ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1327


    ตอนที่ ๑๓๒๗

    สนทนาธรรม ที่ กนกรัตน์ รีสอร์ท อัมพวา จ.สมุทรสงคราม

    วันที่ ๑๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๑


    ท่านอาจารย์ เราก็มีความชัดเจนขึ้นว่าไม่ผิด เพราะเหตุว่าเราไม่รู้เราจึงเข้าใจผิดอย่างคำว่าวิตก คนไทยใช้คำว่าวิตก มีไหม อะไรมีก็ต้องมี จะบอกว่าไม่มีได้อย่างไร ก็ต้องเป็นคนตรงทุกคำ วิตกคนไทยคิดว่ากังวล แต่ว่าหาเป็นเช่นนั้นไม่ ภาษาบาลี วิตกกเจตสิก เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ซึ่งไม่ใช่จิตแต่เกิดพร้อมจิต สหชาตปัจจัย เกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน เป็นสภาพรู้ด้วยกัน แต่ว่าทำกิจของตนๆ ซึ่งจิตมีกิจเดียว เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ ดอกไม้มีกี่สี จิตรู้แจ้งทีละสี ทีละ ๑ ชมพูแก่ก็มี ชมพูอ่อนก็มี เหลืองมากก็มี เหลืองน้อยก็มี จิตเป็นสภาพที่รู้แจ้ง จิตไม่ทำอะไรเลย ไม่ได้รักไม่ได้ชังเลย แค่รู้ชัดเจน ฟ้ากับน้ำ สามารถจะรู้ได้ เพชรแท้เพชรเทียม ก็เห็น แจ้งในอาการนั้น ทุกคนเห็นเหมือนกัน แต่ความจำและความเข้าใจ และความคุ้นเคยไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้นเห็นด้วยกัน แต่คนหนึ่งรู้ว่านี่เก๊ นี่เพชรเทียม อีกคนหนึ่งไม่รู้ ใช่ไหม แต่เห็นต้องเห็นเหมือนกัน นี่ก็คือแยกลักษณะของจิตเป็นสภาพที่รู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ ถ้าจิตไม่เกิด ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ ไม่มีสิ่งที่มีชีวิตใดๆ เลยทั้งสิ้น แต่พอเกิด แล้วก็เกิดมาพร้อมกับรูปร่างหลากหลายต่างกัน ซึ่งใครทำ ทำไมรูปร่างไม่เหมือนกัน เป็นนก เป็นหนู เป็นตุ๊กแก เป็นแมลงสาบ ผีเสื้อปีกยังไม่เหมือนกัน ใครทำ คนอื่นทำไม่ได้ใช่ไหม แต่เดี่ยวนี้กำลังคิดอย่างไร ปรุงแต่งจนกระทั่งไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าจากโลกนี้ไปแล้วจะเกิดแน่นอน เพราะมีปัจจัยที่จะต้องเกิด แต่รูปอะไรก็ไม่รู้เพราะยังไม่เกิด เกิดเมื่อไหร่ก็รู้เมื่อนั้น เพราะฉะนั้นนี่ก็เป็นสิ่งซึ่งฟังให้เข้าใจก่อนอื่นว่าเป็นธรรม จะพ้นจากความเป็นธรรมไม่ได้เลยแต่ว่าพอเข้าใจมากขึ้นๆ ๆ ก็ทุกอย่างเป็นธรรม

