สิ่งที่มีแต่ละหนึ่งเกิดขึ้นจึงมี เมื่อเกิดเป็นอย่างนั้นแล้วเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไม่ได้ เป็นอย่างนั้นแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก เพราะฉะนั้นจึงมีคำว่าอนัตตา ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ที่เคยเข้าใจว่าเป็นเรา ก็ไม่ใช่เรา เพราะอัตตาคือสิ่งหนึ่งสิ่งใด อนัตตา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด ถ้าเป็นเรา ก็เป็นตัวเรา เป็นหนึ่งเเล้ว แต่ความจริงไม่ใช่เลย เห็นเป็นเห็น ได้ยินเป็นได้ยิน คิดเป็นคิด เราอยู่ไหน ถ้าไม่เกิดสิ่งต่างๆ เหล่านี้ก็ไม่มีเรา เเต่เมื่อมีสิ่งต่างๆ เหล่านี้เกิดขึ้นก็ไม่เห็นความดับไป ไม่ประจักษ์ความไม่เที่ยง จนกว่าจะเจ็บ จะตาย จะแก่เมื่อไหร่ เปลี่ยนแปลงเมื่อไหร่ ก็คิดว่าไม่เที่ยงเมื่อนั้น
แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระปัญญาที่ไม่มีใครเปรียบได้เลย ด้วยเหตุนี้จึงทรงประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไป ของสิ่งที่ดูจะเสมือนไม่ได้ดับไปเลย เช่น เห็นขณะนี้เหมือนไม่ดับ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าเห็นดับ แล้วเห็นก็เกิดอีก ตามเหตุตามปัจจัย แล้วก็ดับอีก ระหว่างเห็นหนึ่งขณะ กับเห็นหนึ่งขณะ คนไม่รู้ก็คิดว่าไม่มีอะไรคั่นอยู่ตรงกลาง
แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า จิตเห็น เป็นจิตประเภทหนึ่ง ธาตุรู้ประเภทหนึ่ง เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้ง จึงใช้คำว่าจิต เพราะฉะนั้นที่กำลังเห็นขณะนี้ เป็นจิตประเภทหนึ่ง กำลังได้ยินไม่ใช่เห็น โดยรู้แจ้งสิ่งที่เป็นเสียง ที่กำลังได้ยิน เพราะฉะนั้นก็เป็นจิตอีกประเภทหนึ่ง เป็นธาตุอีกประเภทหนึ่ง เพื่ออะไร เพื่อให้เข้าใจว่าไม่มีเรา ถูกไหม ถ้ายังเข้าใจว่ามีเราอยู่ ก็ไม่ได้เห็นคล้อยตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระองค์ตรัสว่า ไม่มีเรา เพราะว่าทรงแสดงความจริงของธรรมแต่ละหนึ่ง ให้เข้าใจชัดเจนขึ้น
เพราะฉะนั้น กว่าจะละความยึดมั่นว่าเป็นเรา ก็จะต้องมีความเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้แต่ละหนึ่งชัดเจนขึ้นๆ ประจักษ์แจ้งเมื่อไหร่ก็รู้ว่า จะเป็นเราไปได้อย่างไร จากไม่เห็น ก็เกิดเห็น แล้วเห็นก็ดับไป ได้ยินยังไม่เกิด ก็เกิดได้ยิน และได้ยินก็ดับไป
เพราะฉะนั้นทุกอย่างเป็นอย่างนี้ เกิดดับรวดเร็วสุดที่จะประมาณได้ สัตว์โลกซึ่งไม่มีปัญญาที่จะประจักษ์การเกิดดับ ก็หลงเข้าใจผิดยึดถือว่าไม่มีอะไรดับไปเลย จนกว่าจะจากโลกนี้ไปเมื่อไร ก็ตายเมื่อนั้น ไม่มีเมื่อนั้น แต่ความจริงไม่มีทุกขณะ เมื่อเกิดขึ้นแล้วต้องดับไป จากไม่มี ก็มีแสนสั้น และก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก แต่มีอย่างใหม่เกิดขึ้น จึงลวงให้เห็นว่าเที่ยง มีอยู่ตลอดเวลา ไม่ปรากฏว่าอะไรเกิดดับเลย นี่คือผู้ที่ไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงไม่เข้าใจว่าขณะนี้กำลังเกิดดับ
แต่ผู้ที่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์แจ้งการเกิดจริงๆ ดับจริงๆ เพราะทรงแสดงธรรมที่พระองค์ได้ตรัสรู้ซึ่งเปลี่ยนไม่ได้ เพราะฉะนั้น วันหนึ่ง จากการเริ่มเข้าใจธรรม ก็สามารถจะประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรมได้ แต่ต้องเข้าใจขึ้นๆ ทีละเล็กทีละน้อย
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1381
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1382
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1383
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1384
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1385
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1386
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1387
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1388
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1389
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1390
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1391
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1392
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1393
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1394
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1395
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1396
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1397
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1398
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1399
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1400
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1401
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1402
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1403
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1404
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1405
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1406
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1407
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1408
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1409
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1410
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1411
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1412
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1413
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1414
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1415
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1416
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1417
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1418
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1419
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1420
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1421
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1422
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1423
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1424
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1425
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1426
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1427
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1428
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1429
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1430
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1431
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1432
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1433
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1434
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1435
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1436
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1437
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1438
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1439
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1440
