ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1321


    ตอนที่ ๑๓๒๑

    สนทนาธรรม ที่ บ้านทันตแพทย์หญิงวิภากร พงศ์วรานนท์

    วันที่ ๓๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๑


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้าจะเข้าใจต้องเข้าใจตั้งแต่คำแรก ทุกคำต้องชัดเจนทีละคำทีละคำ ใครก็ตามที่ฟังธรรมแล้ว บอกว่าไม่มีเรา แค่คำนี้ไม่ใช่พูดเล่นๆ แต่พูดจริงๆ ว่าไม่มีเรา เพราะฉะนั้นถ้าสามารถที่จะเข้าใจได้ ว่าไม่มีเรา จริงอย่างไร เพราะอะไร ก็เดี๋ยวนี้ อยู่ตรงนี้ แล้วเราอยู่ตรงไหน เพราะฉะนั้นถามกลับกัน มีเราไหม

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ถามว่ามีเราหรือไม่ ก็พอจะตอบได้ว่า ไม่มีเรา เพราะว่าเราไม่สามารถที่จะบังคับให้ตัวเราต้องไม่เจ็บ ต้องไม่ตาย ต้องไม่ป่วย เพราะฉะนั้นเมื่อถามว่าเรามีตัวตนจริงไหม เราถึงตอบว่าไม่จริง เพราะเราไม่สามารถบังคับตัวเราเองได้

    ท่านอาจารย์ ก่อนที่จะได้ฟังมีเราแน่นอน จริงหรือเปล่า จริงใช่ไหม ก่อนฟังธรรม มีเราแน่นอน แต่ฟังแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น ถ้ามีคนบอกว่าไม่มีเรา ก็ต้องสงสัย ก็มีเราที่นั่งอยู่ตรงนี้ ก่อนนั้นก็เป็นเรามาหมดเลย แล้วจะบอกว่าไม่มีเรา ไม่มีเราได้อย่างไร เพราะฉะนั้นถามกลับถ้าว่ามีเรา ตรงไหนเป็นเรา

    ผู้ฟัง ร่างกายเป็นตัวเราใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ลองกระทบสัมผัส ตรงไหนเป็นร่างกาย

    ผู้ฟัง ทั้งหมด

    ท่านอาจารย์ ทีละหนึ่งได้ไหม ตรงไหนเป็นร่างกาย

    ผู้ฟัง ตรงนี้อธิบายไม่ถูก

    ท่านอาจารย์ ตรงนี้เลย ตรงไหนมีร่างกายทั้งตัว ลองชี้มาเป็นจุดๆ

    ผู้ฟัง ที่ใจ

    ท่านอาจารย์ ใจไม่ใช่ร่างกาย ใจเป็นสภาพรู้ ร่างกายไม่รู้อะไร แต่ก็ (ยึดถือว่า) เป็นเรา ใจก็เป็นเรา ร่างกายก็เป็นเรา เข้าใจว่าใจเป็นเรา ร่างกายเป็นเราใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ แต่พิจารณาทีละอย่าง เริ่มจากร่างกายก่อน ตรงไหนของร่างกายที่เป็นเรา

    ผู้ฟัง แขน ขา นี่ไม่ใช่เราหรือ

    ท่านอาจารย์ แขน ลองกระทบแขน แขนเป็นอย่างไร มีจริงๆ ใช่ไหมตรงนั้น ใช่ที่กระทบ

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ อะไรปรากฏ เย็นหรือร้อน

    ผู้ฟัง เย็นหรือร้อน

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเย็นหรือร้อน เป็นเย็นร้อนเท่านั้น ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหน เย็นก็ต้องเป็นเย็น ร้อนก็ต้องเป็นร้อน ในครัวนอกครัวที่บ้าน ที่โลก ที่ไหนก็ตาม ร้อนมีจริง เย็นมีจริง เพราะฉะนั้นร้อนกับเย็นที่มีจริง เป็นเรา หรือเป็นร้อนเป็นเย็น เราไปคิดเอง เราไปจำไว้ตลอด แต่เราไม่ได้รู้ความจริงว่า แท้ที่จริงที่เราหลงว่าเป็นเรา ความจริงแท้ๆ คืออะไร และเป็นเราจริงๆ หรือเปล่า เพราะไม่ใช่เพียงแต่บอกว่าไม่ใช่เราง่ายๆ ให้คนเชื่อ แต่ให้คนคิด และก็ไตร่ตรอง จนกระทั่งค่อยๆ รู้ความจริง ซึ่งยากแสนยากที่จะละความเป็นเราได้ เพราะว่าเคยเป็นเรามานาน แต่ถ้าค่อยๆ ฟัง พอจับตรงไหนที่ตัว ก็ร้อนหรือเย็นใช่ไหม หรืออ่อนแข็ง แสดงว่าตรงนั้นมีสิ่งที่มีจริงๆ แน่นอน เย็นก็ต้องเป็นเย็น เย็นเป็นแข็งได้ไหม ก็ไม่ได้