    เดี๋ยวนี้กำลังจำหรือเปล่า จำก็เป็นธรรม เป็นจิตรึเปล่า ไม่ใช่ เป็นเจตสิก ๑ ใน ๕๒ ประเภท รวมถึงวิตกที่กล่าวถึงด้วย เป็นสภาพเจตสิกที่จรดในอารมณ์ อารมณ์คือสิ่งที่จิตรู้ อย่างเราบอกว่าอารมณ์ ภาษาบาลีก็ออกเสียงทุกตัวเป็นอารัมมณะ แต่ถ้าเราใช้ภาษาไทยจนชิน และเราไม่รู้ว่าภาษาบาลีออกเสียงว่าอย่างไร พูดอะไรเขาไม่รู้เรื่อง เพราะฉะนั้นทุกชาติต้องใช้ภาษาเดิม คือภาษาบาลี แล้วก็ต้องออกเสียงให้ถูกต้องด้วย เราถึงได้มีคำว่าจิต เป็นสภาพรู้ สิ่งที่ถูกรู้เป็นอารัมมณะ คนไทยใช้คำว่าอารมณ์แต่ก็ผิด เข้าใจว่าวันนี้อารมณ์ดี วันนี้อารมณ์ไม่ดี แต่อารมณ์หมายความถึงสิ่งที่จิตรู้เท่านั้น ขณะนี้มีอารมณ์ไหม อารมณ์ดีไหม หรือชอบ ชอบสิ่งที่ไม่ดีก็ได้ใช่ไหม แต่ธรรมตรง เปลี่ยนไม่ได้เลย ใครไม่สามารถที่จะบอกได้เลยว่าเดี๋ยวนี้จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์แน่นอน แต่อารมณ์ที่จิตรู้ดีหรือไม่ดีดับแล้ว จิตที่เห็นที่ได้ยินดับแล้ว แม้ว่าอารมณ์นั้นก็จะมีอยู่ยังไม่ดับไปพร้อมกับจิต เพราะว่ามีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ แปลว่ารูปๆ หนึ่งมีอายุยืนยาวกว่าจิต แต่สั้นมากเลย ๑๗ ขณะ แล้วก็ไม่ใช่ตัดสินด้วยความพอใจของใคร คนหนึ่งชอบอีกคนไม่ชอบ เพราะฉะนั้นบอกว่านี่อารมณ์ไม่ดี ไม่ได้ ใครจะชอบหรือไม่ชอบ สิ่งนั้นเกิดขึ้นต้องต่างกันเป็น ๒ อย่าง คือน่าพอใจอย่างหนึ่ง และไม่น่าพอใจอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งจะใช้ความคิดความพอใจของแต่ละคนตัดสินไม่ได้ แต่พอจะประมาณได้โดยส่วนใหญ่ ถ้าส่วนใหญ่ชอบก็หมายความว่าดีใช่ไหม แต่ก็คงจะแต่ละท้องถิ่น แต่ละประเทศอะไรก็แยกกันไป

