ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1921


    ตอนที่ ๑๙๒๑

    สนทนาธรรม ที่ โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า

    วันที่ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๗


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ถ้าพูดถึงทานในภาษาไทย ทา-นะ หมายความถึงการให้

    เพราะฉะนั้น ต้องเป็นสภาพธรรมที่ดีทุกคนได้ยินคำว่า โลภะ แต่ก็มีสภาพธรรมซึ่งเป็นเจตสิกอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งเป็นฝ่ายดี คือ อโลภะ ไม่ติดข้อง

    เพราะฉะนั้น ในขณะใดก็ตามที่จิตที่ดีงามเกิดขึ้น ย่อมเป็นไปในทานบ้าง ในศีลบ้าง ในภาวนาบ้าง แต่ก็เป็นเรื่องละเอียด ที่จะต้องค่อยๆ เข้าใจว่า ขณะนั้น ทานเป็นสภาพของเจตสิกที่เป็นอโลภะ ความไม่ติดข้อง จึงสามารถที่จะสละสิ่งหนึ่งสิ่งใดเพื่อประโยชน์สุขแก่คนอื่นได้

    เพราะฉะนั้น ในขณะนั้นจิตเกิดขึ้นประกอบด้วยเจตสิกที่ดีงามเป็นไปในทาน คงไม่มีข้อสงสัยในเรื่องของทาน แต่ความจริงความละเอียดของทานก็มีมาก เพราะว่าการให้แต่ละครั้งก็วิจิตรมาก แต่เราก็จะกล่าวถึงเพียงคร่าวๆ ถึงความต่างกันของศีล และทาน และภาวนา

    ชีวิตประจำวัน ก็มีการให้ แต่ว่าจิตใจที่ดีงามเกิดขึ้น โดยที่ไม่ได้ให้ขณะนั้นก็ได้ เช่น ขณะนั้นที่วิรัติการฆ่าหรือการประทุษร้ายเบียดเบียนคนอื่น การช่วยเหลือคนอื่นแม้ว่าไม่ได้เป็นการให้ทรัพย์สินเงินทอง แต่ขณะนั้นก็เป็นจิตที่ดีงามขณะนั้นเป็นศีล เพราะเหตุว่ากุศลธรรมทั้งหมด เป็นเพราะจิต และเจตสิกในขณะนั้นเกิดขึ้นเป็นกุศล

    เมื่อเป็นกุศลแล้วก็มีกายวาจาซึ่งเป็นทางของกุศลซึ่งเป็นไปในทานบ้าง หรือเป็นไปในศีลบ้าง แต่ว่าในบางกาล เช่นในขณะนี้ ทุกคนกำลังฟังความจริงที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ไม่ได้ให้ทานแล้วก็ไม่ใช่ศีล ๕ ศีล ๘ อะไรอย่างที่เข้าใจ แต่ว่าเป็นการอบรมเจริญปัญญา

    เพราะฉะนั้น คำว่า ภาวนา หมายความถึง อบรมกุศลธรรมซึ่งยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น กุศลธรรมที่เกิดแล้วก็จะได้มีมากขึ้น

    เพราะฉะนั้น จึงมีกุศลที่เป็นไป ๓ อย่าง คือทาน ศีล ภาวนาสำหรับคนทั่วไป แต่ต้องเป็นความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องไม่เช่นนั้นเราเข้าใจว่าเป็นทาน แต่ความจริงไม่ใช่ทานก็ได้ หรือเข้าใจว่าเป็นศีลแต่ความจริงไม่ใช่ศีลเป็นอกุศลศีล ไม่ใช่กุศลศีลก็ได้

    เรื่องธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก เมื่อได้เข้าใจอะไรก็เริ่มเห็นพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระมหากรุณาคุณให้เราเข้าใจชีวิตตั้งแต่เกิดจนกระทั่งต่อไปจนกว่าจะสิ้นสุด คือจากโลกนี้ไปแล้วก็เกิดอีก ตลอดเวลาก็ไม่พ้นจากสภาพธรรมเหล่านี้

