ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1929
ตอนที่ ๑๙๒๙
สนทนาธรรม ระหว่างเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย
วันที่ ๑๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๗
ท่านอาจารย์ โดยที่กิจอื่นก็ยังทำได้ใช่ไหม ไม่ใช่ว่าต้องไม่ทำกิจนั้นๆ แล้วก็มาฟังพระธรรมอีกกิจหนึ่ง
อ.คำปั่น กราบเรียนอาจารย์อรรณพได้สนทนาเพิ่มเติมประโยคที่ท่านอาจารย์ได้สนทนา ว่าคณะที่มามีธาตุมากไหม ระหว่างธาตุกับธรรมมีอรรถ มีความหมายอย่างเดียวกันหรือไม่เพื่อความเข้าใจธรรมไม่ผ่านไปแต่ละคำ
อ.อรรณพ ทุกคนมีธาตุเหมือนกันหมด ก็ต้องเข้าใจก่อนว่าธาตุ ธา- ตุ หรือคำว่าธรรมก็คือสภาพที่มีลักษณะเป็นอย่างนั้นๆ จริงๆ
ธรรมคือความจริงเป็นแต่ละอย่างๆ ไป แข็งก็อย่างหนึ่ง เห็นก็อย่างหนึ่ง ได้ยินคืออย่างหนึ่ง คิดนึกก็อย่างหนึ่ง อกุศลก็อย่างหนึ่ง กุศลก็อย่างหนึ่ง อกุศลที่เป็นโลภะก็อย่างหนึ่ง โทสะก็อย่างหนึ่ง โมหะก็อย่างหนึ่ง แจกไปมากมายไปหมดเลย
เพราะฉะนั้น ที่ประชุมกันแล้วสมมุติว่าเป็นคนแต่ละคน ก็ต้องมีธาตุที่ต่างกัน เห็นเป็นธาตุเห็น เหมือนกันตอนเป็นธาตุเห็น แต่ก็ต่างกันในความคิด
เมื่อวานไปพระเชตวันมีฝนตก คิดไม่เหมือนกัน บางท่านก็คิดว่าอุตส่าห์ตั้งใจมาทั้งทีแล้วฝนตก
หรือก็คิดกลัวว่าเดี๋ยวจะเป็นหวัดไหม แต่ก็หลากหลายไปตามธาตุ เพราะฉะนั้น ความคิดนึกที่ต่างกันก็เป็นธาตุที่ต่างกัน
เพราะฉะนั้น ที่เราได้มีโอกาสศึกษาสนทนาเพื่อเข้าใจความจริงจะใช้คำว่าธรรม จะใช้คำว่าธาตุเพราะว่าเป็นตัวจริงๆ
เพราะฉะนั้น ความเข้าใจตรงนี้เป็นความเข้าใจที่ได้ฟังจากการตรัสรู้ ที่ยากยิ่งที่พระองค์ท่านได้แสดงธรรมพร่ำสอนมากที่สุดก็ที่พระวิหารเชตวัน ๑๙ พรรษาก็แสดงสิ่งเหล่านี้แหละ คือสิ่งต่างๆ ที่มีจริงซึ่งเป็นธาตุแต่ละอย่างๆ แล้ว ท่านอาจารย์บอกว่าฟังแล้วก็ลืมๆ
บางคนก็บอกว่าลืมแล้วก็ไม่ต้องฟัง แต่แสดงว่ายิ่งต้องฟัง ลืมก็เลยต้องฟังอีกๆ เพราะว่าเราจำในความเป็นสัตว์บุคคลตัวตนมามากไม่ได้จำในความเป็นธรรมมา เพราะฉะนั้น เดี๋ยวก็ลืมว่าเป็นธรรมใช่ไหม
ก็ต้องฟังไปๆ จนกระทั่งค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่มีจริง
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ก็ได้กล่าวเตือนว่า ลืมไปหรือเปล่าว่าเป็นธรรม ตรงนี้เป็นสิ่งที่ประทับใจ
คราวนี้ก็มีเหตุว่าเราทำไมมักลืมว่าเป็นธรรม ไม่มีความมั่นคงเลย ถึงแม้ว่าจะเป็น การเห็นได้ยิน หรือลิ้มรสอะไรต่างๆ มักจะลืมไปว่าสิ่งที่มันปรากฏ อย่างนี้มันเกิดอยู่แล้ว แต่ว่าเหตุใดจึงต้องมักลืม
ท่านอาจารย์ อนัตตาลืมแล้วเห็นไหม ถึงยังไงๆ เพียงแค่นี้ก็ลืมว่าอนัตตาหมายความว่าบังคับบัญชาไม่ได้ แต่ที่ยากกว่านั้น ลืมก็เป็นธรรม
เพราะฉะนั้น แต่ละอย่างที่มีจริง แทนที่เราจะข้ามไปอยากจำ อยากก็เป็นธรรม จำก็เป็นธรรมจนกระทั่งไม่เหลือเราเมื่อไร นั่นคือผู้มั่นคงในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าทรงแสดงธรรมเพื่อละความไม่รู้ และละความติดข้อง
เพราะว่าติดข้องในสิ่งที่ไม่มี แค่เกิดมีและก็หมดไปเพราะติดข้องมานานแสนนาน เพราะฉะนั้น จะละได้ก็ต่อไม่รู้ความจริงในขณะที่สิ่งนั้นกำลังปรากฏแล้วไม่ลืม แต่ลืม ต่อไปนี้ก็ไม่ต้องเดือดร้อนเลย ลืมมีจริงๆ เป็นธรรม ถ้านึกขึ้นได้ แต่ก็ยาก
