ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1926
ตอนที่ ๑๙๒๖
สนทนาธรรม ที่ บ้านนายแพทย์ทวีป และคุณพรทิพย์ ถูกจิตร
วันที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๗
ท่านอาจารย์ และการบำเพ็ญมาก็เพื่ออนุเคราะห์คนที่ไม่สามารถที่จะรู้ได้ด้วยตัวเองอถึงจะมีปัญญาอย่างท่านพระสารีบุตรก็ยังไม่สามารถรู้ได้ด้วยตัวเอง แล้วเราเป็นใคร ฟังต่อไปเท่านั้นเอง และเป็นที่พึ่งจริงๆ ท่านเหล่านั้นก่อนที่จะเป็นวิสาขามิคารมารดา ท่านอนาถบิณฑิกท่านเคยเป็นอะไรมาแล้วในชาติก่อนๆ
และถ้าท่านไม่เคยฟังอย่างนี้ไม่เคยเข้าใจอย่างนี้มาเรื่อยๆ จะถึงวันนั้นไหม แต่เมื่อถึงได้ก็แสดงว่าท่านก็เคยสะสมมาอย่างนี้แหละ ไม่ต่างกันเลยจากปุถุชนถึงความเป็นกัลยาณปุถุชน ถึงความเป็นผู้ที่รู้แจ้งอริยสัจธรรม
อ.อรรณพ เพราะฉะนั้น ปัญญาที่ไม่ใส่ใจในความเป็นนิมิตก็มีหลายระดับใช่ไหม
ท่านอาจารย์ แน่นอน ก่อนถึงนามรูปริจเฉทญาณ และเมื่อถึงแล้ว ก็ยังกว่าจะถึงอุทยพยญาณ กว่าจะถึงวิปัสสนาญาณขั้นต่อไป แสดงว่าความเหนียวแน่นหนาแน่นสะสมมหาศาลมาแค่ไหน ประมาทไม่ได้เลย มิฉะนั้นก็หันหลังให้พระธรรมโดยไม่รู้ตัว
อ.วิชัย การที่ขันธ์เป็นภาระ ท่านอาจารย์ก็กล่าวว่าเห็นขณะนี้เป็นภาระ บางครั้งก็เหมือนกับจำมายังไม่เห็นว่าเป็นภาระจริงๆ
ท่านอาจารย์ ที่ทรงแสดงเพื่อให้เข้าใจ ไม่ใช่เพื่อจำ เพราะฉะนั้น กว่าปัญญาจะรู้จริงๆ ว่าเห็นเป็นภาระ ถ้าไม่รู้ก็ไม่วางภาระ แล้วก็จะไม่มีวันถึงการไม่เกิดอีก เพราะไม่เข้าใจว่าเพราะเกิดจึงเป็นภาระ ถ้าไม่เกิดจะมีภาระใดๆ ไหม ที่ใช้คำว่าภาระ
เพราะฉะนั้น ทรงแสดงไว้ว่าอุปาทานขันธ์ ๕ เริ่มตั้งแต่ปฏิสนธิ มีภาระตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เพราะว่ายังไม่เคยหยุดเกิดเลย เกิดเมื่อไหร่ก็ต้องเป็นภาระเมื่อนั้น แล้วถ้าไม่เกิดจะมีภาระไหม ก็ไม่มี
ก็ง่ายๆ ใช่ไหมชัดเจนแต่ว่าเพราะยังไม่ได้เข้าใจความเป็นภาระของสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ว่าเกิดเพราะเหตุปัจจัยเป็นชั่วคราวแล้วก็ไป ไม่ว่าจะเห็น เกิดขึ้นเป็นไม่ใช่ไม่เป็น
เป็นอะไรเป็นเห็นชั่วคราวแล้วก็ไป ภาวะคือความเป็นไป เพราะฉะนั้น ถ้าไม่เกิดก็ไม่ต้องมาเห็นแล้วก็ไปใช่ไหม ไปก็คือไม่มีอะไรเหลือเหมือนก่อนเห็น ได้ยินก็เหมือนกันยังไม่มีเสียงยังไม่มีได้ยิน แต่พอได้ยินกับเสียงเกิดแล้วดับไปก็เหมือนตอนที่ไม่มีเสียงไม่มีได้ยิน และมีเสียง มีได้ยินทำไมเพื่ออะไร
ในเมื่อไม่มีก็เหมือนกับตอนที่เพียงก่อนไม่มีแล้วก็มีแล้วก็หามีไม่ ก็ไม่มีตลอดเวลา เพราะฉะนั้น ขณะนี้กำลังเป็นภาระก็ไม่รู้ว่าเป็นภาระ
เพราะฉะนั้น จึงไม่วางภาระ เพราะฉะนั้น ยังต้องเกิดไปเรื่อยๆ
อ.วิชัย ท่านอาจารย์กล่าวถึงความเป็นภาระกับการที่เห็นเป็นภาระ
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีเห็นจะมีภาระไหม ถ้าไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้นจะมีภาระไหม เพราะเมื่อมีก็มีเห็นบ้าง มีได้ยินบ้าง มีคิดบ้าง มีสุขมีทุกข์ ทุกๆ อย่างที่มีเกิดขึ้นมีแล้วก็ไม่มี จะมีทำไม