    ข้อต่างกันที่กล่าวว่าบางครั้งได้ยินคำว่าทาน ศีล ภาวนา บางครั้งก็ได้ยินคำว่า ศีล สมาธิ ปัญญา

    เพราะเหตุว่า สำหรับการที่กุศลเกิดโดยไม่ใช่เป็นไปในการให้ขณะนั้นก็เป็นศีล และขณะนั้นถ้าเป็นการอบรมเจริญความสงบของจิตขณะนั้นก็เป็นขั้นสมถภาวนา ซึ่งก็ต้องมีสมาธิซึ่งสะอาดขึ้นบริสุทธิ์ขึ้น เพราะกำลังของความสงบ

    แต่ว่าความสงบนี่ยากที่จะเห็น แม้ขณะนี้เป็นกุศล สงบแน่แต่อาการของความสงบไม่เกิด สภาพที่ตั้งมั่นก็ไม่เกิด ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีในขณะนี้แม้เกิดก็ไม่ปรากฏเพราะเหตุว่าเกิดแล้วดับแล้วอย่างรวดเร็ว

    เพราะฉะนั้น การฟังธรรมให้เข้าใจก็คือเข้าใจสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ในขณะนี้ให้เข้าใจตามความเป็นจริงว่าจะไม่รู้จักตัวเอง และทั้งหมดถ้าไม่มีการได้ฟังธรรม

    เพราะฉะนั้น ภาวนาก็มี ๒ อย่าง สมถภาวนาจิตสงบจากอกุศลจนกระทั่งปรากฏลักษณะของสมาธิที่ตั้งมั่นผ่องใสจากอกุศลมั่นคงขึ้น

    แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ทำให้หมดกิเลสได้ เพราะเหตุว่าไม่ได้รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ เพราะฉะนั้น ก็ยังคงยึดถือ สิ่งที่มีจริงโดยสภาพธรรมที่ปรากฏ รูปร่างนิมิตสัณฐานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา หรือว่าเสียง หรือกลิ่นรสทุกอย่างหมด เกิดดับอย่างรวดเร็วปรากฏเป็นนิมิตรูปร่างสัณฐานต่างๆ

    ไม่ว่าจะเป็นกาย เวทนาความรู้สึก หรือสภาพความจำหรือทุกสิ่งทุกอย่าง การเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วไม่มีใครสามารถที่จะประจักษ์ขณะหนึ่งซึ่งเกิดแล้วดับ

    เพราะขณะนี้เหมือนเห็นกับได้ยินพร้อมกันแต่ว่าจะพร้อมกันไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าจิตหนึ่งขณะเกิดขึ้นต้องรู้เพียงหนึ่ง

    ด้วยเหตุนี้ขณะที่เห็น ไม่ใช่ขณะที่ได้ยิน ไม่ใช่ขณะที่คิด

    เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นแล้ว กว่าจะรู้ความจริงก็ต้องเข้าใจก่อนว่าการที่จะอบรมเจริญปัญญา เข้าใจขึ้นในลักษณะของสภาพธรรมก็จะค่อยๆ เข้าใจความหมายของธรรม และธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตานั่นคือวิปัสสนาภาวนา

    เพราะฉะนั้น โดยทั่วไป ก็คือทาน ศีล ภาวนา และถ้าในขณะใดที่ไม่เป็นไปในทานเช่นชีวิตของบรรพชิตนี้ ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีวัตถุที่จะให้ใคร แต่ก็สามารถที่จะอบรมเจริญกุศลโดยศีล สมาธิ ปัญญาหรือฆราวาสหรือคฤหัสถ์หรือใครก็ตามแต่ ขณะใดที่ไม่เป็นไปในทานก็เป็นไปในศีลแต่ว่ายากที่จะเป็นไปในภาวนา เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีปัญญาความเห็นที่ถูกต้อง ไม่ใช่การอบรมเจริญกุศล