เพราะฉะนั้น ไม่มีการกะเกณฑ์ว่าจะเข้าใจอะไรจะจำอะไรทั้งสิ้น ฟังแล้วจะเห็นความเป็นอนัตตา จะเห็นเพียงธรรมแต่ไม่รู้ว่าเป็นอนัตตาได้ไหม เป็นไปไม่ได้เลยเมื่อเป็นธรรมแล้วไม่ใช่เราไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด ลักษณะของสภาพธรรมนั้นไม่เปลี่ยน แข็งเป็นแข็ง เกิดเมื่อไหร่ก็เป็นแข็ง หวานเป็นหวาน เกิดเมื่อไหร่ไม่ใช่เค็ม
แต่ละอย่างๆ มีจริง ปรากฏอยู่แม้เดี๋ยวนี้ แต่ต้องฟังอีกนานจนกระทั่งแม้เดี๋ยวนี้ไม่ว่าจะลืมหรือจะจำก็เป็นธรรม จนกระทั่งตลอดชีวิตทั้งหมดไม่เหลือเลย ชาติไหนก็แล้วแต่แต่ว่าความจริงก็คือเป็นอย่างนั้น
ผู้ฟัง การเผลอ คืออะไร
ท่านอาจารย์ มีจริงๆ ไหมเมื่อกี้บอกว่าเผลอแล้วเผลอมีจริงหรือเปล่า
ผู้ฟัง มีจริง
ท่านอาจารย์ เป็นธรรม
ผู้ฟัง แล้วก็กลับมาเห็นจริงต่อไป
ท่านอาจารย์ เป็นธรรมอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่เผลอ
ผู้ฟัง แล้วเผลอนี้ ถือว่าเป็นการ ไม่ดีหรือไม่
ท่านอาจารย์ ไม่ดีเป็นธรรม คือไม่มีเราเลยจนกว่ามั่นคงจริงๆ ถ้าเรายังเลือก เรายังติด เรายังแสวงหาสิ่งหนึ่งสิ่งใด ขณะนั้นจะไม่รู้ว่าไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรม
ชอบต้องการ เป็นธรรมหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็น
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น อยากจะไม่ลืม อยากเป็นธรรมหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็นทุกขณะ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เป็นทุกขณะจนกว่าไม่หวั่นไหว ลืมก็หมดแล้ว เห็นไม่ใช่ลืม จำไม่ใช่ลืม คิดไม่ใช่ลืมเป็นแต่ละหนึ่งจริงๆ จนกว่า หมดความสงสัย ในคำที่ได้ยินว่าทุกอย่างเป็นธรรม
ผู้ฟัง อย่างเช่นว่าเราเริ่มที่จะดูธรรม เราก็จะตามไปทุกขณะจิตที่เราทำ แต่บางครั้งเราจะมารู้อีกทีว่า เมื่อสักครู่เราเผลอไปมากเชียว แล้วเรากลับมาดูใหม่
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ธรรมต้องละเอียดมาก
เริ่มประโยคแรกว่า เช่นเราดูธรรมใช่ไหม ดูธรรมนั้นดูอย่างไร
ผู้ฟัง ดูอิริยาบถต่างๆ ที่เราทำหรือว่าดูอะไรที่มากระทบจิตกระทบใจเรา
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ขณะนั้นเราไม่รู้เลย อิริยาบถคืออะไร เพราะฉะนั้น การที่จะเป็นผู้ที่ฟังพระธรรมเข้าใจเมื่อไร นั่นแสดงให้รู้ว่าเราได้ฟังสิ่งซึ่งมีจริงๆ เช่นได้ยินคำว่าอิริยาบถคืออะไร
ปลอดภัยที่สุด ไม่ว่าใครจะพูดคือถามเขาว่าคืออะไร ไม่ใช่ว่าตามเขาหรือว่าตามที่เราอ่านในหนังสือเล่มหนึ่งเล่มใด แต่ต้องรู้ว่าพระธรรมที่ทรงแสดงทั้งหมดจากคนที่ไม่เข้าใจ และไม่รู้เป็นการเข้าใจ และรู้จริงๆ ทีละหนึ่งคำ
ไม่ว่าจะพูดคำอะไร ก่อนฟังพระธรรมพูดคำที่ไม่รู้จักทั้งหมดเลย ไม่มีสักคำที่รู้จัก เพราะฉะนั้น เมื่อฟังพระธรรมแล้วจึงรู้ได้ว่าพูดคำที่ไม่รู้จัก จนกว่าจะได้ฟังพระธรรมเมื่อไหร่ก็เริ่มมีความเข้าใจในคำที่เคยพูด
เช่นเคยพูดคำว่าธรรม แต่ก่อนนี้เคยพูดไหม ธรรม พูด แล้วธรรมคืออะไร เห็นไหม เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีใครสามารถที่จะให้ความเข้าใจได้เราไม่ได้ฟังพระธรรม