    เมื่อไม่ใช่สิ่งที่จะรู้ได้ อยากรู้ไหม ไม่ใช่สิ่งที่จะรู้ได้ เพราะแค่เห็นยังไม่มีความชอบหรือไม่ชอบมาตัดสินเลย เห็นเกิดขึ้นเห็นสิ่งนั้นแล้ว ใครจะบอกได้ว่าดีหรือไม่ดี อยากรู้ไหม รู้ไม่ได้นี่แหละอยากรู้ไหม เห็นอวิชชาและกิเลสไหม รู้ไม่ได้ก็อยากรู้ เริ่มเห็นไหมว่าที่สะสมมา มากไปด้วยความไม่รู้ และความต้องการระดับไหน ขนาดฟังธรรมแท้ๆ เลย ความจริงแท้ๆ เลย รู้ไม่ได้แน่นอนยังอยากรู้ ความเป็นเรา และความไม่รู้มากแค่ไหน เพราะฉะนั้นกว่าจะถึงว่าทุกอย่าง ไม่เว้นเลยที่ปรากฏ ที่เกิดขึ้นสามารถที่จะรู้ว่าเป็นธรรมแต่ละหนึ่งซึ่งไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องไปหวังอะไรเลยทั้งสิ้น ฟังเข้าใจบุญเหลือหลายแล้วที่ได้เข้าใจ เพราะว่าฟังแล้วยากแค่ไหน กว่าจะถึงวันนี้ฟังกันมาเท่าไหร่ แต่ไม่เสียหายเลย เพราะว่าแต่ละหนึ่งมีค่า เท่ากับว่าแต่ละหนึ่งนาที เสี้ยววินาที อะไรก็ตามแต่ ที่เป็นฝ่ายดี เป็นฝ่ายกุศลมีค่ามาก เพราะว่าถ้าไม่มีขณะนั้นก็ไม่มีขณะนี้ เพราะฉะนั้นแต่ละหนึ่งขณะค่ามหาศาล อาจจะคิดว่าไม่เห็นมีอะไรเราก็รู้เท่าเก่า แต่ถ้าไม่มีแต่ละหนึ่งๆ ๆ ไปเรื่อยๆ จะถึงกาลที่สามารถเข้าใจขึ้นได้ไหม ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นแสดงให้เห็นว่าธรรมของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำเป็นเรื่องละ ไม่ต้องไปกระวนกระวายขวนขวายอยากจะรู้นั่น อยากจะเป็นนี่เลย ธรรมเท่านั้น เพราะฉะนั้นอยากรู้ไหม ถ้าอยาก เป็นธรรมหรือเปล่า ก็เป็น จนกว่าจะรู้ว่าไม่ใช่เรา ต่อไปอีกนานเท่าไหร่จนหมดจริงๆ ไม่สงสัยเลย โดยเฉพาะสภาพธรรมนั้นต้องปรากฏโดยความเป็นธรรม เวลานี้รวมกันหมดเลย อันไหนจะปรากฏจึงได้เริ่มเข้าใจว่าต้องมีธรรมที่เราเรียกกันทุกวันว่าสติ แต่ยังไม่รู้เลยว่าสติเป็นอย่างไร หวังจะมีสติ หวังจะทำสติ แต่ไม่รู้จักสติ ก็ไม่มีทาง ก็ยังคงเป็นเรา ถึงมีสติก็เป็นเรา เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่เข้าใจเพิ่มขึ้นเท่านั้นเอง

    ผู้ฟัง ตอนนี้ไม่อยากทำอะไรเลย อยากฟังแต่พระธรรม ฟังอาจารย์บอกว่าให้ฟังไปเรื่อยๆ ก็จะรู้ว่าเป็นการเพียรผิดหรือเพียรถูก

    ท่านอาจารย์ เพียงฟังอย่างนี้สามารถที่จะรู้จักเพียรได้ไหม ซึ่งกำลังมีเดี๋ยวนี้ แสดงให้เห็นว่าความเข้าใจเราต้องละเอียด ได้ยินคำมากมาย เพียงฟังแค่นี้จะรู้จักเพียร สภาพเพียรได้ไหม ไม่ต้องไปคิดหรอกว่าถูกหรือผิด เพียงแค่จะรู้ลักษณะรู้ได้ไหม เห็นไหมแค่ว่าธรรมไม่ใช่เป็นเรื่องชื่อ ได้ยินชื่อ วิตก วิริยะ แล้วอยู่ไหน บอกว่ากำลังมีก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นไม่ใช่ปัญญาขั้นที่สามารถรู้ได้ เพราะฉะนั้นฟังธรรมเพื่อเข้าใจ และปัญญาคือสภาพธรรมที่เข้าใจก็ทำหน้าที่เดี๋ยวนี้เลย ค่อยๆ พิจารณาค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ สะสม จนกระทั่งสามารถเข้าใจขึ้น ไม่มีเราที่จะไปคิดว่าจะรู้เพียรได้อย่างไร

    อ.ธิดารัตน์ ความเพียรที่เป็นไปกับโลภะที่มีกำลัง ก็อาจจะเทียบเคียงได้ว่าก็มีลักษณะของความเพียร แต่เพียงแต่ว่าเป็นอกุศล