    ผู้ฟัง กราบเรียนท่านอาจารย์สุจินต์ที่เคารพ การประพฤติปฏิบัติตามในฐานะอุบาสกอุบาสิกาที่ถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้าควรทำอย่างไร และจะจัดสรรเวลาอย่างไรเพื่อจะทำกิจทั้งทางโลก และทางธรรมอย่างสมดุล และสมบูรณ์โดยไม่บกพร่อง

    ท่านอาจารย์ คำแรกที่ได้ยินคือคำว่าธรรม สิ่งที่มีจริง เป็นอนัตตา หมายความว่าไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา จริงไหม

    คนที่อยากเห็นแต่ไม่มีตาไม่มีจักขุปสาทก็ไม่เห็น เพราะฉะนั้น ให้ทราบว่า ตั้งแต่เกิดเป็นไปตามสิ่งที่เป็นปัจจัยที่ได้สะสมไว้ทำให้แต่ละคนต่างกันไปไม่เหมือนกันเลยไม่ว่ากาย วาจา แม้ใจก็คิดต่างๆ กันไป

    เพราะฉะนั้น การที่ได้ฟังธรรมแล้วก็ยังมีกิเลสตามที่ได้สะสมมา ถูกต้องไหม กิเลสหมดไม่ได้เพียงขั้นฟัง

    เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเราพยายามด้วยความเป็นเรา ต่อให้เราจะจัดสรรเวลา และพยายามทำอะไรก็ตามด้วยความไม่เข้าใจธรรม ไม่มีทางที่จะสำเร็จได้ด้วย

    ด้วยเหตุนี้ต้องเข้าใจว่าภาษาไทยที่เราใช้คำว่าเข้าใจ และหมายความถึงปัญญาคือความเห็นถูกความรู้ถูกต้องในอะไร ในสิ่งที่กำลังมีที่กำลังปรากฏ

    ธาตรู้มี เราใช้คำว่าธาตุเพราะเหตุว่าไม่ใช่ใครไม่ใช่ของใคร และก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลยทั้งสิ้น แต่เป็นสิ่งที่มีจริง แข็งมีจริง เสียงมีจริง ไม่มีใครไปบังคับให้ไม่เกิดไม่ให้เป็นอย่างนั้น เพราะเหตุว่าต้องเป็นอย่างนั้น เกิดเป็นอย่างนั้น ฉันใด ธาตุรู้ ใครจะไปบังคับไม่ให้เกิดให้เป็นต้นไม้ใบหญ้าไม่รู้ไม่เห็นอะไรก็ไม่ได้ใช่ไหม แต่ว่าสิ่งที่เราไม่รู้ก็คือว่าเมื่อธาตุรู้เกิดแล้วดับไปสืบต่อด้วยความไม่เข้าใจในความเป็นสิ่งที่เกิดดับ ก็ทำให้เป็นเรา

    เพราะฉะนั้น ขณะนี้เห็นเกิด แล้วเห็นดับ แต่ก็เป็นเราเห็น ได้ยินเมื่อครู่นี้ไม่มีได้ยิน เสียงไม่ได้ปรากฏ แต่ขณะนี้เสียงปรากฏเกิดแล้ว เพราะมีธาตุได้ยินกำลังได้ยินด้วย มิฉะนั้นแม้เสียงเกิด แต่ไม่มีใครได้ยิน เสียงก็ไม่ปรากฏว่ามีเสียงจริงๆ เดี๋ยวนี้เสียงมีจริงๆ เพราะว่ามีธาตุที่ได้ยิน

    ขณะนี้ทุกคนลืม คิดถึงแต่สิ่งที่ปรากฏทางตาบ้าง ทางหูบ้าง เรื่องราวต่างๆ บ้าง ลืมว่าทั้งหมดเพราะมีธาตุรู้คือจิต และเจตสิกเกิดดับสืบต่อตลอดเวลา

    ด้วยเหตุนี้แม้แต่ความคิดที่จะจัดสรรเวลา หรือจะทำอะไรก็ตามก็ยังคงเป็นเรา แต่ว่าไม่ได้เข้าใจสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง ทุกวันมีแต่ละหนึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป สืบต่อ