    เพราะฉะนั้นเย็นเป็นเย็น แข็งเป็นแข็งเป็นเราหรือเปล่า ต้องตรง ว่าธรรมเป็นธรรม สิ่งที่มีจริงเปลี่ยนไม่ได้ ใครจะให้เปลี่ยนแข็ง ให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย แข็งก็ต้องเป็นแข็ง ใครจะเปลี่ยนเย็นให้เป็นอื่นไม่ได้ เย็นก็ต้องเป็นเย็น ไม่ว่าตรงไหน เกิดแล้วเป็นอย่างนั้น เป็นอื่นไม่ได้ เพราะฉะนั้นที่ว่าตัวเรา ความจริงคือเย็นหรือร้อนใช่ไหม ทั้งวันเย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็งตรงนี้ที่เป็นเรา แต่เย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็งของคนอื่น ไม่คิดว่าเป็นเรา เฉพาะตรงนี้ที่จำไว้นี่เรา เพราะไม่รู้ว่าแท้ที่จริงเย็นก็ต้องเป็นเย็น จะเอาเย็นมาเป็นเราได้อย่างไร แข็งก็ต้องเป็นแข็ง จะเอาแข็งมาเป็นเราได้อย่างไร เริ่มตรงต่อความจริง ที่ว่าเป็นเราเพราะไม่รู้ สิ่งที่ปรากฏที่ตัวนี่กระทบจับเมื่อไหร่ เป็นผม เป็นคิ้ว เป็นปาก เป็นตา แต่ไม่รู้ว่าเป็นแข็ง นี่เริ่มแล้ว และถ้าเราไม่ได้พูดถึงเรา ไม่ได้พูดถึงความคิดของเรา ความจำของเรา แต่พูดถึงความจริง เรากำลังก็เริ่มไปสู่ความจริงแท้ ซึ่งจะค่อยๆ เห็นตามว่าไม่ใช่เราแน่นอน ต่อเมื่อได้ฟังมากกว่านี้ เข้าใจมากกว่านี้ แต่ก็นี่เพียงแต่เรื่องให้คิด ให้เป็นคนตรงก่อน ว่าเปลี่ยนแข็งให้เป็นอื่นไม่ได้ แข็งเป็นของใครก็ไม่ได้ แข็งจะเป็นอะไรก็ไม่ได้ แต่แข็งมี แล้วแข็งนี้แหละเกิดดับ ถ้าไม่เกิดไม่มีแข็ง ดับเพราะเหตุว่ามีการเปลี่ยน อย่างดอกไม้นี่ ตอนเช้าก็เป็นอย่างหนึ่ง ตอนเย็นก็เป็นอีกอย่างหนึ่งพรุ่งนี้ก็เหี่ยวแห้งไป อีกหลายๆ วันก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง ทั้งๆ ที่เดิมก็ไม่เป็นอย่างนี้ แต่มีแข็ง เพราะฉะนั้นแข็งก็เป็นแข็งใช่ไหม พรุ่งนี้ก็เป็นแข็ง ต่อๆ ไปเหี่ยวแห้งไปก็ยังเป็นแข็ง แต่การเกิดดับที่ค่อยๆ ทำให้สิ่งนี้เปลี่ยนรูปร่างสัณฐานที่ปรากฏ ทำให้เราไม่รู้ความจริงว่า แท้ที่จริงแล้วไม่มีอะไรที่คงที่ ถ้าแข็งคงที่ไม่เกิดดับเลย ไม่มีการเปลี่ยนแปลง พรุ่งนี้ หรืออีกกี่วัน กี่เดือน ก็ต้องเป็นอย่างนี้ถูกไหม แต่นี่เพราะสิ่งที่มีนี้ และเปลี่ยนแปลงโดยที่ว่าไม่มีใครสามารถที่จะประจักษ์แจ้งการเปลี่ยนแปลงได้ เพราะไม่ได้ปรากฏให้เห็นทางตาว่าเกิดดับ เพราะอะไร เพราะการเกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้