    ท่านอาจารย์ แล้วเมื่อไหร่จะรู้

    อ.ธิดารัตน์ ก็ต้องเข้าใจขึ้น

    ท่านอาจารย์ รู้เดี๋ยวนี้ได้ไหม

    อ.ธิดารัตน์ ต้องเป็นปัญญาถึงจะรู้

    ท่านอาจารย์ ให้ทราบว่าเดี๋ยวนี้กำลังเรียกชื่อ ถูกต้องไหม มีธรรมทุกอย่าง วิริยเจตสิกก็มี วิตกเจตสิกก็มี อะไรๆ ก็มี กำลังเรียกชื่อ ตัวจริงอยู่ไหน รู้ว่ามีแต่ไม่รู้ว่าอยู่ไหน และไหนเป็นไหนด้วย เพราะเหตุไม่ใช่ปัญญาระดับที่จะเริ่มถึงเฉพาะลักษณะหนึ่ง ลักษณะเดียว ถ้ารวมๆ กันอย่างนี้ไม่มีทางรู้ชัดเลย ปนกันหมดแล้วใช่ไหม แต่ถ้าจะรู้แต่ละหนึ่งจริงๆ ซึ่งจิตเป็นจิต และก็จิตก็มีหลากหลายประเภทด้วย ไม่ใช่มีจิตเดียว เห็นก็เป็นจิตหนึ่ง ได้ยินก็เป็นจิตหนึ่ง คิดก็เป็นจิตหนึ่ง และยังเจตสิกอีก ๕๒ ประเภท เรียกชื่อได้หมดหรือเกือบหมดก็ตามแต่ แต่ว่าอยู่ไหน กำลังเรียกชื่อ กำลังฟังชื่อ ขณะที่สภาพทั้งหมดมีกำลังเกิดดับ เพราะฉะนั้นก็ต้องรู้ว่าปัญญามีหลายขั้น ขั้นฟังเข้าใจว่าทั้งหมด ไม่ว่าจะเพียรก็ไม่ใช่เรา คิดก็ไม่ใช่เรา เห็นก็ไม่ใช่เรา โกรธก็ไม่ใช่เรา เอาขั้นต้นนี้ก่อนได้ไหม ที่จะรู้ว่าเป็นสิ่งที่มีจริง พอโกรธเกิดขึ้นหาทางไม่โกรธ แล้วจะรู้ได้ไหมว่านั่นเป็นสิ่งที่มีจริง กำลังแสดงความจริง ลักษณะนี้มีจริงๆ และก็ไม่มีใครสามารถบังคับบัญชาได้ ให้เกิดก็ไม่ได้ เกิดแล้วไม่ให้หมดไปก็ไม่ได้ เข้าใจอย่างนี้จะดีกว่าไหม คือค่อยๆ รู้จักแต่ละหนึ่งซึ่งปรากฎ

    อย่างโลภะเรียกชื่อมากเลย แต่กำลังรับประทานอาหารอร่อย โลภะอยู่ไหน เรียกชื่อแล้วหมดแล้ว แต่อยู่ไหน อยู่ที่ไหน ที่อาหารอร่อย หรือว่าอยู่ที่ไหน เพราะฉะนั้นไม่ใช่ให้เราเรียกชื่อ แต่ให้รู้ว่ามีธรรม ซึ่งยังไม่ได้ปรากฏแต่ละหนึ่งให้รู้ได้ เพราะฉะนั้นเราจะไปพยายามรู้ความเพียร ว่าเพียรเป็นกุศลหรืออกุศล นั่งคิด แต่ว่าขณะนั้นวิริยเจตสิกดับไปพร้อมกับจิตที่คิด แล้วจะรู้วิริยะไหน ไปหาวิริยะไหน เพราะฉะนั้นหนทางเดียวคือเข้าใจ ต้องรู้ความสำคัญของสภาพธรรมที่ไม่เข้าใจกับเข้าใจว่าต่างกันมาก แล้วเราก็จะมีความเป็นเรา อยากจะรู้ตรงนั้นอยากจะรู้ตรงนี้ โดยลืมว่าไม่ใช่เรา การที่รู้ว่าไม่ใช่เรา เปิดทางให้สภาพธรรมปรากฏ แต่ความเป็นเราปกปิดทันที จะปรากฎได้อย่างไรในเมื่อเข้าใจว่าเป็นเรา จนกว่าฟังแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้นในความเป็นอนัตตา คอยวันไหมว่าเมื่อไหร่ตอนเช้าดี หรือว่าตอนเช้าเข้าใจมากเดี๋ยวตอนบ่ายจะได้รู้ ก็ไม่ใช่ โดยความเป็นอนัตตาคือไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา นั่นถูกต้อง แต่ถ้าไปพยายาม นั่นผิด เพราะเป็นเรา เดี๋ยวนี้มีวิริยะใช่ไหม เกิดดับพร้อมจิตเลย ไหนไม่รู้หรอก เรียกชื่อ