    ตราบใดที่ยังไม่มีการฟังให้เข้าใจก็จะมีความเป็นเรา ที่พยายามจะละชั่วทำความดี แต่ว่าไม่สามารถที่จะชำระจิตให้บริสุทธิ์ เพราะเหตุว่าขณะนั้น สะสมความไม่รู้ในสิ่งที่ปรากฏทุกชาติมามากพร้อมด้วยความติดข้อง

    เพราะฉะนั้น ไม่ว่าอะไรจะปรากฏก็ไม่รู้ อย่างเดี๋ยวนี้ได้ยินมี ดับแล้ว ก็ไม่รู้ว่าไม่ใช่เรา เห็นขณะนี้ทั้งๆ ที่กำลังเห็น ก็ไม่รู้ว่าเห็นขณะนี้เกิดแล้ว ดับแล้ว ไม่ใช่เรา

    เพราะฉะนั้น ไม่สามารถที่จะละความยึดถือว่าเป็นเรา ด้วยเหตุนี้ ทั้งหมดพระผู้มีพระภาคทรงแสดงพระธรรมเพื่อให้เกิดความเข้าใจในขณะที่ฟัง แต่ก็ต้องไตร่ตรองจนกระทั่งค่อยๆ เจริญเติบโตขึ้นด้วยความเข้าใจถูก ด้วยความเห็นถูก แต่ต้องไม่ประมาทว่า ธรรมเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งมาก

    เพราะฉะนั้น ความเป็นเราที่ไม่รู้ ก็ไม่รู้ในสิ่งที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง จึงมีความเป็นเราโดยตลอด จนกว่าขณะใดก็ตามที่เริ่มเข้าใจ ขณะนั้นเริ่มรู้ว่าเป็นธรรม โดยฟังก่อน ซึ่งพระผู้มีพระภาคใช้คำว่าปริยัติ หมายความว่า การฟังพระพุทธพจน์

    ฟังคนอื่นมามากแล้วใช่ไหม แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าฟังพระพุทธพจน์หรือเปล่า หรือว่าฟังใคร หรือว่าฟังความเห็นของใคร ถ้าเป็นพระพุทธพจน์จะกล่าวถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ให้มีความเข้าใจขึ้นตามลำดับ

    เพราะฉะนั้น ถ้ามีการบอกว่าให้ทำอย่างนั้นให้ทำอย่างนี้ ให้จัดสรรเวลาอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นพระพุทธพจน์หรือเปล่า ไม่ใช่

    เริ่มเห็นความต่างแม้เพียงเล็กน้อยว่าใครก็ตามที่เข้าใจว่ามีเราที่จะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้เพื่อให้มีความเข้าใจขึ้น บางคนบอกว่าต้องทำอย่างนี้ต้องเพียรอย่างนี้ และก็จะรู้ธรรมเร็วขึ้น แต่ลืมว่าไม่มีความเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏเลย แล้วจะเข้าใจอะไรเมื่อไหร่เพราะว่าในขณะที่กำลังไปทำขณะนั้นไม่ได้เข้าใจ

    ทางที่ดีที่สุดฟังพระธรรมแล้วก็ไตร่ตรองแต่ละคำ และก็เข้าใจในความหมายของ คำว่าเป็นอนัตตา ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ โกรธเกิด เข้าใจว่าไม่ใช่เราหรือเปล่าพอที่จะรู้ในขณะนั้นได้ไหม ระลึกได้ทันทีว่าเป็นธรรมอย่างหนึ่ง เปลี่ยนธรรมนั้นให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้น แต่ละคนก็จะมีการสะสมของอกุศลมากมาย หมดทันทีไม่ได้เลย แม้แต่การฟังเริ่มเข้าใจกิเลสก็ยังไม่หมด จะตามไปตลอดเพราะว่าสะสมมานานมาก แต่ถึงอย่างนั้นปัญญาที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้นก็สามารถที่จะค่อยๆ ละคลายความไม่รู้