    เราเริ่มรู้จักว่าอะไรเป็นอะไรจากการฟังทีละคำ ถ้าอะไรที่เกิดแล้วดับช้าๆ พอรู้ได้ใช่ไหม แต่ถ้าเร็วมากสุดวิสัยเหมือนนักมายากล เขาเล่นกล เราก็เล่นไม่เป็น แต่ว่าทำไมเขาทำอย่างนั้นได้ ถ้าเขาทำช้าๆ เราก็รู้ได้ใช่ไหมว่าเขาทำอะไร แต่นี่เร็วจนใครก็จับไม่ได้ รู้ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นการเกิดดับของธรรมเร็วยิ่งกว่านั้น ไม่มีใครสามารถรู้เลย จนกว่าจะมีผู้ที่มีปัญญาเริ่มคิดถึงสิ่งที่มีว่า ทำไมไม่เหมือนเดิมใช่ไหม เพราะฉะนั้นต้องมีสิ่งที่มีจริง ความเป็นจริงของสิ่งนั้น ผู้นั้นคือผู้ข้องที่จะรู้ความจริง ภาษาบาลีจะใช้คำว่าโพธิสัตว์ สัตว์คือผู้ข้อง อย่างเรานี่เป็นสัตว์โลก ข้องอยู่ในโลก โลกมีอะไรเราก็สนใจข้องอยู่ในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ไม่ได้ข้องอย่างอื่นเลย ติดข้องอยู่นั่นแล้ว เมื่อไหร่จะเห็นดีๆ สวยๆ งามๆ เมื่อไหร่จะเสียงเพราะ เมื่อไหร่จะกลิ่นหอม ก็ติดข้องอยู่ แต่ว่าผู้ที่ติดข้องในการที่จะเข้าใจความจริงของสิ่งที่มี เป็นอีกท่านหนึ่งซึ่งหายากมาก เพราะฉะนั้นบำเพ็ญเพียรบารมีที่จะรู้ความจริงจนตรัสรู้ และทรงแสดงความจริงว่ารู้ยาก แต่รู้ได้ มีคนที่สามารถรู้ได้ จากคำที่ยากแสนยาก เมื่อค่อยๆ ฟังค่อยๆ เข้าใจขึ้น

    ด้วยเหตุนี้ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดจากพระมหากรุณาให้คนอื่นได้ฟังสิ่งซึ่งคนอื่นเขาพูดไม่ได้ เพราะไม่รู้อย่างนั้น เพราะฉะนั้นทุกคำที่พระองค์ตรัส มาจากการประจักษ์แจ้งความจริงของสิ่งซึ่งใครก็รู้ไม่ได้ เพื่อคนอื่นฟังแล้ว ค่อยๆ เข้าใจความจริง จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ความจริงนั้นได้ พ้นจากความไม่รู้ พ้นจากความหลง พ้นจากความลวง พ้นจากโลก เหมือนที่เป็นมายา เพราะว่าจำผิดมาตลอด เพราะว่าการเกิดดับของสภาพธรรมเร็วมาก เพราะฉะนั้นต้องฟัง แล้วไตร่ตรอง พอจะเป็นจริงอย่างนั้นไหม จริงอย่างนั้นหรือเปล่า ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะทุกอย่างไม่เที่ยง พอที่จะเป็นจริงเริ่มตั้งแต่เกิดแล้วต้องตาย มีใครไม่ตายบ้าง แต่พอเกิดแล้วต้องโตก่อนใช่ไหม แล้วตอนเด็กหายไปไหน เห็นไหม ถ้าสิ่งนั้นยังคงอยู่ก็ต้องมี จะโตไม่ได้ ก็ต้องเป็นอย่างนั้นไปเรื่อยๆ แต่เพราะเกิดดับสืบต่อ เปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมขึ้นเรื่อยๆ จากเหตุปัจจัย