    อ.ธิดารัตน์ หมายถึงว่าเวลาที่อยากรู้ ก็เพียรแล้วด้วยความอยากรู้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นฟังธรรมละเอียดคือเข้าใจ แล้วก็มั่นคงว่าอนัตตา ไม่ต้องคำอื่นเลย ธรรมสิ่งที่มีจริงนี่แหละไม่ใช่เรา ไม่อย่างนั้นก็เราเพียร แต่พอรู้ไม่ใช่เรา ลักษณะของความเพียรที่ไม่ใช่เราจึงจะปรากฎได้

    ผู้ฟัง หลังจากที่เข้าไปปฏิบัติธรรมมา ไปนั่งสมาธิก็ปลื้มปิติมาก ไปอยู่ได้โดยที่ปิดวาจาเป็น ๑๐ วัน ตอนนั้นก็เหมือนกับว่าได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะกลับมาที่นี่อีก แล้วก็จะมาเหมือนเป็นพี่เลี้ยง ตั้งใจไว้คือเหมือนพูดคำนั้นไว้ แล้วด้วยอะไรก็ตามที่ทำให้ได้มาฟังที่บ้านธัมมะ ไม่สบายใจว่าการที่เราให้คำมั่นสัญญา หรือกลัวว่าจะทำผิด

    ท่านอาจารย์ สัญญากับโจร ต้องไปปล้นเขาแน่ๆ เพราะว่าให้สัญญาไว้แล้วว่าจะทำอย่างนั้นเหรอ หรือสัญญาที่จะฟังธรรม คือสามารถที่จะรู้ว่าอะไรเป็นประโยชน์ไม่มีใครสามารถที่จะนำโทษมาให้เราได้ นอกจากตนเองใช่ไหม เราสัญญาว่าจะไปปล้นกับเขา เขาไม่ไปแต่เราปล้น ผลจะเกิดกับใคร ก็กับเราที่ปล้น กับคนที่เราสัญญาแต่เขาไม่ได้ไปปล้น เพราะฉะนั้นทุกอย่างต้องอยู่ที่เหตุผล เพราะฉะนั้นตอนที่ไม่รู้เราก็สัญญาเยอะแยะก็ได้ ที่เป็นโทษโดยไม่รู้ แต่เมื่อสามารถที่จะเข้าใจถูกได้ว่านั่นคือสัญญาที่เป็นโทษ แล้วเรายังจะตามสัญญาที่เป็นโทษหรือ หรือรู้ว่าสัญญาที่ไม่เป็นโทษมี ก็สามารถที่จะเลือกได้ว่าจะสัญญาอย่างไหน และสัญญาที่เป็นโทษใครนอกจากความไม่รู้กับความเป็นตัวตน แต่เมื่อมีความรู้ความเป็นตัวตนว่าไม่ใช่เรา นั่นเป็นความเห็นผิด พอรู้ว่าเป็นความเห็นผิดจะเดือดร้อนไหม ที่จะทิ้งความเห็นผิด จะไปเก็บความเห็นผิดไว้ทำไม ในเมื่อรู้ว่าสิ่งนั้นผิด เพราะฉะนั้นปัญญาก็ทำกิจของปัญญา ปัญญาไม่ไปในทางที่ผิดเลย แต่อย่าลืมเราไปปล้นเราจะทำตามสัญญา แต่คนที่เราให้สัญญาเขาไม่ปล้น แล้วเขาก็ให้เราไปสัญญาอยู่เรื่อยๆ โดยเขาไม่ได้ทำ หรือเขาจะทำนั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ต้องรู้ว่าไม่มีเรา แต่มีความเห็นผิด และความเห็นผิดเก็บไว้ทำไม ไปสัญญาอะไรไว้กับความไม่ดี ที่จะต้องทำความไม่ดี