อ.วิชัย กราบท่านอาจารย์ก็เหมือนว่าต้องมี คือต้องเป็นไปตลอดเลย
ท่านอาจารย์ เพราะไม่รู้ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมีหรือเปล่าเดี๋ยวนี้
อ.วิชัย ทรงดับขันธปรินิพานแล้ว
ท่านอาจารย์ เพราะรู้ว่าอะไรเป็นภาระ
อ.วิชัย ก็เหมือนกับยากที่จะรู้ ที่จะเข้าใจ
ท่านอาจารย์ ต้องยากแน่นอนพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า กว่าจะตรัสรู้ความจริงถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงประกอบด้วยพระญาณที่จะทรงแสดงธรรม อุปการะเกื้อกูลบุคคลอื่นให้เริ่มเข้าใจถูกในแต่ละคำแม้แต่คำว่าภาระ
พูดแล้วก็ยังไม่เห็น เห็นไหม แล้วเมื่อไหร่เห็น เมื่อนั้นก็คือเริ่มเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฟังไว้เข้าใจไว้ และก็ปัญญาที่เข้าใจไว้ก็จะเริ่มมีความเห็นถูกว่าเกิดมาแล้วควรเป็นยังไง เป็นเหมือนเดิมที่ไม่รู้ แล้วก็ยังนอกจากความไม่รู้ยังมีความติดข้อง ยังมีสารพัดที่เป็นอกุศล ซึ่งไม่ได้นำความสุขมาให้เลย ขณะที่เกิดจนกระทั่งถึงผลของสิ่งนั้น
แม้ว่าสิ่งนั้นดับไปแล้วก็ยังให้ผลที่ทำให้สภาพธรรมที่ต้องเห็นต้องได้ยินพวกนี้เกิดไปเรื่อยๆ ไม่เป็นภาระใช่ไหม ไม่เป็นใช่ไหมหรือเริ่มเห็นแล้วว่าเป็น แม้ว่ายังไม่รู้จริงๆ ว่าเป็นทุกขณะเพราะยังไม่มีความรู้ในลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่างซึ่งเป็นอย่างนี้ทุกขณะคือเป็นภาระ
แล้วภาระนี่ก็หลากหลาย เห็นเป็นภาระอย่างหนึ่ง แต่กิเลสภาระ เพิ่มขึ้นมาอีกแล้วใช่ไหม
แค่เห็นก็ดับไปแล้วแต่ว่ากิเลสความติดข้องความขวนขวายการแสวงหาเหนื่อยไหม หนักไหม เริ่มเห็นภาระที่เป็นกิเลส แต่ก็ยังไม่เท่ากับขณะที่เป็นกรรม อภิสังขารภาระไม่ใช่เพียงแค่พอใจเท่านั้นยังกระทำกรรมที่จะให้ได้มาซึ่งเป็นทางทุจริตก็ได้ ใช่ไหม สุจริตก็ได้ แต่ทั้งหมดก็คือว่าเริ่มทำเหตุที่จะให้เกิดผลซึ่งไม่มีอะไรที่จะไปหยุดยั้งได้เลย
เพราะฉะนั้น ก็เพิ่มจากภาระที่เป็นวิบากคือเพียงแค่เห็น ซึ่งมาจากเหตุคือกรรม และกรรมก็มาจากเหตุ คือกิเลสคือความไม่รู้ เพราะฉะนั้น ก็อยู่ไปด้วยความไม่รู้นั่นแหละอีกนานแสนนานเท่าไหร่ใครจะรู้ แต่ว่าเฉพาะชาตินี้ใครรู้ไหมว่าอีกนานเท่าไหร่ และก็ไป พ้นความเป็นบุคคลนี้
เกิดมาแล้วไม่รู้กี่ชาติ เป็นอะไรก็ไม่รู้ใช่ไหม รู้จักกันหรือเปล่าคุณวิชัยกับคุณอรรณพชาติก่อน ไม่รู้เพราะไม่รู้ว่าเป็นใครพอเกิดมาแล้ว ทั้งๆ ที่พบกันแล้วก็ยังไม่รู้ว่าชาติก่อนเป็นใคร และเคยรู้จักกันหรือเปล่า เคยคบหาสมาคมกันแบบไหน สุขทุกข์อย่างไรก็ไม่รู้เลย พอจากไปก็จำไม่ได้ไม่สามารถที่จะรู้ได้เลยเหมือนชาติก่อนกับชาตินี้
แต่ก็ต้องเป็น แล้วก็ไม่มีวันจบสิ้นด้วย เพราะฉะนั้น ก็เริ่มเข้าใจความหมายของขันธภาระไม่ว่าอะไรก็ตามที่เกิด ไม่เกิดไม่ดีกว่าหรือ เห็นแล้วก็ไม่เห็น ได้ยินแล้วก็ไม่ได้ยิน เพราะฉะนั้น ภาระจริงๆ ที่เห็นนิดหนึ่งได้อีกหน่อยหนึ่งเรื่อยๆ ไปใช่ไหม