เพราะว่าพระธรรมแสดงความจริงอธิบายโดยละเอียดอย่างยิ่งจนกระทั่งหมดสงสัยในแต่ละคำที่ได้ยิน ไม่ว่าจะเป็นคำอะไรทั้งหมด ถามได้เลยว่าคืออะไร เพราะฉะนั้น ปลอดภัยที่สุดที่จะไม่รู้ก็คือว่า จะรู้ต่อเมื่อรู้ว่าสิ่งที่เรากำลังสนใจหรือถามนั่นแหละคืออะไรก่อน
คำตอบต้องมาก่อนแล้วถึงจะรู้ความละเอียดขึ้น
ผู้ฟัง เหตุต้องมาก่อนใช่ไหม
ท่านอาจารย์ นี่เราคิดเองอีกแล้วใช่ไหม
เหตุคืออะไรเห็นไหม ถ้าบอกว่าเหตุต้องมาก่อนก็จะถามว่าเหตุคืออะไร ทั้งหมดต้องมีคำตอบในแต่ละคำ ถ้ายังไม่มีคำตอบคือไม่ได้ฟังพระธรรม อาจจะไปฟังคนอื่น หรือว่าคิดเอง หรือว่าอ่านหนังสือเล่มนั้นเล่มนี้ แต่ทั้งหมดที่ไม่ทำให้เข้าใจไม่ใช่พระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะพระธรรมที่ทรงแสดงทำให้เข้าใจแต่ละคำละเอียดมาก จนกระทั่งเป็นความเข้าใจจริงๆ ในคำที่เคยพูด และไม่เข้าใจจนกระทั่งพูดแล้วก็รู้ด้วยว่าคำนั้นคืออะไร
เพราะฉะนั้น ลองเลือกสักคำๆ ไหนก็ได้
ผู้ฟัง ยังชอบคำว่าเผลอ
ท่านอาจารย์ เผลอ เผลอคืออะไร
ผู้ฟัง อย่างเช่นอย่างเวลาเราทำอะไรเราจะรู้ตัวมือยื่นไปหยิบอะไรอย่างนี้ หรือว่าสิ่งที่มากระทบเราก็จะรู้เย็นร้อนอ่อนแข็งหรือว่าอะไรเราก็เข้าใจ แต่บางทีมันมีช่วงที่มันหายจากการดูอันหรือว่าอะไรอันนั้น
ท่านอาจารย์ ไม่ว่ากัน แต่ว่าใครเผลอ
ผู้ฟัง ตัวเรา
ท่านอาจารย์ เห็นไหม อนัตตาอยู่ไหน ธรรมอยู่ไหน ถ้ายังไม่เข้าใจตั้งแต่ต้นตามลำดับจะสงสัยไปเรื่อยแม้แต่เผลอ
แล้วถ้าคิดว่าเราไม่ได้ดูอิริยาบถเมื่อไหร่ขณะนั้นเป็นเผลอ แต่ใครกำลังดู แล้วก็ดูอะไร ดูแล้วมีความเข้าใจอะไร และอะไรคืออิริยาบถ อันนี้สำคัญมากเลยหมายความว่าทำไมไปดูอิริยาบถ ดูแล้วเข้าใจหรือเปล่าว่าอิริยาบถคืออะไร หรือว่าอะไรเป็นอิริยาบถ
ตอนนี้ตอบได้ไหมเพราะว่าดูมาแล้วใช่ไหม
ผู้ฟัง อย่างเวลาถ้าสมมุติว่ายินดีหรืออะไรเราก็ตามทัน แต่บางครั้งมันเผลอไปสักพักหนึ่ง ออกมาก็โมโหอะไรอย่างนี้
ท่านอาจารย์ เป็นเรื่องยาวมาจากความไม่รู้ ยาวด้วยทั้งหมดเลย ลองทบทวนตั้งแต่ต้นที่พูดเมื่อสักครู่นี้เอง จะได้รู้ว่าเป็นความไม่รู้ทั้งหมด แล้วก็จะไม่รู้ต่อไปอีกยาวมากด้วย
ตราบใดที่เป็นเราดู เราเผลอ เพราะสิ่งที่เราดูเป็นอะไรก็ไม่รู้ หรือรู้ ดูอะไร
ผู้ฟัง คือมันกระทบแล้วเราเข้าใจว่านี่คือเผลอ นี่คือโมโห
ท่านอาจารย์ มิได้
ผู้ฟัง ผัสสะที่มาตีเราๆ ก็จะเข้าใจบ้าง
ท่านอาจารย์ นี่เป็นคำไม่รู้ทั้งหมดเลย ผัสสะเดี๋ยวนี้มีไหม
ผู้ฟัง เห็นท่านอาจารย์ ได้ยินท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวนี้ผัสสะมีไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ ขณะไหนเป็นผัสสะ
ผู้ฟัง ขณะที่มากระทบ
ท่านอาจารย์ อะไรกระทบ
ผู้ฟัง ตอนนี้เวลาเสียงท่านอาจารย์มาก็รู้ว่าผัสสะกระทบที่หู
ท่านอาจารย์ รู้ว่าผัสสะมากระทบนี่ไม่ใช่ ไม่ใช่แน่นอน ผัสสะเป็นอะไรก่อน ก่อนที่จะรู้ต้องรู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร เพราะฉะนั้น ผัสสะเป็นอะไร
ทั้งหมดถ้าตั้งต้นว่าเป็นอะไรแล้วก็จะทำให้เข้าใจขึ้นๆ แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจตั้งแต่ต้นก็มีความไม่เข้าใจไปตลอด