    ผู้ฟัง ตอนนั้นไปนึกถึงแต่คำว่าสัจจบารมี

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ประกอบด้วยปัญญาไม่ใช่บารมี ถ้าไปทางผิดจะเป็นบารมีไม่ได้ สัจจะคือตรงต่อความจริง ขณะนี้ไม่ใช่เรา ต้องตรงต่อความจริงว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่เราแล้วเป็นอะไร ก็เป็นธรรมแต่ละหนึ่งๆ เป็นทั้งนามธรรม และรูปธรรม ซึ่งทั้งหมดมีปัจจัยเกิดแล้วก็ดับ ไม่ใช่ของใคร ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร มีสิ่งที่เป็นประโยชน์ กุศล มีสิ่งที่เป็นโทษคืออกุศล ปัญญาสามารถที่จะเข้าใจถูกต้องว่าอะไรเป็นโทษ อะไรเป็นประโยชน์ และถ้ารู้แล้วปัญญาไม่ไปทำสิ่งที่เป็นโทษ ไม่ใช่เรา แต่เป็นปัญญาที่สามารถที่จะรู้ว่าไม่เป็นประโยชน์เลย ไปรักษาสัญญาอะไรอย่างนั้น สัญญาที่จะทำชั่ว แล้วก็ไปทำชั่วตามสัญญา นั่นไม่ถูกต้อง

    ผู้ฟัง ที่ใช้คำว่าไม่อยากทำอะไร แล้วก็อยากฟังแต่ธรรม เพื่อที่จะให้เกิดปัญญา หรือว่าให้เข้าใจถูก เห็นถูก ใช้คำนี้ได้ไหม

    ท่านอาจารย์ ไม่อยากได้ยิน หรือว่าไม่อยากทำอะไร แต่เห็น ยังอยากเห็นใช่ไหม ไม่อยากทำอะไร เป็นเราที่ไม่อยากทำอะไร แต่ว่าขณะนี้เห็น เป็นเราเห็นหรือเปล่า เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วใครก็ทำอะไรไม่ได้ แต่มีธรรมซึ่งเกิดขึ้นทำตลอดเวลา แต่ความเป็นเราไม่อยากทำอะไร เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องที่ละเอียดจริงๆ ถ้าเราเพียงแต่ฟังเผินๆ แก้ปัญหาไม่ได้ จะอยาก ไม่อยาก ก็อยากใช่ไหม ไม่ใช่ว่าไม่อยาก เพราะเหตุว่าไม่อยากนี่แต่อยากโน่น ก็ไม่ใช่ว่าไม่อยากทำอะไร เพราะฉะนั้นธรรมเป็นสิ่งซึ่งเราคิดเองไม่ได้ แต่ต้องค่อยๆ ไตร่ตรอง เพราะฉะนั้นเวลาฟังไม่ใช่ว่าฟังเพราะอยากเข้าใจ แต่ฟังเพราะลึกซึ้งอย่างยิ่ง ถ้าไม่อาศัยการฟังด้วยความเคารพที่จะเข้าใจในแต่ละคำ จะเข้าใจผิดหรือว่าหลงผิดไปเลย เช่น ไม่อยากจะทำอะไร ความจริงไม่มีเราที่จะทำ แต่มีธรรมที่เกิดขึ้น ไม่ให้เกิดไม่ได้ ไม่ให้ทำไม่ได้ เห็นเกิดขึ้นทำกิจเห็น ได้ยินเกิดขึ้นทำกิจได้ยิน จะห้ามธรรมไม่ให้เกิดขึ้นทำกิจการงานไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องของความเข้าใจในความไม่ใช่เรา นี่สำคัญที่สุด เพราะว่าฟังแล้วจะเป็นเราอยากอย่างนั้น ไม่อยากอย่างนี้ ก็ยังคงเป็นเราอยู่ แต่ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ ว่าไม่มีเรา แต่มีอะไร ก็มีเห็น เพราะฉะนั้นจะต้องมีความเข้าใจให้ถูกต้องโดยการฟัง และพิจารณาไตร่ตรองว่าทำเห็นไม่ได้ อยากหรือไม่อยาก เห็นก็เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ค่อยๆ เข้าใจธรรม เพราะว่าอย่างไรๆ ก็เป็นเรา จนกว่าจะถึงความเป็นพระโสดาบัน เห็นความละเอียดของธรรมไหม อยากฟังธรรมตลอดเวลา จะฟังธรรมตลอดเวลา ก็เป็นชั่วขณะที่คิดอย่างนั้นเอง