    ซึ่งถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดง ใครก็จะรู้ไม่ได้เลยทั้งสิ้นว่าขณะนี้มีแต่สิ่งที่มีจริงๆ แข็งเป็นแข็ง เห็นเป็นเห็น คิดเป็นคิด จำเป็นจำ แต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งไม่ปะปนกันเลย เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เร็วสุดที่จะประมาณได้ แต่พอรวมกันแล้วก็เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ถ้าไม่ใช่สภาพรู้ ก็ไม่รู้อะไรเลย ก็เป็นแข็งอ่อน เย็นร้อน เป็นเสียง เป็นกลิ่น ใช้คำว่ารูปธรรม หมายความว่าสิ่งนั้นมีจริง ทุกอย่างที่มีจริงนี่ เปลี่ยนไม่ได้เป็นธรรม รวมไปเลย แทนที่จะพูดทีละหนึ่ง ทีละหนื่ง อะไรที่จริงก็เป็นธรรม คือสิ่งที่มีจริงทั้งนั้น และเป็นสิ่งซึ่งไม่ใช่ของใครด้วย ใครจะไปเป็นเจ้าของ ใครจะไปทำให้เกิดขึ้น ใครจะไม่ให้เปลี่ยนแปลง ก็เป็นไปไม่ได้ ไม่แก่ได้หรือ ใช่ไหม เห็นแล้วก็ไม่ให้หยุดเห็น แต่กลายเป็นได้ยิน เห็นไหมว่าคนละขณะกัน เมื่อได้ยินหมด ก็กลายเป็นคิดอีกแล้ว ขณะที่คิดก็ไม่ใช่ได้ยิน ไม่ใช่เห็น และชีวิตก็คือนี่แหละเกิดมาแล้วก็มีเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง ได้กลิ่นบ้าง ลิ้มรสบ้าง รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสบ้าง แล้วก็คิดนึกถึงสิ่งที่เห็นนั่นแหละ คิดนึกถึงสิ่งที่ได้ยินนั้น ทั้งวันใช่ไหม ไม่ได้ไปที่อื่นเลย อยู่ที่นี่ ที่เห็น ที่ได้ยินนี่แหละเรื่อยๆ แล้วก็คิดไปเรื่อยๆ เพราะถึงเวลาที่หลับสนิทหายไปไหนหมด บังคับให้ยังอยู่ได้ไหม ให้ยังปรากฏได้ไหม ก็ไม่ได้ เพราะจริงๆ ตอนหลับนี่เราเป็นใครก็ไม่รู้ มีเราหรือเปล่าก็ไม่รู้ เหมือนไม่มีอะไรเลย ถูกต้องไหม แต่หลับไม่ใช่ตาย

    เพราะฉะนั้นก็แสดงว่าต้องมีอะไรที่ไม่ใช่ตายแน่ ก็คือยังมีธาตุรู้สภาพรู้ เช่นการเห็นนี้ไม่ใช่ตา ซากศพก็มีแต่ตา มีรูปของตา แต่ไม่เห็น เพราะฉะนั้นเห็นเป็นอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเกิดที่ตา เหมือนคล้ายๆ ว่าเกิดจากตาเลยใช่ไหม แต่ความจริงก็คือว่าต้องมีสิ่งที่กระทบตา และก็สิ่งที่กระทบตาก็คือสิ่งที่ปรากฏให้เห็นทั้งวันนี่เองต้องกระทบตา ถ้าไม่กระทบตา จิตก็เกิดขึ้นเห็นไม่ได้ เพราะฉะนั้นเห็นนี่เป็นขณะที่กำลังเห็น และจะว่าอย่างไร เห็นก็คือรู้ว่าเดี๋ยวนี้มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นอย่างนี้ แต่ตัวเห็นจริงๆ กำลังเห็น ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นถามว่าเห็นไหม ตอบว่าเห็น จะไม่ตอบอย่างอื่นเลย ขณะที่กำลังเห็น ก็ต้องตอบว่าเห็น แต่เห็นก็คือเกิดขึ้น เมื่อมีสิ่งที่กระทบตา ถ้าไม่มีตาก็ไม่เห็นแล้วถึงแม้มีตาไม่มีสิ่งที่กระทบตา เห็นก็ไม่มี