    ยังอยากจะให้บอกกฎเกณฑ์เวลาอะไรอีกหรือเปล่า แต่ว่ารู้ว่าธรรมละเอียดลึกซึ้งและการฟังพระธรรมแม้แต่จะได้ฟังหรือไม่ได้ฟังก็ไม่อยู่ในกำนาจบังคับบัญชา อาจจะมีหลายคนตั้งใจที่จะมาฟังก็ไม่ได้มา แล้วก็มีหลายคนซึ่งไม่ได้ตั้งใจก็มา ก็ได้ใช่ไหม ทั้งหมดก็แสดงถึงความไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา

    ถ้าจะเข้าใจธรรมจริงๆ ละเอียดขึ้นจนทุกขณะเป็นจิตแต่ละประเภทซึ่งทรงแสดงไว้ละเอียด แล้วทรงแสดงไว้ด้วยว่าจิตนั้นมีปัจจัยอะไรที่จะเกิดขึ้นเป็นไปอย่างนั้น แม้การเคลื่อนไหวของกายหรือวาจาก็ต้องเป็นไปตามปัจจัยต่างๆ ที่ได้สะสมมา

    กะพริบตาเป็นธรรมหรือเปล่า แล้วก็มีความต้องการจะกะพริบตาหรือเปล่า ความต้องการความติดข้องทั้งหมดเป็นโลภะตั้งแต่ละเอียดที่สุดจนถึงปรากฏให้เห็นชัดๆ ว่าเป็นความโลภความติดข้องจนกระทั่งสามารถที่จะกระทำทุจริตกรรมต่างๆ ได้ แต่ทั้งหมดก็คือเป็นโลภะทั้งหมดอย่างละเอียดยิ่ง

    เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปหาโลภะที่ไหนเลย ไม่ต้องไปคิดหาเวลาที่ว่าจะต้องไปทำอะไร เพราะแม้แต่กระพริบตา ปัญญาก็สามารถที่จะรู้ว่าขณะนั้นไม่มีอะไร นอกจากมีธาตุรู้ซึ่งมีความต้องการจึงมีการเคลื่อนไหวอย่างนั้นได้

    ให้ทราบว่าทั้งหมดตั้งแต่เกิดจนตายเป็นธรรมที่สามารถจะเข้าใจขึ้นว่าเป็นธรรมประเภทไหน จึงจะค่อยๆ ละคลายความเป็นตัวตน แต่ก็ไม่หมดในชาตินี้แน่นอนเพราะเหตุว่ามากเหลือเกิน ต้องค่อยๆ สะสมไป

    วันนี้จะฟังธรรมไหม ไม่ต้องเตรียมตัวไว้ก่อนใช่ไหมแต่รู้เวลา เพราะฉะนั้น ก็มีปัจจัยที่จะทำให้ได้ฟังตามเวลา แต่ว่าจะได้ฟังรึเปล่า เห็นไหมแน่ใจหรือเปล่าว่าจะได้ฟัง อาจจะไม่ได้ฟังก็ได้

    เพราะฉะนั้น ทุกอย่างพิสูจน์ให้เห็นความจริงว่าเป็นอนัตตาไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาแต่ก็เป็นธรรมทั้งหมด

    ก็ลองพิสูจน์ง่ายๆ หลับตา มีอะไรปรากฏ ไม่มีเลย แล้วลืมตา มีอะไรบ้างมากมายไปหมด นี่คือความลึกซึ้ง

    หายไปไหนหมดเลยเพียงแค่หลับตาเท่านั้นเอง ไม่มีใครจะปรากฏได้เลย แต่ว่าพอลืมตา ไม่ต้องทำอะไรด้วย มีสิ่งที่ปรากฏหลากหลาย

    นี่คือความลึกซึ้งว่าแท้ที่จริงลืมตาเห็นอะไร เห็นสิ่งที่สามารถปรากฏให้เห็นได้ เราธรรมดาก็พูดว่าสีสันวรรณะต่างๆ สีเขียวสีแดงสีขาวสีม่วงหลายสี แต่เร็วยิ่งกว่านั้นคือไม่ต้องมานั่งคิดว่าสีอะไรก็จำได้แล้วเป็นอะไร นี่แสดงให้เห็นว่าขณะที่จำไม่ใช่ขณะที่กำลังได้ยินเสียง หรือว่ากำลังคิดเรื่อง แต่ว่ากำลังจำสิ่งที่กำลังปรากฏ

    เพราะฉะนั้น แสดงให้เห็นว่าสภาพจำมีจริงๆ จำกันทุกวัน เกิดมาก็จำแล้ว ถ้าจำไม่ได้ก็คงแย่ใช่ไหม แต่ว่าชีวิตที่ดำเนินไปทุกวันๆ ก็เพราะว่ายังมีการรู้เพราะจำได้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร มิฉะนั้นมีชีวิตอยู่ไม่ได้เลย

    แต่สภาพจำเป็นสภาพจำไม่ใช่ใครเลยทั้งสิ้น แล้วก็เป็นสิ่งซึ่งต้องเกิดพร้อมจิตถ้าไม่มีจิต จะไม่มีสภาพธรรมซึ่งจำอะไรได้เลยทั้งสิ้น แต่ว่าขณะใดก็ตามที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏให้รู้ว่าต้องมีธาตุคือจิตที่กำลังรู้สิ่งนั้น สิ่งนั้นจึงปรากฏได้ เพียงแต่เอาสิ่งหนึ่งสิ่งใดออกไปจากห้องนี้ก็ไม่ปรากฏแล้ว แม้ว่าจะพยายามมองหาสักเท่าไหร่ก็ไม่มีอีกต่อไปที่สามารถจะปรากฏ

    เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้วก็คือว่าไม่ว่าขณะไหนก็ตามที่มีการเห็น ต้องมีการเห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ และต้องมีปัจจัยที่จะให้เห็นเกิดด้วย คนตาบอดไม่สามารถจะรู้ได้เลยว่าสิ่งที่กำลังปรากฏอย่างที่คนอื่นเขาพูดถึง ไม่ว่าจะเป็นพระจันทร์ ไม่ว่าจะเป็นดวงดาว ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้พันธุ์ต่างๆ คนตาบอดไม่มีโอกาสได้เห็นสีสันวัณณะต่างๆ

    แต่ได้ยิน แล้วก็จำเรื่อง จำคำ เพราะฉะนั้น ขณะที่ได้ยินเสียงจำเสียง ขณะที่เห็นก็จำสิ่งที่ปรากฏ ถ้าไม่จำจะรู้ไหมว่าอะไรเป็นอะไรในห้องนี้ เพราะฉะนั้น นี่ก็คือความลึกซึ้งว่า แม้แต่จำก็มีจริงๆ แต่ต้องเกิดกับจิต และจิตเป็นธาตุรู้

    เพราะฉะนั้น สภาพรู้ที่เกิดกับจิตที่ใช้คำว่าเจ-ตะ-สิ-กะหรือเจตสิกก็มีสภาพธรรมในชีวิตประจำวันทั้งหมดที่ไม่ใช่ธาตุรู้ โกรธมี แต่โกรธไม่ใช่จิต แต่โกรธในสิ่งที่จิตเห็น จิตเห็นอะไรที่ไม่น่าพอใจ แม้แต่ความไม่พอใจไม่ชอบ ก็ไม่ใช่จิต

    จิตเป็นแต่เพียงสภาพที่รู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏเท่านั้นเอง แต่ว่าสภาพของธรรมที่เป็นนามธรรมซึ่งเกิดกับจิตคือทุกอย่างที่เราพูดว่าไม่ว่าจะเป็นฉลาดหรือขยันหรือว่าโกรธหรือว่าโลภหรือว่า สำคัญตนลักษณะนั้นทั้งหมดมีจริงไม่ใช่เรา แล้วเป็นอะไร ก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริงซึ่งเกิดกับจิต ไม่ว่าจิตเกิดเมื่อไหร่ สภาพนี้แต่ละลักษณะก็แล้วแต่ว่าสภาพใดจะเกิดกับจิต