แล้วก็กิเลสภาระมีมากมายตั้งแต่ระดับที่ไม่ปรากฏให้รู้ได้เช่นในขณะนี้เห็นเมื่อไหร่รู้ได้เลยว่ามีกิเลสตามมาแล้ว โดยที่ว่าไม่รู้เลย แต่พอมีความต้องการมาก อยากได้มาก ติดข้องมากเริ่มรู้ สบายดีไหมตอนที่กำลังหวั่นไหวด้วยความต้องการ ด้วยความติดข้องและด้วยการแสวงหาจนกระทั่งถึงกระทำกรรม
เพราะฉะนั้น ก็เข้าใจหรือยังในเรื่องภาระที่เป็นทั้งขันธภาระ กิเลสภาระ อภิสังขารภาระ
เพราะฉะนั้น จึงฟังธรรม ไม่อย่างนั้นก็ไม่ฟังใช่ไหม แต่เห็นประโยชน์ว่าฟังแล้วได้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง ความจริงมีเปลี่ยนไม่ได้เลย จะรู้หรือไม่รู้อยู่ที่การสะสม ถ้าเป็นผู้ที่เกิดมาแล้วก็ไม่สนใจที่จะรู้ความจริงว่าตั้งแต่เกิดจนตาย อะไรกันใช่ไหม เกิดมาทำไมกัน อยู่ไปทำไมกัน
แต่ตอนนี้เริ่มพอจะเข้าใจบ้าง ก็แล้วแต่ว่าปัญญามากแค่ไหน ถ้าปัญญามากก็อยู่เพื่อเข้าใจธรรม ในพระไตรปิฎกจะใช้คำว่าอยู่เพื่อธรรมปรากฏ ปรากฏต้องหมายความว่าตามความเป็นจริง คือปัญญาเท่านั้นที่สามารถจะรู้ว่าเป็นธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้
ผู้ฟัง ขณะที่ศึกษาธรรม และก็มีสติพอที่จะระลึกสภาพจิต
ท่านอาจารย์ สติคืออะไร
ผู้ฟัง สติเป็นเจตสิกทำหน้าที่ระลึกได้
ท่านอาจารย์ ระลึกอะไร
ผู้ฟัง ระลึกสิ่งที่ปรากฏ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้มีสติไหม
ผู้ฟัง ไม่มีสติ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้ไม่มีใช่ไหม
ผู้ฟัง เดี๋ยวนี้ไม่มี
ท่านอาจารย์ กำลังฟังธรรมแล้วก็ฟังเข้าใจขณะนั้นมีสติไหม
ผู้ฟัง เข้าใจมีสติ
ท่านอาจารย์ แต่ก็ไม่รู้ว่าลักษณะของสติเกิดเป็นสติ และก็ดับไปใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น จะรู้ได้ไหมว่าขณะไหนสติเกิด อย่างคำถามของคุณชุณณ์เมื่อสักครู่นี้คือตรงนี้ คุณชุณณ์ใช้คำว่าถ้าสติเกิด แต่ว่าถ้าไม่รู้จักสติจะรู้ไหม
ผู้ฟัง ถ้าไม่รู้จักสติก็ไม่รู้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ขณะนี้ที่เข้าใจมีสติก็ไม่รู้ แล้วจะรู้เมื่อไร
ผู้ฟัง รู้ตอนขณะที่มีการระลึกเกิดขึ้นก็จะรู้
ท่านอาจารย์ และเพราะอะไรจึงระลึกได้
ผู้ฟัง เพราะการฟังธรรมจนกระทั่งมีกำลังพอที่สติจะเกิดได้
ท่านอาจารย์ แล้วเวลาที่สติเกิดรู้ไหมว่าเป็นสติ
ผู้ฟัง ไม่รู้เลย รู้แต่ว่ามีการระลึก แต่ไม่รู้ว่านี่เป็นสติหรือไม่ใช่
ท่านอาจารย์ ถ้าใช้คำว่าระลึกต้องหมายความว่ามีลักษณะของสภาพธรรม เพราะฉะนั้น จะเรียกสติหรือไม่เรียกสติก็ไม่เป็นไรใช่ไหม แต่ระลึกอะไรที่กล่าวว่าขณะนั้นระลึก
ผู้ฟัง ระลึกสภาพธรรมที่เกิดขึ้น
ท่านอาจารย์ สภาพอะไร
ผู้ฟัง สภาพธรรมที่เกิดขึ้นในขณะนั้นเช่นจิตมีโลภะ หรือว่าจิตมีโทสะอะไรอย่างนี้ก็จะมีการระลึกว่าเกิด
ท่านอาจารย์ แต่ยังไม่รู้จักจิตไม่รู้จักจิต เพราะฉะนั้น จะรู้ว่าจิตมีโลภะได้ไหม
ผู้ฟัง มีคนตอบว่าไม่ได้แล้ว