    เพราะฉะนั้นแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง เป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ไม่ใช่ใครต่อใครที่เราไปไหว้ แต่ว่าไม่ได้ให้เราเข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น และเราก็ไม่รู้ว่าเหตุใดเราถึงได้ไปไหว้ เห็นไหว้ๆ กันมาแล้วก็ไหว้ๆ กันต่อไป แต่ถ้าฟังอย่างนี้แล้ว ใครเหมือนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบ้าง ทั้งเทวดา และพรหม ที่จะสามารถให้เราเข้าใจคำที่พระองค์ตรัส แค่คำนี่ แต่ละคำ แต่ละคำ ทำให้คนที่ได้ฟังเริ่มคิด เริ่มไตร่ตรอง เริ่มเข้าใจได้ แล้วทำไมเราไม่พูดคำอย่างพระองค์ ทุกคนก็พูดเป็นกันทั้งนั้น ทำไมไม่พูดให้เหมือนพระองค์ใช่ไหม เพราะว่า อะไรพูด ปัญญาความเข้าใจที่ถูกต้องทำให้สามารถที่จะกล่าวคำที่ถูกต้องให้คนอื่นรู้ความจริงที่ถูกต้องได้ แต่ถ้าคนไม่รู้อย่างนี้ เขาก็ให้เราไหว้เขา เขาจะนำโชคลาภมาให้ ใช่ไหม เขาพูดอย่างนั้นแต่เขาไม่ได้ให้เราเข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น แล้วจริงๆ แล้วนี่โชคคืออะไร ลาภคืออะไร อะไรนำมา ก็ไม่มีความรู้เลย มีแต่ความอยากด้วยความเป็นเรา ซึ่งความจริงแข็งเป็นเราหรือเปล่า ตอนนี้ขอคำตอบ

    ผู้ฟัง ไม่เป็น

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไร

    ผู้ฟัง แข็งก็คือแข็ง

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง นี่หมายความว่าต้องเป็นคนที่ตรง ถ้าไม่ตรง จะไม่ได้สาระจากพระธรรมเลย ใครจะเอาปัญญาของใครไปให้ใครก็ไม่ได้ แต่มีคำที่ฟังแล้วซึ่งเป็นคำจริง เพราะกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงโดยนัยประการต่างๆ ค่อยๆ ให้ เราเกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง ว่าใครก็เปลี่ยนแข็งไม่ได้ แข็งต้องเป็นแข็ง แข็งเป็นใครก็ไม่ได้ด้วย เพราะต้องเป็นแข็งเท่านั้น และแข็งก็เกิดดับด้วย แต่ยังไม่ประจักษ์การเกิดดับ เพราะว่าเร็วมาก รู้แต่ว่าต้องเกิด ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี แต่ขณะเกิดก็ไม่รู้ ใช่ไหม เหมือนทุกอย่างมีแล้ว ถามว่าใครทำให้เห็นเกิดได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ แต่เห็นมีแล้ว แสดงว่าไม่มีใครทำ ใครก็ทำไม่ได้ แต่มีปัจจัยที่จะทำให้เห็นเกิด กำลังได้ยินเสียง มีเห็นไหม กำลังได้ยิน เสียงปรากฏ ตอนเสียงมีปรากฏ มีสิ่งที่ปรากฏทางตาปรากฏไหม

    ผู้ฟัง ไม่ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ ไม่ปรากฏ ทีละอย่างใช่ไหม เพราะฉะนั้นเห็นเป็นเห็น ได้ยินเป็นได้ยิน ได้ยินต้องรู้เสียง ไม่ใช่กำลังเห็นทางตา คนละขณะ คนละธรรม คนละสิ่งที่มีจริง เหตุปัจจัยที่ให้เกิดก็ต่างกัน ไม่ใช่ให้ไปบอกเฉยๆ ว่าไม่ใช่เรา จบแล้วก็เชื่อ ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ว่าต้องให้ผู้นั้นเกิดปัญญาของตนเอง เดี๋ยวนี้กำลังเห็น ตัวเห็นเดี๋ยวนี้ มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นแน่ๆ หลับตาแล้วไม่มีเลย แต่พอลืมตาก็มีแล้ว สิ่งนี้ปรากฏเมื่อเห็น แต่พอถึงได้ยิน สิ่งนี้ไม่ได้ปรากฏกับเสียง เสียงเท่านั้นที่ปรากฏ เพราะฉะนั้นเวลาเสียงปรากฏ อย่างอื่นต้องไม่มี ไม่มีอะไรเลยนอกจากเสียง และเปลี่ยนเสียงให้เป็นอย่างอื่นได้ไหม เสียงต้องเป็นเสียง เสียงเป็นแข็งได้ไหม เสียงเป็นหวานได้ไหม เสียงมีจริงไหม เสียงเป็นเราหรือเปล่า เสียงเป็นเสียงของเรา หรือเสียงก็คือเสียง