    ผู้ฟัง ธรรมพระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าความเพียรในศาสนานี้คืออย่างไร ที่จะเป็นความเพียรที่ถูกต้องในศาสนา

    ท่านอาจารย์ พระพุทธเจ้าคือใคร

    ผู้ฟัง ผู้ที่บำเพ็ญบารมี และตรัสรู้ได้ด้วยตนเอง

    ท่านอาจารย์ เป็นผู้ที่ทรงตรัสรู้ เพราะฉะนั้นทุกคำของพระองค์มาจากการตรัสรู้ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นพระองค์ตรัสว่าอย่างไร เพื่อรู้ใช่ไหม

    ผู้ฟัง เพื่อรู้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเพียรเพื่อรู้ทำอย่างไร

    ผู้ฟัง ก็ต้องเริ่มจากการฟังธรรมที่ถูกต้อง

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ก็ต้องฟังนั่นแหละเพียร พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกให้ไปทำอะไรโดยไม่เข้าใจ และก็ไม่มีเราด้วย ธรรมทั้งหมดแม้แต่ปฏิบัติก็เป็นธรรม ไม่ใช่เรา

    ผู้ฟัง การฟังนี่คือการเพียรในพุทธศาสนา

    ท่านอาจารย์ ให้เข้าใจ สำคัญที่สุด ยกแต่ความเพียร แล้วเพียรทำอะไรกันเพียรไปนั่งเข้าใจอะไร แล้วเพียรเข้าใจอะไรที่ว่าจะเพียร จะเพียรเข้าใจอะไร

    ผู้ฟัง เพียรที่จะเป็นตัวเราที่จะละอกุศลความไม่ดีต่างๆ

    ท่านอาจารย์ เพียรเพื่อเป็นตัวเรา ไม่ต้องเพียรเป็นอยู่แล้ว ไปเพียรทำไมอีกให้เป็นตัวเรา

    ผู้ฟัง ถ้าเราฟังธรรมไม่ดี ไม่ศึกษาสามารถเข้าใจทีละคำ แม้แต่ความเพียรเราก็เข้าใจผิด

    ท่านอาจารย์ เพราะไม่รู้ความลึกซึ้งของแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าต้องฟังด้วยความเคารพในความจริง ในเหตุในผล ไม่ใช่เราคิดเอง เพราะฉะนั้นฟังอะไรถ้าไม่เป็นไปเพื่อที่จะเข้าใจสิ่งที่มี ก็ไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้แต่เพียร ไปเพียรทำอะไรกัน เพราะฉะนั้นต้องไม่ลืม ถ้าไม่เป็นปกติ ไม่ใช่ปัญญาที่เข้าใจธรรม