    เพราะเหตุว่าเจตสิกทั้งหมดมี ๕๒ ประเภท มีทั้งเจตสิกที่สามารถจะเกิดกับฝ่ายดีก็ได้ ฝ่ายไม่ดีก็ได้ มีทั้งเจตสิกซึ่งเป็นเจตสิกฝ่ายเลวฝ่ายไม่ดีเป็นอกุศลเกิดกับสภาพธรรมอื่นที่เป็นกุศลไม่ได้เลย นี่ก็คือชีวิตตามความเป็นจริงซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะไปเปลี่ยนให้เป็นอย่างอื่นได้ แต่สามารถจะเข้าใจได้ว่าทำไมบางวัน เห็นแล้วก็ได้ยินเสียงต่างๆ โดยที่ว่าไม่ได้คาดหวังมาก่อนว่าจะได้ยิน แต่ก็มีปัจจัยที่จะทำให้ได้ยินเกิดขึ้น

    ความลึกซึ้งก็คือว่า แม้จะมีการเห็นอยู่ตลอดก็ไม่รู้ความจริงว่าแท้ที่จริงเพียงแค่หลับตาไม่มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ก็ไม่สามารถจะไปจำไว้ได้ว่ามีอะไรอยู่ตรงไหน แต่เวลาที่ลืมตาแล้วมีสิ่งต่างๆ ที่ปรากฏให้เห็นสัณฐานต่างๆ ทำให้จำได้ว่าเป็นคนนั้นคนนี้อย่างมั่นคง เพราะฉะนั้น ก็มีสัญญาความจำว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเพราะการเกิดดับอย่างรวดเร็วของจิต

    ได้ยินเสียงๆ มีจริงๆ หรือเปล่า ถ้าไม่มีสภาพที่ได้ยิน เสียงจะปรากฏว่ามีเสียงจริงๆ ได้ไหม ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ขณะใดที่เสียงกำลังปรากฏอย่างเดียวนี้เลย ก็เพราะเหตุว่ามีจิตหรือธาตุรู้ซึ่งเกิดขึ้นได้ยินเสียงไม่ใช่เรา เสียงก็ไม่ใช่เรา ธาตุรู้ที่ได้ยินก็ไม่ใช่เราเพราะดับแล้ว

    ไปหาได้ไหม ได้ยินเมื่อครู่นี้ไปไหน อยู่ไหน ไม่มีเหลือเลย เพราะฉะนั้นชีวิตตั้งแต่เกิด ไม่มีอะไรเหลือเลยสักหนึ่งอย่าง แต่ว่าการเกิดดับสืบต่อซึ่งทำให้ความจำๆ ไว้ตลอดเวลา ว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ ก็มีความมั่นคง ทำให้ไม่สามารถจะรู้ได้ว่าแท้ที่จริงแล้วไม่มีเราแต่มีธรรม

    เพราะฉะนั้น กว่าจะเริ่มเข้าใจจริงๆ ว่าทั้งหมดเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ซึ่งมีปัจจัยเกิดจึงปรากฏได้แล้วดับไปแล้วก็ไม่กลับไปอีกเลย ตั้งแต่เกิดจนตายเป็นอย่างนี้

    นี่คือความลึกซึ้ง เพราะฉะนั้น ทางหูได้ยินเสียงใช่ไหม ได้ยินเป็นเราหรือเปล่า หรือว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เสียงกระทบกับรูปพิเศษที่อยู่ที่ตัวรูปหนึ่ง ซึ่งเป็นรูปที่สามารถกระทบกับเสียง กระทบอย่างอื่นไม่ได้เลย เสียงสามารถจะกระทบกับรูปนั้น มองไม่เห็นเลย ใช้คำว่าโส-ตะ หู ปะ-สา-ทะ สภาพที่ผ่องใสที่สามารถกระทบเสียง