    ผู้ฟัง เสียงก็คือเสียง

    ท่านอาจารย์ นี่คือเริ่มตรงใช่ไหม มั่นคงต่อความจริง นี่คือมั่นคงต่อความจริงว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงมากกว่านี้เท่าไหร่ นี่กี่คำ แต่ ๔๕ พรรษา คำจริงทุกคำหาที่อื่นอีกไม่ได้เลย ไม่มีใครสามารถที่จะกล่าวคำจริง ให้ค่อยๆ เข้าใจถูกต้องตามลำดับ เพราะฉะนั้นนับถือใคร มีใครเทียบได้ไหม เพราะเราหวังโชคลาภ ก็ไปขอคนอื่นใช่ไหม เข้าใจผิดว่าเขาเอามาให้ได้ แต่ความจริงไม่มีทาง ถ้ามีทางทุกคนไม่จนแค่ขอปุ๊บมาปั๊บ จะจนได้อย่างไร ใช่ไหม นี่ไม่ได้เป็นอย่างที่คิดเลยสักอย่างเดียว ไปหลงคิดเอง เชื่อเองหมดทุกอย่าง เพราะว่าไม่ได้ฟังคำที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ว่าสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งเกิดเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร และใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ด้วย เพราะฉะนั้นจะเคารพใคร ต้องเคารพคนที่ให้เข้าใจความจริงใช่ไหม เพราะถ้าไม่รู้ความจริงวันนี้ อีกนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ตายไปก็ไม่รู้ เกิดใหม่ก็ไม่รู้ ถ้าไม่ได้ฟังคำที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงให้รู้ความเป็นจริงของสิ่งนั้น

    เพราะฉะนั้นมีเราหรือเปล่า หรือว่ามีสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง อย่างเห็นนี่ถ้ายังไม่เกิดเห็นก็ไม่มีเห็น แต่ใครก็ไปทำเห็นไม่ได้เลย กำลังนั่งอยู่ตรงนี้ ไม่มีใครไปทำเห็น ก็เห็นอยู่ตลอดเวลา เพราะมีปัจจัยที่จะทำให้เห็นเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นเห็นก็เกิด แต่ที่ไม่รู้ก็คือว่าตอนเกิดก็ไม่รู้ ตอนดับก็ไม่รู้ รู้แต่ตอนไม่มีกับมีใช่ไหม อย่างเดี๋ยวนี้มีเห็น แต่ก็ไม่รู้ว่าต้องเกิดนะ ไม่เกิดก็ไม่มี และอะไรทำให้เกิดก็ไม่รู้ แสดงว่าความไม่รู้นี่มากมายมหาศาลไหม ทั้งวันนี่ไม่รู้เลย และเกิดมาแล้วกี่วัน ไม่รู้เท่าไหร่ เกิดมาแล้วกี่ชาติ ไม่รู้เท่าไหร่ เพราะฉะนั้นยากแสนยากที่จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น ต้องเป็นบุญความดีที่ทำไว้แต่ปางก่อน ไม่เช่นนั้นไม่มีโอกาสที่จะได้ฟังเลย และเวลาฟังแล้วความเข้าใจก็ยังต่างกัน คนที่ฟังมานานเหมือนคนที่ไปเข้าโรงเรียนก่อนใคร และก็เรียนมาตั้งหลายปีใช่ไหม ก็ต้องรู้มากกว่าคนที่เพิ่งไปเรียน เพราะฉะนั้นคนที่เขาฟังมานานแล้วเมื่อได้ฟังคำไม่กี่คำเข้าใจได้ สามารถที่จะรู้ความจริงได้ ถ้าเราเรียนก.ไก่ ไปเจอก.ไก่ ที่ไหนก็จำได้ใช่ไหม เมื่อไหร่ก็จำได้ อีก ๑๐ ปีก็ยังจำได้ อีก ๑๐๐ ปีก็ยังจำได้ ถ้าเรามีชีวิตอยู่ที่จะรู้ว่าเคยจำก.ไก่ไว้