    ผู้ฟัง ถ้ารู้ว่าทุกสิ่งเป็นธรรม การที่เราพาตัวเองมาสนทนาธรรม เพราะว่าธรรมที่ไม่ใช่เราพาเรามา เป็นไปได้ไหม

    ท่านอาจารย์ คือการฟังธรรมกว่าเราจะเข้าใจจริงๆ เพราะไม่เคยเข้าใจ และก็สะสมความไม่รู้มานาน ทุกอย่างเป็นธรรม พูดแล้วต้องตรงตามนั้น

    ผู้ฟัง ก็ด้วยความมั่นคงตรงนี้ เชื่อว่าที่มานี่คือไม่ใช่เพราะเรา แต่มาเพราะธรรม

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรมอะไร ก็คือจิต เจตสิก รูป ต้องรู้ ทรงแสดงไว้หมด ไม่ใช่ว่าไม่มีธรรม ไม่มีเราแต่มีธรรม เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรม เพราะฉะนั้นคำนี้ตลอด ตั้งแต่แรกฟังจนกระทั่งถึงที่สุด เปลี่ยนไม่ได้เลย ใครพามาใครมา ก็ต้องจิต เจตสิก รูป ค่อยๆ ฟังค่อยๆ เข้าใจ การที่จะละความเป็นเราไม่ง่าย ไม่เร็ว เพราะว่าสะสมความไม่รู้มานาน แต่ความเป็นผู้ตรง และการรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยการฟัง แล้วก็รู้ว่านี่เป็นคำของพระองค์ แต่ถ้าเป็นคำของคนอื่นไม่ใช่ และเราหลงจะไปฟังคำอื่น ไม่ได้ฟังคำของพระพุทธเจ้า ก็ต้องรู้ว่าคำไหนเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พูดถึงสิ่งที่มีให้เข้าใจตามความเป็นจริง จนกว่าจะรู้ตามลำดับขั้นของความเข้าใจ ต้องไม่ลืม ฟังธรรมเพื่อเข้าใจใช่ไหม ทำไมต้องเข้าใจ

    อ.อรรณพ ก็คือว่าก็เพราะไม่เข้าใจ จึงต้องฟังให้เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ และอีกอย่างถ้าเปลี่ยนคำถามก็ได้ เข้าใจไปทำไม ถ้าคนที่ไม่รู้ก็ตอบไม่ถูกใช่ไหม ฟังธรรมเพื่อเข้าใจ เพราะกำลังไม่เข้าใจสิ่งที่มี และมีธรรมเท่านั้นที่สามารถที่จะทำให้เข้าใจได้ รู้หรือยังว่าคนที่ไม่ได้ฟังธรรม ไม่ได้เข้าใจสิ่งที่กำลังมี แล้วก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจด้วยตัวเอง ต้องฟังคำของผู้ที่ทรงตรัสรู้ ฟังธรรมเพื่อเข้าใจ แล้วเข้าใจไปทำไม คนที่ช่างไม่รู้เรื่อง ก็ไม่เห็นประโยชน์เลย ทำไมถึงต้องเข้าใจ เข้าใจไปทำไม ก็เพื่อที่จะละความไม่รู้ ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดกิเลสทั้งหมดเลย ชอบไหมกิเลส อยากมีไหม มากๆ ดีไหม มีแต่ว่าทำอย่างไรจะหมดกิเลส ไม่มีความสามารถด้วยตนเอง เพราะว่าถ้าเป็นตัวตนก็คือกิเลส เพราะกิเลสไปละกิเลสไม่ได้ แต่เมื่อมีความเข้าใจเมื่อไหร่ ความเข้าใจนั้นก็ค่อยๆ ละความไม่รู้ ซึ่งเป็นเหตุที่จะให้เกิดความติดข้อง และกิเลสทั้งหมด

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 189
    30 ก.ค. 2568