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น การฟังธรรมเหมือนเรื่องวนเวียน ถ้าเราคิดไปเรื่อยๆ โดยที่ว่าไม่ได้มีความเข้าใจจริงๆ ว่าแต่ละคำที่เราได้ฟังเป็นสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้ง ที่เราจะต้องไม่ใช่เป็นเราที่ฟังก็พยายามคิดที่จะเข้าใจ แต่ต้องฟังจนกระทั่งมีความเข้าใจจากการฟัง ว่าสติเป็นสภาพธรรมที่มีจริงแต่ว่ามีหลายระดับขั้น
สติเกิดกับจิตที่ดีงามคือเป็นกุศลจิตทุกประเภท กุศลกรรมหรือกุศลจิตก็หลากหลายเป็นไปในทานก็มี ในศีลก็มี ในความสงบก็มี ในการรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏก็มีหรือในการเข้าใจสิ่งที่กำลังฟังก็ เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ตรงว่าสติขั้นฟังสามารถเข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง เช่นพูดถึงคำว่าสิ่งที่มีจริงก็คือเดี๋ยวนี้มีจริงๆ
ภาษาบาลีจะใช้คำว่าธรรม ฟังธรรม ฟังอะไรฟังสิ่งที่มีจริงๆ ขณะนี้ เพื่อเข้าใจอะไร ก็เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้ บางคนก็บอกว่าศึกษาธรรมอะไรก็ไม่รู้ มากมายไปหมดเลยธรรมทั้งนั้น
พูดไปก็เหมือนวนเวียน ฟังธรรมก็วนเวียนอีก ฟังธรรมฟังอะไรก็ไม่รู้ แต่ถ้าในภาษาไทยเดี๋ยวนี้สิ่งใดก็ตามที่มีจริง แล้วก็ฟังให้เข้าใจในความเป็นธรรม และกว่าจะรู้จริงๆ ว่าเป็นธรรม เวลาที่ฟังแล้วเข้าใจว่าเป็นธรรมก็ต้องมีสติไม่ใช่เรา และก็ปัญญาขั้นฟังก็มี แต่ก็ไม่ใช่ขณะที่กำลังเข้าใจลักษณะของสิ่งที่เราพูดถึงเช่นคำว่าจิต
เวลานี้ทุกคนมีจิตแน่ ใช่ไหม ใครรู้จักจิตบ้าง ฟังเข้าใจใช่ไหมว่าจิตเป็นสภาพรู้หรือธาตุรู้ แล้วเดี๋ยวนี้ล่ะ บอกว่าเห็นรู้ไหมว่าเป็นสภาพรู้ คือเกิดขึ้นเห็นจึงรู้ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏเป็นอย่างนี้
นี่ขั้นฟัง สตินี้ก็เป็นขั้นที่เพียงได้ยินได้ฟังแล้วก็บอกว่ามีจิต แต่ก่อนนี้ก็ไม่รู้ว่าจิตอยู่ที่ไหนจิตทำอะไรใครถามก็หาไม่เจอ เดี๋ยวนี้กำลังเห็น นี้คือจิตไม่ใช่เราแน่ๆ เลย เพราะว่ามีปัจจัยที่ทำให้เห็นคือธาตุชนิดหนึ่งสิ่งที่มีจริงที่กำลังเห็น
กำลังเห็นนี่แหละเป็นสิ่งที่มีจริงที่ไม่ใช่เรา รู้จักจิตไหมก็ไม่ต้องไปใช้คำว่ารู้จักชื่อจิต แต่ว่ารู้ว่าขณะนี้มีสิ่งที่เกิดขึ้นเห็น และเห็นขณะนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็น และธาตรู้ๆ ยากมาก ไม่ใช่ว่าพอฟังแล้วก็จะสามารถไปรู้จักจิตได้ทันที เพราะว่าเกิดแล้วก็ดับไปแล้วไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นด้วยแต่ถ้าไม่มีธาตุที่กำลังเห็น สิ่งที่ปรากฏต่างๆ ก็ปรากฏไม่ได้ หรือแม้แต่เสียงแต่ละเสียงในขณะที่ปรากฏก็เพราะมีจิตได้ยิน
จิตอยู่ไหน ก็จิตกำลังได้ยินขณะนี้จะอยู่ไหน ก็ที่กำลังได้ยินเดี๋ยวนี้เป็นจิตที่กำลังได้ยินเสียง เฉพาะเสียงที่ปรากฏ ที่จิตกำลังรู้เสียงอื่นจิตไม่ได้รู้ เพราะฉะนั้น จะใช้คำอะไรก็ตามขอให้ค่อยๆ เข้าใจความจริงที่กำลังมีในขณะนี้ นี่คือขั้นฟัง
เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า แค่ฟังยังไม่สามารถที่จะเห็นว่าไม่ใช่เราโดยสิ้นเชิง แต่ต้องมีการฟังค่อยๆ เข้าใจขึ้นไปเรื่อยๆ โดยสภาพธรรมก็เกิดขึ้นแต่ละหนึ่งๆ ไม่ใช่เราทั้งหมด ก็ฟังแต่ละหนึ่งให้ละเอียดขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะเข้าใจสติอีกขั้นหนึ่งเมื่อเกิด แต่ถ้าสติขั้นนั้นไม่เกิด ก็เพียงแต่เข้าใจเรื่องของสติขั้นนั้น แต่ไม่รู้ว่าสติจริงๆ ขั้นนั้นเป็นอย่างไร ต่อเมื่อใดเกิด เมื่อนั้นจึงจะรู้ได้ว่านั่นคือสติอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่เพียงขั้นฟัง แต่เป็นขั้นที่เริ่มเข้าใจลักษณะสิ่งที่มีเฉพาะแต่ละหนึ่ง ในขณะที่สิ่งนั้นกำลังเป็นอย่างนั้น และปัญญาต้องรู้ในขณะนั้น การฟังขณะใดที่เข้าใจ ขณะนั้นก็เป็นปัญญาใช่ไหม ใช้อีกคำหนึ่งปัญญา วิชาก็ได้ แสงสว่างหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่หมายความถึงความเข้าใจถูก ในขั้นฟัง เพราะฉะนั้น เวลาที่สติสัมปชัญญะที่กำลังเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมเกิด ขณะนั้นก็ต้องมีปัญญาคือความเข้าใจถูกว่าขณะนั้นไม่ใช่เรา แต่เป็นลักษณะของสติที่ปรากฏ เพราะฉะนั้น ถ้าสติเกิดจริงๆ ระดับนั้นย่อมปรากฏแก่ปัญญา สามารถรู้ได้ว่าขณะนั้นไม่ใช่เรา แต่เป็นสติที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยด้วย
ทำไมว่าเพราะเหตุปัจจัย เพราะไม่ได้ไปทำให้สติเกิด ไม่ได้คิดว่าสติจะเกิด ไม่ได้หวังว่าสติจะเกิด เหมือนขณะนี้ก็ไม่หวังว่าจะได้ยิน หรือไม่ได้หวังว่าจะเห็นก็เห็นแล้วใช่ไหม ได้ยินแล้ว เพราะฉะนั้น ไม่ได้หวังว่าสติเกิด แต่สติก็เกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัย นี่เป็นหนทางเดียวที่จะละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนเป็นอนัตตา
คำว่าเป็นอนัตตาต้องทุกอย่าง แม้แต่สติสัมปชัญญะก็เป็นอนัตตา แม้แต่การฟังเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็เป็นอนัตตา บังคับให้เข้าใจไม่ได้ ฟังแล้วยังไม่เข้าใจก็ได้ แค่จำแค่ได้ยินเผินๆ หรือว่าเดี๋ยวก็ลืมไปอีกแล้ว ก็บังคับบัญชาไม่ได้คือให้มีความมั่นคงว่าไม่มีเรา แต่มีธรรม
เพราะฉะนั้น ให้เข้าใจธรรมแล้วก็ค่อยๆ รู้ว่าไม่มีเรา ไม่ใช่เราแน่นอน ตรงกับที่เราได้ยินได้ฟัง จิตเกิดขึ้นทีละหนึ่งขณะ และจิตที่ดับไปแล้วก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น และไม่ว่าจะเป็นกุศลหรืออกุศลที่เกิดแล้วดับไปก็สะสมสืบต่อในจิตขณะต่อไปมิฉะนั้นการเจริญขึ้นของสติ และปัญญาก็มีไม่ได้ ถ้าไม่มีการสะสมทีละขณะ ๒ ขณะ ๓ ขณะ ก็แล้วแต่ที่จะเกิดขึ้นเป็นไป เกิดแล้วดับไป แต่ก็สะสมอยู่ในจิตขณะต่อไป
เมื่อเช้าที่เราฟังมาแล้ว พอฟังต่อตอนนี้ความเข้าใจเมื่อเช้าไม่ได้หายไปไหน ค่อยๆ สะสมโดยไม่รู้เลย จนกว่าจะมีกำลังพอที่จะปรากฏ แต่อย่างไรก็ตามถ้าจะรู้ว่าสติสัมปชัญญะเกิดหรือเปล่าก็ต่อเมื่อเกิด จึงรู้ความต่างของขั้นฟังๆ เรื่องของสภาพธรรมทั้งหมดเลย แต่ลักษณะของสภาพธรรมก็ยังไม่ปรากฏสักอย่าง ทั้งๆ ที่เห็นก็เห็นก็เป็นธรรม ก็ฟังรู้ว่าเห็นเป็นธรรม แต่ลักษณะที่เป็นธาตุรู้ไม่ได้ปรากฏ เมื่อธาตุรู้ไม่มีรูปร่างใดๆ เลยทั้งสิ้นแต่ว่าเกิดแล้วรู้ แล้วต้องมีสิ่งที่ปรากฏให้รู้ แต่ขณะนั้นแล้วแต่ว่าจะเข้าใจถูกในลักษณะของสภาพใด และลักษณะของสติสัมปชัญญะที่ถึงเฉพาะหนึ่ง ขณะนั้นก็รู้ได้ว่าต่างกับขณะที่สติไม่ปรากฏ แม้มีปัญญาก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจว่าลักษณะของสติเป็นอย่างไร เพราะเหตุว่าเป็นแต่เพียงขั้นฟัง เพราะฉะนั้น ความเข้าใจความเข้าใจค่อยๆ เข้าใจขึ้นด้วยความเป็นผู้ตรง จึงสามารถที่จะได้สาระจากพระธรรม แล้วก็ค่อยๆ คลายความไม่รู้ แต่จะให้ไปรู้ทันทีอย่างที่ว่าสติระลึกหรืออะไรเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าสติเกิดเองแน่ๆ เมื่อมีปัจจัยไม่ต้องหวังไม่ต้องรอ
เพราะฉะนั้น ขณะที่คิดเป็นเราใช่ไหม คิดถึงอะไรก็เป็นเราทั้งนั้นยังไม่ใช่สติที่กำลังเราใช้คำว่าระลึก แต่ความจริงสติเป็นอย่างไง ตอนที่กำลังถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ จะใช้คำพูดว่าอะไรก็ไม่เหมือนกับขณะนั้นที่สติเกิดแล้วทำหน้าที่ของสติ อยากฟังต่ออีกนิดหนึ่งไหมว่าจริงๆ แล้วต้องต่างแน่นอนใช่ไหม
ขณะที่ฟังกับขณะที่สติอีกระดับหนึ่งที่ไม่ใช่เพียงฟังเข้าใจเพราะเวลานี้แค่ฟังเข้าใจ แต่ว่าเวลาที่เข้าใจจริงๆ จนกระทั่งไม่ได้หวังเลยไม่สงสัยด้วย จากการฟังว่าทุกขณะเป็นธรรม ไม่สงสัยเลยจริงๆ มีความมั่นคง โลภะเกิดเป็นธรรม โทสะเกิดเป็นธรรม คิดเกิดก็เป็นธรรม ถ้าเป็นธรรมระดับนี้ที่ไม่หวั่นไหวก็พอจะเป็นปัจจัยให้มีการรู้เฉพาะลักษณะของสภาพธรรมหนึ่งที่ปรากฏ เวลานี้มีสภาพธรรมหลายอย่างใช่ไหม มีเห็นไหม มีได้ยินไหม มีคิดไหม มีสิ่งที่ปรากฏทางตาไหม มีเสียงไหม มีแข็งไหม มีตั้งหลายอย่างเร็วมากเลยเหมือนทุกอย่างพร้อมกัน แต่ขณะที่กำลังถึงเฉพาะลักษณะหนึ่งเห็นไหม ถึงเฉพาะลักษณะหนึ่งต้องหมายความว่าลักษณะนั้นปรากฏดี ซึ่งขณะนี้ปรากฎดีหรือเปล่า ใช่ไหม ปรากฏดีได้อย่างไรยังไม่ทันรู้เลย ดับแล้ว ไม่ว่าอะไรทั้งนั้นใช่ไหมกระทบแข็งยังไม่ทันรู้เลยเป็นอย่างอื่นไปแล้ว จะเรียกว่าปรากฏดีได้อย่างไร ปรากฏดีก็คือตามที่เป็นจริง
เพราะฉะนั้น ปกติทุกอย่างไม่เปลี่ยนเลย อย่างนี้ธรรมดาอย่างนี้ และก็ขณะนั้นกำลังถึงเฉพาะลักษณะหนึ่งเห็นไหม เกิดแล้วทันทีเพราะเหตุปัจจัย แสดงความเป็นอนัตตาว่าไม่มีใครไปทำให้เกิดขึ้นได้เลย เหมือนเสียงขณะนี้ปรากฏเพราะเหตุปัจจัยไม่มีใครไปทำให้เสียงปรากฏ แต่จิตได้ยินเกิดขึ้นแล้วดับไปยังไม่ทันรู้ในลักษณะของทั้งเสียง และในลักษณะของจิตที่ได้ยิน เพราะฉะนั้น ขณะนั้นจะละการยึดถือสภาพนั้นๆ ไม่ได้เลยเพราะไม่รู้ความจริง แต่การที่ได้ฟังมามากจนกระทั่งไม่หวั่นไหวแล้วก็เป็นปัจจัยที่จะทำให้ถึงเฉพาะ ใช้คำว่าถึงเฉพาะคือตรงลักษณะนั้นเลยทันทีด้วย แต่ลักษณะนั้นปรากฏในลักษณะที่ เป็นสภาพธรรมไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด อย่างเสียงอย่างนี้ความจำว่าเป็นเสียง แต่ถ้าขณะที่กำลังเข้าใจเพียงเสียงเหมือนอย่างอื่น แต่ละหนึ่งๆ ก็มีลักษณะเฉพาะแต่ละอย่าง เพราะฉะนั้น ความเข้าใจความรู้อันนี้ไม่ต้องมีใครไปทำหรือใครก็ทำไม่ได้ เพราะว่าต้องมีปัจจัยคือความเข้าใจจริงๆ มั่นคง เป็นปัจจัยให้กระทบแข็ง