    เพราะฉะนั้นธรรมที่มีที่เริ่มฟัง พอเข้าใจ และเข้าใจแล้ว ไม่ลืมเพราะเข้าใจ แต่ไม่ได้นึกถึงบ่อยๆ ได้ เพราะเหตุว่าเลือกที่จะให้อะไรเกิดขึ้นไม่ได้เลย ทุกคนกำลังจำคำที่ได้ฟัง ทีละคำ พอคำใหม่ก็จำใหม่ อีกคำหนึ่งก็จำอีก สะสมความจำไว้มาก แต่ว่าจะคิดถึงอะไรต้องเป็นสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่ง ไม่ใช่เราด้วย ที่บ้านมีเสื้อผ้ามากไหม มากกว่าที่กำลังใส่อยู่แน่ๆ เลยนะ แต่ต้องคิดใช่ไหม แต่พอเห็นจำได้ว่าของเรา แต่ถ้าไม่เห็น ไม่คิด ก็ไม่รู้ ไม่นึกถึงเลย

    เพราะฉะนั้นธรรมทั้งนั้นที่เกิด ที่มี ที่ปรากฏ แต่ถูกปกปิดไว้แนบสนิทด้วย ไม่มีใครรู้ ต่อเมื่อมีผู้รู้ เมื่อนั้นจึงเริ่มมีผู้ฟัง และก็เริ่มมีผู้รู้เพิ่มขึ้นๆ เมื่อ ๒,๕๐๐ กว่าปี ก็ยังมีผู้ที่ดำรงรักษาความเข้าใจ ความถูกต้องของคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว รักษาสืบทอดกันมาจนกระทั่งเราได้มีโอกาสได้ยินได้ฟัง ถ้าไม่มีการที่สืบทอดกันมาเลย จะเอาคำเหล่านี้มาแต่ไหนให้ได้เข้าใจ

    เพราะฉะนั้นเป็นสิ่งที่มีค่าสูงสุดใช่ไหม เพราะว่าทุกคนนี่ต้องจากโลกนี้ไป สมบัติทั้งหมดไม่ได้ตามไปเลย ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าที่ว่าเป็นร่างกายของเรา ก็ตามไปไม่ได้เลย ไม่มีอะไรที่จะติดตามไปได้ ความเป็นคนในชาตินี้สิ้นสุดหมายความว่าเป็นคนนี้ต่อไปอีกไม่ได้ แต่มีปัจจัยที่จะทำให้เกิดตามกรรมที่ได้ทำแล้ว แล้วแต่ว่าจะเป็นใครต่อไป ตอนนี้ยังไม่รู้ เกิดเมื่อไหร่ก็รู้ เหมือนจากชาติก่อน เคยเป็นใครก็ไม่รู้ ตายอย่างไรก็ไม่รู้ เกิดมาอย่างไรก็ไม่รู้ ทำอะไรก็ไม่รู้สักอย่าง จากโลกก่อนมาแล้วเหมือนประตูที่ปิดสนิทเลย มองเห็นไหมว่าข้างในมีอะไร เพราะฉะนั้นชาตินี้คือชาติก่อนของชาติหน้า ไม่ต้องถามใครใช่ไหม ชาติก่อนเป็นใครอย่างนี้ เป็นอย่างนี้ เห็นอย่างนี้ คิดอย่างนี้ฟังอย่างนี้ แต่พอถึงชาติหน้า จะจำไม่ได้เลยว่าเคยเป็นใคร เคยนั่งอยู่ตรงนี้ก็ไม่รู้ เคยฟังอย่างนี้ก็ไม่รู้ ทั้งหมดเป็นความจริง ซึ่งจะมีประโยชน์ เพราะเราต้องจากโลกนี้ไป แต่จะจากไปด้วยความหลง ด้วยความงมงาย ด้วยความไม่เข้าใจ ด้วยการหวังลาภ ซึ่งพอจากไปแล้วก็ไม่มีอะไรเลย เอาไปไม่ได้สักอย่าง