พอพูดคำว่าผัสสะ ผัสสะคืออะไร ทุกคำจะแจ่มแจ้งได้
ผู้ฟัง ผัสสะก็เป็นธรรมไหม
ท่านอาจารย์ เป็นถ้ามีจริงๆ แต่คืออะไร สิ่งที่มีจริงเป็นธรรมทั้งหมด แต่ว่าผัสสะเป็นอะไร
เหมือนกับเห็นเป็นอะไร ได้ยินเป็นอะไร คิดเป็นอะไร ผัสสะเป็นอะไร เพื่อที่จะไม่เข้าใจผิดละเราเห็น เราได้ยินเพราะว่าเห็นเกิดแล้วก็ดับไป สิ่งที่เกิดและดับไปแล้วไม่เหลือจะเป็นเราได้อย่างไร
เพราะฉะนั้น ผัสสะเป็นอะไร
ผู้ฟัง ขอท่านอาจารย์ช่วยชี้แนะ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปดูผัสสะดีไหม
ผู้ฟัง ได้
ท่านอาจารย์ เพราะดูแล้วไม่รู้ใช่ไหม
ผู้ฟัง คือดิฉันอาจจะเข้าใจอย่างนั้น
ท่านอาจารย์ เพราะอะไรจึงเข้าใจอย่างนั้น
ผู้ฟัง เข้าใจว่าสิ่งที่มากระทบอะไรอย่างนี้เราเรียกว่าผัสสะที่มากระทบ
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เลย ก่อนอื่น ได้ยินเสียงไหม
ผู้ฟัง ได้ยิน
ท่านอาจารย์ มีผัสสะไหม
ผู้ฟัง มีมากระทบหู
ท่านอาจารย์ อันนี้แค่จำว่าผัสสะคือกระทบ เพราะฉะนั้น พออะไรปรากฏก็ผัสสะทั้งนั้นเลย
แต่ผัสสะคืออะไร ได้ยินคืออะไร เมื่อสักครู่นี้หมดแล้วดับแล้วแต่ได้ยินคืออะไร ได้ยินเป็นเสียงหรือเปล่า
ผู้ฟัง ได้ยินเป็นเสียง ท่านอาจารย์ช่วยชี้แนะเลย
ท่านอาจารย์ ยังไม่อยากให้ชี้แนะ แต่อยากให้เข้าใจโดยการคิดไตร่ตรองช่วยกันคิดค่อยๆ คิดกัน จากคนถามคนพูดสองคนนี้ และค่อยๆ คิดกัน
เสียงปรากฏเมื่อสักครู่นี้ยังเหลือเสียงนั้นอีกหรือเปล่า
ผู้ฟัง ขณะนี้ไม่เหลือ
ท่านอาจารย์ ไม่เหลือ เพราะฉะนั้น มีได้ยินใช่ไหม
ผู้ฟัง มี มีเสียงท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีได้ยินเสียงจะปรากฎได้ไหม ถ้าได้ยินไม่เคยมีได้ยินเสียงนั้น เสียงนั้นก็ปรากฏไม่ได้ถูกต้องไหม
เพราะฉะนั้น เสียงเป็นได้ยินหรือเปล่า
ผู้ฟัง เสียงเป็นได้ยินหรือเปล่า ไม่
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมไม่ใช่คนอื่น ไม่ใช่ความคิดความเข้าใจของคนอื่นต้องจากตัวเอง
และจะมีประโยชน์มากในการสนทนาธรรมเป็นมงคล ในการฟังธรรมก็เป็นมงคล แต่ฟังแล้วแต่เราอาจจะฟังเผินไม่ละเอียดหรือบางตอนอีกคนหนึ่งก็ไปได้ยินอีกตอนหนึ่งเช่นผัสสะบ้าง อิริยาบทบ้าง
เพราะฉะนั้น จะรู้ว่ามีความเข้าใจจากสิ่งที่ได้ยินแค่ไหนก็คือสนทนากันเช่นเดี๋ยวนี้ ขอถามใหม่ว่า เดี๋ยวนี้ได้ยินมีไหม
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์หยุดก็จะไม่ได้ยิน
ท่านอาจารย์ ดิฉัน หยุด
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์หยุดไม่ได้ยินเสียงเเล้ว ท่านอาจารย์พูดดิฉันจะได้ยิน
ท่านอาจารย์ ไม่มีดิฉัน ไม่มีใครเลยขณะนั้น
มีเสียงกับได้ยินเห็นไหม เพื่อจะให้ตรงกับคำว่าธรรม ได้ยินก็เป็นธรรม เสียงก็เป็นธรรม แต่ธรรมหรือสิ่งที่มีจริงเป็นธาตุซึ่งหลากหลายมากแต่ละหนึ่งไม่ซ้ำกันเลย
มีปัจจัยเกิดขึ้นเป็นแต่ละหนึ่งแล้วก็ดับไป เปลี่ยนแปลงลักษณะนั้นไม่ได้เลย เช่นจะเปลี่ยนได้ยินให้เป็นเสียงก็ไม่ได้ เปลี่ยนเสียงให้เป็นแข็งก็ไม่ได้
สิ่งที่มีนั้นแหละเป็นธาตุสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งลักษณะ ซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ได้ยินมีจริงๆ เป็นธรรมแล้วเป็นธาตุหรือเปล่า ธา ตุเป็นธาตุหรือเปล่า