ธรรมดาไหมเหมือนเดิม เสียงเหมือนเดิม สิ่งที่ปรากฏทางตาเหมือนเดิม แต่ว่าขณะนี้ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา หรือเห็นหรือเสียง หรือได้ยินไม่ได้ปรากฏดี เพราะอะไร เพียงแค่ผ่านไปยังไม่ทันรู้เลย แต่เวลาใดก็ตามที่เราก็กระทบแข็งเหมือนเดิมทุกวัน แต่ขณะนั้นลักษณะนั้นปรากฏ ในความแข็ง แสดงว่าขณะนั้นต้องต่างกับขณะที่กระทบบ่อยๆ ตั้งแต่เช้ามา และก็ไม่ได้มีการที่จะรู้เฉพาะลักษณะนั้น เพราะฉะนั้น รู้เฉพาะลักษณะนั้นก็หมายความว่าตรงนั้นปรากฏให้รู้ความเป็นลักษณะ เช่นแข็งตรงนั้น ไม่ใช่ร่างกายตลอดตัวเลยจะเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดก็ได้ หรืออาจจะเป็นแข็งภายนอกเช่นโต๊ะหรือที่เราเคยจำว่าเป็นโต๊ะ แต่ก็มีลักษณะที่แข็ง เพราะฉะนั้น แข็งนั่นแหละไม่เปลี่ยนแต่ความรู้ตรงนั้นเพิ่มขึ้น
ที่จะรู้ว่าขณะนั้นก็คือลักษณะเฉพาะสิ่งหนึ่งซึ่งมี และคิดดูกว่าจะชินจนกระทั่งเข้าใจมากมั่นคงพอที่จะคลายความที่เคยเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้น ที่ทรงแสดงไว้ว่าอาสวะ โอฆะ โยคะก็อยู่ตรงนี้ไม่ได้อยู่ตรงอีกอยู่ตรงที่แต่ก่อนไม่เคยใส่ใจจะใช้คำว่าใส่ใจก็ได้เพราะเหตุว่าขณะนั้นสภาพโสภณเจตสิกไม่ใช่มีอย่างเดียว ต้อง กุศลจิตเกิดขึ้นขณะใดสภาพเจตสิกทั้งหมดเป็นโสภณ แม้แต่ผัสสะ แม้แต่เวทนาเจตนาทั้งหมดจะไม่เป็นโสภณไม่ได้ จะเป็นอกุศลไม่ได้เพราะเกิดพร้อมกันในทางดีด้วยปัญญาเป็นปัจจัยทำให้เกิด เพราะฉะนั้น ที่ผัสสะจะเกิดกระทบแล้วมนสิการจะเกิด หรือว่าสติสัมปชัญญะจะเกิดปัญญาจะเกิด พร้อมกันในขณะนั้น
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1921
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1922
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1923
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1924
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1925
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1926
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1927
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1928
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1929
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1930
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1931
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1932
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1933
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1934
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1935
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1936
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1937
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1938
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1939
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1940
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1941
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1942
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1943
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1944
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1945
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1946
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1947
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1948
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1949
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1950
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1951
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1952
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1953
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1954
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1955
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1956
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1957
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1958
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1959
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1960
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1961
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1962
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1963
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1964
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1965
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1966
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1967
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1968
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1969
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1970
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1971
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1972
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1973
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1974
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1975
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1976
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1977
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1978
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1979
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1980