    แต่ความเข้าใจจะติดตามไปได้ทุกชาติ ฟังแล้ว พอถึงเวลาที่ได้ฟังต่อไปอีก ฟังต่อไปอีก อีก ๑๐ ปีจะเข้าใจได้มากกว่านี้มากขึ้น แล้วก็สะสมอยู่ในจิตแต่ละขณะ ไม่มีใครขโมยลักเอาไปได้เลย แดดลมไม่แตะต้อง ฝนไม่ถูก ไม่เปียก ไม่มีใครทำลายได้ เป็นตู้นิรภัยที่ไม่มีใครมาแตะต้องได้เลย แต่จิตเกิดดับสืบต่อทุกขณะ เพราะฉะนั้นความดีความชั่วที่เกิดแล้ว แม้ดับไปแล้ว แต่โดยการที่ได้เกิดแล้ว ก็ยังคงมีพืชเชื้อที่ยังไม่หมดไป เพราะเคยเกิดแล้ว ก็จะเป็นปัจจัยให้สิ่งนั้นที่เคยเกิด เกิดแล้ว เพราะฉะนั้นการสะสมของแต่ละคน จากการเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง คิดดี คิดร้ายบ้าง ต่อสิ่งต่างๆ ใครก็มาทำให้หายไปไม่ได้ สะสมสืบต่อหลากหลาย จนกระทั่งเกิดเป็นอะไร ก็ยังมีการสะสมสืบต่อมาอย่างนั้น ก็เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง รวมกันแล้วก็เข้าใจว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เป็นสิ่งนั้น นี่รวมกันแล้วก็เป็นอย่างนี้ใช่ไหม นี่รวมกันแล้วก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง แต่แยกออกไปได้หมดเลยไม่ว่าอะไร อากาศธาตุ ความว่างคั่นอยู่ สามารถที่จะแตกย่อยทำลายได้ ร่างกายทั้งหมด เห็นอย่างนี้ อากาศธาตุแทรกคั่นอยู่ แขนขาดเมื่อไหร่ก็ได้ใช่ไหม คอขาดเมื่อไหร่ก็ได้ได้หมดทุกอย่าง เพราะความจริงเป็นอย่างนี้ ไม่มีเรา แต่พอมารวมกันก็เข้าใจว่าเป็นเรา แต่เห็นเมื่อวานนี้หมดแล้ว ความสนุกสนานเมื่อวานนี้ก็หมดแล้ว รสอะไรอร่อยเมื่อเช้าก็ไม่เหลือแล้ว ไม่มีอะไรที่คงเหลืออยู่ได้เลยสักอย่างเดียว มีแต่ไปตลอด มาแล้วก็ไป มาแล้วก็ไป ก่อนเห็นมีเห็นไหม

    ผู้ฟัง ก่อนเห็น ก็ยังไม่เห็น

    ท่านอาจารย์ ยังไม่เห็น แปลว่าเห็นยังไม่เกิดขึ้น แล้วเห็นก็เกิดขึ้น แล้วหลังจากเห็นแล้วก็ไม่เห็น ขณะได้ยินนี่ ไม่เห็น ขณะหลับก็ไม่เห็น แล้วเห็นนั้นหายไปไหน ถ้าเป็นเรา ถ้าเห็นขณะนั้นเป็นเราจริงๆ เราหายไปไหน ตอนที่ไม่มีเห็น ค่อยๆ คิดถึงว่าต้องไม่ใช่เรา เพราะเห็นเกิด ใครไปยับยั้งไม่ให้เกิดไม่ได้ แล้วเห็นก็ดับ ใครไปยับยั้งไม่ให้ดับก็ไม่ได้ แต่เราหลงจำว่ามีเราเห็น เพราะฉะนั้นถึงแม้ไม่มีเห็น ก็มีเราคิด อะไรก็ตามที่มีก็เป็นเราไปหมดเลย ซ้อนแน่นสนิท จนหาทางที่จะเข้าใจว่าไม่ใช่เราก็ไม่ได้ เพราะไม่รู้แต่ ถ้าค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละหนึ่ง เริ่มเข้าใจถูกต้องว่าเมื่อครู่นี้ เห็นมี แล้วเห็นหายไปไหน ถ้าเห็นเป็นเรา เมื่อครู่นี้ก็ต้องไม่มีเรา

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 189
    17 ต.ค. 2567