ไม่แน่ใจหรือว่า
ผู้ฟัง ตอนนี้รู้สึกกลัว กลัวตอบผิด กลัวขายหน้า
ท่านอาจารย์ ถูกต้องเลยต้องขออนุโมทนาเพราะว่ามีจริงๆ ก็ต้องพูดจริงๆ เท่าที่มี
ผู้ฟัง แต่กล้า
ท่านอาจารย์ ดี เพราะฉะนั้น กลัวเป็นธรรมหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็น
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เราอีกต่อไป เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นมีลักษณะหวั่นไหว
ผู้ฟัง หวั่นไหว
ท่านอาจารย์ ไม่สบายใจ ไม่ชอบตกใจด้วย ลักษณะนั้นจะเรียกอะไร ไม่เรียกอะไรก็ได้ แต่เราเรียกว่ากลัว
กลัวไม่ใช่เรา กลัวเกิดขึ้นแล้วดับแล้วคือพยายามย้อนไปหาความเข้าใจธรรมให้มั่นคง
พอได้ยินคำว่าธรรมหมายความถึงสิ่งที่มีจริง ทุกอย่างที่มี จะเป็นอะไรก็ตามแต่ ชอบไม่ชอบก็ตามแต่ มีแล้วเกิดแล้วต้องเป็นธรรม คือย้อนไปหาความเข้าใจธรรม ว่าสิ่งที่มีจริงมีปัจจัยเกิดแล้วก็ดับไป
เพราะฉะนั้น กลัวเป็นเราหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่ใช่
ท่านอาจารย์ ค่อยๆ เข้าใจแต่ว่าเพียงจำแล้วตอบ จนกว่าเมื่อไหร่กลัวอีก และสามารถรู้ได้ว่าขณะนั้นเป็นสภาพอย่างหนึ่งซึ่งต่างจากเห็น ต่างจากได้ยิน ถูกต้องไหม คือกลัวไม่เห็น
เพราะฉะนั้น กลัวมีจริงหมดแล้วจะเป็นเราได้ยังไงชาติก่อนเคยกลัว
ผู้ฟัง ในชาติก่อนไม่ถึง
ท่านอาจารย์ แล้วก็ตอนเป็นเด็กกลัวไหม
ผู้ฟัง กลัวคุณครู
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น กลัวยังเป็นกลัว แต่กลัวคุณครูดับไปแล้ว ตอนนี้มากลัววันนี้แล้ว กลัวเมื่อสักครู่นี้แล้วใช่ไหม
คือทั้งหมดไม่มีใครสามารถที่จะไปทำให้ไม่หายไปได้เลย เพราะเหตุว่าตามธรรมดาจากการที่ทรงตรัสรู้ ที่ทรงแสดงเป็นเบื้องต้น จากคำเพียงสองสามคำ
ธรรมมีจริง ธรรมเกิดขึ้นไม่สามารถที่จะเปลี่ยนลักษณะที่เกิดขึ้นแล้วให้เป็นอื่นได้เป็นธา ตุหรือเป็นธาตุ แต่สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามถ้าไม่มีปัจจัยที่จะส่งเสริมเกื้อกูลอุปการะให้เกิด สิ่งนั้นก็เกิดไม่ได้
อย่างได้ยิน กำลังได้ยินเดี๋ยวนี้เอง ถ้าไม่มีโสตปสาท รูปพิเศษไม่เหมือนใครเลยเพราะว่ารูปนี้ สามารถกระทบเสียง
เสียงกระทบแข็งไม่ได้ เสียงกระทบตาไม่ได้ แต่เราไม่เคยรู้เลยว่าที่เรากำลังได้ยิน และได้ยินทุกวัน และก็เพราะว่ามีรูปที่ร่างกายพิเศษรูปหนึ่ง ที่สามารถกระทบเฉพาะเสียง แต่รูปนั้นไม่รู้อะไร
เพราะฉะนั้น คำว่ารูปหมายความถึงสิ่งที่มีจริงแต่ไม่สามารถจะรู้อะไรเลยทั้งสิ้น ค่อยๆ เริ่มเข้าใจธรรมหลากหลาย ทีแรกก็ทุกอย่างเป็นธรรม แต่ธรรมก็ต่างกันมาก และต่างกันที่ว่าพิจารณาได้ว่าขณะนี้เสียงมีจริงๆ เป็นธรรม เป็นธาตุแต่เสียงไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย
เสียงไม่หิว เสียงไม่โกรธ เสียงไม่รู้ เสียงเพียงเกิดขึ้นใครจะได้ยินหรือไม่ได้ยินไม่ใช่หน้าที่ของเสียงที่จะไปสนใจ เพราะเป็นสิ่งที่เกิดเมื่อมีการกระทบกัน ความแข็ง ๒ อย่างกระทบกันก็เป็นปัจจัยให้เสียงเกิด
เสียงในป่ามีไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ ไม่ได้ยิน แล้วทำไมว่ามี
ผู้ฟัง จำได้
ท่านอาจารย์ จำได้อย่างไร จำได้เมื่อไหร่ว่าเสียงในป่ามี