    เพราะฉะนั้น ถ้ากรรมไม่ทำให้โสตปสาทเกิด คนนั้นไม่ได้ยิน จะพยายามสักเท่าไหร่ก็ไม่ได้ยินเพราะว่าทั้งหมดเป็นธรรมไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย

    นกได้ยินเสียงไหม ได้ยิน เพราะฉะนั้น ได้ยินเป็นนกหรือเปล่า หรือเป็นคน หรือเป็นเทพ หรือเป็นอะไร เป็นอะไรไม่ได้เลยทั้งสิ้น

    ได้ยินเป็นธาตุรู้ซึ่งเกิดขึ้นได้ยินแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้น ถ้าศึกษาธรรมทั้งหมด ก็จะเริ่มเข้าใจความเป็นธรรมซึ่งเป็นอนัตตาแล้วก็จะละคลายการติดข้องการยึดถือ ซึ่งทุกคนไม่รู้เลย ว่าทุกข์ทั้งหลายมาจากการยึดถือ ถ้าไม่ยึดถือทุกข์ก็ลดน้อยลง แต่ว่าความยึดถือนี้มีมากยึดถือไปหมดตั้งแต่เรา แล้วก็ของเราด้วยใช่ไหม มีตัวเราก็ต้องมีของเรา พ่อแม่พี่น้องเพื่อนฝูงสารพัดอย่าง สมบัติในบ้านไม่ว่าจะอะไรทั้งนั้น ก็ของเราไปหมด แต่ว่าความจริงไม่ใช่เลย เพียงแค่คิด

    เพราะอะไร หลับสนิท อะไรอยู่ที่ไหนของใครบ้าง เป็นของเราจริงๆ หรือเปล่า ชื่ออะไรก็ยังไม่รู้ ใช่ไหม ไม่มีอะไรปรากฏเลย แต่เมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏเริ่มเป็นเราหรือว่าเริ่มเป็นของเรา

    นี่ก็แสดงเห็นว่า การที่เราไม่รู้ความจริง ว่าแท้ที่จริงแล้วทุกอย่างจะห้ามไม่ให้หลับก็ไม่ได้ หรือว่าขณะหลับก็ให้มีความเป็นเราหรือของเราก็ไม่ได้ เพราะเหตุว่าในขณะนั้น จิตเกิดจริง จิตเกิดดับสืบต่อไม่ขาดเลยตั้งแต่เกิดจนตาย แต่ขณะหลับไม่ใช่เห็นไม่ใช่จิตที่เกิดขึ้นเห็น ไม่ใช่จิตที่เกิดขึ้นได้ยิน ไม่ใช่จิตที่เกิดขึ้นได้กลิ่น ไม่ใช่จิตที่เกิดขึ้นลิ้มรส ไม่ใช่จิตที่เกิดขึ้นรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย และก็ไม่ใช่จิตที่คิด

    เพราะฉะนั้น ทั้งหมดเริ่มเห็นความเป็นธรรมคือเป็นจิตซึ่งแต่ละหนึ่ง ก็เกิดดับสืบต่อแล้วก็ต้องอาศัยเหตุด้วย

    เพราะฉะนั้น แม้แต่การที่จะค่อยๆ คุ้นเคยด้วยความจำจนกระทั่งเข้าใจในความหมายของแต่ละเสียง ก็เป็นธรรมทั้งหมดเลย เพราะฉะนั้น พระธรรมที่ทรงแสดงไว้ให้เราได้สามารถเข้าใจ มีการศึกษาสืบต่อตราบใดที่มีผู้ที่มีศรัทธา มีความเคารพในพระธรรมก็จะไม่ละเลยการฟังธรรม เพราะเหตุว่าถ้ากล่าวว่าเป็นชาวพุทธหมายความถึงผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนาต้องนับถือสิ่งที่ตนเองเข้าใจ และรู้จัก

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 202
    16 ก.ค. 2568

    ซีดีแนะนำ