ผู้ฟัง ถ้าถามขณะนี้คือเคยดูทีวีหรือว่าอะไรอย่างนี้
ท่านอาจารย์ ตอนนี้ไม่เอา ทีวีก็ไม่เอา เอาธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงว่า ถ้าไม่มีอะไรเลยสักอย่างจะมีโลกไหม
อย่าลืมไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น ทั้งหมดสักอย่างเดียวก็ไม่มีจะมีโลกไหม
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ เห็นไหม เราเริ่มเข้าใจจากการคิดไตร่ตรอง และก็ต้องจริงด้วย เมื่อไม่มีอะไรแล้วจะเป็นโลก เป็นทะเล เป็นภูเขา เป็นคน เป็นฟ้า เป็นอะไรได้อย่างไร
ต่อเมื่อไหร่ มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น ใช่ไหม จากเสียงที่ไม่มี แล้วมีเสียงเกิดขึ้น สิ่งที่มีทั้งหมดแต่ละหนึ่งเป็นโลก ความหมายคือสภาพธรรมที่เกิดดับ
ผู้ฟัง ขณะปัจจุบันตลอดเวลา
ท่านอาจารย์ เมื่อไรก็ตามแต่ เมื่อไหร่ที่ไหน บนสวรรค์ นอกโลกที่ไหนๆ ก็ตามเรากำลังพูดถึงสิ่งที่มีจริง ว่าสิ่งที่มีจริงใครเปลี่ยนแปลงลักษณะไม่ได้เลย ถ้าไม่มีอะไรเลยก็ไม่มีสักอย่างเดียวโลกก็ไม่มี
แต่พอมีสักหนึ่งเกิดขึ้น มีแล้วใช่ไหมสิ่งนั้น สิ่งที่เกิดนั่นแหละเป็นโลก โลกหนึ่งๆ ๆ โลกทางตา โลกทางหู โลกทางจมูกปนกันไม่ได้เลยใช่ไหม
เอาจมูกไปปนเสียงได้ไหม เอาเสียงไปปนสิ่งที่ปรากฏทางตาได้ไหม ก็เป็นแต่ละหนึ่ง จริงๆ
นี่คือฟังธรรมเริ่มไม่ไปคิดเอง เริ่มไม่ไปดูอะไร เพราะดูแล้วใครดู แล้วดูแล้วมีประโยชน์อะไร
ดูแล้วก็ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้ธรรมคืออะไร เพราะฉะนั้น จะไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลยถ้าเป็นโดยลักษณะนั้น
แต่ขณะนี้พอรู้ว่าสิ่งที่มีจริงนี่แหละเป็นสิ่งที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อรู้ความจริง และทรงแสดงว่าสิ่งที่มีจริงทั้งหมด เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อมีเหตุปัจจัยเท่านั้นที่ทำให้เกิด สิ่งนั้นจึงเกิดได้ เกิดมาแล้วก็ดับไปเร็วมากไม่เหลือเลย
เพราะฉะนั้น สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้นปรากฏว่ามีจริงๆ ก็เป็นธรรมประเภทหนึ่งซึ่งมีลักษณะหลากหลายมาก หาเราพบไหม
ยังมีเราไหม ไม่มีใช่ไหมแล้วมีอะไร
ผู้ฟัง มีความคิด
ท่านอาจารย์ ความคิดมี ไม่ใช่เราใช่ไหมเพราะบอกเมื่อสักครู่นี้ว่าไม่มีเรา
ถ้าไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยินจะคิดถึงสิ่งที่เห็นสิ่งที่ได้ยินได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น แม้คิด ก็คิดเฉพาะสิ่งที่เคยเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง สนุกสนานรื่นเริงโศกเศร้าอะไรทั้งหมดก็จำไว้ เพราะฉะนั้น จำแล้วจึงคิดถึงสิ่งที่จำ
จำเป็นเราหรือเป็นธรรม
ผู้ฟัง เป็นธรรม
ท่านอาจารย์ ตอนนี้ก็สะดวกดีใช่ไหม ลืมไหม
ผู้ฟัง ลืมก็เป็นธรรม
ท่านอาจารย์ คิด
ผู้ฟัง คิดเป็นธรรม ทุกอย่างเป็นธรรมหมด
ท่านอาจารย์ ไม่ลืมคำนี้ จนกว่าจะเป็นจริงถึงจะเป็นสาวกผู้ฟัง
ฟังแล้วลืมๆ ก็ ไม่จริงใช่ไหมตอนลืมไม่จริงแน่ก็เป็นเราแล้ว แต่ที่จะไม่เป็นเราได้จริงๆ ทั้งหมดตรงตามที่ได้ฟังก็คือว่าเข้าใจขึ้นๆ เรื่อยๆ จนกระทั่งมีความมั่นคงในขณะที่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดนั่นแหละเป็นสิ่งที่เกิดแล้วก็หมดไปไม่เหลือเลย
ได้ยินคำว่าอนิจจัง ทุกขังอนัตตาไหม
ผู้ฟัง ได้ยิน
ท่านอาจารย์ ลองอธิบายหรือเปล่าหน่อยได้ไหม อนิจจัง
ผู้ฟัง อนิจจังก็มันไม่เที่ยง
ท่านอาจารย์ ไม่เที่ยงหมายความว่าต้องเกิด แล้วเปลี่ยนไป หายไป หมดไป ดับไป
เพราะฉะนั้น ทุกอย่างที่เกิดในขณะอนิจจัง สบายดีพอเปลี่ยนเป็นป่วยไข้อนิจจังไม่เที่ยงใช่ไหมจากชอบเป็นไม่ชอบอนิจจังหรือเปล่า
ผู้ฟัง อนิจจัง
ท่านอาจารย์ อะไรเป็นอนิจจัง
ผู้ฟัง ชอบ
ท่านอาจารย์ ชอบหมดแล้ว ไม่ชอบเป็นอนิจจังไหม
ผู้ฟัง เป็น
ท่านอาจารย์ เป็น เห็นเป็นอนิจจังไหม
ผู้ฟัง เป็น
ท่านอาจารย์ ได้ยิน
ผู้ฟัง เป็น
ท่านอาจารย์ ไม่ต้องไปดูใช่ไหม
ผู่ฟัง ไม่ต้อง
ท่านอาจารย์ แต่เข้าใจ สำคัญที่สุดคือเป็นปัญญาที่กว่าจะเกิดได้ ไม่ใช่ใครเป็นนั่งคิดเอง แต่เห็นประโยชน์ของการได้ฟังเสียงซึ่งมีแต่ไม่เคยรู้ เข้าใจรู้เข้าใจขึ้นนิดๆ หน่อยๆ สะสมไปเรื่อยๆ ก็ถูกต้องดีกว่าไปคิดผิดๆ จำผิดๆ แล้วก็ทำผิดๆ
ซึ่งผิดเมื่อไหร่ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อนั้น แต่ว่าถูกเมื่อไหร่เข้าใจเมื่อไหร่เริ่มเห็นคุณ และก็รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากคำสอนที่ได้ฟัง
ยังสงสัยอะไรอีกไหม
ผู้ฟัง ตอนนี้ไม่สงสัย
ท่านอาจารย์ แล้วต่อไปจะดูอะไรอีกไหม
ผู้ฟัง ไม่
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง
ต้องมั่นคงจริงๆ อาจหาญรู้ว่าสิ่งไหนที่ไม่ทำให้เกิดปัญญาแล้วจะไปนั่งดูทำไม แต่ว่าคำใดก็ตามที่ได้ฟังแล้วเข้าใจขึ้น สมควรที่จะเข้าใจเพิ่มขึ้นละเอียดขึ้นลึกซึ้งขึ้นไหม เพราะนี่เป็นไม่กี่คำเลยใช่ไหม
ธรรม อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาแต่เมื่อสักครู่พูดแค่อนิจจังกับอนัตตา แล้วทุกขังคืออะไร
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ๓ คำนี้ไม่แยกกันเลย เพราะฉะนั้น เข้าใจอนิจจังแล้ว เข้าใจอนัตตาแล้ว แล้วทุกขังคือออยาไร อนิจจัง ทุกขังอนัตตาไม่อย่างงั้นเราคิดเองอีกชอบคิดกันเองแต่ว่าไม่ถูกเลย เพราะฉะนั้น ถ้าจะให้เข้าใจจริงๆ ๓ คำนี้ต่อไปนี้ไม่ผิด
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1921
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1922
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1923
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1924
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1925
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1926
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1927
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1928
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1929
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1930
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1931
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1932
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1933
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1934
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1935
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1936
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1937
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1938
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1939
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1940
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1941
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1942
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1943
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1944
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1945
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1946
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1947
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1948
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1949
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1950
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1951
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1952
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1953
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1954
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1955
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1956
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1957
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1958
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1959
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1960
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1961
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1962
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1963
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1964
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1965
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1966
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1967
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1968
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1969
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1970
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1971
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1972
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1973
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1974
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1975
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1976
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1977
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1978
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1979
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1980
